SlideShare une entreprise Scribd logo
1  sur  26
สุขภาพ ,[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object],[object Object]
การกินของย่างให้ห่างจากมะเร็ง เทคนิคในการกินให้ห่างจากมะเร็ง 1.  เริ่มจาก การทําความสะอาดตะแกรง  ที่ใช้ย่างซะก่อนเพื่อป้องกันสาร   Carcinogen ( สารก่อมะเร็ง ) 2.  เช็ดตะแกรงให้สะอาด 3.  สําหรับ การเตรียมเนื้อ   :  ควรหมักด้วยสมุนไพร เครื่องเทศ ไวน์ น้ำปลา หรือน้ำมะนาวก่อน เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติและความนุ่มแล้ว ยังสามารถช่วยลดสารก่อมะเร็ง 4.  ควรเก็บเนื้อหมักไว้ในตู้เย็น  เพื่อป้องกันแบคทีเรียที่ปนมากับอากาศ 5.  วอร์มเตาปิ้ง ก่อนการใช้งานสัก  5-10  นาที เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 6.  ควรเตรียมเนื้อที่จะใช้ย่าง ให้อยู่ในรูปของปีกผีเสื้อ  :  โดยใช้มีดกรีดลงไปตรงกลางชิ้นเนื้อให้ลึกพอสมควร แต่ระวังอย่าให้เนื้อขาดออกจากกัน จากนั้นจึงนําไปย่าง เมื่อเนื้อถูกความร้อนจะแบะออกคล้าย ๆ กับปีกของผีเสื้อ วิธีนี้จะช่วยป้องกัน ไม่ให้เนื้อข้างนอกไหม้ก่อนที่เนื้อข้างในจะสุก 7.  ใน กรณีที่ใช้เตาถ่าน  ควรหลีกเลี่ยงการให้เนื้อสัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง 8.  กลับเนื้ออย่างน้อย  1  ครั้ง  จะช่วยให้เนื้อสุกสม่ำเสมอกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อย่ากินอาหารที่ไหม้ จะได้ปลอดภัยจากมะเร็ง .
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามถึงความสำคัญและอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับดวงตา ในงาน นิวเยียร์ นิวยู เป็นคุณคนใหม่ .....  เริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง จัดโดย   " แบลคมอร์ส "  ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ได้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำวิธีดูแลสุขภาพตา   พญ . กนกวรรณ ยุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุโรงพยาบาลราชวิถี บอกถึงอันตรายและการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกวิธีว่า การเกิดอันตรายต่อดวงตานั้นมีสาเหตุมาจากหลากหลายอย่าง ทั้งจากมลภาวะ ฝุ่นละออง หรือจากแสงยูวี อีกอย่างหนึ่งคือ เกิดจากตัวเราเองไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือการนั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ ก็จะทำให้เกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนล้าและทำให้ตาแห้งได้ ส่วนความเสื่อมของดวงตาไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดกับผู้สูงอายุ เพราะเด็กและคนวัยทำงานก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน   " วิธีการดูแลดวงตาง่ายๆ คือ ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำทุกๆ  1  ชั่วโมงควรจะพักสายตาสัก  2  รอบ รอบละ  5-10  นาที โดยการมองไปไกลๆ พยายามฝึกให้เป็นนิสัย และไม่ควรใช้สายตาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานเกิน  8  ชั่วโมง   อีกวิธีหนึ่งคือ การรับประทานอาหารเสริมจะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาได้ " ทุกอวัยวะในร่างกายสำคัญทุกส่วน สุขภาพดวงตา เรื่องสำคัญ อย่ามองข้าม
หนุ่มสาวสมัยนี้ ท้องผูกกันเป็นแฟชั่น สามวันถ่ายทีก็มี อาทิตย์ หนึ่งถ่าย ครั้งก็มาก สองอาทิตย์นั้นมีน้อยเมื่อสัก  5-6  ปีก่อน แต่ตอนนี้ชักจะมากขึ้นทุกวันแล้ว แน่นอนครับ คุณๆเหล่านี้มีอาการผิดปกติแน่นอน คือ ท้องผูกเป็นประจำ ปกติแล้ว คุณควรจะถ่ายทุกวันเป็นปกติธรรมดา  ( ทั่วๆไปนะครับ )  แต่การจะตัดสินว่าคุณเป็นโรคท้องผูกนั้นจะตัดสินกันว่า ถ้าคุณไม่ถ่ายทุกวันจะถือว่า คุณท้องผูกนั้นยังไม่เข้าเกณฑ์ นายแพทย์มาร์วิน ชูสเตอร์ ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับระบบย่อย โรงพยาบาล ฟรังซิสสก็อตคีย์ เมดิคัลเซ็นเตอร์ มารีแลนด์ กล่าวไว้ว่า  “ จะว่าใครเป็นโรคท้องผูกนั้น ต้องดู ูที่สภาพร่างกายของแต่ละคน บางคนถ่ายวันละ  3  ครั้ง ก็ถือว่าปกติ หรือบางคนสามวันครั้ง ก็ถือว่าปกติเช่นกัน แล้วแต่คน ” แต่โดยทั่วๆไปนั้น ถ้าร่างกายแข็งแรงตามปกติ และชีวิตประจำวันเป็นไปตามธรรมดา ถ่าย วันละครั้งก็ดีแล้ว แต่บางคนที่  3  วันครั้งนั้น อาจจะมีระบบย่อยซึ่งย่อยยาก