Contenu connexe
Plus de Dr.Choen Krainara (20)
อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ในกรอบการเจรจาเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (NAMA) ภายใต้องค์การ
- 1. อุปสรรคทางการคาที่มิใชภาษี (NTBs)ในกรอบการเจรจาเปด
ตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (NAMA) ภายใต้องค์การการค้าโลก
โดย
เชิญ ไกรนรา
กลุ่มงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2549
--------------------------------------
1. ความเป็นมา การเจรจาการค้าภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก ได้ทวีความเข้มข้นและลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers : NTBs) ซึ่งที่ประชุมระดับรัฐมนตรี WTO เมื่อ
ปลายปี 2548 ได้มีมติให้กลุ่มเจรจาเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมเร่งพิจารณาลด/เลิก NTBs โดยเฉพาะปัญหากับสินค้า
ส่งออกของประเทศกาลังพัฒนา การสัมมนา มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานสถานะความคืบหน้า และรับฟังปัญหาอุปสรรค
ด้าน NTBs ของสินค้าส่งออกของไทย จากผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ สาหรับนาไปเป็นข้อมูล
ประกอบการกาหนดท่าที กลยุทธ์ในการเจรจา NTBs ในกรอบ NAMA ภายใต้ WTO โดยเป็นการอภิปรายกลุ่มย่อย 6
กลุ่ม คือ (1) สินค้าเครื่องมือแพทย์ (2) สินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน (3) สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (4) การใช้
มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (5) มาตรการที่เกี่ยวกับประมงและผลิตภัณฑ์ประมง และ (6) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
2. การอภิปรายและหารือของกลุ่มย่อย สรุปไดดังนี้
2.1 กลุมที่ 1: NTBs ที่เกี่ยวของกับสินคาเครื่องมือแพทย
การสงออก
1) การสงสินคาไปออสเตรเลีย ในกรณีที่รองสินคา (pellet) เปนไม ตองทาการรมควันไมเพื่อกาจัดแมลงดวย
2) ประเทศในกลุม Gulf (ตะวันออกกลาง) ไดกาหนดวา ยาที่จะขายในกลุม Gulf ตองไดรับอนุญาตใหขายใน
ยุโรปอย่างนอย 3 ประเทศดวย
3) สหรัฐฯ มีการกาหนดมาตรฐานถุงมือยางที่สูงมากกวามาตรฐานในยุโรป ทาใหเปนอุปสรรคในการสงออก
4) มาตรฐานตางๆ ในเรื่องยาและเครื่องมือแพทยในแตละประเทศไมตรงกัน แมกระทั้งการนิยามคาวา ยา และ
อาหารเสริมในแตละประเทศก็ไมตรงกันทาใหเปนอุปสรรคในการสงออก-การนาเขา
ข้อคิดเห็นจากที่ประชุม
1) ไดอภิปรายขอเสนอของสหรัฐอเมริกา เรื่องสินคา remanufacture เครื่องมือแพทย ซึ่งปจจุบันโดยทั่วไป
ไทยไมอนุญาตใหมีการนาเขาเครื่องมือแพทยที่เปน remanufacture เครื่องมือแพทยที่นาเขาตองเปนของใหมที่
ยังไมเคยใชงานมากอน
2) ที่ประชุมมีมุมมองใน 2 ประเด็น คือ (1) หากอนุญาตใหมีการนาเขาสินคาเครื่องมือแพทย Remanufacture
(Reman) จะทาอยางไรในการควบคุมใหสินคา Reman เปนสินคาที่ไดคุณภาพเหมือนของใหมตามที่ผูผลิตหรือ
