10. 10
ก. กฎของบอยล์ (Boyle ,
s Law)
เป็นกฎที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับความดันของก๊าซเมื่ออุณหภูมิและมวล
ของก๊าซคงที่ ในปี ค.ศ. 1662 (พ.ศ. 2205) นักวิทยาศาสตร์ชื่อ โรเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle) ได้ศึกษา
สมบัติของก๊าซในแง่ของความดันและปริมาตรโดยใช้อากาศเป็นตัวอย่างและพบว่า
“เมื่อใช้อุณหภูมิและมวลของก๊าซคงที่ ปริมาตรของก๊าซจะแปรผกผันกับความดัน”
ต่อมาเรียกข้อความดังกล่าวว่า กฎของบอยล์ เมื่อเขียนเป็นความสัมพันธ์ในทางคณิตศาสตร์จะได้
ดังนี้
V P
1 เมื่ออุณหภูมิและมวลคงที่
ได้ V = P
k หรือ PV = k
เมื่อ V = ปริมาตรของก๊าซ
P = ความดันของก๊าซ
k = ค่าคงที่
เมื่อศึกษาสมบัติของก๊าซจานวนหนึ่ง ที่อุณหภูมิคงที่ จะได้ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V ที่
ภาวะต่าง ๆ ดังนี้
P1V1 = P2V2 = P3V3 = ……..
ค่า k ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซ อุณหภูมิ มวลหรือปริมาณที่ใช้ หน่วยของ P และ V หมายความ
ว่า ก๊าซต่างชนิดกันจะมีค่า k ไม่เท่ากัน หรือก๊าซชนิดเดียวกันแต่ใช้อุณหภูมิต่างกัน หรือใช้หน่วยของ P
และ V ต่างกัน ค่า k ก็จะไม่เท่ากัน ดังนั้น k จะคงที่สาหรับก๊าซชนิดหนึ่ง เมื่อทดลองที่อุณหภูมิ
เดียวกันใช้มวลเท่ากัน และใช้หน่วยของ P , V เหมือนกัน
จากสมการ PV = k จะเห็นได้ว่าเมื่อุณหภูมิและมวลของก๊าซคงที่ “ผลคูณของปริมาตรและ
ความดันของก๊าซจะคงที่ แม้ว่าปริมาตรและความดันจะเปลี่ยนแปลงไป” ซึ่งสามารถนาไปคานวณเกี่ยวกับ
P และ V ของก๊าซที่ภาวะต่าง ได้
11. 11
รูป การทดลองตามกฎของบอยล์
จากกฎของบอยล์นอกจากจะแสดงโดยอาศัยสมการทางคณิตศาสตร์แล้ว ยังสามารถ
พิจารณาได้จากลักษณะของกราฟซึ่งมี 3 แบบดังนี้
แบบที่ 1 เมื่อเขียนกราฟระหว่าง P กับ V ถ้าเป็นไปตามกฎของบอยล์จะได้กราฟไฮเปอร์โบลาร์
(Hyperbolar)
จาก V = P
k
เมื่อ P = 0 ได้ V =
V = 0 ได้ P =
ดังนั้นลักษณะของกราฟไฮเปอร์โบลาร์จะไม่ตัดแกน P หรือแกน V
ลักษณะของกราฟจะแตกต่างกันเมื่อใช้อุณหภูมิไม่เท่ากัน กราฟแต่ละเส้นที่แสดงความสัมพันธ์
ระหว่าง P กับ V เมื่ออุณหภูมิคงที่เรียกว่า เส้นกราฟไอโซเทอม (Isotherm) กระบวนการทดลองที่
อุณหภูมิคงที่เรียกว่ากระบวนการไอโซเทอร์มอล (Isothermal Process)
รูปที่ 4.6 ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V เมื่อ T และ n คงที่
แบบที่ 2 เมื่อเขียนกราฟระหว่าง P กับ V