อาจจะช้าหน่อย แต่ถ้าถ่ายสามวันครั้งเป็นประจำ และเวลาถ่ายก็ถ่ายได้หมดท้องนั้น ก็ถือว่าปกติเช่นกันแต่เกินกว่า  3  วันขึ้นไป ถือว่าคงจะมีอาการท้องผูก และเชื่อไหมครับ บางคนที่หลายวันถ่ายครั้งหนึ่งนั้น มีนิสัยค่อนข้างจะขี้เกียจเข้าห้องน้ำ เห็นว่า เป็นการเสียเวลา รอจนกระทั่งปวดจริงๆทนไม่ไหว หรือว่าห้องน้ำ ซึ่งตามปกติอาจจะต้องใช้กัน หลายคน และเมื่อห้องน้ำว่างจริงๆ จึงจะเข้าห้องน้ำ อย่างนี้โรคท้องผูกของคุณไม่ใช่ท้องผูกโดยธรรมชาติ แต่เป็นท้องผูกที่เกิดจากพฤติกรรมของ คุณเอง คุณไม่ได้สนใจว่าคุณควรจะถ่ายเป็นปกติทุกวันหรือทุก  2-3  วัน   ให้เป็นไปตามปกติ ท้องผูก
อาจารย์มาร์วิน ชูสเตอร์จะห้ามนักห้ามหนาเรื่องกินยาถ่าย ท่านถึงกับออกประกาศว่า  “ อย่าไป เชื่อโฆษณาของบริษัทขายยาที่ชักชวนให้กินยาถ่ายเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี เพราะการกินยาถ่าย บ่อยๆนั้นเป็นการทำลายสุขภาพมากกว่าเป็นการบำรุงสุขภาพ ” อาจารย์ชูสเตอร์กล่าวต่อไปว่า  “ กินยาถ่ายบ่อยๆเพียง  2-3  ครั้ง ก็จะเกิดอาการติดยา และเมื่อ ติดยาแล้วก็จะต้องกินยาถ่ายตลอด ถ้าไม่กินก็จะถ่ายไม่ออก ”   ต่อไปนี้ขอรวบรวมข้อเสียต่างๆมาคุยกับคุณหนุ่มคุณสาวที่ขี้เกียจเข้าห้องน้ำ 1.  เรื่องปวดหัว เวียนหัว ตัวร้อน คุณจะมีอาการเป็นประจำ รวมทั้งอาการเกี่ยวกับท้องและ อาการจากอาหารไม่ย่อย คือ ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อก็จะมีเป็นประจำด้วย 2.  คุณผู้หญิงถ้ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน อาการอื่นๆเกี่ยวกับท้องผูกก็จะเป็นมากขึ้น 3.  ถ้าท้องผูกแล้วเวลาถ่ายมีเลือดออกมาปนด้วย ให้ระวังมากๆอาจจะเป็นโรคเบาๆขนาดว่าจะ เป็นริดสีดวงทวาร หรืออาจจะเป็นหนักมากขนาดมะเร็งลำไส้ก็เป็นได้ 4.  คุณสาวๆที่กำลังตั้งครรภ์จะเป็นคุณแม่ ต้องระวังมากๆ เพราะเวลาตั้งท้องแล้ว ส่วนมาก มักจะมีอาการท้องผูก เตรียมแก้ไว้เสียแต่เนิ่นๆ   ( คอยดูวิธีแก้อาทิตย์หน้า ) 5. คุณสาวๆหรือคุณหนุ่มๆเคยสังเกตไหมว่าสิวขึ้นหน้าของคุณนั้นมันจะอักเสบกลายเป็น แผลหรือฝีหัวเล็กๆได้ง่าย นั่นเกี่ยวกับการที่คุณท้องผูกด้วย นอกไปจากนั้นหน้าตาและผิวพรรณมักจะคล้ำ รึไม่สวยเลย 6.  ระวังให้ดีอีกอย่างนะครับ กลิ่นตัวคุณจะแรงมาก ถ้าท้องผูก 7.  และยิ่งต้องระวังให้มากๆยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าคุณเป็นคนชอบบริโภคอาหารประเภทเนื้อ - นม - ไข่ นอกจากจะท้องผูกแล้ว อย่าเผลอไป  “ ปู๊ด ”  ใกล้ๆแฟน จะทำให้แฟนเกิดตัดสวาทขาดตอนกัน ไปเลย เพราะกลิ่นจากท้องผูกผสมกับเนื้อ - นม - ไข่นั้นมันร้ายแรงนัก 8.  ให้ระวังมากๆด้วยว่า อาการท้องผูกอาจจะเกี่ยวกับโรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติ   (HYPO THYROID)  ได้รีบไปตรวจเสีย   9.  มีโรคประหลาดเกี่ยวกับท้องผูกอีกโรคหนึ่ง คือ โรค  HIRSCHSPRUNG's DISEASE ( อ่านว่า  “ เฮิชสปรุงส์ ดีซีส ” )  ซึ่งเกิดจากความพิการตั้งแต่เล็กๆ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ เกิดจากระบบประสาทส่วนที่คอยคุมการบีบตัวของ ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงาน เมื่อลำไส้ไม่บีบตัว กากอาหารก็ไม่เคลื่อน ไหว ทำให้ลำไส้บวมขยายตัว ผู้ป่วยจะเกิดอาการ ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน หรือจะเกิดอาการท้องเดินและท้องผูกสลับกัน อาการภายนอกที่สังเกต เห็นก็คือ ท้องแข็ง - บวม เบื่ออาหารต้องไปพบแพทย์ทันที
โยคะลดอาการปวดประจำเดือน การฝึกโยคะในท่าดาว ท่าก้มจับนิ้วหัวแม่เท้า และท่านั่งยกขาเปิดสะโพก เป็นอาสนะที่เป็นประโยชน์กับบริเวณไขสันหลัง ช่วยลดอาการปวดเอวและตึงที่บริเวณสะโพก นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ดีทีเดียว
ท่าดาว  อาสนะนี้มีประโยชน์มาก ลดอาการปวดประจำเดือน บริหารข้อสะโพกทั้งสองข้าง ลดอาการปวดกล้ามเนื้อสะโพก ลดอาการปวดหลัง กระดูกสันหลังมีความยืดหยุ่น ทำให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อด้านในต้นขา ซึ่งเป็นส่วนที่เรามักละเลยการบริหาร      -  อยู่ในท่านั่ง นำฝ่าเท้ามาประกบกัน มือจับเท้าทั้งสองข้าง        -  หายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออก ค่อยๆ โน้มตัวลงไป หน้าผากแตะมือที่ประสานไว้        -  หายใจเข้าออกตามปกติ คงท่าไว้เท่าที่ทำได้ อย่าฝืนร่างกาย ขณะค้างท่าให้จดจ่อกับลมหายใจ        -  กลับสู่ท่าเริ่ม โดยค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นช้าๆ  
