More Related Content Similar to พื้นฐานภาษาจาวา Similar to พื้นฐานภาษาจาวา (20) พื้นฐานภาษาจาวา2. ประวัติความเป็ นมา
เป็ นภาษาทีถูกพัฒนาโดย Dr.Jame Gosling
บริ ษัท Sun Microsystems เดิมทีชือ ภาษาโอ๊ ค (Oak) เป็ นชือ
ต้ นไม้ ใหญ่ทีอยูในบริ เวณบ้ าน ทีทีมวิศวกรของซัน ทํางานอยู่ นํามาใช้ ในการ
่
พัฒนาโปรแกรมขนาดจิ0วสําหรับ อุปกรณ์ เครื องใช้ อิเล็คทรอนิกส์ ได้ ทําการ
พัฒนาต่อมาเรื อยๆ และได้ เปลียนชือใหม่เป็ น ภาษาจาวา (Java) ตามชือ
กาแฟทีทีมพัฒนาดืม
3. จุดเด่น
1) เป็ นภาษาสําหรับการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
(OOP: Object Oriented Programming)
2) Java คือ platform independence หมายความว่า
ความสามารถของโปรแกรมที%เขียนด้วย java
สามารถทํางานได้ในระบบปฏิบติการที%ต่างกัน โดยไม่ตอง
ั
้
ดัดแปลงแก้ไขใหม่
3) Free และ เป็ นโปรแกรมประเภท Open Source
4. โครงสร้าง ภาษา Java
1. เครื องหมาย ในการควบคุม Structure
1.1 Comment คือข้ อความทีแทรกเข้ าไปในโปรแกรม แต่ไม่มีผลต่อการทํางานของ
โปรแกรม เช่นในกรณีทีเราต้ องการอธิบาย Source code ไว้ ใน โปรแกรม วิธีการคือ
- comment ทีละ บรรทัด ใช้ เครื องหมาย // ตามด้ วยข้ อความทีต้ องการ comment
เช่น
//comment comment
- comment แบบครอบทังข้ อความ ใช้ เครื องหมาย /* ข้ อความทีต้ องการ comment
:
*/ เช่น
/*
Comment
Comment
*/
5. 1.2 Keyword คือคําทีถูกกําหนดไว้ ใช้ เองแล้ วในภาษา Java ไม่สามารถ
นํามาใช้ ในการตังชือภายใน โปรแกรมได้ ตัวอย่างเช่น
:
class,boolean,char เป็ นต้ น
1.3 Identifiers คือชือทีผู้เขียนตังขึ :นมา เพือใช้ แทนอะไรก็ได้ ไม่วาจะเป็ น
:
่
method ,ตัวแปร หรื อ class ชือทีถูกต้ องควรประกอบด้ วย ตัวอักษร ,
ตัวเลข ,_,$ และจะต้ องขึ :นต้ นด้ วย ตัวอักษรเท่านัน
:
6. ชนิดของโปรแกรม Java
1) Java Application
เป็ นการนําโปรแกรม Java มาเขียนเป็ นโปรแกรมทีสามารถนํามาใช้ งานได้ อย่างอิสระ
2) Java Applets
เป็ นการนํา Java มาเขียนเป็ นโปรแกรมเช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถเรี ยกใช้ งานได้ ตาม
ลําพัง ต้ องนํามาใส่ไว้ ในเอกสาร HTML แล้ วใช้ โปรแกรม Web
Browser หรื อ Utilities ของ Java เพือเรี ยกดูผลลัพธ์
7. 1.4 Separators คือ อักษร หรือ เครืองหมายทีใช้แบ่งแยกคําในภาษา มี
ดังต่อไปนี!