1 จะได้กราฟเส้นตรงที่ผ่านจุดกาเนิด (Origin) ทั้งนี้
พิจารณาจาก
12. 12
V = P
k = k P
1 + 0 หรือ P = k V
1 + 0
ซึ่งสอดคล้องกับสมการเส้นตรง y = ax + b ดังนั้นเมื่อเขียนกราฟระหว่าง P กับ V
1 หรือ V
กับ P
1 จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชัน (Slope = k และมีจุดตัด (Intercept) = 0 หรือกราฟผ่านจุด
กาเนิดนั่นเอง )
ถ้าก๊าซนั้นเป็นก๊าซอุดมคติซึ่งเป็นไปตามกฎของบอยล์ เมื่อเขียนกราฟจะได้เส้นตรง ในแต่ละ
อุณหภูมิจะได้เส้นตรงที่มีความชันไม่เท่ากัน เส้นกราฟไอโซเทอม (อุณหภูมิเท่ากัน) ที่อุณหภูมิสูงจะมีความ
ชันมากกว่าที่อุณหภูมิต่า แต่อย่างไรก็ตามถ้าต่อเส้นกราฟออกไปทุก ๆ เส้นจะไปพบกันที่จุดกาเนิดดังในรูป
รูปที่ 4.7 ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V
1 (หรือ V กับ P
1 )
แบบที่ 3 เมื่อเขียนกราฟระหว่าง PV กับ P หรือ PV กับ V จะได้กราฟเส้นตรงที่ขนานกับแกน
P (หรือ V ตามลาดับ) หรือเป็นกราฟที่มีความชัน = 0 นั่นเอง ทั้งนี้พิจารณาได้จาก
PV = k
ซึ่งผลคูณของ P กับ V จะมีค่าคงที่ ถึงแม้ว่าค่าของ P และ V จะเปลี่ยนแปลงก็ตาม
รูป ความสัมพันธ์ระหว่าง PV กับ P (หรือ PV กับ V)
13. 13
การพิจารณาว่าก๊าซชนิดหนึ่ง ๆ มีพฤติกรรมเป็นไปตามกฎของก๊าซอุดมคติ เช่น กฎของบอยล์
หรือไม่นอกจากจะพิจารณาจากสมการทางคณิตศาสตร์แล้ว ยังสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของกราฟ ซึ่ง
ถ้าเป็นก๊าซอุดมคติเมื่อเขียนกราฟจะได้รูปกราฟที่สอดคล้องกับแบบทั้ง 3 ในกรณีที่เป็นก๊าซจริงจะมี
พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากกฎของก๊าซอุดมคติ คือไม่เป็นไปตามกฎของบอยล์ (P1V1 P2V2 ) ลักษณะ
ของกราฟที่ได้ก็จะเบี่ยงเบนไปจากกราฟของก๊าซอุดมคติ ดังเช่น กรณีของก๊าซ H2 , He , N2 , CH4 และ
CO2 ที่ 40 0
C ในช่วงความดันบรรยากาศ 0 - 800 atm เมื่อเขียนกราฟ PV กับ P จะได้ดังนี้
รูป ความสัมพันธ์ระหว่าง PV กับ P ของก๊าซจริง
ตาราง ตัวอย่างแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ V ของก๊าซ 1 โมล ที่อุณหภูมิต่าง ๆ กัน
ก๊าซ He
P (atm) V (dm3
) PV (dm3
atm)
-100 0
C 0 0
C 100 0
C -100 0
C 0 0
C 100 0
C
5
25
50
75
100
2.851
0.579
0.296
0.201
0.154
4.489
0.907
0.459
0.310
0.236
6.124
1.234
0.623
0.419
0.317
14.235
14.493
14.797
15.106
15.420
22.447
22.684
22.980
23.276
23.573
30.621
30.848
