Contenu connexe
Similaire à การวิจัยในชั้นเรียนรหว่างแบบปกติกับแบบSTAD (20)
การวิจัยในชั้นเรียนรหว่างแบบปกติกับแบบSTAD
- 1. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ชื่อเรื่องวิจัย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนเรื่อง สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ระหว่างนักเรียน
ที่เรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ (STAD) และ
การเรียนแบบปกติ
ชื่อผู้วิจัย 1. นางสาวกนกกานต์ อินทรสกุล
2. นางสาวรุ่งฤดี คำาพุทธ
3. นางสาววรวีร์ ถ่องแท้
4. นางสาวแวอัสมาศ แวดือเร๊ะ
5. นางสาวกูหม๊ะแฮแร อัลยุฟรี
6. นายวีระยุทธิ์ ประสมศรี
7. นางสาวสุนันทา ไชยยาว
อาจารย์ที่ปรึกษา บุษบรรณ เชิดเกียรติสกุล
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เรื่องสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน (STAD) กับเรียนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
วิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชา
คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียน
เบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบ
เจาะจง จำานวน 2 ห้อง จากทั้งหมด 12 ห้อง คือ ห้อง 1/1
จำานวน 40 คน และห้อง 1/2 จำานวน 37 คน โดยกลุ่ม
ทดลองเรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(STAD) และกลุ่มควบคุมเรียนแบบปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดย
ใช้สถิติวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย( x ) ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน(S.D.) สถิติที่ใช้ในการทดสอบ T-Test แบบ
Independent sample
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนแบบ
แบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (STAD) กับกลุ่ม
ควบคุมที่เรียนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติ
ที่ระดับ 0.05 โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนกลุ่มทดลองที่เรียนแบบแบ่งกลุ่ม
- 1 -
- 2. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (STAD) สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่
เรียนแบบปกติ
คำาสำาคัญ : การเรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน (STAD)
บทนำา
การศึกษาคณิตศาสตร์
ช่วยให้มนุษย์มีความคิด
สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล
เป็นระบบ ระเบียบมีแบบแผน
สามารถวิเคราะห์ปัญหาและ
สถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน
รอบคอบ ทำาให้สามารถคาด
การณ์ วางแผน ตัดสินใจและ
แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม
เนื่องจากรายวิชา
คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็น
นามธรรม และเนื้อหาบางตอนก็
ยากที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจ
ต้องใช้ความคิดอย่างสมเหตุสม
ผล จึงจะเรียนรู้และเข้าใจ
โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ได้
ด้วยเหตุนี้ผู้เรียนส่วนใหญ่จึงไม่
ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ
มีผลการเรียนอยู่ในระดับที่ไม่
น่าพอใจ
ซึ่งทางคณะผู้วิจัยจึงได้
นำารูปแบบการเรียนแบบแบ่ง
กลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ (STAD)
เป็นรูปแบบการสอนอย่างหนึ่ง
ของการเรียนแบบร่วมมือ โดย
วิธีนี้กำาหนดให้ผู้เรียนที่มีระดับ
ความสามารถต่างกันมาเรียนรู้
ร่วมกันเป็นกลุ่มย่อยๆ สมาชิก
ภายในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือซึ่ง
กันและกัน แต่ละคนจะมีความ
รับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง
และจะต้องร่วมมือกับสมาชิกใน
กลุ่มทำาความเข้าใจในบทเรียน
นั้นเพื่อความสำาเร็จของกลุ่ม
และการเรียนแบบปกติ
จากเหตุผลดังกล่าว
ทำาให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะ
พัฒนารูปการเรียนการสอน
แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค
