Contenu connexe
Similaire à เครื่องใช้ไฟฟ้า
Similaire à เครื่องใช้ไฟฟ้า (20)
เครื่องใช้ไฟฟ้า
- 3. เครื่องใช้ ไฟฟา
้
เครื่องใช้ ไฟฟ้ า คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานรู ปอื่น เพื่อ
นาไปใช้ในชีวตประจาวัน ได้แก่
ิ
- 4. เครื่องใช้ ไฟฟ้ าทีให้ แสงสว่ าง
่
อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานแสง ได้แก่ หลอดไฟฟ้ า หลอดฟลูออ
เรสเซนต์ และหลอดไฟโฆษณา โธมัส แอลวา เอดิสน (Thomas Alva Edison) นัก
ั
ั
ฟิ สิ กส์ชาวอเมริ กน ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้ า ขึ้นเป็ นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2422 โดยใช้
คาร์บอนเส้นเล็กๆเป็ นไส้หลอดและต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้น จนเป็ นหลอดไฟฟ้ าที่ใช้
ในปัจจุบน ั
- 5. 1.หลอดไฟฟ้ า
หลอดไฟฟ้ า มีส่วนประกอบดังนี้
•ไส้หลอด ครั้งแรก เอดิสนใช้คาร์บอนเส้นเล็ก ๆ เป็ นไส้หลอด ซึ่งมีปัญหาคือ ไส้หลอด
ั
ขาดง่ายเมื่อได้รับความร้อน ปั จจุบนไส้หลอดทาด้วยทังสเตน ซึ่งเป็ นโลหะที่หาง่าย ราคา
ั
ไม่แพง มี ความต้านทานสูง มีจุดหลอดเหลวสูงมาก เมื่อได้รับความร้อนจึงไม่ขาดง่าย
่ ั
ลักษณะของไส้หลอด ขดไว้เหมือนสปริ ง มีขนาดแตกต่างกันขึ้นอยูกบกาลังไฟฟ้ าของ
หลอดไฟฟ้ า กล่าวคือ หลอดที่มีกาลังไฟฟ้ าต่าไส้หลอดจะใหญ่ ความต้านทานน้อย ส่ วน
หลอดที่มีกาลังไฟฟ้ าสูง ไส้หลอดจะเล็ก มีความต้านทานมาก
•หลอดแก้ว ทาจากหลอดแก้วใส ทนความร้อนได้ดี ภายในสูบอากาศออกจนหมด แล้ว
บรรจุแก๊สไนโตรเจน และอาร์กอนเพียงเล็กน้อยไว้แทนที่ แก๊สที่บรรจุไว้น้ ีจะช่วยให้
ทังสเตนที่ได้รับความร้อนไม่ระเหิดไปจับที่ผวในของหลอดไฟฟ้ า ซึ่ งจะทาให้หลอด
ิ
ไฟฟ้ าดา
•ขั้วต่อไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟ้ าภายในหลอด
- 6. 1.หลอดไฟฟ้ า
หลอดไฟฟ้ า มีส่วนประกอบดังนี้
•ไส้หลอด ครั้งแรก เอดิสนใช้คาร์บอนเส้นเล็ก ๆ เป็ นไส้หลอด ซึ่งมีปัญหาคือ ไส้หลอด
ั
ขาดง่ายเมื่อได้รับความร้อน ปั จจุบนไส้หลอดทาด้วยทังสเตน ซึ่งเป็ นโลหะที่หาง่าย ราคา
ั
ไม่แพง มี ความต้านทานสูง มีจุดหลอดเหลวสู งมาก เมื่อได้รับความร้อนจึงไม่ขาดง่าย
่ ั
ลักษณะของไส้หลอด ขดไว้เหมือนสปริ ง มีขนาดแตกต่างกันขึ้นอยูกบกาลังไฟฟ้ าของ
หลอดไฟฟ้ า กล่าวคือ หลอดที่มีกาลังไฟฟ้ าต่าไส้หลอดจะใหญ่ ความต้านทานน้อย ส่ วน
หลอดที่มีกาลังไฟฟ้ าสูง ไส้หลอดจะเล็ก มีความต้านทานมาก
•หลอดแก้ว ทาจากหลอดแก้วใส ทนความร้อนได้ดี ภายในสูบอากาศออกจนหมด แล้ว
บรรจุแก๊สไนโตรเจน และอาร์กอนเพียงเล็กน้อยไว้แทนที่ แก๊สที่บรรจุไว้น้ ี จะช่วยให้