ท่าก้มจับนิ้วหัวแม่เท้า  อาสนะเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะในช่องท้อง เป็นอีกท่าหนึ่งที่ขอแนะนำเพราะช่วยลดอาการปวดเอว ลดอาการปวดประจำเดือน และช่วยบริหารขาให้แข็งแรงด้วย นอกจากนี้ยังฝึกได้ไม่ยาก และขอเพียงทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น        -  ยืนแยกขาความกว้างประมาณไหล่        -  ค่อยๆ ก้ม โดยควบคุมขาให้ตึง นำมือจับปลายนิ้วหัวแม่โป้ง ( ทำเท่าที่ทำได้ ถ้าหากยังจับไม่ถึง ให้แตะแค่บริเวณหน้าแข้งไปก่อนในช่วงแรกที่ฝึก )       -  คงท่าไว้ จดจ่อที่ท้อง กำหนดลมหายใจ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ        -  กลับสู่ท่าเริ่ม โดยค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้
ท่านั่งยกขาเปิดสะโพก อาสนะเพื่อลดอาการปวดประจำเดือน   ท่านั่งยกขาเปิดสะโพกนี้เป็นท่าที่ผู้หญิงควรฝึกเป็นประจำ เพราะจะช่วยบริหารอวัยวะบริเวณเชิงกรานให้แข็งแรง       -  นั่งยกขาแล้วนำมือจับขา พยายามนั่งหลังให้ตรงในขณะปฏิบัติ คงท่าไว้ และกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ  ( นับ  5  ลมหายใจ )  หากรู้สึกไม่ไหวขอให้อย่าฝืน ทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น         -  จากนั้นปฏิบัติเช่นเดิมกับขาอีกข้างหนึ่ง
อาหาร  5  อย่างหลังการผ่าตัด ,[object Object],[object Object]
2.  ทำอาหารมื้อค่ำด้วยตัวเอง   :   หลายคนเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ว่าไม่มีใครสามารถมีสุขภาพที่ดี  100  เปอร์เซ็นต์ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกินมื้อเย็นนอกบ้าน เพราะหลังจากที่กระโดดข้ามมื้อเช้าและกินอาหารกลางวันด้วยความเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าสารอาหารแล้ว ก็มีเพียงอาหารมื้อค่ำเท่านั้นแหละครับที่จะเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่ควรจะให้คุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย และดีกับสุขภาพมากที่สุด ประโยชน์ที่ได้   :   เมื่อทำอาหารเอง คุณจะสามารถควบคุมจำนวนส่วนผสมและวัตถุดิบที่ต้องการได้ และที่สำคัญคุณสามารถกำหนดปริมาณอาหารที่คุณจะกินในมื้อนั้นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกินให้หมดด้วยความเสียดาย คำแนะนำ  :   เริ่มทำอาหารเองอย่างน้อย  1  ครั้ง ใน  1  สัปดาห์ ด้วยการซื้อส่วนผสมหรือวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารง่ายๆ มาไว้ในห้องครัวและตู้เย็นที่สะดวกในการนำมาใช้ โดยอาจจะลองเริ่มในวันหยุดสุดสัปดาห์หน้า ที่คุณพอจะมีเวลาและตั้งหลักอีกนิดหน่อยสำหรับการเป็นพ่อครัวมือใหม่ โดยไม่ลืมเพิ่มและให้ความสำคัญกับส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์อย่างผักสดและผลไม้ แทนการปรุงอาหารสำเร็จรูปประเภทแป้งที่เคยกินเป็นประจำ
3.  กินข้าวไม่ขัดสี  :   และอาหารประเภทแป้งที่ยังไม่แปรรูปให้มากขึ้น ประโยชน์ที่ได้  :  เมล็ดพืชไม่ขัดสี จะช่วยป้องกันโรคและให้วิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและหัวใจในระยะยาว เพราะอาหารประเภทนี้จะช่วยในการลดปริมาณคอเลสเตอลอลและมีเส้นใยจำนวนมาก คำแนะนำ   :   หลีกเลี่ยงการกินแซนด์วิชที่ทำจากแป้งสีขาว หรือเลือกกินอาหารเมนูข้าวแทนขนมปังหรือเส้นพาสต้าถ้าหลีกเลี่ยงได้  4.  กินอาหารเช้า  :   อย่าลืมความจริงที่ว่าในเวลาเช้าร่างกายของคุณยังคงต้องการเติมพลังงาน ในเวลาเดียวกันสมองของคุณก็กำลังต้องการสารอาหารเพื่อใช้ในการสั่งงานและจัดการกับระบบความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ได้   :   การศึกษาวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ที่กินอาหารเช้าจะกระตือรือร้นและมีความสามารถในการจัดการกับงานได้มากกว่าคนที่ไม่กิน   คำแนะนำ  :   เผื่อเวลาไว้สำหรับอาหารมื้อเช้า โดยเลือกกินอาหารมื้อเร่งด่วนอย่างธัญพืช ไข่ ขนมปังโฮลวีต หรือถ้ามีเวลามากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะกินอาหารมื้อใหญ่อย่างข้าวในตอนเช้า ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้นครับ
