Contenu connexe
Similaire à ชีวประวัตินบี(ปลาย).Pdf (8)
Plus de Muhammadrusdee Almaarify (20)
ชีวประวัตินบี(ปลาย).Pdf
- 1. F 1
ทานศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) เกิดในเวลาเชาตรูของวันจันทร ที่ 12 เดือนรอบี
อุลเอาวัล ปชางตรงกับวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 571 ณ นครมักกะฮฺ ทานเปนคนชาว
อาหรับเผากุร็อยซฺ บิดาของทานชื่อวาอับดุลลอฮ บุตรอับดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาซิม
บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะหเราะห บุตรกิลาบ มารดาของทานชื่อวาอามีนะฮฺ บุตรวฮับ
บุตรอับดุลมะนาฟ บุตรซะหเราะฮฺ บุตรกิลาบ ตนตระกูลฝายมารดาของทาน ไป
รวมกับตระกูลฝายบิดาที่กิลาบ ซึ่งสายคนที่หาฝายบิดาและเปนทวดที่สี่ฝายมารดา
และตนตระกูลของทานศาสดามุหัมมัดที่สูงขึ้นไปนั้นรวมสายจากทานนบีอิสมาอีล บุตร
ของนบีอิบรอฮีม ( อะลัยฮิสสะลาม )
ปที่ประสูติศาสดามุหัมมัดรูจักกันอยางแพรหลายวา “ ปชาง ” ทั้งนี้เพราะวาใน
ปนั้น แมทัพแหงเอธิโอเปยซึ่งเปนขาหลวงปกครองเมืองเยเมน มีชื่อวา " อับรอฮะหฺ " ได
กรีฑาทัพชางมุงสูนครมักกะฮฺหวังที่จะทําลายวิหารกะบะฮฺ กองกําลังของนครมักกะฮฺไม
มีกําลังพอที่จะตานกองทัพของอับรอฮะหฺอันมหึมานี้ได ชาวมักกะฮฺตางก็ทําไดเพียงแต
เฝามองเหตุการณ และขอความคุมครองจากพระเจาเทานั้น พระองคอัลลอฮฺทรง
ปกปองวิหารกะบะฮฺและยับยั้งแผนอันชั่วรายของกองทัพอับรอฮะหฺนี้โดยการสงฝูงนก
ชนิดหนึ่งเรียกวา “ อะบาบีล ” นกแตละตัวคาบกอนกรวดชนิดหนึ่งที่มีเชื้อรายไปทิ้งที่
กองทัพของอับรอฮะหฺ และเชื้อรายนั้นไดแพรกระจายไปทั่วกองทัพ กองทัพของอับรอ
ฮะหฺ ฺถึงกับราบพนาสูรทั้งคนทั้งชางและมา รางกายของคนและสัตวเหมือนกับธัญญา
พืชที่ถูกแมลงกัดกิน ดังที่อัลกุรอานไดบันทึกไวในซูเราะฮฺอัล - ฟล พวกทหารของอับรอ
ฮะหฺตางลาถอยหนีดวยความกลัว ที่หนีไมทันก็กลายเปนศพตายระเนระนาด อับรอ
ฮะหฺตองถอนทัพกลับอยางระสําระสาย เขาเองก็ถูกพิษรายนั้นดวยและเสียชีวิตลงใน
เวลาตอมา หลังจากเหตุการณอัศจรรยนี้เกิดขึ้นไมกี่เดือน มักกะฮฺก็ไดรับเกียรติตอนรับ
การประสูติของศาสดามุหัมมัด (ศอลฯ) ดวยเหตุนี้จึงเรียกปที่ประสูติของศาสดามุหัม
มัดวา ปชางปชางปชางปชาง
- 2. F 2
ทานศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) กําพราบิดาตั้งแตยังอยูในครรภมารดา ซึ่งลมปวย
และเสียชีวิตที่มะดีนะฮฺในขณะที่เดินทางกลับจากการคาที่ซีเรีย เมื่อศาสดามุหัมมัดได
ประสูตินั้น อามีนะฮฺผูเปนมารดาไดแจงขาวไปยังทานอับดุลมุฏเฏาะลิบผูเปนปูของทาน
ศาสดา ทานจึงสงคนมารับไป และทานไดพาเด็กนอยผูนี้ไปยังวิหารกะบะฮฺ และตั้งชื่อ
วา “ มุหัมมัด ” ซึ่งชื่อนี้ไมเปนที่คุนเคยแกชาวอาหรับมากนัก ตามธรรมเนียมของชาว
อาหรับในสมัยนั้นมักจะสงลูกนอยไปยังทะเลทรายหลังจากสัปดาหแรกที่เกิดมา และให
อยูที่นั้นจนกระทั่งอายุได 5 หรือ 6 ขวบ ชวงแรกอามีนะฮฺไดมอบใหนางษุวัยบะฮฺซึ่งเปน
คนใชของอบูละฮับ ลุงของทานนบี เปนแมนมทานนบีอยูสองสามวัน ตอมาทานอับดุล
มุฏเฏาะลิบไดวาจางนางหะลีมะฮฺ จากเผาสะอฺดซึ่งเปนหญิงชนบทคนหนึ่งใหเปนแมนม
ของทานนบีและนําทานไปเลี้ยงที่ชนบท เมื่อทานนบีมีอายุครบ 6 ขวบ นางไดสงทานน
บีคืนแกมารดาของทานเลี้ยงดูตอไป ในชวงที่นางหะลีมะฮฺไดเลี้ยงดูทานนบีนั้น นาง
ไดรับโชคผลและความจําเริญอยางมากมายผิดปกติ
อามีนะฮฺ มีความสุขมากที่ลูกชายของเธอไดกลับมาสูออมอกของเธออีกครั้งหนึ่ง
การไปอยูในชนบททําใหเขาเปนคนที่มีสุขภาพดีและรางกายแข็งแรง มีความ
คลองแคลวและรูภาษาอาหรับแทๆ จากทะเลทราย ซึ่งเหลานี้เปนรากฐานที่จะกาวสู
เปนบุคคลที่สําคัญในอนาคตตอไป อามีนะฮฺ ตองการพาบุตรชายใหไปรูจักญาติทาง
มารดา และสรางความคุนเคยกับพวกลุงซึ่งเปนเผานัจญารในนครมะดีนะฮฺ โดยมีทาส
หญิงของนางที่มีชื่อวา อุมมุอัยมัน ติดตามไปดวย ขากลับจากมะดีนะฮฺ ขณะเดินทาง
มาถึงสถานที่หนึ่งมีชื่อวา อัล - อับวา นางอามีนะฮฺก็ลมปวยลงและเสียชีวิตอยูที่นั้น
หลังจากนั้นทาสหญิงผูซื่อสัตยก็พาเด็กนอยกําพราบิดาและมารดากลับมายังนครมัก
กะฮฺ มุหัมมัดก็อยูภายใตการอุปการะของปูคือ อับดุลมุฏเฏาะลิบ แตก็แคเพียง 2 ป
เทานั้นปูก็ถึงแกกรรมอีก ซึ่งขณะนั้นมุหัมมัดอายุไดแคเพียง 8 ป เทานั้น ฉะนั้นมุหัมมัด
จึงเปนเด็กกําพราทั้งพอแมและปูตั้งแตอายุยังนอย
หลังจากนั้น หนาที่เลี้ยงดูมุหัมมัดก็ตกเปนของอบูฏอลิบผูเปนลุง ซึ่งรักเอ็นดู
หลานชายอยางยิ่ง จนกระทั่งเติบใหญ เนื่องจากลุงของทานไมใชคนร่ํารวย มุหัมมัดจึง
ตองทํางาน โดยพาฝูงแกะและอูฐตามเนินเขาและหุบเขาในทะเลทราย มุหัมมัดมีนิสัย
- 3. F 3
กรุณาตอคนยากจน และผูมีทุกขมาตั้งแตเยาววัย เปนคนที่ชอบอยูอยางสงบ รักการคิด
ใครครวญ ผูคนในเผาเดียวกันตางก็รักใครและใหเกียรติเพราะทานมีนิสัยออนโยน มี
อัธยาศัยไมตรี การที่ทานถือความซื่อสัตย ซื่อตรงตอหนาที่ เปนอยางยิ่งอยางไมสะทก
สะทานนั้น ทําใหมมุหัมมัดไดรับการขนานนามวา ” อัลอมีน ” ซึ่งแปลวาผูควรแกการ
เชื่อถือหรือผูที่ไดรับการไววางใจ เมื่ออายุไดสิบสองป มุหัมมัดไดเดินทางไปคาขายที่