ทังสเตนที่ได้รับความร้อนไม่ระเหิ ดไปจับที่ผวในของหลอดไฟฟ้ า ซึ่งจะทาให้หลอด
ิ
ไฟฟ้ าดา
•ขั้วต่อไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟ้ าภายในหลอด
- 7. หลักการทางานของหลอดไฟฟา ้
การที่หลอด ไฟฟ้ าให้แสงสว่างได้เป็ นไปตามหลักการดังนี้ เมื่อ
กระแสไฟฟ้ าไหลผ่านไส้หลอด ซึ่ งมีความต้านทานสูง พลังงาน
ไฟฟ้ าจะเปลี่ยนเป็ นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้หลอดร้อนจัดจน
เปล่งแสง ออกมาได้ ซึ่งมีการเปลี่ยนรู ปพลังงานดังนี้
พลังงานไฟฟ้ า ----> พลังงานความร้อน ----> พลังงานแสง
- 8. 2.หลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดฟลูออเรสเซนต์ (fluorescent) หรื อหลอดเรื องแสง เป็ นอุปกรณ์
ั
ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นแสงสว่างที่นิยมใช้กนมาก มีรูปร่ างหลายแบบเช่น
ทรงกระบอกสั้น ยาว ครึ่ งวงกลม หรื อวงกลม หลอดฟลูออเรสเซนต์ มี
ส่ วนประกอบดังนี้
• ขั้วต่อไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟ้ าของหลอดฟลูออเรสเซนต์
่
• ไส้หลอด ทาด้วยโลหะทังสเตนอยูที่ปลายหลอดทั้งสองข้าง
• หลอดแก้ว ภายในหลอดสูบอากาศออกจนหมด แล้วใส่ ไอปรอทไว้เล็กน้อย ผิว
หลอดแก้วด้านใน ฉาบด้วยสารวาวแสง (fluorescent coating) ชนิด
ต่าง ๆ ซึ่งจะให้สีต่าง ๆ กันออกไป
- 9. อุปกรณ์ ทต้องใช้ ประกอบกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ มีดงนี้
ี่ ั
สตาร์ตเตอร์ (starter) ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์อตโนมัติในขณะหลอดฟลูออเรสเซนต์ยง
ั ั
ไม่ติด และหยุดทางานเมื่อหลอดติดแล้ว
แบลลัสต์ (ballast) ทาหน้าที่เพิ่มความต่างศักย์ เพื่อให้หลอดฟลูออเรสเซนต์ติดใน
่
ตอนแรก และทาให้กระแสไฟฟ้ าที่ผานหลอดไฟลดลงเมื่อหลอดติดแล้ว พร้อมทั้งควบคุม
ให้กระแสไฟฟ้ าคงตัว
การใช้ หลอดฟลูออเรสเซนต์ ทุกชนิดต้ องต่ อวงจรเข้ ากับสตาร์ ตเตอร์ และแบลลัสต์ แล้ วจึง
ต่ อเข้ ากับสายไฟฟ้ าในบ้ าน ดังรูป
- 10. หลักการทางานของหลอดฟลูออเรสเซนต์
เมื่อกระแสไฟฟ้ าผ่านไอปรอท จะคายพลังงานไฟฟ้ าให้แก่ไอปรอทซึ่งจะทาให้อะตอมของไอ
่
ปรอทอยูในสภาวะถูกกระตุน (exited state) เป็ นผลให้อะตอมปรอทคายพลังงานออกมา
้
เพื่อ ลดระดับพลังงานในตัวเองในรู ปของรังสี อลตราไวโอเลต ซึ่งมองไม่เห็น เมื่อรังสี ชนิดนี้ไป
ั
กระทบกับสารวาวแสงที่ฉาบไว้ที่ผวด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์ สารเหล่านี้จะเปล่งแสงได้
ิ
โดยให้แสงสี ต่างๆตามชนิดของสารวาวแสงที่ฉาบไว้ภายในหลอดนั้น เช่น แคดเมียมบอเรท