5.  อาหารระหว่างมื้อเป็นเรื่องรับได้   :   สำหรับผู้ชายที่ระบบการเผาผลาญและนำไปใช้ของร่างกายมี ประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว   ( ในกรณีที่คุณออกกำลังกายด้วย )  คุณสามารถกินอาหารระหว่างมื้อซึ่งเน้นไปที่ของขบเคี้ยวประเภทผัก ธัญพืช โปรตีนอบกรอบ  ( ไม่ใช่ทอด )  เพื่อให้พลังงานระหว่างทำงานหรือก่อนออกกำลังกายได้ครับ ประโยชน์ที่ได้  :   วิตามินและเกลือเเร่จำนวนมากและหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารมื้อใหญ่ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างวันได้ ซึ่งจะช่วยลดความเหนื่อยอ่อนและปรับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี คำแนะนำ  :   คุณสามารถพกอาหารขบเคี้ยวสำเร็จรูปทิ้งไว้ที่ทำงาน เมื่อไม่มีเวลากินอาหารกลางวันหรือรู้สึกหิวระหว่างวันได้ หากคำนวณดูแล้วว่าจำนวนแคลอรีแต่ละวันที่ได้รับไม่มากเกินไป
การหายใจเข้าออกผ่านโพรงจมูกเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารร่างกายแบบชาวตะวันออก   อย่างเช่นการฝึกโยคะ ซึ่งมีจังหวะการหายใจเนิบๆ ควบคู่กับท่าทางการเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกเกิดสมาธิ จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังปฏิบัติ นอกจากนี้การหายใจเต็มปอดยังทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ช่วยทำความสะอาดปอด และที่สำคัญระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ฝึกหายใจแบบโยคะด้วยท่าต่อไปนี้ ... ท่าที่  1  นั่งสบายๆ กำนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างขวา ใช้เฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วนาง เริ่มต้นให้ใช้นิ้วโป้งปิดรูจมูกขวา หายใจออกด้วยรูจมูกซ้ายช้าๆ จากนั้นให้ใช้นิ้วนางปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้าช้าๆ ด้วยรูจมูกขวา เวลาหายใจเข้าทุกครั้งให้ค่อยๆ แหงนหน้ายืดตัวขึ้นช้าๆ สูดอากาศให้เต็ม ส่วนเวลาหายใจออกให้ค่อยๆ ก้มตัวลงเพื่อไล่อากาศออกให้หมด ทำท่านี้สลับกันข้างละ  3-5  ครั้ง แล้วพักด้วยการหายใจเข้า - ออกลึกๆ ท่าที่  2  นิ้วโป้งปิดรูจมูกขวา หายใจออกด้วยรูจมูกซ้ายช้าๆ นิ้วนางปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้าด้วยรูจมูกขวาช้าๆ ปิดรูจมูกทั้งสองข้างด้วยนิ้วโป้งและนิ้วนาง กลั้นหายใจพร้อมกดคางชิดอก จากนั้นเปิดรูจมูกซ้าย หายใจออกช้าๆ จนสุด ลดมือทั้งสองข้างลงวางไว้ที่เข่า กดคางชิดอก ขมิบทวาร กลั้นหายใจ พยายามแขม่วหน้าท้องเข้าให้ได้มากที่สุด ในการฝึกช่วงแรกๆ อาจกลั้นหายใจไว้ประมาณ  5-10  วินาที แล้วค่อยๆ เพิ่มให้นานขึ้น จากนั้นให้คลายมือลงแล้วพักหายใจเข้า - ออกลึกๆ เสร็จแล้วทำซ้ำสลับข้าง *  ในขั้นแรกควรฝึกหายใจให้ต่อเนื่องไม่ติดขัด คือสามารถหายใจเข้าได้ในช่วงที่ยาวพอดี โดยไม่มีการหายใจเข้าใหม่อีกครั้งในระหว่างนั้น สำหรับช่วงการกลั้นหายใจอาจลดหรือเพิ่มได้ ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความแข็งแรงของแต่ละ   บริหารลมหายใจแบบโยคะ
แก่อย่างมีคุณภาพ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ควรแก่อย่างมีคุณภาพ เจ็บป่วยให้น้อยที่สุด และตายจากไปอย่างมีคุณค่า สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เมื่อพูดถึงความแก่ ดร . คริสตอฟ บามแบร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก - แอพเพนดอร์ฟ  ( Hamburg-Eppendorf)  ในเยอรมนี เผยว่า  30%  ของกระบวนการชราภาพมาจากยีน อีก  70%  มาจากการใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละคน   เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา เมื่ออายุมากขึ้นการเผาผลาญพลังงานก็ช้าลง ระบบย่อยอาหารก็แย่ลง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กล้ามเนื้อก็หดลงและสร้างได้ช้าลง ไขมันจะเข้ามาแทนที่ได้ง่ายขึ้น ล่วงเข้าวัย  40  ปี แม้จะมีคำพูดปลอบใจว่า  “ เหมือนชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ”  แต่ความจริงก็คือ เราเริ่มแก่ เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนหรือวัยชราเรียบร้อยแล้ว   ดร . คริสตอฟ มีข้อแนะนำสำหรับการเริ่มต้นสู่วัยชราอย่างมีคุณภาพว่า  “ คนในวัยนี้ต้องกินอาหารให้น้อยลง และออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินมาตรฐาน สำหรับผู้ชายวัย  40  ปีขึ้นไป โรคที่ควรระวังคือมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคหัวใจ   ส่วนผู้หญิงวัยเดียวกัน ควรระวังมะเร็งเต้านมและโรคกระดูกพรุน อีกโรคที่ควรระวังทั้งหญิงและชาย เมื่ออายุ   50  ปีขึ้นไปแล้ว คือ มะเร็งลำไส้  “ ถ้าดูแลตัวเองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย เชื่อว่าทุกคนจะเป็นคนแก่ที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน ”  ดร .  คริสตอฟ สรุปอย่างมั่นใจ
