Contenu connexe
Similaire à การเรียนรู้กับการแบ่งปัน (20)
Plus de Jiraprapa Suwannajak (20)
การเรียนรู้กับการแบ่งปัน
- 1. 100202 : Curriculum & Instruction
การเรียนรูกับการแบงปน
:::::: โดย ดร.อุทัย ดุลยเกษม :::::
ผมเขาใจวาสิ่งมีชีวิตทุกประเภทตองมีการเรียนรู เพราะการเรียนรูจะชวยสิ่งมีชีวิตใหสามารถ
ปรับตัวสอดคลองกับสภาวะแวดลอมที่มการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ในกรณีที่สภาวะแวดลอมเกิดการ
ี
เปลี่ยนแปลงอยางขนานใหญและฉับพลัน
ถาสิ่งมีชีวิตไมมีความรูหรือเรียนรูไมทนกับเวลา ก็ยอมจะไดรับผลกระทบมาก และในหลายๆ
ั
กรณีอาจทําใหสูญเสียชีวิตได
การเรียนรูของสิ่งมีชีวิตในขั้นต่ําสุดก็เปนไปเพื่อความอยูรอดและปฏิบัติหนาที่ของตนไดในระบบ
นิเวศหรือระบบธรรมชาติที่ตวเองเปนสวนหนึงของระบบนั้น
ั ่
การเรียนรูที่พดถึงนีมิใชสิ่งเดียวกับสัญชาตญาณ แมวาสัญชาตญาณจะเปนอีกสวนหนึงทีชวย
ู ้ ่ ่
ใหสิ่งมีชวิตปรับตัวใหสอดคลองกับสภาวะแวดลอมไดเชนเดียวกัน แตสัญชาตญาณอยางเดียวไมเพียง
ี
พอที่จะชวยใหสิ่งแวดลอมอยูรอดได ทั้งที่ไมจําเปนตองเอยวา จะมีชวิตอยูเพื่อที่จะปฏิบัติหนาที่ของตน
ี
ในระบบนิเวศที่ตนเองเปนสวนหนึง ่
สิ่งมีชีวิตชันต่า เชน พืชและสัตว อาศัยการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดลอมดวย
้ ํ
สัญชาตญาณเปนหลัก แมวาในหมูสัตวจะมีการเรียนรูชวยอยูบาง แตไมมากนัก
สําหรับมนุษยนั้น การปรับตัวใหเขากับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดลอมและการปฏิบัติ
หนาที่ของตนในระบบนิเวศ ตองอาศัยการเรียนรูมากกวาสัญชาตญาณ ดวยเหตุนน มนุษยจึงตองมีการ
ั้
เรียนรูอยูอยางตอเนื่องและสม่ําเสมอ เพราะสภาวะแวดลอมมีการเปลียนแปลงตลอดเวลานั่นเอง
่
แตการเรียนรูที่มนุษยจะนําไปใชเพื่อปรบตัวใหสอดคลองกับการเปลียนแปลงของสภาวะ
่
แวดลอม และเพื่อใหสามารถปฏิบัติหนาที่ของตนไดอยางมีความสมดุลกับระบบนิเวศ จําเปนตองเปน
การเรียนรูที่มความหลากหลาย เพราะในธรรมชาตินนมีความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงของ
ี ั้
สภาวะแวดลอมก็มีความหลากหาย การเรียนรูที่ปราศจากความหลากหลายแมจะเปนการเรียนรูทมี ี่
คุณภาพแตจะไมสามารถนําไปแกปญหาหรือชวยใหคนเราปรับตัวไดในสภาวะของการเปลี่ยนแปลงที่มี
ความหลากหลาย ดังที่เราเห็นกันอยางชัดเจนทัวไปวา ในทามกลางการเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นอยาง
่ ่
รวดเร็วผูคนจํานวนไมนอยตองสูญเสียชีวิตเพราะไมสามารถเรียนรูไดทัน
โดยธรรมชาติแลว ทั้งความหลากหลายทางพันธุกรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรมถือ
วาเปนคลังทางปญญาของมนุษยเลยทีเดียว เพราะความหลากหลายทางพันธุกรรมและความ
หลากหลายทางวัฒนธรรมนี้เอง ที่ชวยใหมนุษยสามารถปรับตัวไดกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะ
แวดลอมในธรรมชาติ
อุทัย ดุลยเกษม ( 2545 ) ศึกษาเรียนรู ภาค 2 กรุงเทพฯ : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ . หนา123-128
- 2. 2
100202 : Curriculum & Instruction
เมื่อเราศึกษาธรรมชาติ เราก็จะเห็นไดอยางชัดเจนวา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีความปรารถนาที่จะ
เรียนรูเพื่อสรางสรรคสิ่งใหม และที่สาคัญก็คือ การแบงปนความรูที่เรียนรูมาใหกับสังคมที่ตวเองเปน
ํ ั
สมาชิกอยู ในธรรมชาติไมมการเรียนรูที่จะนําความรูมาทําลายผูอื่น แตเปนการเรียนรูที่จะชวยใหมวล
ี
สมาชิกและสภาวะแวดลอมดํารงอยูไดในภาวะสมดุล และปฏิบัติหนาที่ไดตามที่ระบบธรรมชาติหรือ
ระบบนิเวศตองการ ตัวความรูจึงเปนสิ่งทีนํามาแบงปน มิใชเปนทรัพยสมบัติเฉพาะตัว และนํามาใช
่
เพื่อผลประโยชนเฉพาะตน
มนุษยเองก็มธรรมชาติเชนวานี้ กลาวคือ มนุษยมีแรงผลักดันที่จะเรียนรูเพื่อสรางสรรคสิ่งใหม
ี
และเพื่อแบงปนความรูใหเกิดประโยชนแกผูอื่นและแกสงคมที่ตนเองเปนสมาชิกอยู จากหลักฐานใน
ั
ประวัติศาสตร เราเห็นเปนทีประจักษวา นักวิทยาศาสตรผูชาญฉลาดจํานวนมาก หรือนักประดิษฐกรรม
่
หลายคนหรือแมแตคนที่เปนครู-อาจารยซึ่งไดมีการคนควาและเรียนรูสิ่งตาง ๆ มากมาย บุคคลเหลานี้
มิไดคนควาหรือศึกษาเรียนรู เพราะมีแรงผลักดันจากการที่ไดรับรางวัลหรือเบี้ยหวัดเงินทอง แตเกิดจาก
แรงขับดันภายในทีจะเรียนรูและเพื่อนําความรูนั้นมาแบงปนใหกับผูอื่นและใหแกสังคมที่ตนเปนสมาชิก
่
อยู
แตเมื่อพิจารณาดูถึงสภาพการณที่เปนอยูในปจจุบน เราจะเห็นสิงที่เกิดขึ้นเกือบจะเปนตรงขาม
ั ่
กับสิ่งที่เคยเปนมาในอดีต นั่นคือ แรงผลักดันในการแสวงหาความรู มิไดมาจากฉันทะภายในตัว แต
กลับมาจากสิงลอใจภายนอก ซึงอาจจะเปนเงินตรา เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือยศถาบรรดาศักดิ์
่ ่
เมื่อเปนเชนนี้ สิ่งที่เรียนรูก็ไมคํานึงถึงความหลากหลาย แตจะคํานึงวาความรูประเภทใดที่จะ
กอใหเกิดผลตอบแทนสวนตัวสูงสุด และการแบงปนความรูก็ลดนอยลงไป หรือถาจะมีการแบงปนความรู
ใหผูอื่น หรือใหแกสังคม ก็จะอยูในรูปของการซื้อขาย หรือตีคาเปนตัวเงิน เราจึงไดเห็นสิงตาง ๆ ที่แปลก
่
ใหม เชน ทรัพยสินทางปญญา เปนตน เกิดขึ้นในยุคนี้
การศึกษาหาความรูก็ดี การเก็บความรูโดยไมแบงปนใหผูอื่น หรือใหแกสังคมเพื่อประโยชนของ
สวนรวมก็ดี ยอมถือไดวาเปนเรื่องผิดธรรมชาติ และเปนสัญญาณอันตรายที่บงบอกวา การปฏิบัติหนาที่