ซีเรียกับลุง และที่ซีเรียนี้เองทานไดพบกับนักบวชชาวคริสเตียนคนหนึ่งมีชื่อวา “ บูฮัย
รอ ” ซึ่งไดทํานายวามุหัมมัดจะเปนศาสดาองคสุดทายและไดกลาวไววา " หลานชาย
ของทานมีลักษณะเปนมหาบุรุษแท ๆ ทานจงเลี้ยงดูเขาอยางดีเถิด ” หลังจากนั้นทา
นอบูฏอลิบจึงนําหลานชายของทานกลับมายังมักกะฮฺและรักษาความลับนี้ไมใหใครรู
ลุงของทานมีฐานะทางการเงินไมคอยจะดีนัก ประกอบกับเปนครอบครัวใหญ
จะตองหาเลี้ยงดูลูกหลานหลายคน จึงเปนเรื่องธรรมดาที่จะตองหารายไดมาจุนเจือ
ครอบครัวและสรางความมั่นคงใหแกลูกๆ หลานๆ ที่อยูในความดูแลใหไดรับความสุข
วันหนึ่งทานไดทราบขาววาเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺซึ่งเปนบุตรสาวของคุวัยลิดตองการจาง
คนเผากุร็อยซฺใหทําการคาขายใหแกเธอ และเธอพรอมที่จะแบงกําไรอยางงามแกผูที่มี
ความสามารถ ทานจึงพามุหัมมัดไปสมัครงานกับเธอ ดวยกิตติศัพทแหงความซื่อสัตย
ของมุหัมมัด เศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺจึงตกลงรับมุหัมมัดเปนลูกจางควบคุมกองคาราวาน
พาณิชยไปยังเมืองชีเรีย โดยเธอไดใหทาสของเธอที่มีชื่อวามัยสะเราะฮฺรวมเดินทางกับ
มุหัมมัดดวย การเดินทางคาขายของมุหัมมัดในครั้งนี้ประสบความสําเร็จอยางงดงาม
และไดกําไรอยางมหาศาลซึ่งสรางความประทับใจแกเคาะดีญะฮฺเปนอยางมาก
ประกอบกับมัยสะเราะฮฺ ไดรายงานใหนางทราบถึงความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย
ของมุหัมมัดในระหวางปฏิบัติหนาที่อยางละเอียดถี่ถวน ซึ่งเพิ่มความสนใจของนางตอ
มุหัมมัดมากขึ้น จนกระทั่งนางตัดสินใจตองการรวมชีวิตกับมุหัมมัด
ผลจากการคาขายในครั้งนี้ ทําใหทานนบีไดมีโอกาสรูจักกับเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺ
ซึ่งในเริ่มแรกรูจักในนามลูกจางกับนายจาง ตอมาดวยกิตติศัพทแหงความซื่อสัตยของ
ทานนบี ประกอบกับความสามารถในเชิงธุรกิจที่สามารถนํากําไรอยางมหาศาลใหแก
นาง ทําใหนางมีความสนใจในตัวทานนบีเปนอยางมาก และไดเสนอตัวขอรวมชีวิตกับ
- 4. F 4
ทานนบี ในขณะนั้นนางเปนหญิงหมายมีอายุได 40 ป เคยแตงงานมาแลว 2 ครั้ง มีบุตร
รวมทั้งหมด 3 คน หญิง 1 ชาย 2 คน นางเปนคนเผาอะสัด นางเปนหญิงที่มีเกียรติและ
ร่ํารวยมากในนครมักกะฮฺ นางไดสงแมสื่อชื่อวา นุฟยซะฮฺ ซึ่งเปนเพื่อนของนางไปพูด
เจรจากับทานนบี ทานนบีก็รับคําดวยเต็มใจ ซึ่งในขณะนั้นทานนบีมีอายุไดเพียง 25 ป
ชีวิตใหมของทานนบีจึงเปดฉากขึ้น คือชีวิตของการแตงงานที่เต็มไปดวยความรัก
และความสุข ความมั่งคั่งของนางบัดนี้ก็เปนของทานนบีดวย ถึงแมวาทานนบีเปน
ผูรับผิดชอบในธุรกิจของนาง แตหัวใจของทานนั้นมิไดหมกมุนอยูกับงานอยางเดียว
ความร่ํารวยมิไดมีความหมายสําหรับทานแตประการได ทานใชความมั่งคั่งซื้อและ
ปลดปลอยทาสและหญิงรับใชหลายคนใหเปนอิสระ นอกจากนี้ทานยังไดปลดเปลื้อง
หนี้สินแกผูที่ยากไรซึ่งไมสามารถที่จะชําระหนี้ของตนเองได ชีวิตการแตงงานของทั้ง
สองดําเนินไปดวยความสุข นางเคาะดีญะฮฺนิยมชมชอบความปรีชาสามารถ และ
บุคลิกภาพอันสงางามของทานนบีเปนอยางมาก นางปลอยใหทานมีเวลาเปนของตัวเอง
ไดอยางอิสระโดยไมตองกังวลใดๆ เลย ยามที่ทานมีความเศราโศกและความทุกข นาง
ก็คอยปลอบโยนและใหกําลังใจทานตลอดเวลา ทานนบีอยูรวมชีวิตกับนางดวยความ
ซื่อสัตย รักใครและเอ็นดูจนถึงวาระสุดทายของนาง ทานนบีไดบุตรกับนางดวยกัน 6
คนเปนบุตรชาย 2 คน ซึ่งทั้งหมดไดเสียชีวิตตั้งแตยังเด็ก สวนบุตรสาว 4 คน คือ ซัยนับ
รุก็อยยะฮฺ อุมมุกุลษูม และฟาตีมะฮฺ นอกจากนี้นางไดมอบทาสคนหนึ่งชื่อวา ซัยดฺ บิน
หาริษะฮฺใหแกทานนบีและทานนบีไดใหอิสระภาพพรอมกับประกาศเปนลูกบุญธรรม
ของทาน
เมื่ออายุยางเขาปที่ 40 มุหัมมัดมักใชเวลาสวนใหญคํานึงใครครวญถึงเหตุการณ
ตางๆ เพงพินิจถึงความจริงของชีวิตและความเปนไปของโลก ในขณะที่ชาวอาหรับมีชีวิต
- 5. F 5
อยางปาเถื่อนและงมงายอยูกับรูปเคารพของแตละเผา มุหัมมัดมักจะไปที่ถ้ําในภูเขาฮิ
รออฺซึ่งอยูทางเหนือของมักกะฮฺ ประมาณสามไมล และใชเวลาอยูที่นั่นเดือนหนึ่งทุก ๆ
ป เพื่อแสวงหาความสงบ นั่งสํารวมจิต โดยมีคนใชเอาอาหารและเสบียงไปสง อยูมา
วันหนึ่งในขณะที่ทานกําลังนั่งอยางสงบในถ้ําฮิรออฺ ไดมีมะลาอิกะฮฺตนหนึ่งปรากฏตัว
เขามาหาทาน ทานไดเลาเหตุการณในครั้งนั้นไววา :
" ญิบริลไดมาหาฉัน แลวกลาววา “( มุหัมมัด ) จงอานเถิด ” ฉันก็ตอบวา " ฉันอานไม
เปน " เขาไดกอดรัดฉันจนกระทั่งฉันคิดวาจะตาย หลังจากนั้นเขาก็คลายออก เขาทํา
อยางนั้นสามครั้ง แลวในครั้งที่สี่เขาก็กลาววา “( มุหัมมัด ) จงอานเถิด ” ฉันไดตอบวา
" ฉันอานไมเปน " แลวเขาก็กลาวนําโองการอัลกุรอานที่วา " จงอานเถิด ( มุหัมมัด )
ดวยพระนามแหงพระเจาของเจาผูทรงสราง พระองคทรงสรางมนุษยมาจากกอนเลือด
จงอานเถิด และพระเจาของเจาผูทรงใจบุญยิ่ง ผูทรงสอนดวยปากกาทรงสอนมนุษยใน
สิ่งที่เขาไมรู … ( อัลกุร อาน ซูเราะฮฺ อัลอะลัก อายะฮฺ 1-5 )” เมื่อทานนบีไดอานแลวมะ
ลาอิกะฮฺตนนั้นก็ไดหายจากไป
ทานนบีรูสึกตกใจกับเหตุการณที่เกิดขึ้น ทานรูสึกหวาดกลัวจึงรีบกลับบานเลา
เหตุการณใหทานหญิงเคาะดีญะฮฺฟง ทานคิดวาถูกผีเขาสิงหรือมีจิตใจไมปกติ แตนาง
เคาะดีญะฮฺผูมีจิตใจที่เขมแข็งยืนยันวา