STAD เพื่อส่งเสริมทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์
มาใช้จัดกิจกรรมการเรียน
สำาหรับนักเรียน และเป็น
แนวทางให้ครูในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ และ ที่มี
ประสิทธิภาพสำาหรับนำาไป
พัฒนาการเรียนการสอนให้มีผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นต่อ
ไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์เรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง
นักเรียนที่เรียนแบบแบ่งกลุ่ม
- 2 -
- 3. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ตามผลสัมฤทธิ์ (STAD) และ
นักเรียนที่เรียนแบบปกติ
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากรที่ใช้ใน
การวิจัย คือ นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนวิชา
คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2556 โรงเรียน
เบญจมราชูทิศ จังหวัด
ปัตตานี
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้
ในการวิจัย ประกอบด้วย
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1/1
จำานวน 40 คน และนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2
จำานวน 37 คน โดยวิธีการสุ่ม
แบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียน
ทั้งสองห้องมีระดับความ
สามารถในการเรียนรู้ใกล้
เคียงกันของการจัดลำาดับการ
สอบเข้าของโรงเรียน
2. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
2.1 ตัวแปรตาม คือ ผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียน
2.2 ตัวแปรต้น คือ วิธี
การเรียน 2 วิธี ประกอบด้วย
การเรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผล
สัมฤทธิ์ (STAD) และการ
เรียนแบบปกติ
3. ระยะเวลาดำาเนินการวิจัย
ผู้วิจัย ทำาการวิจัยใน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2556 โดยกำาหนดระยะเวลา
ในการทดลอง 1 สัปดาห์
ทั้งหมด 4 คาบ คาบละ 50
นาที
นิยามศัพท์เฉพาะ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสื่อ
ความหมายได้ตรงกัน ผู้วิจัย
จึงกำาหนดนิยามศัพท์เฉพาะ
ของการวิจัยดังนี้
1. การเรียนแบบแบ่ง
กลุ่มตามผลสัมฤทธิ์
(STAD:Student Teams –
Achievement Divison)
เป็นการเรียนแบบร่วมมือวิธี
หนึ่ง ซึ่งมีการเรียนที่จัดแบ่ง
นักเรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่ม
ละ 4-6 คน ประกอบด้วย
สมาชิกที่มีความสามารถสูง
ปานกลางและตำ่า คละกัน
สมาชิกในกลุ่มจะเรียนรู้
ทำาความเข้าใจร่วมกัน ช่วย
เหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความ
สำาเร็จของกลุ่ม หากกลุ่มใด
ทำาคะแนนได้สูงขึ้น ครูจะ
ให้การเสริมแรงเป็นการ
กระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือกัน
ในการเรียนรู้
2. การเรียนแบบปกติ
หมายถึง วิธีการจัดการเรียน
การสอนตามคู่มือครู และแบบ
เรียนของสถาบันส่งเสริมการ
สอนวิทยาศาสตร์และ
- 3 -
- 4. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เทคโนโลยีกระทรวง
ศึกษาธิการ
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมาย
ถึง ความสามารถทางการ
เรียนในการเรียนคณิตศาสตร์
ซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์
สมมติฐานการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ที่เรียนแบบแบ่ง
กลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ (STAD) สูง
กว่าการเรียนแบบปกติ
วิธีดำาเนินการวิจัย
คณะผู้จัดทำาวิจัยใช้
แบบแผนการทดลองแบบกึ่ง
ทดลอง ซึ่งการออกแบบการ
ทดลองแบบกึ่งทดลองเป็นการ
วางแผนดำาเนินการวิจัยเชิง
ทดลองที่มีทั้งกลุ่มทดลองและ
กลุ่มควบคุม
1. ขั้นก่อนการดำาเนิน
งาน
- กำาหนดหัวข้อวิจัย
- วิธีวิจัยแบบเชิงทดลอง
- ประชากรที่จะศึกษา เป็น
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในภาค
การเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2556 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
จังหวัดปัตตานี
- การสุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่ม
แบบเจาะจง
จำานวน 2 ห้องเรียน คือ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1
และ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1/2 เป็นกลุ่มตัวอย่าง
- วิธีการจัดการเรียน 2 วิธี คือ
การเรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผล
สัมฤทธิ์ (STAD) และการเรียน
แบบปกติ
- แหล่งข้อมูล เก็บข้อมูลทุติยภูมิ
เป็นข้อมูลคะแนนหลังเรียน วิชา
คณิตศาสตร์พื้นฐาน บทที่ 1
เรื่องระบบจำานวน ของนักเรียน
กลุ่มตัวอย่าง เพื่อแบ่งกลุ่ม
นักเรียน กลุ่มละ 4-5 คน โดย
ใช้การแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน (STAD)
- ศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและ
จัดเตรียมเนื้อหาเกี่ยวกับ
จำานวนที่เขียนอยู่ในรูปสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์
2. ขั้นการดำาเนินงาน
1.การเรียนแบบแบ่งกลุ่มตามผล
สัมฤทธิ์ (STAD)
• ขั้นนำา
ชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้
• ขั้นดำาเนินการสอน
1. แบ่งกลุ่มผู้เรียนตามผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มละ 4-
5 คน โดยมีคนเก่ง ปานกลาง
และ อ่อน คละกันตามอัตราส่วน
1:2:1 ตามลำาดับ
2. อ่านคำาชี้แจงในการเรียน
แบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์
(STAD) ให้นักเรียน
- 4 -
- 5. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
3. แจกใบความรู้ เรื่อง สัญ
กรณ์วิทยาศาสตร์
4. สอนเนื้อหาสาระวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ โดยละเอียด และ
นักเรียนสามารถอ่านใบความรู้
ประกอบการเรียนได้
5. แจกแบบฝึกหัด โดยต่างคน
ต่างทำา ถ้านักเรียนคนใดไม่
เข้าใจข้อไหน สามารถถาม
เพื่อนภายในกลุ่มได้แต่ห้ามถาม
เพื่อนต่างกลุ่ม
6. จัดโต๊ะใหม่ให้เป็นระเบียบ
เพื่อทำาการสอบ
แจกแบบทดสอบ
7. ให้นักเรียนทุกคนทำาเป็นราย
บุคคล
• ขั้นสรุป
ครูให้นักเรียนสรุปบทเรียนตาม
หัวข้อที่กำาหนดไว้
2. การเรียนแบบปกติ
• ขั้นนำา
ชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้
• ขั้นดำาเนินการสอน
1. ครูสอนเนื้อหาเรื่อง สัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งยก
ตัวอย่าง
และให้นักเรียนออกมาทำา
โจทย์
2. ให้นักเรียนทำาแบบฝึกหัด
3. สุ่มนักเรียนออกมาเฉลยแบบ
ฝึกหัดหน้าชั้นเรียน
• ขั้นสรุป
ครูให้นักเรียนสรุปบทเรียนตาม
ห้วข้อที่กำาหนดไว้
2.3 ขั้นหลังการดำาเนินงาน
ข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์
ด้วยวิธีการทางสถิติ แล้วสรุป
เป็นผลการทดลองและทดสอบ
สมมติฐาน เพื่อเปรียบเทียบผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิต
ศาสตร์เรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง
นักเรียนที่เรียนแบบแบ่งกลุ่ม
ตามผลสัมฤทธิ์ (STAD) และ
นักเรียนที่เรียนแบบปกติ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการสอนแบบแบ่งกลุ่ม
ตามผลสัมฤทธิ์ (STAD)
2. แผนการสอนแบบปกติ
3. ใบความรู้
4. แบบทดสอบหลังเรียน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนเรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแล้ว
จำานวน 25 ข้อ ทดสอบ
นักเรียนทั้งสองกลุ่ม
การวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เรื่องสัญกรณ์
วิทยาศาสตร์ ของกลุ่มทดลอง
และกลุ่มควบคุมโดยใช้ t-
test
ผลการวิจัย
- 5 -
- 6. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
จากการวิเคราะห์ด้วยวิธี
แบบ t-test แบบ
Independent sample พบ
ว่า นักเรียนที่ได้รับแนวการ
สอนวิธีที่ 1 มีคะแนนสูงสุด
เท่ากับ 22.5 คะแนน คะแนน
ตำ่าสุดเท่ากับ 5 คะแนน และมี
คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.64
คะแนน ในขณะที่นักเรียนที่
ได้รับแนวการสอนวิธีที่ 2 มี
คะแนนสูงสุดเท่ากับ 19.5
คะแนน คะแนนตำ่าสุดเท่ากับ
0 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ย
เท่ากับ 10.37 คะแนน และ
พบว่าคะแนนโดยเฉลี่ยของ
