9. 9
การบวกจา นวนเต็มท่มีีเครื่องหมายต่างกัน
- การบวกระหว่างจานวนเต็มบวกกับจานวนเต็มลบที่มีค่าสัมบูรณ์ไม่เท่ากัน
ให้นาค่าสัมบูรณ์ที่มากกว่าเป็นตัวตัง้แล้วลบด้วยค่าสัมบูรณ์ที่น้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นจานวนเต็ม
บวกหรือจานวนเต็มลบ ตามจานวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า
- การบวกระหว่างจานวนเต็มบวกกับจานวนเต็มลบที่มีค่าสัมบูรณ์เท่ากัน ผลบวก
เท่ากับ 0
การลบจานวนเต็ม
การลบจานวนเต็ม คือ การลบของจานวนสองจานวนใดๆ จะเท่ากับจานวนที่เป็น
ตัวตัง้บวกกับจานวนตรงข้ามที่เป็นตัวลบ มีสูตรดังนี้
ตัวต้งั - ตัวลบ = ตัวต้งั + จา นวนตรงข้ามของตัวลบ
การคูณจานวนเต็ม
- การคูณจานวนเต็มบวกด้วยจานวนเต็มบวก
จะได้คาตอบเป็นจานวนเต็มบวกที่มีค่าสัมบูรณ์เท่ากับผลคูณของค่าสัมบูรณ์ของสอง
จานวนนัน้
- การคูณจานวนเต็มบวกด้วยจานวนเต็มลบ หรือ การคูณจานวนเต็มลบด้วยจานวน
เต็มบวก
จะได้คาตอบเป็นจานวนเต็มลบที่มีค่าสัมบูรณ์เท่ากับผลคูณของค่าสัมบูรณ์ของสอง
จานวนนัน้
การหารจา นวนเต็มท่มีีเครื่องหมายต่างกัน
- การหารจานวนเต็ม เมื่อตัวตัง้หรือตัวหารตัวใดตัวหนงึ่เป็นจานวนเต็มลบ โดยที่อีก
ตัวหนึ่งเป็นจานวนเต็มบวก ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นจานวนเต็มลบ
สมบัติของจานวนเต็ม ได้แก่
สมบัติการสลับที่
- เมื่อ a และ b แทนจานวนเต็มใดๆ a + b = b + a
เรียกว่า สมบัติการสลับที่สาหรับการบวก
- เมื่อ a และ b แทนจานวนเต็มใดๆ a b = b a
เรียกว่า สมบัติการสลับที่สาหรับการคูณ
สมบัติการเปลี่ยนหมู่
- เมื่อ a , b และ c แทนจานวนเต็มใดๆ (a + b) + c = a + (b + c)
เรียกว่า สมบัติการเปลี่ยนกลุ่มสาหรับการบวก
- เมื่อ a , b และ c แทนจานวนเต็มใดๆ (a b) c = a (b c)
เรียกว่า สมบัติการเปลี่ยนกลุ่มสาหรับการคูณ
10. 10
สมบัติการแจกแจง
- เมื่อ a , b และ c แทนจานวนเต็มใดๆ a (b + c) = (a b) + (a c)
เรียกว่า สมบัติการแจกแจง
สมการ (Equation) คือ ประโยคสัญลักษณ์ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของจานวน โดย
มีเครื่องหมาย “ = ” โดยที่สมการจะมีตัวแปรหรือไม่มีก็ได้
การแก้สมการ คือ การหาคาตอบของสมการ
ในการแก้สมการ นอกจากจะใช้วิธีการแทนค่าตัวแปรเพื่อหาคาตอบของสมการแล้ว
เพื่อความรวดเร็วเราสามารถใช้สมบัติของการเท่ากันมาช่วยในการหาคาตอบ ได้แก่
1. สมบัติสมมาตร
การเขียนประโยคแสดงการเท่ากันของจานวน 2 จานวน สามารถเขียนได้ 2 แบบ
ตัวอย่างเช่น
1. x = 3 หรือ 3 = x
2. -3 + x = 1 หรือ 1 = -3 + x
3. 2 p = -11 หรือ -11 = 2 p
4. s = t + 1 หรือ t + 1 = s
5. a + b = c หรือ c = a + b
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติสมมาตร ซึ่งกล่าวว่า
2. สมบัติถ่ายทอด
การเขียนประโยคแสดงการเท่ากันของจานวนตัง้แต่ 2 จานวนขึน้ไป โดยใช้สมบัติของ
การเท่ากันทาให้ได้ข้อสรุป ดังตัวอย่างเช่น
1. ถ้า 2 = x และ x = y แล้วจะสรุปได้ว่า 2 = y หรือ y = 2
2. ถ้าพืน้ที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส = ความยาวด้าน 2 และ ความยาวด้าน 2 = 64
แล้วจะสรุปได้ว่า พืน้ที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส = 64
3. ถ้า a + b = c และ c = 6 แล้วจะสรุปได้ว่า a + b = 6
4. ถ้า p×q = r และ r = 2s + 1 แล้วจะสรุปได้ว่า p×q = 2s + 1
5. ถ้า x = y และ y = z แล้วจะสรุปได้ว่า x = z
ถ้า a = b แล้ว b = a เมื่อ a และ b แทนจานวนใดๆ
11. 11
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติถ่ายทอด ซึ่งกล่าวว่า
3. สมบัติการบวก
ถ้ามีจานวน 2 จานวนที่เท่ากัน เมื่อนาจานวนหนึ่งมาบวกกับแต่ละจานวนที่เท่ากัน