ผู Reman กล่าวอ้าง (2) สินคาเครื่องมือแพทย Reman เปนอีกทางเลือกหนึ่งสาหรับหนวยงานที่งบประมาณมี
- 2. - 2 -
จากัด ซึ่งหากผูขายเป็นบริษัทผูผลิตและทาการ Reman ดวย มีการรับประกันสินคาและบริการหลังการขาย ก็
จะเปนทางเลือกอีกทางหนึ่ง ผลไดจะทาใหคารักษาพยาบาลถูกลง ประชาชนในชนบทมีโอกาสในการเขาถึงการ
รักษาพยาบาลที่ดีขึ้น มีอุปกรณการแพทยที่พอเพียง ที่ประชุมเห็นควรใหจัดการหารืออีกครั้งโดยเชิญผูใชงาน
เครื่องมือ เชน ผูแทนจากแพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาพยาบาล และผูแทนโรงพยาบาลตางๆ สมาคม
คุมครองผูบริโภค หนวยงานที่เกี่ยวของกับการรักษาพยาบาล เพื่อรับฟงขอคิดเห็นดังกลาว นอกจากนี้ขอให
กรมเจรจาการคาระหวางประเทศ ขอกฎหมายจากสหรัฐฯเกี่ยวกับขอบังคับเรื่องการขายสินคาเครื่องมือแพทย
Reman ในสหรัฐฯเพื่อทาการศึกษาและแจงใหที่ประชุมทราบวาสหรัฐฯ มีขอบังคับอยางไรในการอนุญาตใหขาย
สินคา Reman ในสหรัฐฯ ซึ่งกรมเจรจาการคาระหวางประเทศรับที่จะไปศึกษาและแจงใหที่ประชุมทราบ โดยจะ
จัดใหมีการหารืออีกครั้งในเดือนตุลาคม ศกนี้ ณ กรมเจรจาการคาระหวางประเทศ
2.2 กลุมที่ 2: NTBs ที่เกี่ยวของกับสินคายานยนตและชิ้นสวน
ที่ประชุมได้อภิปรายและทาความความเขาใจกับขอเสนอของ EU ในการลดอุปสรรคที่มิใชภาษีในกลุมยานยนต โดยเสนอ
ให Administrative Committee ที่จัดตั้งภายใตขอตกลงของ UN ป 1958 และ ExecutiveCommittee ที่จัดตั้งขึ้นภายใต
ขอตกลงป 1998 และใหสมาชิกพิจารณาใชกฎระเบียบของ UN/ECE ภายใตขอตกลงป 1958 และ Global Technical
Regulation ภายใตขอตกลงป 1998 เปนมาตรฐานระหวางประเทศ เนื่องจากขอเสนอดังกลาวของ EU เปนขอเสนอที่
เกี่ยวของกับดานเทคนิคและเปนเรื่องที่ละเอียดออน ที่ประชุมจึงจาเปนตองใชเวลาสวนใหญในการทาความเขาใจกับขอ
เสนอของ EU และขอตกลงของ UN ดังกลาว
ข้อคิดเห็นจากที่ประชุม
1) ที่ประชุมไดอภิปรายขอตกลงที่เกี่ยวของทั้งสองดังกล่าวโดยพบวาอยูภายใตการดูแลของกลุม Working
Party 29 (WP29) ของ UN โดย
ขอตกลงป 1958 เปนการสรางขอกาหนดดานมาตรฐานดานยานยนตและชิ้นสวน และมีขอตกลงที่
เกี่ยวของกับการยอมรับรวมกัน (Mutual Recognition Agreement: MRA) ซึ่งมีความผูกพันที่สมาชิก
ที่ยอมรับจะตองนาไปปฏิบัติ ภายใตขอตกลงนี้มีมาตรฐานในเรื่องตางๆ ประมาณ 160 เรื่องใหสมาชิก
เลือกที่จะผูกพันโดยไมจาเปนตองผูกพันในทุกรายการ และเมื่อตกลงผูกพันแลวจะสามารถทบทวน
ไดในเวลา 2 ป โดยในขณะนี้ประเทศไทยไดยินยอมลงนามเขาเปนสมาชิกในขอตกลงป1958 แลว
ขอตกลงป 1998 เปนขอตกลงที่ริเริ่มโดยสหรัฐฯโดยใหมีการ Harmonize มาตรฐานดานยานยนตเพื่อ
เป็นการลดตนทุนในการออกแบบและการทดสอบ ซึ่งจะเปนเพียงมาตรฐาน Global แตไมมีการบังคับ
หรือขอผูกพัน
2) ที่ประชุมเห็นดวยในหลักการเกี่ยวกับการแกไขปญหาดาน NTB โยรใหยานยนตและชิ้นสวนมีมาตรฐาน
เดียวกัน เพื่อชวยลดตนทุนในการออกแบบและการทดสอบ เพื่อใหไมจําเปนตองผลิตสินคาหลายมาตรฐาน
เพื่อสงออกไปยังตลาดตางๆ กัน และเปนการปองกันไมใหบางประเทศมีการใชการทดสอบเฉพาะ (Unique