นักเรียนที่ได้รับแนวการสอน
วิธีที่ 1 และนักเรียนที่ได้รับ
แนวการสอนวิธีที่ 2 แตกต่าง
กันอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่
ระดับ 0.05 โดยนักเรียนที่ได้
รับแนวการสอนวิธีที่ 1 มี
คะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนที่
ได้รับแนวการสอนวิธีที่ 2
อภิปรายผลการวิจัย
จากการเปรียบเทียบผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสัญ
กรณ์วิทยาศาสตร์ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ที่ได้รับการสอนแบบแบ่งกลุ่ม
ตามผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน(STAD) กับการสอน
แบบปกติ พบว่านักเรียนที่ได้
รับการสอนแบบแบ่งกลุ่มตาม
ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน(STAD) กับการสอน
แบบปกติ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนแตกต่างกันอย่างมีนัย
สำาคัญทางสถิติที่ .05 เป็นไป
ตามสมมติฐาน เนื่องจากการ
สอน โดยใช้กิจกรรมการ
เรียนการสอนแบบแบ่งกลุ่ม
ตามผลสัมฤทธิ์ เป็นการสอนที่
เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยการแบ่งกลุ่มนักเรียนตาม
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่ม
ละ 4-6 คน ซึ่งประกอบไป
ด้วย นักเรียนเก่ง 1 คน
นักเรียนปานกลาง 4 คน
และนักเรียนอ่อน 1 คน การ
จัดกลุ่มแบบนี้จะทำาให้
นักเรียนมีความร่วมมือกันใน
การทำางาน มีความสามัคคีกัน
และนักเรียนเก่งจะให้คำา
แนะนำากับนักเรียนทุกคนใน
กลุ่ม เพราะนักเรียนทุกคนใน
กลุ่มจะคำานึงถึงกติกาที่ได้
ตกลงไว้ก่อนการเรียนการ
สอนนั่นคือความสำาเร็จ รางวัล
และคะแนนของกลุ่ม ส่วนการ
จัดการเรียนการสอนแบบปกติ
นั้น นักเรียนทำางานตามความ
สามารถของตนเอง มีการให้
ความร่วมมือในการทำางานกับ
ผู้อื่นน้อย ทำาให้นักเรียนที่ได้
รับการสอนแบบแบ่งกลุ่มตาม
ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน(STAD) มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่
ได้รับการสอนแบบปกติ และ
สอดคล้องกับการศึกษา
ค้นคว้าของ นพนภา อ๊อกด้วง
ที่ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ
- 6 -
- 7. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
เรียนเรื่องคำาและหน้าที่ของคำา
ในภาษาไทย ที่ได้รับการสอน
แบบแบ่งกลุ่มตามผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน(STAD) กับวิธี
การสอนแบบปกติ พบว่า ผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำา
และหน้าที่ของคำาในภาษา
ไทยของนักเรียนกลุ่มทดลอง
ที่สอนโดยการเรียนแบบแบ่ง
กลุ่มตามผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน(STAD) สูงกว่ากลุ่ม
ควบคุมที่สอนโดยวิธีปกติ
ข้อเสนอแนะในการวิจัย
1.ควรศึกษาวิจัยการเรียน
แบบ STAD กับกลุ่มตัวอย่า
งอื่นๆหรือเนื้อหาอื่นๆเพื่อ
ติดตามประสิทธิภาพการเรียน
ต่อไป
2.กลุ่มตัวอย่างควรมีขนาด
ควรมีขนาดใหญ่พอที่จะเป็น
ตัวแทนที่ดีของประชากรได้
3.ควรเพิ่มเวลาในการจัดการ
เรียนแบบ STAD
รายการอ้างอิง
เลือกรายการอ้างอิงเฉพาะรายการที่ปรากฏในบทความวิจัย
เท่านั้น ตามรูปแบบที่กำาหนดไว้ดังต่อไปนี้
กรณีหนังสือ
ผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์์). ชื่อหนังสือ. เล่มที่หรือจำานวนเล่ม (ถ้าม์ี).
ครั้งที่พิมพ์์ (ถ้าม์ี). ชื่อชุดหนังสือและลำาดับที์่ (ถ้าม์ี).
สถานที่พิมพ์: สำานักพิมพ์.
ตัวอย่าง
ทิศนา แขมมณี. (2545). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการ
จัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพฯ: สำานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- 7 -
- 8. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
Eggen, Paul D. et all. (1979). Strategies for teacher,
Information processing models in classroom.
N.J.: Prentice-Hall.
กรณีบทความในหนังสือ
ผู้เขียนบทความ. (ปีที่พิมพ์์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ
(ถ้าม์ี), ชื่อเรื่อง, เลขหน้า. สถานที่พิมพ์ : สำานักพิมพ์.