“ โอลูกของลุงเอย ทานจงดีใจและจงยืนหยัดตอไปเถิด ดิฉันขอสาบานตอผูซึ่งตัวของ
ดิฉันอยูในอุงพระหัตถของพระองค ดิฉันหวังวาทานจะตองเปนนบีแหงประชาชาตินี้ ”
และแลวนางก็พาสามีของนางไปหา “ วะเราะเกาะฮฺ ” บุตรของเนาฟล ผูเปน
ลูกพี่ลูกนองคนหนึ่งของนาง ชายผูนี้เปนคนที่มีความรูในคัมภีรของชาวคริสเตียนและยิว
เมื่อวะเราะเกาะฮฺฟงรายละเอียดตางๆ จากนางเคาะดีญะฮฺแลว ทานไดกลาวขึ้นวา
“ ถาหากเรื่องที่เธอเลาทั้งหมดนั้นเปนความจริง นี่จะตองเปนพระประสงคของพระเจา
อยางแนนอน พระเจาองคนี่แหละที่ทรงพูดกับโมเซสที่ภูเขาซีนาย มุหัมมัดจะเปน
ศาสดาของชนชาตินี้ จงบอกเขาเถิดวา จงมีความเขมแข็ง “
ตอมาไมนานนัก มะลีกะฮฺญิบรีลไดเขามาหาทานนบีอีกพรอมนําโองการใหมมา
โดยกลาววา “ โอผูอยูใตผาคลุม จงลุกขึ้นตักเตือนเถิด จงสรรเสริญพระผูเปนเจา จง
ทําตัวของเจาใหบริสุทธิ์ จงหลีกเลี่ยงความไมสะอาดทั้งมวล จงอยาใหเพื่อที่จะได
- 6. F 6
กลับคืนมา และเพื่อพระเจาจงอดทนเถิด … ( อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลมุดัซซิร อายะฮฺที่ 1-
7) ” ทานนบีไดเลาเรื่องโองการนี้ใหนางเคาะดีญะฮฺฟง ซึ่งโองการดังกลาวไดสั่งใหทาน
ทําการเผยแพร แตทานไมรูวาจะไปเผยแพรใหกับใคร ทานเคาะดีญะฮฺพยายาม
ปลอบโยน และยืนยันวาจะอยูเคียงขางทานตลอดไปไมวาจะเกิดอะไรขึ้น นางไดพา
สามีของนางไปหาวะเราะเกาะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเลาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสามีของ
นางใหแกวะเราะเกาะฮฺฟง ดวยความรอบรูของวะเราะเกาะฮฺ ทานไดกลาววา
“ ขอสาบานวาทานคือศาสดาของชนชาตินี้ ทานจะถูกทําราย ทานจะถูกดา ถูกจองลาง
จองผลาญ และถาฉันยังมีชีวิตอยูถึงวันนั้น ฉันจะชวยมุหัมมัดเผยแพรศาสนา จะ
ชวยงานของพระเจาเคียงคูกับศาสดาของพระองค และพระเจาทรงทราบดีถึง
เจตนารมณของฉัน “
จากคําเตือนของวะเราะเกาะฮฺทําใหทานนบีรูสึกหนักใจเปนอยางมาก เพราะการ
เผยแพรสาสนของทานนั้นจะตองเผชิญหนากับชาวกุร็อยซฺอยางหลีกเลี่ยงไมได
มุหัมมัดไดรับมอบหนาที่เปนศาสดาผูประกาศศาสนาเมื่ออายุไดสี่สิบป ทานเริ่ม
เทศนาคําสอนของอิสลามในหมูประชาชนในเมืองมักกะฮฺโดยการเชิญชวนอยางลับ ๆ
ทานเริ่มการชักชวนและเผยแพรสาสนอิสลามในหมูญาติพี่นองของทานกอน แลวสู
เพื่อนสนิทมิตรสหาย ตลอดจนประชาชนชาวมักกะฮฺในภาพรวม คําสอนของทานเนนใน
เรื่องความเปนหนึ่งของพระผูเปนเจา ( เตาฮีด ) อันเปนหลักสําคัญของศาสนาอิสลาม
ทานตอตานและเรียกรองใหประชาชนเลิกบูชารูปปน รูปเคารพ และเจว็ดตางๆ ซึ่งใน
สมัยนั้นชาวมักกะฮฺสวนใหญกราบไหวบูชารูปปนและเจว็ดตางๆ แมแตในรอบๆ วิหาร
กะบะฮก็เต็มไปดวยรูปบูชามากกวา 300 องค ภรรยาของทานคือ นางเคาะดีญะฮ เปน
คนแรกรับการชักชวนของทาน กลาวกันวานอกจากทานหญิงเคาะดีญะฮแลวบุคคลที่เขา
รับอิสลามกอนใครอื่นมีดวยกัน 3 ทาน คนแรกคือ ทานอะลี บุตรอะบีฏอลิบ ซึ่งเปน
บุตรลุงที่ทานนบีรับมาอุปการะ ทานอะลีถือวาเปนบุคคลแรกรับอิสลามในกลุมเยาวชน
คนที่สองคือทานซัยด บุตรของฮาริษะฮ ซึ่งเปนบุตรบุญธรรมของทานนบี และถือวาเปน
บุคคลแรกรับอิสลามในกลุมทาส สวนบุคคลที่สามคือ ทานอบูบักร บุตรของกุฮาฟะฮ
ทานผูนี้มีสภาพแตกตางกับสองทานที่แลว เพราะทานมิไดเปนเครือญาติใกลชิดกับ
- 7. F 7
ทานนบีและมิไดอยูในวัยเด็กเหมือนสองทานแรก หากแตทานเปนพอคาที่มีสติปญญา
ความคิดที่หลักแหลม ทานอบูบักรถือวาเปนบุคคลแรกรับอิสลามในกลุมผูใหญหรือ
บุคคลทั่วไป
หลังจากบุคคลทั้งสามแลว มีสาวกทานอื่นๆ ทยอยเขารับอิสลามกัน เชน ทานอุ
สมาน อิบนุอัฟฟาน , อัซซุเบร อิบนุลเอาวาม , อับดุลเราะฮฺมาน อิบนุเอาฟฺ , สะอฺดุบ
นุอะบีวักก็อส , ฏ็อลฮะ อิบนุอับดิลลาฮฺ , อะบูอุบัยดะฮฺ , อามิร อิบนุลญัรรอฮฺ , อัลอัร
กอม อิบนุ อะบิล อัรกอม เปนตน ทานนบีและบรรดาสาวกไดรวมตัวกันอยางลับๆและ
จัดทําศูนยเผยแพรศาสนาอิสลามที่บานของอัลอัรกอม อิบนุ อัรกอม เมื่อเวลาผานไป
จํานวนผูเขารับอิสลามก็เพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาสามหรือสี่ปก็ไดมีผูเขารับศาสนา
อิสลามเกือบสี่สิบคน อยางไรก็ตาม ในชวง 3 ปแรกนั้นมุสลิมใหมทุกคนยังคงปกปด
ตัวเองอยู
หลังจากสามปผานพนไป ทานนบีไดรับคําสั่งจากพระเจาใหประกาศศาสนา
อยางเปดเผย ทานนบีเริ่มกลาวโจมตีบรรดาเทวรูปและเจว็ดตางๆ อันเปนที่
สักการะบูชาของชาวมักกะฮฺ อยางตรงไปตรงมาและเปดเผย ซึ่งการกระทําเชนนี้
สําหรับชาวกุร็อยซฺแลวนับวารุนแรงมาก จนทําใหพวกเขาเกลียดชังและประกาศเปน
ศัตรูกับทานนบีอยางเปดเผย กอนหนานี้ พวกกุร็อยซฺไมคอยถือเรื่องการเผยแพร
ศาสนาของทานนบีเปนเรื่องจริงจังมากนัก นอกจากจะเยยหยันทานเลนเทานั้น แตเมื่อ
เริ่มมีผูคนหันมานับถือมากขึ้น พวกกุร็อยซฺจึงคิดวางแผนการตอสูอยางจริงจัง เพราะ
ชาวกุร็อยซฺเกรงกลัววา หากอิสลามไดรับการยอมรับ นั้นก็หมายความวา ศาสนาแหง
บรรพบุรุษ ที่มีการกราบไหวบูชารูปเจว็ด ก็จะตองถูกทําลาย ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัว
กันขัดขวางการเผยแพรสัจธรรมของทานนบีอยางสุดความสามารถ ในขณะที่ทานนบี
เผยแพรศาสนานั้น ลุงของทานคือ อะบูฎอลิบ ถึงแมวามิไดเขารับศาสนาอิสลาม แตก็
ปกปองหลานรักของทานจากการถูกทํารายจากชาวกุร็อยซฺ