Testing) ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทางการคา ทั้งนี้ประเทศไทยเองก็มีการพัฒนาดาน มาตรฐานอยางตอเนื่องและส
วนใหญจะอิงตามมาตรฐานสากลอยูแลว
3) สาหรับขอเสนอของ EU เกี่ยวของกับขอตกลงป 1958 และ 1998 นั้น ตองพิจารณาถึงระดับของการผูกพัน
ของไทยในขอตกลงป 1958 เนื่องจากในขอตกลงป 1958 ที่ไทยเปนสมาชิกนั้น ไมไดเปนการบังคับใหไทย
ต้องยอมรับทุกมาตรฐานภายใตขอตกลงดังกลาว แตใหเลือกไดตามความสมัครใจและเห็นวามาตรฐาน ต
างๆภายใตขอตกลงป1958นั้นบางเรื่องก็ไมมีความเหมาะสมกับประเทศไทยจาเปนตองมีการนามาปรับใช
ใหเหมาะสม
4) ในดานผลกระทบ เห็นวาผูผลิตรถยนตไมนาจะไดรับผลกระทบเนื่องจากจะไดรับการสนับสนุนดานมาตรฐาน
- 3. - 3 -
จากบริษัทแมอยูแลว ผูที่ไดรับผลกระทบจึงอาจเปนเพียงผูผลิตชิ้นสวนของไทยที่มีขนาดเล็ก อยางไรก็ตาม
บริษัทเหล่านี้ก็จะไดผลประโยชนจากการลดตนทุนเนื่องจากผลิตสินคาเพียงมาตรฐานเดียวส่งไปขายไดทุก
ประเทศ
2.3 กลุ่มที่ 3: NTBs ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
1) ที่ประชุมเห็นว่าการยอมรับมาตรฐานสากล (Recognition of Standards) ปัจจุบันไทยมีคณะกรรมการมาตรฐาน
แห่งชาติ (ภายใต้ความรับผิดชอบของสานักงานมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม) ซึ่งจัดทามาตรฐานสินค้าโดยยึดหลักการ
ขององค์กรมาตรฐานสากล เช่น ISO และ IEC อยู่แล้ว จึงสามารถยอมรับข้อเสนอของสหภาพยุโรป และเกาหลีเรื่องการ
ยอมรับมาตรฐานสากล เพื่อลดภาระในการปฏิบัติตามมาตรฐานที่แตกต่างและซับซ้อนของแต่ละประเทศ
2) ไทยยังไม่มีกฎหมายเรื่อง Product Liability ในการให้ผู้ผลิตรับรองมาตรฐานด้วยตนเอง (Supplier’s Declaration of
Conformity: SDoC) จึงยังไม่สามารถยอมรับให้ผู้ผลิตรับรองมาตรฐานด้วยตนเองได้ อย่างไรก็ตามหากจาเป็นต้องรับ
ข้อเสนอดังกล่าว ก็ขอให้มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวก่อน และให้มีระยะเวลาในการปรับตัวประมาณ 20 ปี
3) ที่ประชุมเห็นว่าข้อเสนอเรื่องสินค้า Remanufactured จะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ของไทยอย่างไรก็ดี การยอมรับข้อเสนอดังกล่าวจะต้องมีเงื่อนไขเรื่องใบรับประกันและการ re-certification
เพื่อเป็นการป้องกันการส่งออกขยะมายังไทย
4) นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้แสดงความคิดเห็นเรื่องมาตรการ NTBs ที่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
นอกเหนือจากที่ระบุในข้อเสนอต่างๆ ของสมาชิก WTO โดยแบ่งประเภทชนิด NTBs เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) NTBs ที่ไทยอาจจําเป็นต้องใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายใน ได้แก่ มาตรฐานสินค้า มาตรฐานสิ่งแวดล้อม
มาตรฐานแรงงาน มาตรฐานโรงงาน มาตรฐานการลงทุน มาตรฐานสุขภาพและความปลอดภัย เป็นต้น
(2) NTBs ที่ไทยประสบและต้องการให้ยกเลิกโดยเร็ว ได้แก่ ข้อกาหนดเรื่องมาตรฐานที่แตกต่างระหว่างรัฐและมล
