Contenu connexe
Similaire à การเรียนรู้แบบ4 mat
Similaire à การเรียนรู้แบบ4 mat (20)
การเรียนรู้แบบ4 mat
- 1. วิธีจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT
1. แนวคด/ทฤษฎการเรยนการสอนแบบ 4 MAT
ิ ี ี
ทฤษฎีการสรางความรูดวยตนเอง (Constructivsm)
ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวนปญญาของเพียเจตและขแงไวกอตสกี้เปนรากฐานที่สําคัญของทฤษฎีการ
สรางความรูดวยตนเอง (Constructivsm) เพียเจตอธิบายวา พัฒนาการทางเชาวนปญญาของบุคคลมีการ
ปรับตัวผานทางกระบวนการซึมซับหรือดูดซึม (assimilation) และกระบวนการปรับโครงสรางทางเชาวน
ปญญา (assommodation) พัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับและซึมซับขอมูลหรือประสบการณใหมเขาไป
สัมพันธกับความรูหรือโครงสรางทางปญญาที่มีอยูเดิม หากไมสามารถสัมพันธไดจะเกิดภาวะไมสมดุลขึ้น
(disequilibrium) บุคคลจะพยายามปรับสภาวะใหอยูในภาวะสมดุล (equilibrium) โดยใชกระบวนการปรบ
ั
โครงสรางทางเชาวนปญญา (assommodation) สวนไวก็อตสกี้ใหความสําคัญกับวัฒนธรรมและสังคมมาก
เขาอธิบายวามนุษยไดรับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดลอมตั้งแตแรกเกิด ซึ่งนอกจากสิ่งแวดลอมทางธรรมชาติแลว
ก็ยังมีสิ่งแวดลอมทางสังคมซึ่งก็คือวัฒนธรรมที่แตละสังคมสรางขึ้น ดังนั้นสถาบันสังคมตางๆเริ่มตั้งแต
สถาบันครอบครัวจะมีอิทธิพลตอพัฒนาการทางเชาวนปญญาของแตละบุคคล และไวก็อตสกี้ มีความเชื่อวา
การใหความชวยเหลือชี้แนะแกเด็กซึ่งอยูในลักษณะของ “assisted learning” หรอ “scaffolding” เปนสิ่ง
ื
สําคัญมาก เพราะสามารถชวยพัฒนาเด็กใหไปถึงระดับที่อยูในศักยภาพของเด็กได(อางในทิศนา แขมมณี,
2547)
การประยุกตใชทฤษฎีในการเรียนการสอน
1. ตามทฤษฎีการสรางความรู ผลของการเรียนรูจะมุงเนนไปที่กระบวนการสรางความรู (process of
knowledge construction) และการตระหนกรในกระบวนการนน (reflexive awareness of that process)
ั ู ้ั
เปาหมายการเรียนรูจะตองมาจากการปฏิบัติจริง (authentic tasks) ครูจะตองเปนตัวอยางและฝกฝน
กระบวนการเรียนรูใหผูเรียนเห็น ผูเรียนจะตองฝกฝนการสรางความรูดวยตนเอง
2. เปาหมายของการสอนจะเปลี่ยนจากการถายทอดใหผูเรียนไดรับสาระความรูที่แนนนอนตายตัว
ไปสูการสาธิตกระบวนการแปลและสรางความหมายที่หลากหลาย และเรียนรูทักษะตางๆ จะตองมี
ประสิทธิภาพถึงขั้นทําไดและแกปญหาจริงได
3. ในการเรียนการสอน ผูเรียนจะเปนผูมีบทบาทในการเรียนรูอยางตื่นตัว (active) ผูเรียนจะตองเปนผู
จัดกระทํากับขอมูลหรือประสบการณตางๆ และจะตองสรางความหมายใหกับสิ่งนั้นดวยตนเอง โดยการให
ผูเรียนอยูในบริบทจริง ซึ่งไมไดหมายความวาผูเรียนจะตองออกไปยังสถานที่จริงเสมอไป แตอาจจัดเปน
กิจกรรมที่เรียกวา “physical knowledge activities” ซึ่งเปนกิจกรรมที่เปดโอกาสใหผูเรียนมีปฏิสัมพันธกับ
- 2. สื่อ วัสดุอุปกรณสิ่งของหรือขอมูลตางๆที่เปนของจริง และมีความสอดคลองกับความสนใจของผูเรียน โดย
ผูเรียนสามารถจัดกระทํา ศึกษา สํารวจ วิเคราะห ทดลอง ลองผิดลองถูกกับสิ่งนั้นๆ จนเกิดเปนความรูความ