31.133
31.417
31.702
14. 14
ก๊าซ H2
5
25
50
75
100
2.848
0.577
0.294
0.199
0.153
4.491
0.910
0.462
0.313
0.238
6.132
1.239
0.627
0.423
0.321
14.240
14.434
14.701
14.992
15.309
22.457
22.739
23.097
23.461
23.830
30.662
30.973
31.363
31.752
32.141
ข. กฎของชาร์ลส์ (Charles ,
law)
หรือกฎของชาร์ลส์และเกย์ลุสแซก ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับอุณหภูมิของ
ก๊าซ เมื่อความดันและมวลของก๊าซคงที่
ในปี ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) จาคส์ ชาร์ลส์ (Jacques Charles) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้
ทดลองหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับอุณหภูมิของก๊าซต่าง ๆ หลายชนิด เช่น H2 , อากาศ , O2 ,
และ CO2 ในช่วงอุณหภูมิ 0 - 80 0
C และพบว่าปริมาตรของก๊าซจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิของก๊าซเพิ่มขึ้น
โดยก๊าซแต่ละชนิดจะขยายตัวได้เท่ากัน
ต่อมาเกย์ลูสแซก (Joseph Gay - Lussac) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน ได้ทาการทดลอง
ในทานองเดียวกับชาร์ลส์แต่ทาอย่างละเอียดมากกว่า และพบว่าถ้าความดันของก๊าซคงที่ เมื่ออุณหภูมิ
เพิ่มขึ้น 1 0
C จะทาให้ปริมาตรของก๊าซเพิ่มขึ้น 273.15
1 เท่าของปริมาตรที่ 0 0
C
ถ้าให้ V0 = ปริมาตรที่ 0 0
C
V = ปริมาตรที่ t 0
C
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น t 0
C จะได้ปริมาตรตามความสัมพันธ์ดังนี้
V = V0 + 273.15
1 V0T = V0( 1 + 273.15
t )
= V0 273.15
t)(273.15
ถ้าให้ T = 273.15 + t
T0 = 273.15
จะได้ V = V0(
0T
T ) หรือ T
V =
0
0
T
V
เนื่องจากก๊าซแต่ละชนิดจะมี
0
0
T
V
คงที่ ดังนั้น T
V จึงมีค่าคงที่ หรือ T
V = k
แสดงว่า V จะแปรผันตาม T คือเมื่อ T เพิ่มขึ้น V จะเพิ่มขึ้น T ลด V จะลดลงด้วย ต่อมา
จึงได้มีผู้นาผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองมาสรุปเป็นกฎ เรียกว่ากฎของชาร์ลส์และเกย์ลุสแซค
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กฎของชาร์ลส์ มีใจความสาคัญดังนี้
“เมื่อความดันและมวลของก๊าซคงที่ ปริมาตรของก๊าซจะแปรผันโดยตรง กับอุณหภูมิเคลวิน”
15. 15
เขียนเป็นความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
V T (เมื่อความดันและมวลของก๊าซคงที่)
เพราะฉะนั้น V = kT หรือ T
V = k
หรือ
1
1
T
V
=
2
2
T
V
=
n
n
T
V
= …….