รัฐ (จีน อินเดีย และสหรัฐฯ) การกาหนดสัญชาติของผู้ทาหน้าที่ตรวจสอบสินค้า (ออสเตรเลีย) การกาหนดสินค้า
ต้องผ่านด่านศุลกากรที่กาหนดเท่านั้น (สหภาพยุโรป) เป็นต้น
2.4 กลุ่มที่ 4: การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping:AD)
1) ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ยกตัวอย่างชนิดสินค้าของไทยทั้งที่กาลังอยู่ในกระบวนการไต่สวนการถูกใช้มาตรการ AD และที่
เสร็จสิ้นกระบวนการไต่สวนแล้วและอยู่ในระหว่างถูกใช้มาตรการ AD เช่น สินค้าที่ถูกเก็บ AD โดยสหรัฐฯ ได้แก่ สับปะรด
เหล็ก เม็ดพลาสติก ถุงพลาสติก และกุ้ง สินค้าที่ถูกเก็บ AD โดยประเทศอื่นๆ ได้แก่ เม็ดพลาสติก ถูกเก็บโดยสหภาพ
ยุโรป ฟิล์มแพ็คเกจจิ้งถูกเก็บโดยอินเดีย และกระดาษถูกเก็บโดยมาเลเซีย เป็นต้น
2) ข้อดีและข้อเสียของการเก็บ AD
(1) ข้อดี
ในกรณีที่ประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของไทยในตลาดเดียวกันถูกเก็บ AD แต่ไทยไม่ถูกเก็บ AD ก็
จะทาให้สินค้าของไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น
(2) ข้อเสีย
ก่อให้ผลกระทบกับผู้ประกอบการในหลายด้าน เช่น (1) ทาให้เสียตลาด (2) มีภาระในการจ้างทนายซึ่งมี
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง (3) ภาระในการจัดระบบคอมพิวเตอร์ และระบบบัญชีใหม่ ทั้งนี้ผู้ประกอบรายเล็กได้รับ
ผลกระทบมากที่สุด และสินค้าอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบมากกว่าเมื่อถูกเก็บ AD เนื่องจากมีต้นทุนคงที่
และ (4) ในกรณีผู้ประกอบการที่นาวัตถุดิบนาเข้ามาผลิตต่อ และไม่สามารถใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เนื่องจากมี
คุณภาพไม่เพียงพอ แต่เมื่อวัตถุดิบนาเข้าถูกเก็บ AD ก็ทาให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปด้วย
- 4. - 4 -
(3) ข้อเสนอแนะ
เห็นควรให้มีการให้ความรู้เรื่องขั้นตอน และวิธีปฎิบัติในการยื่นขอให้มีการไต่สวนการทุ่มตลาดกับ
ผู้ประกอบการในประเทศ
ขอให้ภาคราชการมีระบบ Early Warning เช่น ในกรณีสินค้าที่ได้ GSP หากมีการส่งออกเกินกว่าโควตาที่
กาหนด ต้องเสียภาษีที่สูงขึ้นมากก็ควรจะมี Early Warning ว่าสินค้ากาลังจะเกินโควต้าหรือในกรณีที่สินค้ามี
ปริมาณการส่งออกค่อนข้างสูง ก็ควรจะมีการเตือนว่ามีโอกาสที่จะโดนเก็บ AD ได้
ควรใช้มาตรการปล่อยข่าวเรื่องการไต่สวน AD เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้นาเข้าทราบ ซึ่งอาจส่งผลให้มี
การปรับเปลี่ยนราคาสินค้าหรือปริมาณที่นาเข้า ซึ่งจะช่วยเยียวยาความเสียหาย ให้อุตสาหกรรม
ภายในประเทศได้
ควรมีการแก้ไขความตกลง AD ภายใต้ WTO เนื่องจากกฎหมาย AD ของไทยมีแม่แบบมาจากความตกลง
AD ภายใต้ WTO ซึ่งในขณะนี้มีการเจรจาเพื่อแก้ไขความตกลง AD (AD Review) ภายใต้ WTO ซึ่ง
กระทรวงพาณิชย์กาลังอยู่ระหว่างการผลักดันข้อเสนอต่างๆ ที่เป็นปัญหาที่ไทยได้รับผลกระทบจากการถูก