- เครืองหมาย () ใช้สาหรับ
ํ
1. ต่อท้ายชือ method ไว้ให้ใส่ parameter
เช่น private void hello( );
2. ระบุเงือนไขของ if ,while,for ,do
เช่น if ( i=0 )
3. ระบุชอชนิดข้อมูลในการ ทํา casting
ื
เช่น String a=( String )x;
8. - เครืองหมาย [ ] ใช้สาหรับ
ํ
1. กําหนดตัวแปรแบบ Array
เช่น String a[ ];
2. กําหนดค่า index ของตัวแปร array
เช่น a[ 0 ]=10;
- เครืองหมาย ; ใช้เพือปิ ดประโยค
เช่น String a ;
- เครืองหมาย , ใช้สาหรับ
ํ
1. แยกชือตัวแปรในประโยค
เช่น String a , b , c;
- เครือง หมาย . ใช้สาหรับ
ํ
1. แยกชือ package,subpackage และชือ class
เช่น package com.test.Test1;
2. ใช้เพือเรียกใช้ ตัวแปร หรือ method ของ Object
เช่น object.hello();
9. - เครื องหมาย{ }ใช้ สําหรับ
กําหนดขอบเขตของ method แล class
เช่น class A{
}
Private void hello(){
}
2. กําหนดค่าเริ มต้ นให้ กับตัวแปร Array
เช่น String a[]={"A","B","C"};
10. เมธอดแสดงผลทางจอภาพพื :นฐาน
การรับข้ อมูลทางคีย์บอร์ ดในภาษาจาวาจะต้ องสร้ างออบเจ็กต์ของคลาส Scanner ขึ :นมา
โดยจะต้ องประกาศตัวแปรออบเจ็กต์ก่อน เช่น
Scanner keyboard;
ประกาศตัวแปรออบเจ็กต์ชือ keyboard อยู่ในคลาส Scanner จากนัน
:
ต้ องสร้ างออบเจ็กต์มาโดยใช้ คีย์เวิร์ด new มีรูปแบบดังนี :
ตัวแปรออบเจ็กต์ = new ชือคลาส(อาร์ กิวเมนต์);
11. ดังนันถ้าจะให้ตวแปร keyboard รับค่าทางแป้ นพิมพ์จะต้องสร้างออบเจ็กต์ขนมาโดยให้ม ี
!
ั
!ึ
อาร์ กวเมนต์เป็ น System.in ดังนี!
ิ
keyboard = new Scanner(System.in);
ในคลาส Scanner นันมีเมธอดสําหรับอ่านข้อมูลประเภทต่างๆหลายประเภท
!
ดังนี!
14. การใช้ import
ในภาษาจาวาคลาสต่างๆจะถูกรวมไว้ เป็ นแพ็กเกจวึงสามารถเรี ยกใช้ ด้วย
คําสัง import
เพือบอกให้ คอมไพเลอร์ ร้ ุวาจะนําคลาสมาจากทีใด โดยเขียนคําสัง import ไว้ ทีส่วน
่
หัวของโปรแกรม เช่นการใช้ งานคลาส Scanner จะต้ องเขียนดังนี :
import java.util.Scanner
เป็ นการเรี ยกใช้ คลาส Scanner ทีเก็บอยูใน util โดย util นี :เก็บอยูในแพ็กเกจ
่
่
หลักชือ java
16. Operator
รู ปแบบ และการทํางาน ลําดับในการประมวลผล
"*"(Multiply)
หาผลคูณ
1
"/" (Divide)
หาผลหาร
2
"%" (Modulus)
หาเศษทีเหลือจากการหาร
3
"+" (Add)
การบวก
4
"-" (Minus)
op1-op1:การลบ
5
17. ตัวอย่ าง การใช้ตวดําเนิ นการทางคณิ ตศาสตร์
ั
class BasicMath{
public static void main (String args[]){
int a = 1 + 1; int b = a * 3; int c = b / 4;
int d = b " a; int e = -d; int f = 9%5;
System.out.println("a = " + a);
System.out.println("b = " + b);
System.out.println("c = " + c);
System.out.println("e = " + e);
System.out.println("9%5 = " + 9%5);
}
}
19. Relational Operator
ตัวอย่ าง
<
Op1<Op2 : คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 น้ อยกว่า Op2
a=(1<3); //aจะมีคาเป็ นจริ ง
่
<=
Op1<=Op2 : คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 น้ อยกว่า Op2 หรื อ
เท่ากับ Op2
a=(5<=7); //a จะมีคาเป็ นจริ ง
่
>
Op1>Op2 :คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 มากกว่า Op2