ระวัง ยาแก้ปวด กินมากเสี่ยงอันตราย   เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยกลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯ นำผลการศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ในวารสาร  Archives Of Internal Medicine  สรุปได้ว่า ยาแก้ปวดที่ใช้กันโดยทั่วไป เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และพาราเซตามอล ถ้ากินเป็นประจำ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ การวิจัยครั้งนี้ ศึกษากับเพศชายเป็นหลัก โดยพิจารณาจากกลุ่มทดลองที่กินยาแก้ปวดเกือบทุกวันใน  1  สัปดาห์ พบว่าประมาณ  1  ใน  3  มีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงโรคหัวใจ มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานยาแก้ปวด  ก่อนการวิจัยครั้งนี้ ในปี พ . ศ .  2544  มีการวิจัยเรื่องเดียวกันในเพศหญิง และผลการวิจัยก็ออกมาทำนองเดียวกัน นั่นคือ ผู้หญิงที่กินยาแก้ปวดเป็นประจำ จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้กินยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องหรือพร่ำเพรื่อ “ ผลการวิจัยทั้งสองครั้งมีประโยชน์มากในการนำไปใช้ป้องกันสาเหตุการเกิดความดันโลหิตสูงได้ทางหนึ่ง ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ”  ดร . จอห์น โฟร์แมน หัวหน้าคณะนักวิจัย เขียนไว้ในรายงานผลการศึกษา ใครที่ตัวร้อนนิดก็กินพาราฯ ปวดหัวหน่อยก็กินแอสไพริน กรุณาเปลี่ยนพฤติกรรมกันได้แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงที่อันตรายกว่าเดิม และหลายคนอาจคิดไม่ถึง
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันวิจัยออกมาว่า กาแฟวันละแก้วช่วยป้องกันผิวจากแสงอาทิตย์ จากการศึกษาทดลองในหนู ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พบว่า สามารถป้องกันเซลล์ก่อมะเร็งเพิ่มขึ้นได้ถึง   400%  ทีเดียว ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษได้เตือนว่า แม้ว่ากาแฟจะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนของการป้องกันแดดแต่อย่างใด จึงไม่ควรออกไปเดินกลางแดดโดยไม่ปกป้อง แม้ว่าจะดื่มกาแฟไปแล้ว  1  ถ้วยก็ตาม  ส่วนการออกกำลังกายครั้งละไม่น้อยกว่า  30  นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย  3  ครั้ง จะช่วยให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส เพื่อเป็นการรักษาผิวได้อีกทางหนึ่ง  กาแฟกับความทรงจำของผู้หญิง  นักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้ทำการวิจัยกับผู้หญิงที่มีอายุ  65  ปี และสาวๆ   ( เหลือน้อย )  ที่มีอายุมากกว่านั้น ที่ดื่มกาแฟมากกว่า  3  แก้วต่อวัน และผู้ที่ดื่มเพียงแก้วเดียวต่อวัน หรือไม่ดื่มเลย พบว่า ในกลุ่มของผู้ที่ดื่มกาแฟมาก มีความจำดีกว่าผู้ที่ดื่มน้อยถึง  4  ปี และจากการทดลองยังพบว่า กาแฟมีแนวโน้มที่ช่วยป้องกันอาการวิกลจริตด้วย   ดื่มกาแฟ - ออกกำลังกาย  “ รักษาผิว ”
ผู้หญิงวัยหมดฤดู ระวัง"ภาวะกระดูกพรุน " กระดูก "  เป็นอวัยวะ  " สำคัญ "  อวัยวะหนึ่งที่ต้องดูแลก่อนที่อวัยวะชิ้นนี้จะ  " สึกกร่อน "  กลายเป็น   " มหันตภัยต่อร่างกาย "  ด้วยการป่วยเป็น  " โรคกระดูกพรุน "  นพ . วีรยุทธ เชาวป์ปรีชา ผู้อำนวยการแพทย์โรงพยาบาลวิภาวดี เปิดเผยข้อมูลว่า จากสถิติขององค์การอนามัยโลก ทุก  30  วินาที จะมีผู้ป่วยที่กระดูกหักจากภาวะโรคกระดูกพรุนทั่วโลก  1  คน  " ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมารับการรักษาที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน ทั้งกระดูกสะโพกหัก ปวดหลัง หลังโก่ง เดินไม่ได้ ทั้งหมดเกิดจากสาเหตุภาวะโรคกระดูกพรุนทั้งสิ้น "   สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนและหักง่าย