การดื้อรั้นและการตอตานของพวกกุร็อยซไดทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อพวกเขา
เห็นทานนบีและบรรดาสานุศิษยของทานยังเด็ดเดี่ยวในคําสอนศาสนาอิสลาม
จนกระทั่งพวกเขาใชมารตร การเด็ดขาดโดยการจับกักขังและทรมานสานุศิษยของ
ทานนบีที่เปนพวกทาส กลุมคนออนแอ และคนยากจนไรที่พึ่งพิง บุคคลเหลานี้ถูกจับไป
ทรมานใหตากแดดอันรอนระอุและใหนอนบนผืนทรายหรือที่เนินหินที่รอนจัด ถูกสั่งให
อดอาหาร และน้ําดื่ม ตลอดจนถูกทารุณกรรมอยางไรความเปนมนุษย ดังที่พวกเขา
- 8. F 8
กระทําตอทานบิลาลและสาวกทานอื่นๆ จนกระทั่งสาวกบางทานทนตอการทารุณกรรม
เหลานี้ไมไหวจนตองจบชีวิตไป อยางเชนครอบครัวของอัมมาร บิน ยาสิร เปนตน
เนื่องจากชาวมุสลิมถูกทํารายและประหัตประหารเชนนี้ ทานนบีจึงไดแนะนําให
พวกเขาไปหาที่พึ่งในดินแดนอื่น ในสมัยนั้นอบิสสิเนียเปนที่รูจักดีของชาวมักกะฮฺใน
ฐานะที่เปนตลาดสินคาของอารเบีย ในเดือนที่ 7 ของปที่ 5 ของการเผยแพรศาสนาของ
ทานศาสดา ชาวมุสลิมผูชาย 11 คน และผูหญิง 4 คน รวมทั้งทานอุษมาน บุตรอัฟฟาน
และภรรยาของทานไดเดินทางไปยังเมืองอบิสิเนีย ซึ่งในเวลานั้น กษัตริยแหงอบิสิเนีย
คือ นะญาซี ไดตอนรับชนมุสลิมเหลานี้ดวยอัธยาศัยไมตรี
เมื่อบรรดาหัวหนาชาวมักกะฮฺรูเรื่องถึงการอพยพของชาวมุสลิมนี้ พวกเขาไดสั่ง
ใหเหลาทหารพวกเขาออกติดตามไป แตก็ไมทัน พวกเขาก็ไมละความพยายาม ในฐานะ
ที่ประเทศอบิสิเนียมีมิตรไมตรีกับนครมักกะฮฺ พวกหัวหนาชาวมักกะฮฺจึงสงทูตไปเขา
เฝากษัตริยอบิสิเนียเพื่อขอใหพระองคทรงขับพวกมุสลิมออกจากอาณาจักรของ
พระองค พระองคทรงเรียกและฟงเหตุผลทั้งสองฝาย และในที่สุดพระองคทรง
ประทับใจในอุดมการณของฝายชาวมุสลิมเปนอยางมาก จึงทรงอนุญาตใหชาวมุสลิม
พํานักอยูในอาณาจักรของพระองคไดอยางสงบ ทูตของหัวหนาชาวมักกะฮฺจึงตอง
กลับไปยังมักกะฮฺดวยมือเปลาอยางผิดหวัง
ผลที่สําคัญที่ไดจากการอพยพในครั้งนี้ก็คือ ทําใหชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺมี
กําลังใจมากขึ้นเมื่อไดรูวา ขณะนี้ยังมีสถานที่อีกแหงหนึ่งที่พวกตนสามารถหลบไปพึ่ง
อาศัยใหพนจากการประหัตประหารของชาวมักกะฮฺได ในที่สุดเหตุการณครั้งนี้
กอใหเกิดความคิดที่จะทําการอพพยโยกยายชาวมุสลิมจากมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮ
ในเวลาตอไป ในขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมในมักกะฮฺเพิ่มความลําบากยากแคนยิ่งขึ้นอัน
เนื่องมาจากชาวมักกะฮฺเสียหนาและไดรับความผิดหวังจากกษัตริยอบิสิเนีย จึงเพิ่ม
ความโกรธแคนตอชาวมุสลิมมากขึ้นเปนทวีคูณ
หลังจากที่ชาวมุสลิมพํานักอยูที่อบิสิเนียไดสองเดือนและทราบขาววาชาวมักกะฮฺ
ไดยกเลิกการกดดันชาวมุสลิมแลว ผูอพยพจึงพากันกลับมายังมักกะฮฺ เมื่อชาวกุร็อยซ
- 9. F 9
มักกะฮฺเห็นชาวมุสลิมก็ยิ่งรูสึกริษยาในความสําเร็จของอิสลามมากขึ้น จึงเริ่มทําการ
ประหัตประหารพวกมุสลิมหนักมือยิ่งขึ้นอีก ทานนบีจึงแนะนําใหบรรดาสาวกของทาน
หลบภัยไปอยูที่อบิสิเนียอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มีผูอพยพหลบหนีไปจํานวนถึง 101 คน เปน
สตรี 10 คน
ฝายกุร็อยซฺเริ่มตกใจในความสําเร็จอยางรวดเร็วของทานนบี พวกเขาไดสง
ตัวแทนไปหาทานอบูฎอลิบซึ่งเปนลุงของทานนบี ขอใหทานเจรจากับทานนบีใหยอม
ยกเลิกการเผยแพรศาสนาอิสลามนี้ โดยที่พวกเขายอมที่จะใหทุกสิ่งทุกอยางที่ทานนบี
ตองการ ไมวาจะเปนในเรื่องอํานาจยศฐาบรรดาศักดิ์ เหลานารีที่แสนสวย หรือ
ทรัพยสินเงินทอง ทานนบีไดตอบแกทานอบูฎอลิบดวยเสียงที่หนักแนนไววา
“ โอทานลุงของฉัน … ถึงแมจะเอาดวงอาทิตยมาวางในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร
มาวางบนมือซายก็ตาม ฉันก็จะไมขอเลิกภารกิจของฉันอันนี้ ”
ในปที่หกแหงการเผยแพรศาสนาของทานนบี ทานฮัมซะฮซึ่งเปนลุงของทานนบี
และเคยดื่มนมรวมแมเดียวกันกับทานนบีเขารับอิสลาม และทานอุมัร บุตรค็อฎฎอบ ก็
เขารับอิสลาม ซึ่งนับเปนชัยชนะที่ยิ่งใหญของทานนบี เพราะทั้งสองเปนคนที่กลาหาญ
และมีอิทธิพลในมักกะฮฺพอสมควร เมื่อคําสอนของทานนบีไดแพรขยายและมีผูเขารับ
อิสลามมากขึ้นทุกวัน ชาวกุร็อยซมักกะฮฺจึงรวมตัวกันตอตานเผาฮาซิม ซึ่งเปนฝายของ
ทานนบีโดยการคว่ําบาตรและตัดความสัมพันธกับเผาอื่นๆ พวกเขาไดหามทําการซื้อ
ขายปจจัยยังชีพกับเผาฮาซิม ทําใหทานนบีและเผาฮาซิมตกอยูในสภาพที่ขาดแคลน
ปจจัยที่จําเปนในการดํารงชีวิตและตกอยูในสภาพเชนนี้นานถึงสามป ทานนบีถูก
ทดสอบอยางหนักหนวง แตทานก็ไมเคยทอและไมเคยหมดความไววางใจในพระเจา
เลย
และในเวลานี้เองทานก็ไดรับขาวราย ขาวการสิ้นชีวิตของนางเคาะดีญะฮฺ และ
ทานอบูฏอลิบอันเปนปที่สิบแหงการเผยแพรศาสนาของทานศาสดา และถือวาเปนป
แหงความโศกเศรา นางเคาะดีญะฮฺภรรยาผูประเสริฐของทาน ซึ่งเปนผูสนับสนุนให
กําลังใจดวยความรักความเห็นใจ เคยเปนเพื่อนที่คอยปลอบประโลมใจในยามมีทุกขกับ
- 10. F 10
ทานรวมถึงยี่สิบหาป บัดนี้นางก็ลาจากทานไปแลว และการสูญเสียอบูฏอลิบไปก็
เทากับทานเสียผูปกปองคุมครองไปเสียแลว อบูฎอลิบเสียชีวิตอายุไดประมาณ 80 ป
การสูญเสียทั้งสองทําใหสถานการณระหวางพวกมุสลิมกับพวกกุร็อยซฺเลวรายยิ่งขึ้น