เมื่อ
k เป็นค่าคงที่ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซ ความดัน มวล และหน่วยของ V และ T
T เป็นอุณหภูมิเคลวิน
ในทานองเดียวกันกับกฎของบอยล์ กฎของชาร์ลส์ก็สามารถแสดงพฤติกรรมของก๊าซด้วยกราฟได้
เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถเขียนกราฟได้ 2 แบบดังนี้
แบบที่ 1 เมื่อเขียนกราฟ V กับ T จะได้กราฟเส้นตรงที่ผ่านจุดกาเนิด ทั้งนี้พิจารณาจากสมการ
V = kT ซึ่งเป็นสมการเส้นตรง มีค่าความชัน = k
ลักษณะของกราฟจะมีความชันแตกต่างกัน เมื่อใช้ความดันไม่เท่ากัน ในกรณีที่ใช้ก๊าซชนิดเดียวกัน
แต่ความดันไม่เท่ากัน กราฟที่ความดันต่าจะมีความชันมากกว่ากราฟที่ความดันสูง ในกรณีที่ใช้ก๊าซต่าง
ชนิดกันแต่ใช้ความดันเท่ากัน จะได้ความชันของกราฟ แตกต่างกันเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซ
กราฟแต่ละเส้นที่ทาการทดลองที่ความดันคงที่เรียกว่า “เส้นกราฟไอโซบาร์ (Isobar)” ซึ่งทุก ๆ จุด
บนเส้นกราฟจะมีความดันเท่ากัน
ก. ก๊าซชนิดเดียวกัน ( P ไม่เท่ากัน) ข. ก๊าซต่างชนิดกัน (P เท่ากัน)
รูป ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของก๊าซกับอุณหภูมิเคลวิน
แบบที่ 2 เมื่อเขียนกราฟระหว่าง V กับ t (0
C) จะได้กราฟเส้นตรงซึ่งมีจุดตัดอยู่บนแกน V และมี
ค่าความชันต่าง ๆ กันตามชนิดของก๊าซและความดันที่ใช้
16. 16
ก. ก๊าซชนิดเดียวกัน ( P ไม่เท่ากัน) ข. ก๊าซต่างชนิดกัน (P เท่ากัน)
รูป ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของก๊าซกับอุณหภูมิเซลเซียส
จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะใช้ก๊าซชนิดเดียวกันและเลือกความดันไม่เท่ากัน ค่าความชันและจุดตัดของ
เส้นกราฟไอโซบาร์แต่ละเส้นจะไม่เท่ากัน ในกรณีที่เป็นก๊าซต่างชนิดกันค่าความชันและจุดตัดก็ไม่เท่ากัน
เช่นเดียวกัน เมื่อต่อเส้นกราฟทั้ง 2 แบบไปตัดแกนอุณหภูมิจะพบว่าก๊าซทุกชนิดและทุกความดันจะไปตัด
แกนอุณหภูมิที่เดียวกัน คือ -273.15 0
C ซึ่งเป็นจุดที่ก๊าซอุดมคติมีปริมาตร เท่ากับ 0
จากลักษณะของกราฟดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ได้กาหนดให้อุณหภูมิ -273.15 0
C เท่ากับอุณหภูมิ 0
เคลวิน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิเซลเซียสและเคลวินดังนี้
อุณหภูมิเคลวิน = 273.15 + อุณหภูมิเซลเซียส
T = 273.15 + t
หรือ T = 273 + t
เมื่อแทน T = 273 + t ลงในกฎของชาร์ลส์ V = kT จะได้
V = kT = k(273 + t )
เพราะฉะนั้น
V = kt + 273k
ซึ่งเป็นลักษณะของสมการเส้นตรง (y = ax + b) เมื่อเขียนกราฟระหว่าง V กับ t จึงได้จุดตัด =
273k และความชัน = k ดังกล่าวแล้ว)
ถ้าเขียนกราฟระหว่าง V กับ T และ V กับ t ในรูปเดียวกันจะได้ดังนี้
17. 17
รูปที่ 4.2 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของก๊าซกับอุณหภูมิ
ที่อุรหภูมิ 0 เคลวิน หรือ -273.15 0
C ก๊าซทุกชนิดจะมีปริมาตรเป็นศูนย์ นั่นคือถ้าลดอุณหภูมิ
ของก๊าซให้ต่าลงจนถึง 0 เคลวิน จะไม่มีปริมาตรของก๊าซเหลืออยู่ อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติพบว่าก๊าซ
จะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวจนหมดก่อนที่อุณหภูมิจะลดลงถึง 0 เคลวิน ดังนั้นปรากฏการณ์ที่ก๊าซจะมี