นัน้ผลลัพธ์จะได้เท่ากัน เช่น
1. ถ้า x = -5 แล้ว x - 3 = -5 - 3
2. ถ้า 2×2 = 4 แล้ว (2×2)+3 = 4+3
3. ถ้า 5y 4 7 แล้ว 5y 4(4) 7 (4)
4. ถ้า p = q แล้ว p+( r) = q+( r)
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติการบวก ซึ่งกล่าวว่า
หมายเหตุ
จานวนที่นามาบวกกับแต่ละจานวนที่เท่ากันนัน้ อาจเป็นจานวนบวกหรือจานวนลบก็ได้
การบวกแต่ละจานวนที่เท่ากันด้วยจานวนลบ คือการนาจานวนบวกมาลบออกจากทัง้
สองจานวนที่เท่ากันนัน้เอง ดังนี้
4. สมบัติการคูณ
ถ้ามีจานวน 2 จานวนที่เท่ากัน เมื่อนาจานวนหนงึ่มาคูณกับแต่ละจานวนที่เท่ากันนัน้
ผลลัพธ์จะได้เท่ากัน เช่น
1. ถ้า -3x =
4
1 แล้ว 4
4
1
(3x) 4
2. ถ้า 22 4 แล้ว 223 43
3. ถ้า x y แล้ว 2x 2y
4. ถ้า n m แล้ว n m
4
1
4
1
นนั่คือ m n
4
1
4
1
5. ถ้า z
y
x
และ y 0 แล้ว x yz
ถ้า a = b และ b = c แล้ว a = c เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ
ถ้า a = b แล้ว a+c = b+c เมื่อ a, b และ c แทนจานวนใดๆ
ถ้า a b แล้ว ac bc เมื่อ a, b และ c แทนจานวนใดๆ
12. 12
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติการคูณ ซึ่งกล่าวว่า
หมายเหตุ
จานวนที่นามาคูณกับแต่ละจานวนที่เท่ากันนัน้ อาจเป็นจานวนเต็มหรือเศษส่วนก็ได้
การคูณแต่ละจานวนที่เท่ากันด้วยเศษส่วน เช่น
k
1 เมื่อ k เป็นจานวนเต็มใดๆ ที่
k 0 คือการนาจานวนเต็ม k มาหารทัง้สองจานวนที่เท่ากันนัน้เอง ทาให้สรุปได้ว่า
ตัวอย่างที่1 จงแก้สมการ x - 5 = 12
วิธีทา x - 5 = 12
นา 5 มาบวกทัง้สองข้างของสมการ
จะได้ x - 5 +5 = 12+5
x = 17
ตรวจคาตอบ แทน x ด้วย 17 ในสมการ x - 5 = 12
จะได้ 17-5 = 12 เป็นสมการที่เป็นจริง
ดังนัน้ 17 เป็นคาตอบของสมการ x - 5 = 12
ตอบ 17
ถ้า a b แล้ว ca cb เมื่อ a, b และ c แทนจานวนใดๆ
ถ้า a b แล้ว
c
b
c
a
เมื่อ a, b และ c แทนจานวนใดๆ ที่
c 0
24. 24
เอกสารแนะแนวทางที่ 4 การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
เรื่องย่อย การแก้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ในการแก้สมการ นอกจากจะใช้วิธีการแทนค่าตัวแปรเพื่อหาคา ตอบของสมการแล้ว
เพื่อความรวดเร็วเราสามารถใช้สมบัติของการเท่ากันมาช่วยในการหาคา ตอบ ได้แก่
1. สมบัติสมมาตร
การเขียนประโยคแสดงการเท่ากันของจา นวน 2 จา นวน สามารถเขียนได้ 2 แบบ
ตัวอย่างเช่น
1. x = 3 หรือ 3 = x
2. -3 + x = 1 หรือ 1 = -3 + x
3. 2 p = -11 หรือ -11 = 2 p
4. s = t + 1 หรือ t + 1 = s
5. a + b = c หรือ c = a + b
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติสมมาตร ซึ่งกล่าวว่า
2. สมบัติถ่ายทอด
การเขียนประโยคแสดงการเท่ากันของจา นวนตั้งแต่ 2 จา นวนขึ้นไป โดยใช้สมบัติของ
การเท่ากันทา ให้ได้ข้อสรุป ดังตัวอย่างเช่น
1. ถ้า 2 = x และ x = y แล้วจะสรุปได้ว่า 2 = y หรือ y = 2
2. ถ้า พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส = ความยาวด้าน 2 และ ความยาวด้าน 2 = 64 แลว้
จะสรุปได้ว่า พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส = 64
3. ถ้า a + b = c และ c = 6 แล้วจะสรุปได้ว่า a + b = 6
4. ถ้า pq r และ r 2s 1 แล้วจะสรุปได้ว่า pq 2s 1
5. ถ้า x y และ y z แล้วจะสรุปได้ว่า x z
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติถ่ายทอด ซึ่งกล่าวว่า
การแก้สมการ คือ ………………………………
ถ้า a b แล้ว b a เมื่อ a และ b แทนจา นวนใดๆ
ถ้า a b และ b c แล้ว a c เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ
25. 25
จงเติมข้อความลงในช่องว่างให้สมบูรณ์
1) ให้ 2x
2
1
ดังนั้น 2x ...............