(Cadmium borate) ให้ แสงสี ชมพู แคดเมียมซิ ลิเคท (Cadmium silicate)
ให้แสงสี ชมพูอ่อน แมกนีเซียมทังสเตท (Magnesium tungstate) ให้แสงสี ขาวอม
ฟ้ า แคลเซียมทังสเตท (Calcium tungstate) ให้แสงสี น้ าเงิน ซิงค์ซิลิเคท (Zinc
silicate) ให้แสงสี เขียว ซิงค์เบริ ลเลียมซิ ลิเคท (Zinc Beryllium silicate) ให้
แสงสี เหลืองนวล นอกจากนี้ยงอาจผสมสารวาวแสงเหล่านี้ เพื่อให้ได้แสงสี ผสมที่แตกต่างกัน
ั
ออกไปได้อีกด้วย
- 11. ข้ อเปรียบเทียบระหว่ างหลอดไฟฟากับหลอดฟลูออเรสเซนต์
้
• หลอดไฟฟ้ าสว่างน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อมีจานวนวัตต์เท่ากัน
• หลอดไฟฟ้ ามีอายุการใช้งานสั้นกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
• ขณะใช้งานอุณหภูมิของหลอดไฟฟ้ าสูงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
• หลอดไฟฟ้ าเสี ยค่าใช้จ่ายในการติดตั้งน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ เพราะหลอด
ฟลูออเรสเซนต์ต่อวงจร เข้ากับแบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์เสมอ
- 12. 3.หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์หรื อที่เรี ยกกันทัวไปว่าหลอดตะเกียบ หลอดคอมแพค
่
ฟลูออเรสเซนต์มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีแบลลัสต์ภายใน สามารถใช้แทนหลอดไฟฟ้ าแบบมี
่
เขี้ยวและแบบเกลียวได้ อีกชนิดหนึ่งเป็ นแบบที่มีแบลลัสต์อยูภายนอกจะมีขาเสี ยบ เพื่อ
ต่อเข้ากับแบลลัสต์ สมบัติที่สาคัญของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ คือ ช่วยประหยัด
พลังงานไฟฟ้ า และมีอายุการใช้งาน ที่ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
- 13. 4.หลอดไฟโฆษณา
หลอดไฟโฆษณา เป็ นหลอดแก้วขนาดเล็กที่ถูกลนไฟดัดให้เป็ นรู ปภาพหรื อตัวอักษรต่าง
ๆ ไม่มีไส้หลอดไฟ แต่ที่ปลายทั้ง 2 ข้างจะมีข้วไฟฟ้ าทาด้วยโลหะต่อกับแหล่ง กาเนิดไฟฟ้ า
ั
ที่มีความต่างศักย์สูงประมาณ 10,000 โวลต์ ภายในหลอดชนิดนี้จะสู บอากาศออกจนเป็ น
สูญญากาศ แล้วบรรจุแก๊สบางชนิดที่จะให้แสงสี ต่าง ๆ เมื่อมีกระแสไฟฟ้ าไหลผ่าน เช่น
แก๊สนีออน จะให้แสงสี แดง หรื อส้ม แก๊สฮีเลียมให้แสงสี ชมพู แก๊สอาร์กอนให้แสงสี ขาวอม
น้ าเงิน แก๊สคริ ปตอนให้แสงสี ม่วงอ่อน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้แสงสี ขาว แก๊สซี นอน
ให้แสงสี ฟ้า แก๊สไนโตรเจนให้แสงสี ม่วงแก่ นอกจากนี้ถาใช้แก๊สต่าง ๆ ผสมกันก็จะได้แสง
้
สี ต่าง ๆ กันออกไปอีกด้วย จากความต่างศักย์ที่ สูงมาก ๆ นี้จะทาให้แก๊สที่บรรจุอยูภายใน
่
หลอดเกิดการแตกตัวเป็ นไอออนและนาไฟฟ้ าได้ ซึ่ งจะร้อนและติดไฟให้แสงสี ต่าง ๆ ได้