การจอมผลาญ ประหัตประหารของพวกศัตรูก็รุนแรงขึ้นทุกวัน แมกระนั้นทานก็ยังไม
ทอและไมเคยคิดที่จะละทิ้งความพยายาม
ศาสดามุหัมมัดตระหนักดีวา ทานไมอาจจะทนอยูในมักกะฮฺตอไปได
หลังจากอบูฏอลิบซึ่งเปนลุงและเคาะดีญะฮฺภรรยาของทานไดสิ้นชีวิตไปแลว และ
หลังจากที่พวกกุร็อยชมักกะฮไดบีบคั้นทานอยางหนักหนวง พวกกุร็อยชฺจะทําทุกวิถีทาง
เพื่อจะหยุดการเผยแพรศาสนาของทานใหได ทานจึงคิดจะเดินทางออกไปเผยแพร
ศาสนาอิสลามนอกนครมักกกะฮฺ ทานเริ่มตนดวยการไปเยือนชนเผาตาง ๆ ทาน
พยายามเทศนาหลักคําสอนของศาสนาใหมใหแกชนเหลานั้นไดรับทราบ ซึ่งบางเผาก็
สนใจในคําสอนของทาน บางเผาก็หาวาทานเสียสติ ระยะนั้นทานตองเหน็ดเหนื่อยมาก
แตทานยังมีความมั่นคงในอุดมการณไมเปลี่ยนแปลงระยะนี้จะมีเสียงวิพากวิจารณถึง
ตัวทานในทางไมดีอยูตลอด แตทานก็อดทนไมโตตอบกับเสียงวิจารณเหลานั้น
ศาสดามุหัมมัดตองเผชิญกับเหตุการณครั้งสําคัญที่สุด และถูกกลั่นแกลงอยาง
หนักหนวงในขณะที่ทานเดินทางไปเผยแพรศาสนาที่เมืองฏออีฟเพื่อเชิญชวนใหชนชั้น
ปกครองของเมืองนี้ศรัทธาตอเอกภาพของพระเจา เรียกรองใหพวกเขาเชื่อในพระเจา
องคเดียว พวกเขามิใชเพียงไมยอมรับ ยังพูดจาถากถางทานดวยคําพูดที่หยาบคาย
พรอมทั้งโหไลทานใหพนจากที่นั่น ประชาชนบางกลุมขวางปาทานดวยกอนหิน จน
ศีรษะแตกเลือดโทรมกาย ทานยืนทอดอาลัยตอความหยาบคายของพวกฏออีฟดวย
หัวใจที่ออนระโหยพรอมทั้งขอใหพระเจายกโทษใหชนกลุมนี้จากความโงเขลาที่ได
ปฏิบัติตอทาน
หลังจากทานกลับมาจากฏออีฟแลว ก็ไดเริ่มสั่งสอนเทศนาแกผูที่เดินทางมา
แสวงบุญ ณ วิหารกะอบะฮฺ ซึ่งสวนมากเปนผูแทนจากเผาตาง ๆ ของชาวอาหรับ ทาน
ไดอธิบายถึงหลักการของศาสนาอิสลามใหทราบวา ขอเท็จจริงศาสนานี้เกี่ยวของกับ
ศาสนาของศาสดาอิสมาอีล ซึ่งเปนบรรพบุรุษของพวกอาหรับ หลายเผารับฟงดวย
- 11. F 11
ความสนใจตอคําสอนของทาน แตขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมอีก มีอยูหลายครั้งที่
พวกกุร็อยชไดแอบสงผูแทนของตนเขาปะปนไปอยูรวมพิธีกับผูแสวงบุญ และคอยเตือน
ใหสติผูนําเผาเหลานั้นไมใหเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับคําเชิญชวนของมุหัมมัด พวกเขา
พยายามใสไคลวามุหัมมัดเปนคนเสียสติ เปนนักมายากลใชเวทยมนตคาถา เพื่อ
หลอกลวงชาวอาหรับ เปนเรื่องนาแปลกใจที่วา เมื่อพวกกุร็อยชฺยุยงใสไคลหนักหนวง
เทาใด อาหรับเ ผ าตาง ๆ และผูแสวงบุญก็ยิ่งอยากรูจักมุหัมมัดมากขึ้น เพื่อตองการ
พิสูจนคํากลาวหาของพวกกุร็อยชฺวามีความจริงเพียงใด ดังนั้นแทนที่มุหัมมัดจะไปหา
พวกเขา พวกนั้นกลับขวนขวาย อยากพบทานศาสดามากขึ้น และเมื่อมาไดยิน ไดฟง
แลว พวกยัษริบบางกลุมไดเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอยางยิ่งในปที่ 11
ของการเผยแพรศาสนาของทานนบี นักแสวงบุญจากเมืองยัษริบ ( มะดีนะฮฺ ) จาก
เผาค็อซร็อจญจํานวน 6 คน ตอบรับการเชิญชวนของทาน ความหวังในการเผยแพร
ศาสนาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบาง
ในขณะที่หนึ่งปผานไป ตรงกับปที่ 12 แหงการเผยแพรศาสนาของทานนบี เดือน
อันศักดิ์สิทธิ์และฤดูกาลแหงการแสวงบุญกลับมาถึง ผูแสวงบุญจากเมืองยัษริบจํานวน
12 เขาพบทานศาสดาที่ภูเขาอัลอะเกาะบะฮฺ และไดเขารวมเปนพันธมิตรกับทานดวย
สนธิสัญญาที่เรียกวา “ สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺฉบับแรก ” ในสนธิสัญญานี้พวกเขา
ตกลงกันที่จะยึดมั่นในเรื่องเอกภาพของพระเจาโดยไมกราบไหวรูปเคารพ จะไมลัก
ขโมย หรือลวงประเวณี จะไมฆาลูกๆ ของตน หรือไมทําความชั่วทั้ง ๆ ที่รู และจะตอง
ยอมรับคําบัญชาของพระเจาอยางไมมีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น พวกผูแทนจากเมืองยัษริบ
เหลานี้ก็ยินดีรับฟงตามเงื่อนไขดังกลาว ในตอนขากลับไปยังเมืองยัษริบนั้น ศาสดา
มุหัมมัดไดสงมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาดวย เพื่อสอนกุรฺอานและหลักคําสอน
ของอิสลามใหคนเหลานั้น หลังจากสนธิสัญญานี้แลว อิสลามจึงไดเริ่มแพรหลายไปใน
เมืองยัษริบอยางรวดเร็ว มุสอับอาศัยอยูกับบรรดามุสลิมของเผาเอาสฺ และค็อซร็อจญ
และไดสอนศาสนาแหงพระผูเปนเจาและการเปดเผยสัจธรรมใหพวกเขา จํานวนมุสลิม
ในเมืองยัษริบไดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนศักดิ์สิทธิ์หวนกลับมา มุสอับก็เดินทางมายัง
นครมักกะฮฺและรายงานผลความกาวหนาในเรื่องพลังอํานาจและการผนึกกําลังของ
- 12. F 12
มุสลิมในเมืองมะดีนะฮฺใหทานศาสดาฟงและไดแจงแกทานดวยวาคนเหลานั้นจะมาทํา
การแสวงบุญในฤดูกาลนี้เปนจํานวนมากกวาที่เคยเปนมา
ป ค.ศ. 622 ไดมีจํานวนผูแสวงบุญจากเมืองยัษริบจํานวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบ
สามคนและสตรีสองคน เมื่อศาสดามุหัมมัดไดทราบขาวนี้ ทานก็คิดจะทําสนธิสัญญา
อีกฉบับหนึ่งกับพวกเขาซึ่งนอกจากคําสั่งสอนของอิสลามอยางสุภาพออนโยนและสอน
ใหอดทนแลว ทานตองการทําสัญญาเรียกรองใหพวกเขาพรอมที่จะเสียสละในการ
ปกปองภยันตรายตางๆ และโตตอบการประทุษรายและการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นแก
ทานนบีและชาวมุสลิม ศาสดามุหัมมัดจึงไดติดตออยางลับ ๆ กับพวกหัวหนากลุมนั้น