2) ให้ p q และ q 4 ดังนั้น ............... = 4
3) ให้ 2a 1 b ดังนั้น b = …………
4) ให้ s 4 t และ t 7 ดังนั้น s 4 ................
5) ให้
y
x
8
เมื่อ y 0 ดังนั้น
y
8 ..............
6) ให้ 2b a 1 ดงันั้น ............... 2b a
7) ให้ xy 11 และ z 11 ดังนั้น xy ...............
8) ให้ p 5 q ดังนั้น q ..............
9) ให้ m 3n
5
2
ดังนั้น .................. m
5
2
10) ให้ y
x
2
1 และ 12 y ดังนั้น
2x
1 ................
3. สมบัติการบวก
ถ้ามีจา นวน 2 จา นวนที่เท่ากัน เมื่อนา จา นวนหนึ่งมาบวกกับแต่ละจา นวนที่เท่ากันนั้น
ผลลัพธ์จะได้เท่ากัน เช่น
1. ถ้า x = -5 แล้ว x - 3 = -5 - 3
2. ถ้า 22 4 แล้ว 223 43
3. ถ้า 5y 4 7 แล้ว 5y 4(4) 7 (4)
4. ถ้า p q แล้ว p(r) q(r)
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติการบวก ซึ่งกล่าวว่า
หมายเหตุ
จา นวนที่นา มาบวกกับแต่ละจา นวนที่เท่ากันนั้น อาจเป็นจา นวนบวกหรือจา นวนลบก็ได้
การบวกแต่ละจา นวนที่เท่ากันด้วยจา นวนลบ ก็คือการนา จา นวนบวกมาลบออกจากทั้ง
สองจา นวนที่เท่ากันนั้นเอง ดังนี้
ถ้า a b แล้ว ac bc เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ
ถ้า a b แล้ว ac bc เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ
26. 26
4.สมบัติการคูณ
ถ้ามีจา นวน 2 จา นวนที่เท่ากัน เมื่อนา จา นวนหนึ่งมาคูณกับแต่ละจา นวนที่เท่ากันนั้น
ผลลัพธ์จะได้เท่ากัน เช่น
1. ถ้า -3x =
4
1 แล้ว 4
4
1
(3x) 4
2. ถ้า 22 4 แล้ว 223 43
3. ถ้า x y แล้ว 2x 2y
4. ถ้า n m แล้ว n m
4
1
4
1 นั่นคือ n m
4
1
4
1
5. ถ้า z
y
x
และ y 0 แล้ว x yz
การเขียนแสดงการเท่ากันดังกล่าวเป็นไปตามสมบัติการคูณ ซึ่งกล่าวว่า
หมายเหตุ
จา นวนที่นา มาคูณกับแต่ละจา นวนที่เท่ากันนั้น อาจเป็นจา นวนเต็มหรือเศษส่วนก็ได้
การคูณแต่ละจา นวนที่เท่ากันด้วยเศษส่วน เช่น
k
1 เมื่อ k เป็นจา นวนเต็มใดๆ ที่
k 0 ก็คือการนา จา นวนเต็ม k มาหารทั้งสองจา นวนที่เท่ากันนั้นเอง ทา ให้สรุปได้ว่า
ตัวอย่างที่1 จงแก้สมการ x 5 12
วิธีทา x 5 12
นา 5 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ
จะได้ x 5 5 125
x 17
ตรวจคาตอบ แทน x ด้วย 17 ในสมการ x 5 12
จะได้ 17 5 12 เป็นสมการที่เป็นจริง
ดังนั้น 17 เป็นคา ตอบของสมการ x 5 12
ตอบ 17
ถ้า a b แล้ว ca cb เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ
ถ้า a b แล้ว
c
b
c
a
เมื่อ a, b และ c แทนจา นวนใดๆ ที่ c 0