เมื่อมีกระแสไฟฟ้ าไหลผ่าน
ตัวเลขที่ปรากฏบนหลอดไฟฟ้ า และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่ งบอกกาลังไฟฟ้ าเป็ นวัตต์
(W) เป็ นการบอกถึงปริ มาณพลังงานไฟฟ้ าที่ใช้ไปใน 1 วินาที เช่น 18 W หมายถึงหลอด
ไฟฟ้ าชนิดนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้ าไป 18 จูล ใน 1 วินาที ดังนั้นหลอดไฟฟ้ าและหลอดฟลูออ
เรสเซนต์ที่ใช้กาลังไฟฟ้ ามากเมื่อใช้งานจะสิ้ นเปลืองพลังงานไฟฟ้ ามาก
- 14. ข้ อแนะนาเกียวกับเครื่องใช้ ไฟฟ้ าทีให้ แสงสว่ าง
่ ่
หลอดฟลูออเรสเซนต์รุ่นใหม่ซ่ ึ งเป็ นหลอดที่มีประสิ ทธิ ภาพสู ง ( หลอดผอม ) ให้ความสว่างสู ง เท่ากับ
หลอดฟลูออเรสเซนต์ธรรมดา แต่สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ าน้อยกว่า มีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่า ตัวหลอดจะเล็ก
กว่าหลอดธรรมดา มีขนาด 18 วัตต์ ใช้แทนขนาด 20 วัตต์ และขนาด 36 วัตต์ ใช้แทนขนาด 40 วัตต์ สามารถ
นาไปสวมเข้ากับขั้วและขาหลอดเดิมได้ทนทีโดยไม่ตองเปลี่ยน แบลลัสต์ และสตาร์ตเตอร์ หลอดไฟชนิด
ั ้
ดังกล่าวจะประหยัดพลังงานไฟฟ้ าได้ประมาณร้อยละ 10
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ เป็ นหลอดไฟชนิดใหม่ มีลกษณะเป็ นหลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนาดเล็ก ที่
ั
ได้พฒนาเพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน โดยใช้แทนหลอดไฟฟ้ าได้ มีอายุการใช้งานมากกว่าหลอดไฟฟ้ า
ั
ถึง 8 เท่า ใช้พลังงานไฟฟ้ าน้อยกว่าหลอดไฟฟ้ า 4 เท่า เป็ นหลอดที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้ าได้ถึงร้อยละ 75
่
ปั จจุบนมี 2 ประเภทคือ ประเภทที่มีแบลลัสต์ และสตาร์ตเตอร์รวมอยูภายในหลอด สามารถนาไปใช้แทน
ั
หลอดไฟฟ้ าชนิดเกลียวได้ทนทีโดยไม่ตองเพิ่มอุปกรณ์อ่ืน มีหลายขนาดให้เลือกใช้คือ
ั ้
• ขนาด 9 วัตต์ ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟ้ า ขนาด 40 วัตต์
• ขนาด 13 วัตต์ ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟ้ า ขนาด 60 วัตต์
• ขนาด 18 วัตต์ ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟ้ า ขนาด 75 วัตต์
• ขนาด 25 วัตต์ ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟ้ า ขนาด 100 วัตต์
- 15. ่
จะเห็นได้วาหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ มีคุณสมบัติดีกว่า ช่วยประหยัดค่า
ไฟฟ้ า หากใช้ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ ชนิดที่มีแบลลัสต์ภายใน ขนาด 13
วัตต์ 1 หลอด แทนหลอดไฟฟ้ าขนาด 60 วัตต์ จานวน 1 หลอด จะประหยัดค่า