ใช้มาตรการ AD อย่างไม่เป็นธรรม
2.5 กลุ่มที่ 5: มาตรการที่เกี่ยวกับประมงและผลิตภัณฑ์ประมง
1) ปัญหา NTBs ที่ไทยประสบในปัจจุบัน ได้แก่
(1) สหรัฐฯ ห้ามการนาเข้ากุ้งทะเลจากไทย โดยอ้างว่าไทยไม่ได้ทาตามมาตรการบังคับติดเครื่องมือแยกเต่า
(TEDs) ซึ่งจากข้อมูลที่ผู้ประกอบการทราบอินโดนีเซียก็ไม่ได้ปฏิบัติตามเช่นกันแต่ไม่ถูกห้ามการนาเข้า ที่
ประชุมจึงเห็นควรให้หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนว่าสหรัฐฯ ใช้มาตรการดังกล่าวอย่างเลือกปฏิบัติจริงหรือไม่
(2) ร้าน Wal-Mart ได้ออกระเบียบกาหนดให้สินค้ากุ้งที่จาหน่ายใน Wal-Mart ต้องเป็นกุ้งที่ผ่านการรับรอง
มาตรฐานจากหน่วยงาน Aquaculture Certification Council, Inc (ACC) ทั้งนี้ ระเบียบดังกล่าวไม่ได้กาหนดโดย
FDA แต่กาหนดโดยเอกชนเอง ทาให้เกิดความกังวลว่าอนาคตบริษัทอื่นๆอาจจะกาหนดระเบียบของตนเองขึ้นมา
เช่นกัน
(3) ช่วงต้นเดือน พ.ย. 2549 สหภาพยุโรปจะเริ่มร้องขอให้สินค้านาเข้า เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ต้องมีใบรับรอง
การตรวจสารไดรอกซีน ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสารไดรอกซีนได้และค่าใช้จ่ายใน
การตรวจสูงมาก
2)แนวทางการแก้ไขปัญหา
(1) สาหรับมาตรการที่บังคับใช้เฉพาะในบางประเทศ ภาคเอกชนจะหาข้อมูลเพิ่มเติมและหาจุดยืนที่ชัดเจนของ
ตน พร้อมทั้งประสานกับภาครัฐ เพื่อขอให้ช่วยเจรจา เช่น ในเรื่องที่ไทยยังไม่พร้อมจะขอให้ช่วยเจรจาชะลอการ
บังคับใช้ไปก่อน และภาคเอกชนในนามของสมาคมอาจจะทาหนังสือถึงเอกชนต่างประเทศด้วยในเรื่อง NTBs ที่
กาหนดโดยภาคเอกชน
(2) สาหรับในเวที WTO เห็นว่า ควรเสนอให้มีการจัดทามาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน เช่น การยอมรับ
CODEX เพื่อลดปัญหาความยุ่งยาก ซ้าซ้อน อันเนื่องมาจากการใช้มาตรฐานที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
(3) ควรผลักดันให้มีการจัดทากรอบเวลาในการบังคับใช้ NTBs คือ ถ้าประเทศหนึ่งจะกาหนด NTBs ขึ้นมา ต้อง
กาหนดระยะเวลาที่เหมาะสมให้ต่างประเทศได้เตรียมตัว และประเทศกาลังพัฒนาควรได้รับระยะเวลาในการ
เตรียมตัวนานกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
- 5. - 5 -
(4) สําหรับมาตรการในประเทศ ที่ประชุมเห็นว่า NTBs ของไทยอ่อนมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จึงน่าจะ
กําหนดมาตรฐาน และ/หรือ มาตรการต่างๆ ขึ้น เพื่อให้มีความเข้มข้นใกล้เคียงกัน
(5) หน่วยงานภาครัฐควรมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนโดยไม่ลดมาตรฐาน เช่น การทบทวนเรื่องการตรวจสารไน
โตรฟูแลนซ์ของกรมประมงซึ่งกาหนดให้มีระยะเวลาเพียง 3 เดือน หากเกินกว่านั้นให้ตรวจใหม่ โดผู้ประกอบการ
เห็นว่าไม่จาเป็นต้องกาหนดระยะเวลา เนื่องจากสารดังกล่าวจะไม่เพิ่มปริมาณแต่จะเจือจางเมื่อเวลาผ่านไป
2.6 กลุ่มที่ 6: มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