ปริมาตรเป็นศูนย์ที่ 0 เคลวินจึงเป็นเพียงการคาดคะเนตามทฤษฎีเท่านั้น
รูป การทดลองตามกฎของชาร์ลส์
ค.กฎของเกย์ลุสแซก (Gay - Lussac,
s Law)
กฎของเกย์ลุสแซค หรือกฎของอามันตัน (Amanton s law) ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ความดัน (P) กับอุณหภูมิ (T) มีใจความดังนี้
“เมื่อปริมาตรและมวลของก๊าซคงที่ ความดันของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิเคลวิน”
กล่าวคือเมื่อปริมาตรและมวลของก๊าซคงที่ ถ้าความดันของก๊าซเพิ่มขึ้น อุณหภูมิของก๊าซจะเพิ่มขึ้น
ด้วย และถ้าความดันลดลงอุณหภูมิของก๊าซจะลดลง เขียนแสดงความสัมพันธ์ในเชิงคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
P T เมื่อปริมาตรและมวลของก๊าซคงที่
เพราะฉะนั้น P = kT หรือ T
P = k
และ
1T
P1 =
2T
2P
หรือ
2P
1P
=
2T
1T
18. 18
ตาราง ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ T เมื่อใช้ก๊าซ He 1 โมล ใส่ในภาชนะ 22.4 ลิตร
P (atm) 0.5 0.6 0.8 1.0 1.2 1.5
T(K) 136.5 163.8 218.4 173.0 327.6 409.5
เมื่อนาข้อมูลที่ได้มาเขียนกราฟระหว่าง P กับ T และ P กับ t จะได้ดังนี้
รูป ความสัมพันธ์ระหว่าง P กับ T และ P กับ t
ง. กฎของอาโวกาโดร (Avogadro,
s law)
ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับจานวนโมลของก๊าซ มีใจความดังนี้
“เมื่ออุณหภูมิและความดันคงที่ ปริมาตรของก๊าซจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณ (จานวนโมล) ของ
ก๊าซนั้น
ในขณะที่อุณหภูมิและความดันคงที่ ถ้าจานวนโมลของก๊าซเพิ่มขึ้น ปริมาตรของก๊าซจะเพิ่มขึ้นด้วย
และถ้าจานวนโมลของก๊าซลดลงปริมาตรของก๊าซจะลดลงด้วย เขียนเป็นความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ดังนี้
V n เมื่อความดันและอุณหภูมิคงที่
เพราะฉะนั้น V = kn หรือ n
V = k
และ
1n
1V
=
2n
2V
หรือ
2V
1V
=
2n
1n
ตาราง ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง V กับ n ของ N2 ที่ 1 atm 273 K
n (โมล) 0.1 0.2 0.5 0.8 1.0 2.0
V (dm3
) 2.24 4.48 11.2 17.92 22.4 44.8
19. 19
ถ้านาข้อมูลดังกล่าวมาเขียนกราฟระหว่าง V กับ n จะได้ดังนี้
รูป ความสัมพันธ์ระหว่าง V กับ n
จ. กฎรวมของก๊าซ และ สมการภาวะของก๊าซอุดมคติ
(Combined gas law : equation state of ideal gas)
กฎรวมก๊าซ เป็นการนากฎของบอยล์และกฎของชาร์ลส์มารวมกัน เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
P , V และ T ของก๊าซดังนี้
จากกฎของบอยล์ V P
1 เมื่ออุณหภูมิและมวลคงที่
จากกฎของชาร์ลส์ V T เมื่อความดันและมวลคงที่
เมื่อรวมกัน V P
T เมื่อมวลคงที่
เพราะฉะนั้น V = k P
T หรือ T
PV = k
เมื่อต้องการคานวณเกี่ยวกับการเปลี่ยนภาวะของก๊าซ จากอุณหภูมิและความดันหนึ่งไปเป็นอุณหภูมิ
และความดันอื่น ๆ ใช้ความสัมพันธ์ดังนี้
1T
1V1P
=
2T
2V2P
= ……
สมการดังกล่าวเรียกว่า กฎรวมของก๊าซ
ในกรณีที่อุณหภูมิคงที่ ใช้กฎของบอยล์ได้ ในกรณีที่ความดันคงที่ใช้กฎของชาร์ลส์ได้ แต่ถ้า
อุณหภูมิและความดันไม่คงที่จะใช้กฎของบอยล์และกฎของชาร์ลส์ไม่ได้ จะต้องใช้กฎรวมก๊าซแทน ดังนั้น