ของระบบทังหลายจะขาดประสิทธิภาพ และจะกอใหเกิดวิกฤตการณกับมนุษยมากขึ้น ทั้งนี้เพราะเหตุวา
้
ในยุคปจจุบนนี้มนุษยกําลังเผชิญกับเรื่องการปรับตัวอยางขนานใหญ เพื่อใหสอดคลองและสมดุลกับ
ั
ขีดจํากัดของระบบนิเวศทังโลก ในยุคนี้คงจะยิงกวาในยุคอื่นกอนหนานีที่มนุษยตองมีการเรียนรูมากขึ้น
้ ่ ้
ตองเรียนรูอยางหลากหลาย เพื่อที่จะสรางสรรคสิ่งใหมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยางรวดเร็ว
การปรับตัวในทุกระดับจะตองเกิดขึ้นอยางทันกาล และตองมีความหลากหลายซึงเราจะปลอยให่
กลุมใดกลุมหนึ่งเขามาจัดการในทุกเรื่องและทุกพื้นที่ไมได แตจําตองแบงความรับผิดชอบไปยังทุกสวน
ทุกพืนที่ใหจัดการในเรื่องเหลานี้
้
อุทัย ดุลยเกษม ( 2545 ) ศึกษาเรียนรู ภาค 2 กรุงเทพฯ : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ . หนา123-128
- 3. 3
100202 : Curriculum & Instruction
ความคิดเดิม ๆ ที่วาจะตองใหมืออาชีพเขามาจัดการเพื่อแกไขสิ่งตาง ๆ ใหสอดคลองกับสภาวะ
การเปลี่ยนแปลงนัน คงใชไมไดผลแลวในยุคนี้ เพราะมืออาชีพสวนมากไดรับการอบรมสั่งสอนใหเรียนรู
้
แบบเชิงเดี่ยว ขาดความหลากหลาย และถูกธรรมชาติสั่งสอนใหไมคอยแบงปนความรูใหกับผูอน อีกทัง ื่ ้
ยังใหคานิยามหรือความหมายของสิงที่เรียกวา ความรูชนิดที่ความรูจากธรรมชาติกลายเปนสิงทีไมใช
ํ ่ ่ ่
ความรูไปและยอมรับเฉพาะวาสิ่งที่เปนความรูคือสิ่งทีเ่ รียนมาจากระบบโรงเรียนเทานัน ้
ในชวงที่บานเมืองของเรากําลังคิดจะปฏิรูปการศึกษา ดังที่มการประกาศใชกฎหมายหรือ
ี
พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พวกเราก็เปนคนธรรมดาสามัญ (ที่มิใชมืออาชีพ) และเปนพอแม
(มืออาชีพ) นาจะตองใหความสําคัญกับเรืองนี้ใหมากขึ้น โดยเฉพาะเรืองใกลตัวเราเอง คนทีมีลูกยังอยู
่ ่ ่
ในวัยเรียน ควรจะตองไตรตรองใหรอบคอบวา เรากําลังผลักดัน (หลายกรณีตองใชคําวากดดัน) ให
ลูกหลานเราเรียนรูอยางปราศจากความหลากหลายใชหรือไม เรากําลังใหลูกหลานเราคิดวาความรูเปน
ทรัพยสนทีเ่ ราเปนเจาของใชหรือไม เรากําลังบอกลูกหลานโดยออม ๆ ใชหรือไมวา เมื่อความรูเปน
ิ
ทรัพยสน เราตองตีคาเปนเงินตรา และไมควรแบงปนใหผูอื่นโดยไมคิดมูลคา ถาเปนอยางนี้ทานทั้งหลาย
ิ
ควรรูดวยวา เรากําลังมุงดําเนินชีวิตที่สวนทางกับความเปนธรรมชาติ ซึ่งจะนําไปสูจดที่จะกอใหเกิดภาวะ
ุ
วิกฤติในสังคมมนุษยมากกวาที่เรากําลังเผชิญอยูในปจจุบัน
ถึงตอนนั้นความรูที่ลูกหลานเรามีก็ไมอาจจะชวยใหลูกหลานเรามีชวตอยูในสังคมไดอยางผาสุก
ีิ
ดังที่เราเคยคาดหวัง ลองพิจารณาไตรตรองดูเถิดครับ
อุทัย ดุลยเกษม ( 2545 ) ศึกษาเรียนรู ภาค 2 กรุงเทพฯ : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ . หนา123-128