ไฟฟ้ าได้ ประมาณปี ละ 142 บาท หลอดคอม - แพคฟลูออเรสเซนต์อีกชนิดหนึ่ง
เป็ นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์แบลลัสต์ภายนอก ซึ่ งมีหลักการเดียวกับหลอด
คอมแพคฟลูออเรสเซนต์แบลลัสต์ภายใน แต่หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
แบลลัสต์ ภายนอก สามารถเปลี่ยนหลอดได้ง่ายเมื่อหลอดชารุ ด ตัวหลอดมีลกษณะ ั
่
งอโค้งเป็ นรู ปตัวยู ภายในขั้วของหลอดจะมีสตาร์ตเตอร์อยูภายใน และมีแบลลัสต์
่ ั
อยูภายนอก การติดตั้งใช้งานต้องมีขาเสี ยบ เพื่อใช้กบแบลลัสต์ที่แยกออกมา มี
ขนาดให้เลือกใช้ต้งแต่ 5 วัตต์ 7 วัตต์ 9 วัตต์ และ 11 วัตต์
ั
- 16. เครื่องใช้ ไฟฟ้ าทีให้ พลังงานความร้ อน
่
เครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานความร้อน เป็ นเครื่ องใช้ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ น
พลังงานความร้อน โดยใช้หลักการคือ เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้ าผ่านขดลวดตัวนาที่มี
ความต้านทานสูงๆ ลวดตัวนานั้นจะร้อนจนสามารถนาความร้อนออกไปใช้ประโยชน์
ได้ เนื่องจากเป็ นเครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานความร้อนมาก จึงสิ้นเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ า
มากเมื่อเปรี ยบกับการใช้เครื่ องใช้ไฟฟ้ าประเภทอื่นๆ เมื่อใช้ในเวลาที่เท่ากัน ฉะนั้น
ขณะใช้เครื่ องใช้ไฟฟ้ าให้พลังงานความร้อนจึงควรใช้ดวยความระมัดระวัง ตัวอย่าง
้
เครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานความร้อน เช่น เตารี ด หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้ า กาต้มน้ า
เครื่ องต้มกาแฟ เตาไฟฟ้ า ฯลฯ
- 17. ส่ วนประกอบในเครื่องใช้ ไฟฟ้ าที่ให้ พลังงานความร้ อน มีดงนี้
ั
1. ขดลวดความร้อน หรื อแผ่นความร้อน มักทาจากโลหะผสมระหว่างนิ เกิลกับโครเมียม เรี ยกว่า
นิโครม ซึ่ งมีสมบัติคือมีจุดหลอมเหลวสู งมากจึงทนความร้อนได้สูงเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นมากๆจึง
ไม่ขาด และมีความต้านทานสู งมาก
2. เทอร์โมสตาร์ท หรื อสวิตซ์ความร้อนอัตโนมัติ ทาหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินไป มี
ส่ วนประกอบเป็ นโลหะต่างชนิดกัน 2 แผ่นมาประกบกัน เมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัวได้ไม่
่ ้
เท่ากัน เช่น เหล็กกับทองเหลือง โดยให้แผ่นโลหะที่ขยายตัวได้นอย(เหล็ก)อยูดานบน ส่ วนโลหะ
้
่ ้
ที่จะขยายตัวได้มาก(ทองเหลือง)อยูดานล่าง เมื่อกระแสไฟฟ้ าไหลผ่านแผ่นโลหะทั้งสองมากขึ้น