และไดทราบวาพวกเขาก็เตรียมตัวไวอยางดีแลวที่จะทํางานเชนนั้น พวกเขาตกลงที่จะ
ไปพบกันที่เขาอัลอะเกาะบะฮฺในตอนกลางคืนของวันที่สองแหงการแสวงบุญ มุสลิมจาก
เมืองยัษริบเก็บการนัดพบนั้นไวเปนความลับ มิใหแพรงพรายใหแกผูไมศรัทธาในเผา
ของพวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับทานศาสดาตามที่
นัดไวโดยลอบมาในความมืดยามค่ําคืน เมื่อพวกเขามาถึงอัลอะเกาะบะฮฺทั้งชายและ
หญิงก็ขึ้นไปบนภูเขาและรอทานศาสดาอยูที่นั่น
ศาสดามุหัมมัดมาถึงพรอมดวยลุงของทานคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ
อัลอับบาส ซึ่งตอนนั้นยังมิไดเปลี่ยนมารับอิสลาม แตดวยความเปนหวงหลานชายจึง
ติดตามมาดวย สัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งนี้เรียกวา “ สนธิสัญญาอัลอะเกะบะฮฺครั้งที่
สอง ” ขอความที่สําคัญในสัญญาครั้งนี้คือ กลุมตัวแทนจากเมืองยัษริบนี้ สัญญาที่
ปกปองศาสดามุหัมมัด และจะกระทําทุกสิ่งทุกอยางเหมือนกับการปกปองภรรยาและ
ลูกๆ ของพวกเขาเอง การทําสัญญาของพวกยัษริบในครั้งนี้มี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร
เปนหัวหนาของกลุมนี้ อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เขารับอิสลามหลังจากที่มีการทํา
สนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺฉบับแรก
ขาวนี้เมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารูสึกไมพอใจทันที่ พวกเขาไดพา
กันมาหาหัวหนาของเผาค็อซร็อจญ ณ ที่พัก แตฝายมุสลิมก็เงียบเสีย ทําใหพวกกุร็อยซฺ
ไมสามารถที่จะจับผิดได เพราะไมมีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นพวกยัษริบจึงรีบกลับเมือง
กอนที่พวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได เมื่อพวกกุร็อยซฺรูความจริง พวกเขาจึงรีบตามไป
- 13. F 13
แตก็ไมทัน คงจับไดชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใสโซ
ตรวนและทรมาน จนกระทั่ง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ
ตองไปขอถายตัวเขาดวยเงินจํานวนหนึ่งเพื่อใหพนโทษ
สนธิสัญญาทําใหทานนบีมีความหวังและเปนการเปดประตูสูชัยชนะ สวนพวก
กุร็อยซฺมีความกลัวและวิตกกังวลเปนอยางมาก พวกเขาคิดวาถาขบวนการนี้ยังไมถูก
ทําลายอยางถอนรากถอนโคน อนาคตของพวกเขาจะตกอยูในอันตราย ชัยชนะของ
มุหัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใชมารตราการขั้นเด็ดขาดกับมุหัมมัดและชาว
มุสลิม ทานนบีก็รูดีวาการนองเลือดระหวางพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไมมีทาง
หลีกพน ทานจึงสั่งใหมิตรสหายตลอดจนสาวกของทานอพยพไปยังเมืองยัษริบ มุสลิม
จึงเริ่มอพยพไปทีละคนทีละกลุม บางครั้งก็เปนกลุมเล็กๆ ทั้งนี้เพื่อไมใหพวกกุร็อยซเกิด
ความสงสัย อยางไรก็ตามบางคนที่จับได ก็ถูกทรมานไป
มักกะฮฺเปนสถานที่แหงแลงเต็มไปดวยเนินเขา สภาพทางภูมิศาสตรนับวามี
อิทธิพลตอผูคนในเมืองเปนอยางมากทีเดียว ชาวมักกะฮฺมักเปนคนอารมณรายและไม
คอยมีความคิดที่ลึกซึ้ง ตรงกันขามยัษริบเปนเมืองที่อุดมสมบูรณมีพืชผลไมมากชนิด
ดินฟาอากาศ ก็ไมทารุณเหมือนมักกะฮฺ ผูคนจึงมีจิตใจออนโยน มีความเกรงใจและชาง
คิด เพราะฉะนั้นในระยะตนของการเผยแพรอิสลามเมืองมะดีนะฮฺจึงเปนที่ ๆ เหมาะสม
มากกวามักกะฮฺมาก ในมะดีนะฮฺไมมีพวกนักบวชคอยตอตานความเจริญเติบโตของ
อิสลามเหมือนในมักกะฮฺ ฉะนั้นจึงเปนการงายที่จะเผยแพรคําสอนศาสนาอิสลาม
มากกวาที่อื่น นอกจากนี้ในเมืองนี้ยังมีชาวยิวอาศัยอยูดวย พวกยิวถือวามุหัมมัดเปน
ผูสนับสนุนคัมภีรของพวกตน ฉะนั้นพวกเขาจึงรอตอนรับทานศาสดาดวยความ
กระตือรือรน
หลังจากที่ทานศาสดาไดสั่งสานุศิษยของทานใหโยกยาย อพยพไปอยูที่เมืองยัษ
ริบแลว ประกอบกับทราบขาววาพวกกุร็อยซฺกําลังวางแผนจะสังหารทานนบีอยาง
แนนอน และในเวลาเดียวกันนั้น ทานนบีไดรับคําบัญชาจากพระเจาใหเดินทางไปพรอม
กับทานอบูบักรฺ ทานนบีไดหลบออกจากบานในเวลากลางคืน โดยใหทานอาลี บุตร
อบูฎอลิบ นอนอยูบนเตียงของทาน ภายใตสถานการณที่คนหนุมจากเผาตางๆ ได
- 14. F 14
ลอมรอบบานทานเพื่อรอการสังหารทาน ทานไดหลบหนีออกไปกับอบูบักรโดยไปหลบ
อยูในถ้ําแหงหนึ่ง ซึ่งอยูไมไกลจากเมืองมักกะฮฺนัก โดยไมมีใครเห็น นอกจากอับดุลลอ
ฮฺ ลูกของอบูบักรฺ กับนองสาวสองคนของทาน คือ อาอิชะฮฺ และอัสมา ทั้งสองไดซอน
อยูในถ้ําเปนเวลาสามวัน ดวยความชวยเหลือจากพระเจา พวกกุร็อยซฺตามตัวไมพบ
ถึงแมวาพวกเขาไดมาถึงปากถ้ําแลวก็ตาม เพราะวาหนาปากถ้ํามีใยแมงมุมและมี
นกพิราบมาสรางรังอยู โดยที่พวกเขานึกไมถึงวาทานนบีอยูในถ้ํานั้น
เมื่อเห็นวาปลอดภัยดีแลว ทานนบีและอบูบักรฺจึงออกเดินทางตอไป โดยมีคนใช
ชื่อวา อับดุลลอฮฺ อินุ อุรัยกิต เปนผูนําทาง ซึ่งไดนําทางสองไปทางตอนใตของมักกะฮฺ
แลวออกเดินทางไปอยางระมัดระวังตามเสนทางที่ไมมีผูคนใช เพื่อหลีกเลี่ยงไมใหพบ
กับพวกกุร็อยซฺ ในวันที่ 2 เดือนร็อบบิลอุลอัววัล ตรงกับเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 622
ทานนบีมาถึงที่เมืองกุบาอฺ ซึ่งอยูหางจากเมืองยัษริบประมาณ 6 ไมล ณ ที่นั้นทานนบีได