นพ . วีรยุทธ บอกว่า ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคไทรอยด์ ผู้ที่ป่วยเรื้อรัง ผู้ที่ขาดสารอาหารได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือกินยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่   40  ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน หรือได้รับการตัดรังไข่แล้ว ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่เป็นประจำ ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง แล้วยังคงใช้ชีวิตอย่างประมาทไม่ระวังตัว หากได้รับอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย เช่น นั่งรถกระแทก โอกาสกระดูกหักก็มีสูงถึง  30  เปอร์เซ็นต์ และหากมีภาวะแทรกซ้อนจากการที่กระดูกหัก อาการอาจรุนแรงถึงขั้นพิการ หรือไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ " วิธีง่ายๆ ในการป้องกันภาวะกระดูกพรุน ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รักประทานอาหารที่มีแคลเซียม นอกจากนี้การเข้ารับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุกปี จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้ เพราะหลังจากที่กระดูกหยุดเติบโตอายุ  30  ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูกสามารถสร้างขึ้นทดแทนการสึกกร่อนได้ "
ใช้เครื่องสำอางร่วมกัน ระวังไวรัสและแบคทีเรีย   เครื่องสำอางที่ช่วยให้สาวๆ สวยขึ้นนั้น อีกด้านหนึ่งก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียและไวรัส ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ได้ แพทย์ผิวหนังกล่าวว่า อุปกรณ์เครื่องสำอางทุกชิ้นของผู้หญิงจะต้องสะอาดและควรใช้ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นแป้งฝุ่น แป้งแข็ง แป้งทูเวย์ ส่วนพัฟฟองน้ำที่ใช้สำหรับผัดหน้าควรทำความสะอาดบ่อยๆ เพราะหากไม่ทำความสะอาดจะเกิดเชื้อราขึ้นที่พัฟ เมื่อนำมาแตะแป้งทาหน้าจะเกิดติดเชื้อได้ โดยการทำความสะอาดพัฟนั้นทำได้ด้วยการใช้น้ำสบู่อ่อน แล้วนำไปผึ่งลมรอให้แห้ง นอกจากนั้น เครื่องสำอางที่เกี่ยวข้องกับดวงตา   เช่น อายแชโดว์ อายไลเนอร์ มาสคาร่า หรือแม้กระทั่งครีมบำรุงผิวรอบดวงตา เปลือกตา ขอบตา เป็นผิวหนังที่บอบบาง และไม่ควรใช้ของคนอื่นเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียหรือไวรัสได้ หรือที่ดัดขนตาก็มีอันตราย เพราะบางคนแพ้โลหะ การแพ้ที่พบในผู้ป่วยส่วนใหญ่มี  2  ลักษณะ คือ เกิดระคายเคืองจากการสัมผัส ส่วนใหญ่เกิดจาดสารเคมีที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง และภูมิแพ้สัมผัส ที่เกิดจากปฎิกิริยากับสารเคมี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการคัน บวม และมีตุ่มน้ำใสๆ เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง หากมีอาการดังกล่าวควรหยุดใช้ และรีบพบแพทย์ทันที
ลดน้ำหนักมากเกินไป มีผลเสียกับกระดูก ถ้าคุณคือคนที่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องแคลอรี่ จำกัดจำเขี่ยกับการรับประทานจนกลายเป็นนิสัยประจำตัว ขอเตือนว่าคุณอาจมีปัญหากับกระดูกในอนาคตได้ งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอพบว่า ผู้หญิงที่เข้มงวดกับเรื่องของการออกกำลังกายและอาหารการกินมากเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายกับกระดูกได้ แล้วจะกลายเป็นต้นเหตุของโรคกระดูกเปราะหรือหักง่ายได้ในอนาคต และที่เป็นปัญหาคือ ผู้หญิงส่วนมากจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาดสารอาหารที่จำเป็นไป เพราะสาเหตุของการอดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลามีประจำเดือนนั้น ผู้หญิงต้องการสารอาหารที่เพียงพอมาหล่อเลี้ยงร่างกายมากเป็นพิเศษ สำหรับนักกีฬาหรือผู้หญิงที่รักการออกกำลังกาย จึงมีข้อแนะนำให้รับประทานอาหารที่ดี เพื่อที่ว่ารอบประจำเดือนจะได้เป็นไปตามปกติ นอกจากนั้นกฎเหล็กที่ดีที่สุด สำหรับคนออกกำลังกายก็คือ ยิ่งคุณออกกำลังกายมากเท่าไหร่ คุณต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น การปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนรักตัวเองขนานแท้
4  วิธีแก้อาการปวดหลัง   ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่เป็นประจำ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้อาการปวดหลังมาฝากกัน   ฝึกพิลาทิส   เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลำตัว ท่าที่ใช้ในการลดอาการปวดหลังคือ ท่ายกเชิงกราน ท่าหนีบหมอน และท่าหมุนข้อเท้า เคล็ดลับ คือ เมื่อหายใจเข้าต้องเอาอากาศ เข้าไปเต็มปอด ซึ่งจะรู้สึกว่าสะดือถูกยกขึ้น และค่อย ๆ หายใจออกทางปาก และกดสะดือลง 1. ว่ายน้ำ   การว่ายน้ำจะช่วยลดอาการของโรคปวดหลังได้มาก เพราะ ไม่สร้างแรงกดแรงกระแทก แต่ควรงดว่าย ท่ากบ เพราะต้องแอ่นหลังมาก 2. ปรับเปลี่ยนท่านอน   ห้ามนอนคว่ำ นอนหงาย เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น หากนอนหงายควรใช้หมอน ข้างหนุนโคนขาจะทำให้สะโพกและเข่างอเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้กระดูกสันหลังหายแอ่นและแบนติดที่นอน การนอนตะแคงเป็นท่าที่ดีที่สุด แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้กระดูกสันหลังแอ่นได้ ฉะนั้นควรนอนให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพกและเข่ากอดหมอนข้างไว้ ทำให้หลังโก่งเล็กน้อย 3. การหยิบจับของ   ให้ย่อตัวแล้วยกของหนักมาชิดตัว แล้วลุกขึ้นยืนด้วยกำลังขา ขณะที่อุ้มของหนักให้ของชิดตัวตลอดเวลา เมื่อจะวางของ ลงให้ทำเช่นเดียวกับตอนยกขึ้น
ท่านอนแบบไหนถึงจะหลับสบาย   นพ . ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  กล่าวว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อการนอนถึง  1  ใน  3  ของอายุขัย เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอนหงาย  คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่านอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย ท่านอนตะแคงขวา  เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ท่านอนตะแคงซ้าย  เป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ท่านอนคว่ำ  เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
กินอย่างไรให้อายุยืนยาว การกินอิ่มนอนหลับอย่างพอเพียงถือเป็นสุดยอดแห่งการใช้ชีวิตให้ยืนยาวแข็งแรง ปราศจากโรคภัย แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่า เราจะกินอยู่กันอย่างไรถึงจะสามารถทำให้มีชีวิตที่เปี่ยมสุขและยืนยาวได้ ผักผลไม้เพื่อชีวิต หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า  ‘ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ’  หรือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระกันบ่อยครั้ง และทำไมเราจึงต้องกินอาหารที่มีสารไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระกันล่ะ อนุมูลอิสระเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะเริ่มเป็นปัญหาเมื่อมีปริมาณมากขึ้นในร่างกาย อันเป็นผลจากมลภาวะทางร่างกายที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อตัวเป็นพิษสะสมในร่างกาย   เมื่อร่างกายมีอนุมูลอิสระมาก ก็จะทำให้สุขภาพเสื่อมลงส่งผลให้เชื้อโรคเก่า ๆ กลับคืนมา รวมถึงโรคใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาเยือนอีกมากมาย ระบบภูมิต้านทานโรคของร่างกายจะตกอยู่ภายใต้ความเครียดจนทำงานหนักเกินไปและอ่อนแอลง จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลเสียจึงตามมา   ดังนั้นถ้าเราเลือกรับประทานอาหารจำพวกที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระให้มากที่สุดก็จะเป็นผลดีกับร่างกายของเรา ผลการวิจัยอย่างเป็นทางการพบว่าผลไม้จำพวก  ‘ เบอร์รี่ ’  เป็นแหล่งอาหารที่ให้สารต่อต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม รองลงมาก็เป็นบร็อคเคอรี่หรือดอกกระหล่ำสีเขียวสดนั่นเอง สุดยอดวิตามินอี อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอีอย่างเช่น พืชตระกูลถั่ว ถ้ารับประทานเป็นประจำแล้วจะมีผลดีต่อเส้นเลือดหัวใจ ช่วยชะลอการเกิดโรคเบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดี ทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุชะลอความชราได้โดยการยับยั้งการทำลายเซลล์ในร่างกาย กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงเส้นเลือดและกล้ามเนื้อ ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดการเกิดลิ่มเลือด มะเร็งและยังลดอาการปวดข้อได้อีกด้วย