a=(5>7); //a จะมีคาเป็ นจริ ง
่
>=
Op1>=Op2 : คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 มากกว่า หรื อเท่ากับ
Op2
a=(5>=7); //a จะมีคาเป็ นจริ ง
่
==
Op1==Op2 : คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 เท่ากับ Op2
a=(5==7); // a จะมีคาเป็ นเท็จเพราะ 5 ไม่
่
เท่ากับ 7
!=
Op1!=Op2 : คืนค่าความเป็ นจริ งถ้ า Op1 ไม่เท่ากับ Op2
a=(5!=7); // a จะมีคาเป็ นจริ ง เพราะ 5 ไม่
่
เท่ากับ 7
":
(expression)"a:b :คือค่าตัว operand a ถ้ า expression
เป็ นจริ ง
a=(3>5)"false:true; //a จะมีคาเป็ นจริ ง
่
เพราะผลการเปรี ยเทียบ 3 มากกว่า 5 เป็ นเท็จ เมือค่าที
ได้ เป็ นเท็จจะเลือกค่า true
21. ค่ าความจริงตัวที ค่ าความจริงตัวที
1
2
ผลการประมวล
แบบ AND
ผลการประมวล
แบบ OR
ผลการประมวล
แบบ XOR
true หรื อ 1
true หรื อ 1
true หรื อ 1
true หรื อ 1
false หรื อ 0
true หรื อ 1
false หรื อ 0
false หรื อ 0
true หรื อ 1
true หรื อ 1
false หรื อ 0
true หรื อ 1
false หรื อ 0
true หรื อ 1
true หรื อ 1
false หรื อ 0
false หรื อ 0
false หรื อ 0
false หรื อ 0
false หรื อ 0
22. รู ปแบบของ Boolean Operator และตัวอย่างการประมวลผล
Operator
รู ปแบบ และการทํางาน
ตัวอย่ าง
! หรื อ(NOT)
!(Op1) เปลียนค่าความจริ งเป็ นค่าตรงกันข้ าม
a= !(true); // a จะมีค่าเป็ นเท็จ
&&หรื อ(AND)
Op1 && Op2 คืนค่าความจริ งถ้ า Op1 เท่ากับ a= !(true && false); // a
จะมีค่าเป็ นเท็จ
Op2
|| หรื อ (OR)
Op1 || Op2 คืนค่าความจริ ง ถ้ า Op1 ไม่เท่ากับ a= !(true); // a จะมีค่าเป็ นเท็จ
Op2
23. คลาสสตริ ง
การสร้ าง String
String เป็ น Class หนึงใน Package ของภาษาจาวาชือ java.lang ทํา
หน้ าทีใน การเก็บข้ อมูลทีเป็ น “ชุดของตัวอักษร” ซึงปกติชนิดของข้ อมูลของภาษาจาวาก็มี
ชนิดเป็ น character แต่เก็บข้ อมูลได้ เพียง 1 ตัวอักษรเท่านัน ดังนันจึงลําบากในการ
:
:
นํามาใช้ กบข้ อมูลทีมากกว่า 1 ตัวอักษร หรื อทีเรี ยกว่า “String” ดังนัน ภาษาจาวา
ั
:
จึงได้ สร้ าง Class สําเร็จรูปมาให้ สามารถเรี ยกใช้ ได้ ทนที เรี ยกว่า “String” ทังหมด
ั
:
คือทีมาของคําว่า String Class
24. การสร้ าง Object เพือใช้ กบ String ได้ 6 รูปแบบคือ
ั
รูปแบบที 1
String ชือObject = new String(ข้ อความ);
รูปแบบที 2
String ชือObject = ข้ อความ;
รูปแบบที 3
String (char chars[]);
เป็ นการสร้าง String ทีนํา Array ชือ Chars มาเป็ นข้อมูลใน String
25. รูปแบบที 4
String (char chars[], int startIndex, int
numChars);
เป็ นการเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนของ Array ไว้ใน String โดยที
startIndex คือกําหนดตําแหน่งเริมต้นใน array ที
ต้องการเก็บ
numChars คือกําหนดจํานวนตัวอักษรทีต้องการเก็บ
โดยนับจาก ตําแหน่งทีระบุใน startIndex
26. รูปแบบที 5
String (ชือStringเดิม);
เป็ นการสร้ าง String ใหม่โดยใช้ โครงสร้ างของ String เดิม
ผลทีได้ ก็คือ String ใหม่จะมีข้อมูลเดียวกับ String เดิมทีใช้ เป็ นต้ นแบบใน การสร้ าง
รูปแบบที 6
เป็ นการเก็บ Array ของรหัส ASCII ไว้ ใน String
- String (byte asciiChars[]);