สรางมัสยิด ซึ่งมีชื่อวา มัสยิดกุบาอฺ และถือวาเปนมัสยิดแหงแรกในอิสลาม ทานนบีได
พักที่นั้นเปนเวลาประมาณสองอาทิตย จึงเดินทางเขาเมืองยัษริบในวันศุกรโดยมี
ชาวเมืองยัษริบออกมาตอนรับเปนจํานวนมาก
เหตุการณครั้งนี้เรียกวาการอพยพหรือ ฮิจญเราะฮฺอันเปนการเริ่มตนศักราชของ
ชาวมุสลิม นับแตนั้นมา เวลาแหงการประหัตประหารชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺก็เปนอัน
สิ้นสุดลง และยุคแหงเมืองมะดีนะฮฺก็เริ่มตนขึ้น ภาระกิจของทานศาสดายังไมสําเร็จ
เสร็จสิ้นแตความสําเร็จก็เริ่มขึ้นแลวที่มะดีนะฮฺ ทานศาสดาไมเพียงแตไดรับการตอนรับ
อยางมีเกียรติเทานั้น แตยังไดรับการแตงตั้งใหเปนประธานของชุมชนอีกดวย สถานะ
และอํานาจของทานศาสดาก็เพิ่มขึ้น และอิสลามก็ไดตั้งหลักปกฐานมั่นคงขึ้นทุกวัน ณ
เมืองนี้ทานศาสดามีอิสรภาพที่จะเทศนาคําสอนของพระผูเปนเจา ทามกลางผูหลงผิด
ในที่สุดก็หันมามีศรัทธาในศาสนาใหมนี้มากขึ้นและไดแผขยายออกไปเรื่อย ๆ
- 15. F 15
เมื่อทานศาสดาไดมาอยูที่เมืองยัษริบแลว เมืองนั้นก็ไดรับขนานนามใหมเปนมะ
ดีนะตุนนะบี หรือเมืองแหงศาสดา ภาระกิจแรกที่ทานศาสดาทําที่เมืองนี้ก็คือสราง
มัสญิดขึ้นหนึ่งหลังซึ่งทานไดลงมือทํางานเองเหมือนกรรมกรคนหนึ่ง มัสญิดหลังนี้เปน
สถานที่ทําการละหมาดและศูนยรวมการเผยแพรศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้น มะดีนะฮฺประกอบดวยกลุมคน เผาพันธหลายกลุมดวยกัน นอกจาก
เผาเอาสฺ และค็อซร็อจญแลว ยังมีเผาพันธพวกยิวจํานวนหนึ่ง เชน เผาก็อยนุกออฺ เผากู
รอยเซาะฮฺ เผานะฎีร และเผาค็อยบัร ทานนบีรูดีวาความหลากหลายในเผาพันธนั้น
อาจสรางความวุนวายเกิดขึ้นได โดยเฉพาะอยางชาวยิวคงไมยิ่งดีนักที่เห็นความสําเร็จ
ของศาสนาอิสลาม เพราะชาวยิวมักจะพูดเสมอวาตนเปนประชาชาติที่พระเจาทรง
คัดเลือกและมีความประเสริฐกวาประชาชาติอื่นๆ ในโลก ดวยเหตุดังกลาวนี้ ทานนบีได
รีบสรางความเปนปกแผนเปนอันหนึ่งเดียวกันในหมูมุสลิม โดยใชศาสนาเปนตัวกระตุน
สรางความเปนเอกภาพและภารดรภาพเกิดขึ้นในสังคมมุสลิมมะดีนะฮฺ โดยเฉพาะอยาง
ยิ่งระหวางชาวมุสลิมที่อพยพมากมักกะฮฺ หรือที่เรียกวา กลุมมุฮาญิรีน ซึ่งเปนผูลี้ภัย
และชาวมุสลิมพื้นเมือง หรือที่เรียกวา กลุมอันศอร ซึ่งเปนผูใหความชวยเหลือ
ชาวอันศอรนอกจากชวยเหลือในยามคับขันแลว คนเหลานี้ยังเสียสละเงินทอง
จัดหาบานเรือนและทรัพยสมบัติใหแกชาวมุฮาญิรีน ความเปนพี่นองระหวางชาวมุฮาญิ
รีนกับชาวอันศอรนั้นไดเปนไปอยางลึกซึ้ง กระทั่งยอมหยาภรรยาตนเองเพื่อมอบใหแก
ชาวมุฮาญิรีน และสามารถรับมรดกของกันและกันไดเวลาคนหนึ่งคนใดสิ้นชีวิตไป เมื่อ
อิสลามเจริญรุงเรืองขึ้นจนเปนกลุมอํานาจที่เปนเอกเทศแยกออกไป บรรดาผูที่ถือรูป
เคารพทั้งหลายที่ยังไมรับอิสลามตางก็พากันอิจฉาริษยา มีบางคนที่ทําที่เปนเขารับ
อิสลามแตภายในนั้นตั้งใจที่จะตอตานทานศาสดาอยูอยางลับ ๆ พวกนี้เรียกวาพวกมุ
นาฟกูน หรือพวกหนาไหวหลังหลอก ขาดความจริงใจ คนเหลานี้เปนคนที่มีอันตราย
- 16. F 16
มากยิ่งกวาศัตรูที่เปดเผยเสียอีก สวนชาวยิวในมะดีนะฮฺนั้นเปนอีกรูปแบบหนึ่ง
กลาวคือตอนแรกพวกเขารวมกันกับชาวมะดีนะฮฺในการตอนรับทานศาสดาเปนอันดี
ทั้งนี้พวกเขาหวังที่จะชักชวนทานศาสดามาเขาเปนพวกของตน แตเมื่อภายหลังไดพบวา
พวกเขาไมอาจจะทําได พวกเขาจึงคอย ๆ ถอนความชวยเหลือออกไปทีละนอย ๆ และ
ไดกลายเปนศัตรูของอิสลามไปในที่สุด
ทานศาสดาพยายามสรางความรูสึกความเปนพี่นองขึ้นระหวางคนเหลานั้นให
มากที่สุด เพราะทานแลเห็นความจริงที่วาอาณาจักรอิสลามจะมีรากฐานที่แข็งแรงไมได
หากไมไดรับการค้ําจุนจากประชาชนทุกฝาย ความมีขันติตอศาสนาอื่น ๆ นั้นเปนสิ่งที่
จําเปนในเมื่อมีคนหลายเผาหลายชาติอาศัยอยูรวมกัน ดวยวัตถุประสงคนี้ทานศาสดา
จึงไดจัดตั้งระเบียบขึ้นเรียกวา ” ธรรมนูญแหงมะดีนะฮฺ “ ซึ่งเปนระเบียบเพื่อการเลิก
ลมการอาฆาตพยาบาทกันระหวางเผาและเพื่อใหสิทธิ์ตางแกประชาชนทุกกลุม
โดยเฉพาะชาวยิวที่อาศัยอยูในมะดีนะฮฺและรอบ ๆ มะดีนะฮฺ เนื้อความสําคัญใน
ธรรมนูญนั้นมีอยูดังนี้
1) ชุมชนทั้งหลายที่ลงนามในพันธะสัญญา นี้จักเปนชาติเดียวกัน
2) ถากลุมชนใดที่ลงนามในพันธะสัญญานี้ถูกขาศึกศัตรูรุกรานชนกลุมอื่นจะรวมกําลัง
กันชวย ทําการปกปอง
3) จักไมมีกลุมชนใดในชาติเดียวกันนี้ไปทําสนธิสัญญาอยางลับ ๆ กับพวกกุร็อยช หรือ
ให ที่พึ่งพาอาศัยแกคนเหลานั้นหรือชวยเหลือคนเหลานั้นใหตอตานชาวมะดีนะฮฺ
4) ชาวมุสลิม ชาวยิวและชุมชนอื่น ๆ ของสาธารณรัฐนี้ยอมมีอิสระที่จะนับถือศาสนา
ของตนไดและปฏิบัติกิจตามศาสนาของตนไดโดยไมมีใครขัดขวาง
5) การการะทําผิดสวนตัวเล็ก ๆ นอย ๆ ของผูที่ไมใชมุสลิมจะตองถือวาเปนความผิด
สวนตัวไมเกี่ยวของกับชุมชนที่บุคคลนั้นอยู
- 17. F 17
6) ผูที่ถูกกดขี่จะตองไดรับการปกปอง
7) นับตั้งแตนี้ไปการทําใหเลือดตกยางออก การฆาและความรุนแรงตาง ๆ ถือวาเปน
สิ่งหะ รอม ( นารังเกียจ ) ในมะดีนะฮฺ
8) ศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) ศาสดาแหงพระผูเปนเจาจะเปนประธานของสาธารณรัฐ
และ จะเปนศาลอุทธรณสูงสุดในดินแดนนี้
ความสําคัญของธรรมนูญนี้อยูตรงที่วาเปนธรรมนูญฉบับแรกในโลกที่เขียนไว