จะทาให้มีอุณหภูมิสูงจนแผ่นโลหะทั้งสองซึ่ งขยายตัวได้ต่างกันโลหะที่ขยายตัวได้มากจะขยายตัว
โค้งงอ เป็ นเหตุให้จุดสัมผัสแยกออกจากกัน เกิดเป็ นวงจรเปิ ด กระแสไฟฟ้ าจึงไหลผ่านไม่ได้ และ
เมื่อแผ่นโลหะทั้งสองเย็นลงก็จะสัมผัสกันเหมือนเดิม เกิดเป็ นวงจรปิ ด กระแสไฟฟ้ าจึงไหลผ่าน
ได้อีกครั้งหนึ่ง
3. แผ่นไมกา หรื อ แผ่นใยหิ น ซึ่ งเป็ นฉนวนไฟฟ้ า ในเครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงาน ความร้อน
บางชนิด เช่นเตารี ด หม้อหุงข้าว เตาไฟฟ้ า จะมีแผ่นไมกา หรื อใยหิ น เพื่อป้ องกันไม่ให้ขดลวด
หลอมละลาย และป้ องกันไฟฟ้ ารั่วขณะใช้งาน
- 18. 1.เตารีดไฟฟ้ า
เตารี ดไฟฟ้ าในปั จจุบนมี 3 ประเภท คือ
ั
ั
- เตารี ดไฟฟ้ าแบบธรรมดา ใช้กนโดยทัวไป ่
ั
- เตารี ดไฟฟ้ าแบบไอน้ า ราคาสู งกว่าธรรมดา ให้ความสะดวกเพราะไม่ตองพรมน้ าให้กบผ้าก่อนรี ด
้
- เตารี ดไฟฟ้ าแบบกดทับ ราคาสู งมาก เหมาะกับการใช้งานในร้านซักรี ดที่มีการรี ดผ้าครั้งละมากๆ
การเลือกใช้เตารี ดไฟฟ้ า
- ควรเลือกให้มีขนาดเหมาะสมกับปริ มาณผ้า เช่น หากมีปริ มาณผ้ามาก แต่ใช้เตารี ดขนาดเล็ก (750 วัตต์) จะ
ใช้เวลารี ดผ้ามาก เมื่อเปรี ยบเทียบกับการใช้เตารี ด ขนาดใหญ่ข้ ึนจะใช้เวลาน้อยกว่าซึ่ งคิดเป็ นค่าไฟฟ้ าจะ
ใกล้เคียงกัน การใช้งานที่ถกวิธี- รี ดผ้าบางก่อนผ้าหนา เพื่อการปรับอุณหภูมิจากร้อนน้อยไปร้อนมาก
ู
- พรมน้ าให้ผาก่อนรี ด แต่ตองไม่มากเกินไป
้ ้
- ควรรี ดผ้าครั้งละมากพอควร ไม่ควรรี ด ทีละชุด
- ควรดึงปลักก่อนรี ดเสร็ จ ประมาณ 3-4 นาที เพราะความร้อนที่เหลือยังเพียงพอ
๊
ั
- เต้าเสี ยบที่ใช้กบเตารี ดควรมีสายดิน
- น้ าที่ใช้เติมเตารี ดไอน้ าควรเป็ นน้ ากลันหรื อน้ าอ่อน (ไม่กระด้าง)
่
- 19. 2.กาต้ มนา ้
- ใส่ น้ าให้ปริ มาณพอเหมาะกับความต้องการ
- ถ้าต้มน้ าต่อเนื่อง ต้องมีน้ าบรรจุไว้อยูเ่ สมอ
- ถอดปลักทันทีที่น้ าเดือด
๊
- ไม่ควรวางใกล้วสดุติดไฟ
ั
- อย่าใส่ น้ าให้ปริ มาณมากเกินไป เพราะเวลาน้ าเดือดจะเกิดน้ าล้นและทาให้ไฟฟ้ า
ลัดวงจรได้
- เมื่อไม่ใช้งานเป็ นเวลานานควรเทน้ าทิ้งและทาให้แห้ง
- หม้อต้มน้ าร้อนต้องต่อสายดินเพื่อป้ องกันไฟรั่ว
- 20. เครื่องใช้ ไฟฟ้ าทีให้ พลังงานกล
่
เครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานกลได้ ต้องใช้มอเตอร์เป็ นอุปกรณ์
ในการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานกล เช่น เครื่ องซักผ้า เครื่ องสูบน้ า พัดลม จักรเย็บ
ผ้า ตูเ้ ย็น เครื่ องปรับอากาศ เป็ นต้น
- 21. ส่ วนประกอบและหลักการทางานของมอเตอร์
่
มอเตอร์ประกอบด้วยขดลวดตัวนาอยูในสนามแม่เหล็กทางานได้โดยอาศัยหลักการ