ตัวอย่าง
ปทีป เมธาคุณวุฒิ. (2545). การเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการ
วิจัย. ใน ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (บรรณาธิการ), การเรียนการสอน
ที่มีวิจัยเป็นฐาน, หน้า 21 – 37. กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Brown, R., and Dyer, A.F. 1972. Cell division in
higher plants. In F.C. Steward (ed.), Plant
physiology: An advance treatise, pp. 49-90.
New York: Academic Press.
กรณีบทความในวารสาร
ผู้เขียนบทความ. (ปีที่พิมพ์์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร ปีที่หรือ
เล่มที์่ (เดือน ป์ี): เลขหน้า.
ตัวอย่าง
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ และทัศนีย์ บุญเดิม. (2536). การสอนแบบ
Research Based Learning. วารสารวิธีวิทยาการวิจัย
6(1): 1 – 14.
Braun, I.H. (1988). Understanding scoring reliability:
Experiments in calibrating essay readers.
Journal of Educational Statistics 13(1): 1-18
กรณีวิทยานิพนธ์
ผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีที่พิมพ์์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ระดับ
วิทยานิพนธ์ ชื่อสาขาวิชาหรือภาควิชา คณะ ชื่อ
มหาวิทยาลัย.
ตัวอย่าง
- 8 -
- 9. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
สมพงษ์ ปั้นหุ่น. (2548). การพัฒนาแบบตรวจสอบรายการ
ประเมินแบบเสริมพลังอำานาจเพื่อพัฒนาทักษะการประเมิน
ของครูและนักเรียน. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภาค
วิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Buppha Devahuti. (1975). Use of computer in serials
control in Thai libraries. Master’s Thesis.
Department of Library Science, Graduate
School, Chulalongkorn University.
กรณีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แฟ้มข้อมูลและโปรแกรม
คอมพิวเตอร์
ชื่อผู้รับผิดชอบหลัก. (ปีที่จัดท์ำ). ชื่อแฟ้มข้อมูล (หรือชื่อ
โปรแกรม). สถานที่ผลิต: ชื่อผู้ผลิตหรือผู้เผยแพร่.
ตัวอย่าง
จุฑา ธรรมชาติ. (2550). การศึกษาและวิเคราะห์สภาพการใช้แบบ
สอบอัตนัยในการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสาร
อิเล็กทรอนิกส์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
[ออนไลน์]. สืบค้นจาก: www.edu.chula.ac.th/OJED
(12 มิถุนายน 2551)
Inada, K. (1995). A Buddhist response to the nature of
human rights. Journal of Buddhist Ethics [Online].
Available at: http://www.
cac.psu.edu/jbe/twocont.html
(accessed 1995, June 21)
- 9 -
- 10. บทความวิจัย รายวิชา 276 – 402 การวิจัยทางการศึกษา 56(2)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
สมพงษ์ ปั้นหุ่น. (2548). การพัฒนาแบบตรวจสอบรายการ
ประเมินแบบเสริมพลังอำานาจเพื่อพัฒนาทักษะการประเมิน
ของครูและนักเรียน. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต ภาค
วิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Buppha Devahuti. (1975). Use of computer in serials
control in Thai libraries. Master’s Thesis.
Department of Library Science, Graduate
School, Chulalongkorn University.
กรณีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แฟ้มข้อมูลและโปรแกรม
คอมพิวเตอร์
ชื่อผู้รับผิดชอบหลัก. (ปีที่จัดทำำ). ชื่อแฟ้มข้อมูล (หรือชื่อ
โปรแกรม). สถานที่ผลิต: ชื่อผู้ผลิตหรือผู้เผยแพร่.
ตัวอย่าง
จุฑา ธรรมชาติ. (2550). การศึกษาและวิเคราะห์สภาพการใช้แบบ
สอบอัตนัยในการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วารสาร
อิเล็กทรอนิกส์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
[ออนไลน์]. สืบค้นจาก: www.edu.chula.ac.th/OJED
(12 มิถุนายน 2551)
Inada, K. (1995). A Buddhist response to the nature of
human rights. Journal of Buddhist Ethics [Online].
Available at: http://www.
cac.psu.edu/jbe/twocont.html
(accessed 1995, June 21)
- 9 -