เปนลายลักษณอักษร กอนหนาที่ทานศาสดาไดมีผูปกครอง แตก็ไมมีใครเคยให
รัฐธรรมนูญที่เขียนเปนลายลักษณอักษรแกประชาชนของตน
ทานศาสดามุหัมมัดเปนคนแรกที่ประจักษถึงความสําคัญของความรวมมือและ
การใหความสําคัญตอประชาชนในการบริหารรัฐและการรักษาสัญญานี้ยังไดแสดงให
เห็นดวยวาทานศาสดามุหัมมัดมิใชเปนแตนักสั่งสอนศาสนาเทานั้นแตยังเปนรัฐบุรุษที่
เปนนักปกครองที่ดีดวย
เมื่อศาสนาอิสลามไดกอตัวเปนรัฐแลว มีความจําเปนอยางยิ่งที่จะตองมีความ
พรอมในดานกําลังทหาร การเมืองและเศรษฐกิจ มิฉะนั้นแลวรัฐอิสลามแหงมะดีนะฮฺจะ
ถูกโจมตี และรุกรานจากพวกกุร็อยซฺ และเหลาศัตรูรอบๆ มะดีนะฮฺไดงาย นัก
ประวัติศาสตรที่ไมหวังดีตออิสลามหลายทานกลาวหาศาสนาอิสลามวาชอบทําสงคราม
และเผยแพรศาสนาดวยคมดาบ อันที่จริงแลวอิสลามเปนศาสนาสันติ ที่จําเปนตองทํา
สงครามนั้นก็เพราะวาเพื่อปกปองศาสนาและอธิปไตยของรัฐเทานั้น ในสมัยของทานน
บีเองหลังจากอพยพมายังมะดีนะฮฺแลวมีสงครามเกิดขึ้นระหวางชาวมุสลิมกับศัตรูตางๆ
ถึง 47 ครั้ง และในจํานวนนั้นทานนบีเขารวมสงครามดวยตนเองถึง 27 ครั้ง ในบรรดา
สงครามตางๆ เหลานี้ มีสงครามที่สําคัญดังนี้
- 18. F 18
สงครามบัดรฺเปนสงครามครั้งแรก และเปนสงครามที่สําคัญที่สุดที่เกิดขึ้น
ระหวางชาวมุสลิมกับพวกกุร็อยซฺ เกิดขึ้นในเดือนรอมฏอนปที่ 2 หลังจากอพยพ หรือ
ค.ศ. 624 ณ บอบัดรฺ ซึ่งกองทัพมุสลิมมีจํานวนพล 313 คน สวนกองทัพกุร็อยซฺมีจํานวน
ผลประมาณหนึ่งพันคน โดยมีอบูญะฮัลเปนแมทัพ
สาเหตุของสงคราม
สาเหตุของสงครามบัดรในครั้งนี้กลาวคือ ทานศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) ทราบ
ขาววากองคาราวานพาณิชยของพวกกุร็อยซฺ ซึ่งนําโดยอบูซุฟยานกลับมาจากซีเรีย ทาน
นบบีไดปรึกษาหารือกับเหลาสาวกของทาน และตัดสินใจที่จะสงทหารไปโจมตีกอง
คาราวานของอบูซุฟยานนี้ อบูซุฟยานไหวตัวกอน จึงเปลี่ยนเสนทาง พรอมกับขอกําลัง
ชวยเหลือจากมักกะฮฺ ฝายกุร็อยซฺมักกะฮฺจึงยกกองทัพมาเพื่อที่จะบดขยี้ฝายมุสลิม
กองทัพทั้งสองฝายไดประจัญบานกัน ณ บอบัดรฺ ซึ่งอยูหางจากมะดีนะฮฺเพียงไมกี่ไมล
ทานศาสดาสั่งใหตั้งทัพอยูใกลกับเนินเขาอัล อาริช และเพื่อจะตัดน้ําจากฝายขาศึกซึ่ง
ตั้งทัพอยูทางดานใตของหุบเขา ทานจึงไดสั่งขุดบอขนาดใหญขึ้นหลายบอใหน้ําไหล
กลับเขามาในบอเหลานั้น ทั้งนี้มิใชเพียงเพื่อกันไมใหสายน้ําไหลเขาสูคายพักของพวก
ขาศึกเทานั้น แตเพื่อเก็บน้ําไวใหฝายมุสลิมใชดวย ตอนเชาตรูของวันที่ 13 มีนาคม
ค.ศ. 624 ทานไดจัดทัพและใหคําแนะนําแกพวกทหารของทานกอนจะเคลื่อนทัพไป
ทานไดวิงวอนขอตอพระเจา ขอใหทหารของทานมีชัยชนะตอกองทัพของขาศึกที่มี
จํานวนมากกวาหลายเทา
ตามธรรมเนียมของอาหรับ นายทัพของทั้งสองฝายจะตองตอสูกันตัวตอตัว นาย
ทัพของฝายกุร็อยชมีชัยบะฮ อุตบะฮและวะลีด บิน อุตบะฮไดทาทายนายทัพฝาย
มุสลิม ซึ่งมีอุบัยดะฮฺ ฮัมซะฮฺและอะลีออกไปสูกันตัวตอตัว นายทัพฝายกุร็อยชตอสู
อยางกลาหาญแตก็แพและถูกฆาตายเกือบหมด กองทัพทั้งสองจึงเขาประจัญบานกัน
- 19. F 19
ดวยขวัญและกําลังใจที่เหนือกวา ประกอบกับความชวยเหลือจากพระเจา ในที่สุด
กองทัพมักกะฮฺก็พายแพ พวกทหารที่เหลือตางก็แตกทัพและหนีออกจากสนามรบ
ทหารที่เหลือถูกจับเปนเชลยเปนจํานวนมาก อบูญะฮัล ผูเปนปรปกษที่รายกาจที่สุดของ
ทานศาสดาก็ถูกฆาตายในสนามรบดวย
ผลของสงคราม
ผลของสงครามในครั้งนี้ฝายมุสลิมไดรับชัยชนะ ทหารของกุร็อยซฺถูกฆาตาย 70
คน และถูกจับเปนเชลยเปนจํานวนมาก สวนฝายมุสลิมเปนซะฮีดแค 14 คนเทานั้น
ทานศาสดาไดสั่งใหสานุศิษยของทานปฏิบัติตอเชลยศึกที่ไมมีเสื้อผาใสก็รับแจกเสื้อผา
และพวกเขาไดรับการเลี้ยงดูดวยอาหารเชนเดียวกับฝายมุสลิม มุสลิมบางคนถึงกับ
สละขนมปงใหเชลยศึกกินสวนตัวเองกินเพียงอินทผลัม ตอมาทานศาสดาก็ตัดสินใจที่
จะปลอยเชลยศึกไปโดยใหมีการเสียคาไถ แมแตญาติของทานเองก็ใหสอนหนังสือ
ใหแกเด็กชายมุสลิมสิบคนแทนการเสียคาไถ สวนพวกที่ยากจนไมมีเงินคาไถก็ไดรับ
การปลอยตัวไปโดยใหสัญญาวาจะไมตอสูกับมุสลิมอีกในภายหนา การปฏิบัติของ
มุสลิมตอเชลยศึกอยางโอบออมอารีเชนนี้เปนสิ่งที่ไมเคยมีมากอนเลยในประวัติศาสตร
ผลของสงครามบัดรฺเปนเหตุการณที่มีความหมายตอชะตากรรมขอลงอิสลาม
อยางมากที่สุดในประวัติศาสตรของอิสลาม เพราะหากฝายมุสลิมไมสามารถเอาชนะ
สงครามครั้งนี้ได อิสลามก็อาจจะถูกกวาดลางใหสูญไปจากโลกนี้เลยก็ได ชัยชนะใน
สงครามครั้งนี้ไดใหความหวังใหมแกชาวมุสลิมและเปนกําลังใจแกพวกเขาเปนอยาง
มาก ในสงครามนี้อํานาจของพวกกุร็อยชก็ถูกทําลายลงและความหยิ่งผยองของพวก
เขาก็ลดลงไปดวย ในขณะที่อิทธิพลของทานศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) และอํานาจของ
อิสลามเริ่มมีมากขึ้นตลอดไปถึงอาณาบริเวณนอกเมืองมะดีนะฮฺดวย สงครามครั้งนี้ยังมี
ผลกระทบกระเทือนอยางหนักตอชาวยิวและชนเผาใกลเคียงคือ เบดูอินพวกเขาไดรูวา
บัดนี้ไดมีพลังอันไมอาจจะเอาชนะไดเกิดขึ้นแลวในอารเบีย แตกอนนี้พวกยิวไมไดให
ความสําคัญอันใดแกชาวมุสลิมนักแตเดี๋ยวนี้พวกเขาเริ่มรูถึงความเขมแข็งของมุสลิม
สงครามบัดรชวยใหฝายมุสลิมผนึกกําลังของอิสลามในมะดีนะฮฺ และทําใหพวกเขาตอสู
กับผูคนที่มีทิฐิในเมืองนั้น ไดอยางไมหวั่นหวาด