่
ที่วา เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้ าเข้าไปในขดลวดตัวนาที่พนรอบแกนเหล็กในสนามแม่เหล็กจะ
ั
เกิดอานาจ แม่เหล็ก ผลักกับสนามแม่เหล็ก ทาให้ขดลวดหมุนได้
การควบคุมให้มอเตอร์หมุนช้าหรื อเร็ ว ทาได้โดยการเพิ่มหรื อลดความต้านทานไฟฟ้ า
ถ้าความต้านทานไฟฟ้ ามาก มอเตอร์จะหมุนช้า ถ้าลดความต้านทานไฟฟ้ าลง มอเตอร์จะ
หมุนเร็วขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้มอเตอร์หรื อเครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่มีมอเตอร์เป็ นส่ วนประกอบ คือ ถ้า
ไฟตก มอเตอร์จะไม่หมุน แต่ยงมีกระแสไฟฟ้ าไหลผ่านขดลวดตัวนาอยู่ ซึ่ งอาจทาให้
ั
ขดลวดร้อนและไหม้ได้ ดังนั้นจึงต้องถอดเต้าเสี ยบออกจากเต้ารับทุกครั้งที่ไฟตก และ
เมื่อเลิกใช้งาน
- 22. เครื่องใช้ ไฟฟ้ าทีให้ พลังงานเสี ยง
่
เครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานเสี ยง เป็ นเครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ น
พลังงานเสี ยง เช่น เครื่ องรับวิทยุ เครื่ องบันทึกเสี ยง เครื่ องขยายเสี ยง
- 23. 1.เครื่องรับวิทยุ
เป็ นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานเสี ยง โดยเครื่ องรับวิทยุอาศัยการรับ
คลื่นวิทยุจากสถานีส่ง แล้วใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขยายสัญญาณเสี ยงที่อยูในรู ปของ
่
สัญญาณไฟฟ้ าให้แรงขึ้นจนเพียงพอที่ทาให้ลาโพงเสี ยงสันสะเทือนเป็ นเสี ยงให้เราได้
่
ยิน ดังแผนผัง
สถานีวทยุกระจายเสี ยงแต่ละสถานีจะส่ งคลื่นวิทยุดวยความถี่ที่แตกต่างกัน
ิ ้
ซึ่งเราสามารถเลือกสถานีเพื่อรับฟังได้โดยหมุนปุ่ มเลือกสถานี
- 24. 2.เครื่องขยายเสี ยง
เป็ นเครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานเสี ยง โดยการใช้ไมโครโฟนเปลี่ยน
เสี ยงเป็ นสัญญาณไฟฟ้ า แล้วขยายสัญญาณไฟฟ้ าให้แรงขึ้นด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จนทาให้
ลาโพงสันสะเทือนเป็ นเสี ยง
่
เครื่ องขยายเสี ยงมีส่วนประกอบดังนี้
• ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสี ยงให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้ า
• เครื่ องขยายสัญญาณไฟฟ้ า ขยายสัญญาณไฟฟ้ าให้แรงขึ้น
• ลาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ าให้เป็ นพลังงานเสี ยง
เครื่ องใช้ไฟฟ้ าหลายชนิด สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานอื่นๆ หลายรู ปได้พร้อม
กัน เช่น โทรทัศน์สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานแสง และพลังงานเสี ยงในเวลา
เดียวกัน