เขาใจขึ้น ดังนั้นความเขาใจเปนสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิดการจัดกระทําขอมูล มิใชเกิดขึ้นไดงายๆจาก
การไดรับขอมูลหรือมีขอมูลเพียงเทานั้น
4. ในการจัดการเรียนการสอนครูจะตองพยายามสรางบรรยากาศทางสังคมจริยธรรม (socialmoral) ให
เกิดขึ้น กลาวคือ ผูเรียนจะตองมีโอกาสเรียนรูในบรรยากาศที่เอื้อตอการปฏิสัมพันธทางสังคม ซึ่งทางสังคม
ถือวาเปนปจจัยสําคัญของการสรางความรู เพราะลําพังกิจกรรมและวัสดุอุปกรณทั้งหลายที่ครูจัดเตรียมให
หรือผูเรียนแสวงหามาเพื่อการเรียนรู ไมเปนการเพียงพอ ปฏิสัมพันธทางสังคม การรวมมือ และการ
แลกเปลี่ยนความรู ความคิด และประสบการณระหวางผูเรียนกับผูเรียนและบุคคลอื่นๆ จะชวยใหการเรียนรู
ของผูเรียนกวางขึ้น ซับซอนขึ้น และหลากหลายขึ้น
5. ในการเรียนการสอนผูเรียนมีบทบาทในการเรียนรูอยางเต็มที่ (Deveries อางในทิศนา แขมมณี,
2547) โดยผูเรียนจะนําตนเองและควบคุมตัวเองในการเรียนรู เชน ผูเรียนจะเปนผูเลือกสิ่งที่ตองการเรียนเอง
ตั้งกฎระเบียบเอง แกปญหาที่เกิดขึ้นเอง ตกลงกันเองเมื่อเกิดความขัดแยงหรือมีความคิดเห็นที่แตกตางกัน
เลือกผูรวมงานไดเอง และรับผิดชอบในการดูแลรักษาหองเรียนรวมกัน
6. ในการเรียนการสอนแบบสรางความรู ครูจะมีบทบาทแตกตางกันไปจากเดิม ( Deveries อางในทิศ
นา แขมมณี, 2547) คือ จากการเปนผูถายทอดความรูและควบคุมการเรียนรู เปลี่ยนไปเปนการใหความ
รวมมือ อํานวยความสะดวก และชวยเหลือผูเรียนในการเรียนรู คือการเรียนการสอนจะตองเปลี่ยนจาก
“instruction” ไปเปน “construction” คือ เปลี่ยนจาก “การใหความรู” ไปเปน “การใหผูเรียนสรางความรู”
บทบาทของครูก็คือจําตองทําหนาที่ชวยสรางแรงจูงใจภายในใหเกิดแกผูเรียน จดเตรยมกจกรรมการเรยนรู
ั ี ิ ี
ตรงกับความสนใจของผูเรียน ดําเนินกิจกรรมใหเปนไปในทางที่สงเสริมพัฒนาการของของเรียน ให
คําปรึกษาแนะนําทั้งทางดานวิชาการและดานสังคมแกผูเรียน ดูแลใหความชวยเหลือผูที่มีปญหา และ
ประเมินการเรียนรูของผูเรียน นอกจากนั้นครูยังตองมีความเปนประชาธิปไตยและมีเหตุผลในการสัมพันธ
กับผูเรียนดวย
7. ในดานการประเมนผลการเรยนการสอน (Jonassen อางในทิศนา แขมมณี, 2547) เนื่องจากการ
ิ ี
เรียนรูตามทฤษฎีการสรางความรูดวยตนเองนี้ขึ้นกับความสนใจและการสรางความหมายที่แตกตางกันของ
บุคคล ผลการเรียนรูที่เกิดขึ้นจึงมีลักษณะหลากหลาย ดังนั้นการประเมินผลจึงจําเปนตองมีลักษณะเปน
“goal free evaluation” ซึ่งก็หมายถึงการประเมินตามจุดมุงหมายในลักษณะที่ยืดหยุนกันไปในแตละบุคคล
หรืออาจใชวิธีการเรียกวา “socially negotiated goal” และการประเมนตนเองดวย นอกจากนนการวดผล
ิ ้ั ั
- 3. จําเปนตองอาศัยปริบทจริงที่มีความซับซอนเชนเดียวกับการจัดการเรียนการสอนที่ตองอาศัยบริบท กิจกรรม
และงานที่เปนจริง การจัดผลจะตองใชกิจกรรมหรืองานในบริบทจริงดวย ซึ่งในกรณีที่จําเปนตองจําลองของ
จริงมาก็สามารถทําได แตเกณฑที่ใชควรเปนเกณฑที่ใชในโลกของความจริง (real world criteria) ดวย
2. วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT
แม็คคารธี (McCarthy, อางในทิศนา แขมมณี, 2547) เปนผูพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นจาก
แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรูของโคลบ (Kolb) โดยวธการจดการเรยนการสอนดงน้ี
ิี ั ี ั
ขั้นที่1 การสรางประสบการณ ผูสอนเริ่มตนจากการจัดประสบการณใหผูเรียนเห็นคุณคาของเรื่องที่
เรียนดวยตนเอง ซึ่งจะชวยใหผูเรียนสามารถตอบคําถามไดวาทําไมตนจึงตองเรียนรู เรื่องนี้
ขั้นที่2 การวิเคราะหประสบการณหรือสะทอนความคิดจากประสบการณ ชวยใหผูเรียนเกิดความ
ตระหนักรู และยอมรับความสําคัญของเรื่องที่เรียน
ขั้นที่3 การพัฒนาประสบการณเปนความคิดรวบยอดหรือแนวคิด เมื่อผูเรียนเห็นคุณคาของเรื่องที่เรียน
แลว ผูเรียนจึงจัดกิจกรรมการเรียนรูที่ชวยใหผูเรียนสามารถสรางความคิดรวบยอดขั้นดวยตนเอง
ขั้นที่4 การพัฒนาความรูความคิด เมื่อผูเรียนมีประสบการณและเกิดความคิดรวบยอดหรือแนวคิด
พอสมควรแลว ผูสอนจึงกระตุนใหผูเรียนพัฒนาความรูความคิดของตนใหกวางขวางและลึกซึ้งขึ้น โดยการ
ใหผูเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมจากแหลงความรูที่หลากหลาย การเรียนรูขั้นที่ 3 และ 4 นี้ คือการตอบคําถาม
วา สิ่งที่ไดเรียนรูคืออะไร
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ไดเรียนรู ในขั้นนี้ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนนําความรูความคิดที่ได
จากการเรียนรูในขั้นที่ 3-4 มาทดลองปฏิบัติจริง และศึกษาผลที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 6 การสรางสรรคชนงานของตนเอง จากการปฏิบัติตามแนวคิดที่ไดเรียนรูในขั้นที่ 5 ผูเรียนจะเกิด
้ิ
การเรียนรูถึงจุดเดนจุดดอยของแนวคิด ความเขาใจแนวคิดนั้นจะกระจางขึ้น ในขั้นนี้ผูสอนควรกระตุนให
ผูเรียนพัฒนาความสามารถของตน โดยการนําความรูความเขาใจนั้นไปใชหรือปรับประยุกตใชในการสราง
ชิ้นงานที่เปนความคิดสรางสรรคของตนเอง ดังนั้นคําถามหลัก ที่ใชในขั้นที่ 5-6 ก็คือจะทําอยางไร
ขั้นที่ 7 การวิเคราะหผลงานและแนวทางการนําไปประยุกตใช เมื่อผูเรียนไดสรางสรรคชิ้นงานของตน
ตามความถนัดแลว ผูสอนควรเปดโอกาสใหผูเรียนไดแสดงผลงานของตน ชื่นชมกับความสําเร็จ และเรียนรู
ที่จะวิพากษวิจารณอยางสรางสรรค รวมทั้งรับฟงขอวิพากษวิจารณ เพื่อการปรับปรุงงานของตนใหดีขึ้น
และการนําไปประยุกตใชตอไป
- 4. ขั้นที่ 8 การแลกเปลี่ยนความรูความคิด ขั้นนี้เปนขั้นของการขยายขอบขายของความรูโดยการ
แลกเปลยนความรความคดแกกนและกน และรวมกนอภิปรายเพื่อการนําการเรียนรูไปเชื่อมโยงกับชีวิตจริง
่ี ู ิ ั ั ั
และอนาคต คําถามหลักในการอภิปรายก็คือ ถา....? ซึ่งอาจนําไปสูการเปดประเด็นใหมสําหรับผูเรี ยนในการ
เริ่มตนวัฏจักรของการเรียนรูในเรื่องใหมตอไป
- 6. สรุปการเรียนรูแบบ 4 MAT มีทั้งหมด 8 ขั้น
ขั้นที่1 การสรางประสบการณ
ขั้นที่2 การวิเคราะหประสบการณหรือสะทอนความคิดจากประสบการณ
ขั้นที่3 การพัฒนาประสบการณเปนความคิดรวบยอดหรือแนวคิด
ขั้นที่4 การพัฒนาความรูความคิด
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ไดเรียนรู
ขั้นที่ 6 การสรางสรรคชนงานของตนเอง
้ิ
ขั้นที่ 7 การวิเคราะหผลงานและแนวทางการนําไปประยุกตใช
ขั้นที่ 8 การแลกเปลี่ยนความรูความคิด