กฎรวมก๊าซจึงสามารถใช้คานวณเกี่ยวกับ P , T และ V ของก๊าซต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องมี P , V หรือ T
คงที่ แต่ต้องมีมวล หรือ โมล (n) ของก๊าซคงที่
20. 20
สมการภาวะของก๊าซอุดมคติ
เป็นการนากฎของบอยล์ กฎของชาร์ลส์และกฎของอาโวกาโดรมารวมกัน เพื่อใช้หาความสัมพันธ์
ระหว่าง P , V , T และ n ของก๊าซ
ในกรณีที่ปริมาณของก๊าซไม่คงที่ จะใช้กฎรวมของก๊าซ
1T
1V1P
=
2T
2V2P
ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมา
ใช้สมการภาวะของก๊าซอุดมคติซึ่งเขียนเป็นความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้
จากกฎของบอยล์และชาร์ลส์ V P
T
จากกฎของอาโวกาโดร V n
เมื่อรวมกัน จะได้ V P
nT
หรือ V = P
RnT
หรือ PV = nRT
เรียกสมการ PV = nRT นี้ว่า “สมการภาวะของก๊าซอุดมคติ” หรือเรียกว่ากฎของก๊าซอุดมคติ
หรือกฎของก๊าซสมบูรณ์ ใช้คานวณเกี่ยวกับ P , V , T และ n ของก๊าซต่าง ๆ ทุกชนิด ทุกสภาวะโดยไม่
ต้องมีตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งคงที่
R เรียกว่า ค่าคงที่สากลของก๊าซ (Universal constant) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ค่าคงที่ของก๊าซ
R เป็นค่าคงที่สากลที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซ ไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความดัน หรือปริมาตร
และปริมาณของก๊าซที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับหน่วยของ P , V , T และ n หมายความว่า ไม่ว่าจะใช้ก๊าซใดก็ตาม
ถ้าใช้หน่วยของ P , V , T และ n เหมือนกันจะต้องมีค่า R เท่ากัน ในทุก ๆ สภาวะของ P , V , T และ
n ที่ใช้ แต่ถ้าใช้หน่วยของ P , V , T และ n ต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นก๊าซชนิดเดียวกันที่สภาวะเดียวกันค่า
R จะแตกต่างกัน
เช่น R = 0.082 atm . l . K-1
. Mol-1
หมายความว่า ก๊าซทุกชนิดเช่น O2 , H2 , CO2 , ถ้าใช้หน่วย
ของ V เป็น l (ลิตร) , P เป็น atm , T เป็น K , และ n เป็น mol จะต้องมีค่า R = 0.082 เท่ากัน
การหาค่า R
ค่า R ของก๊าซใด ๆ คานวณได้จากความสัมพันธ์
R = nT
PV
โดยพิจารณาจากก๊าซ 1 โมล ซึ่งมีปริมาตร 22.414 ลิตรที่ STP ( 00
C , 1 atm)
เมื่อแทนค่า P , V , T และ n ลงในสมการจะได้ค่า R ดังนี้
21. 21
R = nT
PV = K)(273.15)mol.1(
l.)22.414()atm1(
= 0.08205 atm . l . K-1
. Mol-1
(หรือ R = 0.082 atm . l . K-1
. Mol-1
ซึ่งเป็นค่าโดยประมาณที่นิยมใช้กัน)
แต่ถ้าใช้หน่วยของ P , V , T และ n เปลี่ยนไป ค่า R จะเปลี่ยนไป เช่น
R = nT
PV =
K)(273.15)mol.1(
.)cm22414()atm1( 3
= 82.05 atm . cm3
. K-1
. Mol-1
ค่า R นอกจากจะพิจารณาในเทอมของ P , V , T และ n แล้ว ยังสามารถพิจารณาในหน่วยอื่น ๆ
เช่น หน่วยพลังงานและงาน เป็นต้น ดังในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 4.6 ค่าคงที่ของก๊าซในหน่วยต่าง ๆ ( T เป็นเคลวิน , n เป็นโมล)
P V R
atm
atm
mm.Hg
l
cm3
cm3
0.082 l. atm . K-1
. Mol-1
82.05 cm3
atm . K-1
. Mol-1
62360 cm3
mm.Hg. K-1
. Mol-1
R ในหน่วย ergs = 8.314 x 107
ergs K-1
mol-1
R ในหน่วย Joule = 8.314 JK-1
mol-1
R ในหน่วย calory = 1.987 cal K-1
mol-1
หมายเหตุ 1 J = 107
ergs
1 cal = 4.184 J.