ผู้ประกอบการและประชาชนส่วนใหญ่ ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องของเรื่องมาตรการสิ่งแวดล้อมต่อตนเอง
มากนัก ในส่วนของภาคเอกชนหรือผู้ผลิตของไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจาก
เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเป็นของประเทศเหล่านั้นซึ่งเป็นผู้กาหนดมาตรการและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมขึ้นมา
ข้อเสนอแนะการดาเนินการของไทย ได้แก่
1) เน้นการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ในเรื่องความสําคัญของเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้มาตรการด้าน
สิ่งแวดล้อมในแง่ของ NTBs โดยเฉพาะในส่วนของผู้ประกอบการ ให้มีการเข้าถึงข้อมูลNTBs ด้านสิ่งแวดล้อมที่
ประเทศอื่นกําหนด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว โดยอาจมีศูนย์กลางข้อมูลด้านนี้รวมถึงมาตรการด้าน
สิ่งแวดล้อมที่ไทยกําลังดําเนินการอยู่ เช่น การกําหนด ISO 14000(ด้านสิ่งแวดล้อม)
2) สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ในระดับบุคลากรให้มีจานวนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันยังมีบุคลากรที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านนี้ไม่เพียงพอ ทั้งนี้เพื่อสามารถสร้างอานาจต่อรองให้กับประเทศไทยในเรื่องสิ่งแวดล้อมในอนาคต
ได้
3) หน่วยงานภาครัฐต้องมีการประสานงานระหว่างกันมากขึ้น ปัญหาขณะนี้คือ มีหลายหน่วยงานดูแลงานแต่ละ
ส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่มีเจ้าภาพหลัก ทําให้ภาคเอกชนเกิดความสับสนในการขอความช่วยเหลือใน
เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยอยากเห็นการจัดตั้ง cluster ในด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นอย่างเป็น
ระบบ
4) การพิจารณาแนวทางการเก็บภาษีพิเศษ หรือภาษีสิ่งแวดล้อมในรูปภาษีสรรพสามิต โดยเก็บทั้งผู้ผลิตภายใน
และผู้นําเข้า โดยใช้หลักการ “Polluters Pay Principle :PPP” อย่างไรก็ตามการพิจารณาจัดเก็บภาษีดังกล่าวต้อง
มีแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ภาษีดังกล่าวถูกนําไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์การจัดเก็บ
และผลประโยชน์กลับสู่สิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ควรมีแผนการช่วยเหลือการพัฒนาการปรับตัวต่อ
ภาระนี้ในอุตสาหกรรม SMEs ด้วยเนื่องจากจะมีปัญหาการปรับตัวมากกว่าบริษัทใหญ่ที่เป็นการลงทุนจาก
ต่างประเทศ
5) เนื่องจากการกาหนดมาตรฐาน/มาตรการสิ่งแวดล้อมมีหลายระดับ ตั้งแต่ในระดับสากล ระดับประเทศ หรือ
ระดับ stakeholder (ภาคเอกชนใดเอกชนหนึ่งอาจกาหนดใช้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมมาเป็นเงื่อนไขทางการค้า)
ไทยควรมีท่าทีการเจรจาที่ให้ประเทศหรือภาคเอกชนที่เป็นผู้ตั้งเข้ามาช่วยรับภาระในการปรับตัว โดยอาจช่วย
รับภาระต้นทุนหรือให้ความช่วยเหลือในการปรับตัวด้วย
------------------------------