การคานวณเกี่ยวกับกฎของก๊าซอุดมคติสาหรับวิชาเคมีในระดับนี้ส่วนใหญ่ใช้ค่า R = 0.082 l. atm .
K-1
. Mol-1
สมการของก๊าซอุดมคติกับมวลโมเลกุลและความหนาแน่น
จากการคานวณเกี่ยวกับโมล
n = M
W = 2310x6.02
N
เมื่อ N = จานวนโมเลกุล
M = มวลโมเลกุล
W = มวล
n = โมล
22. 22
เมื่อนามาประยุกต์เข้ากับสมการของก๊าซอุดมคติ PV = nRT จะสามารถคานวณเกี่ยวกับมวล
โมเลกุลและความหนาแน่นของก๊าซ (d) ได้
PV = nRT = M
W RT
เพราะฉะนั้น M = P
RT
V
W. = P
RTd
หรือ d = RT
PM
เมื่อ d = V
W = ความหนาแน่นของก๊าซ(หน่วยเป็น g/dm3
)
จะเห็นได้ว่าสมการของก๊าซอุดมคติ นอกจากจะใช้คานวณเกี่ยวกับ P , V, T และ n ของก๊าซที่
ภาวะต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถนามาคานวณเกี่ยวกับมวลโมเลกุลและความหนาแน่นของก๊าซได้
ถ้ามีข้อมูลของ P , V, T และ w (หรือ d) จะหา M ได้ ในทานองกลับกันถ้าทราบ M ก็คานวณ
d ได้เช่นเดียวกัน
สาหรับความหนาแน่นของก๊าซ ซึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความดัน ถ้าเป็นก๊าซชนิดเดียวกัน อาจจะ
คานวณความหนาแน่นที่ภาวะหนึ่งจากภาวะอื่น ๆ ได้ โดยพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบดังนี้
จาก d = RT
PM สาหรับก๊าซชนิดเดียวกัน M จะเท่ากัน
ที่ T และ P ต่างกัน
จะได้ d1 =
1RT
1P
M และ d2 =
2RT
2P
M
1T2P
2T1P
2d
1d
หรือ
2P
2T2d
1P
1T1d
แต่ถ้าเป็นก๊าซต่างชนิดที่มี T และ P เท่ากัน จะได้
P
RT
1d1M และ
P
RT
2d2M
จะได้
2d
1d
1M
1M
ดังนั้นเมื่อทราบความหนาแน่นของก๊าซชนิดหนึ่ง จะสามารถหาความหนาแน่นของก๊าซอีกชนิด
หนึ่งที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน (ถ้าอุณหภูมิและความดันต่างกันใช้สูตรนี้ไม่ได้)
สาหรับการคานวณเกี่ยวกับจานวนโมเลกุล (N) ของก๊าซ เมื่อทราบ P , V , และ T จะทาได้ดังนี้
PV = nRT = 2310x6.02
NRT หรือ