หอมกรุ่นชาเขียว การดื่มชาเขียววันละ  1  ถ้วย จะช่วยลดความดันโลหิตได้สูงถึง  46  เปอร์เซ็นต์ ถ้าดื่มมากกว่านั้นก็จะลดได้มากกว่า   65  เปอร์เซ็นต์แถมชาเขียวยังอุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และสามารถช่วยเข้าไปต่อต้านเชื้อมะเร็งไม่ให้เจริญเติบโตมากขึ้นได้อีกด้วย อย่ากลัวไขมัน ไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืช พืชตระกูลถั่วอะโวคาโด และไขมันจากปลาแซลมอนมีโอเมก้า  3  ที่มีผลดีต่อร่างกายช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และยังช่วยลดอาการเหี่ยวของผิวหนังจากความชราได้ดีอีกด้วยเพียงคุณบริโภคไขมันเหล่านี้ให้ได้   2-4  วันต่อสัปดาห์ หรือกินถั่วเต็มหนึ่งฝ่ามือทุกวัน   หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสำเร็จรูปเพราะมักจะอุดมไปด้วยสารกันบูด สารเคมีเกลือ และสีผสมอาหาร ยิ่งถ้าบริโภคอาหารสำเร็จรูปเข้าไปนาน ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ และที่สำคัญผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เพราะจะไปเพิ่มระดับอินซูลินในเลือดให้สูงขึ้น จิบไวน์สักนิด   การดื่มไวน์วันละ  1  แก้ว หรือ  4-5  ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานและมะเร็งเต้านมด้วย แถมยังเหมาะกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนไปแล้วด้วย ไวน์ช่วยทำให้หลอดเลือดหัวใจขยาย ทำให้เลือดเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้สะดวก และยังช่วยชะลอวัยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อีก กินให้พออิ่ม   มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดได้ทำการวิจัยและระบุว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักน้อยเกินไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ความดันสูงและเบาหวานส่วนผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม ระดับน้ำหนักที่เหมาะสมที่ควรจะขึ้นหรือลงได้ในช่วงวัยเด็กถึงผู้ใหญ่ก็คือ ประมาณ  1  ก . ก .  ต่อปี แต่ถ้าคุณมีอายุที่ค่อนข้าง ๆ สูงแล้วควรจะรักษาระดับ น้ำหนักให้คงอยู่ไม่เพิ่มหรือลดมากเกินไปจาก น้ำหนักมาตรฐาน
ประกาศิต  7  ประการเพื่อการควบคุมน้ำหนัก   1. Start the day right  สุภาษิตยอดฮิตไม่ว่าที่ไหนก็ตามดังที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นั้นสงสัยจะจริงแท้แน่นอน เพราะการลดน้ำหนักก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะผลการศึกษาจากสถาบันควบคุมน้ำหนักแห่งหนึ่งที่ทดลองในคนมากกว่า  6,000  คน ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน่าพอใจและยังคงรักษาน้ำหนักขณะนั้นไว้ได้ ถึง  6  ปี โดยสรุปก็คือว่า หากคุณเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย คุณจะสามารถควบคุมอาหารมื้อต่อๆ ไปได้ง่ายขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้คุณก็ควรระวังเครื่องดื่มที่แอบแฝงแคลอรีเอาไว้ อย่างกาแฟลาเต้ ชาเย็น และน้ำผลไม้ เป็นต้น   2. Get Some Protein เคล็ดลับข้อนี้อยู่ที่การรับประทานโปรตีนทดแทนอาหารกลุ่มอื่นๆ จำพวกคาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คุณผู้หญิงควรทานโปรตีนประมาณวันละ 1/3  กรัมต่อน้ำหนักตัว  1  ปอนด์ ดังนั้นสมมุติว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว  145  ปอนด์หรือ  65  กิโลกรัม คุณก็ควรทานโปรตีนประมาณ  48  กรัม 3. Pack on produce and Eat to feel full on less   ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่า การทานพวกผักผลไม้มากๆ จะส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก เพราะพืชผักพวกนี้จะทำให้อิ่มเร็วพร้อมกับแคลอรีไม่มากนัก หรืออีกวิธีคือถ้าในเมนูวันนั้นเป็นพวกเนื้อสัตว์ ชีส พาสต้า หรือข้าว คุณก็อาจจะเลือกทานเพียงครึ่งเดียวแต่ไปเพิ่มผักเข้าไป อีกเท่าตัว ทีนี้ก็แน่นอนว่า คุณจะสามารถอิ่มอร่อยแบบไม่อ้วนได้ 4. Work out to better manage stress   แน่นอนว่าการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยคลายเครียดแล้ว ยังจะช่วยจัดการกับขนมขบเคี้ยว ที่คุณเพิ่งทานเล่นเข้าไป ให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ คุณควรจะคิดว่าการออกกำลังกายคือ กิจวัตรที่คุณจะต้องทำเสมือนกับการเข้าประชุม หากวันนี้มีเหตุจำเป็นจริงๆ คุณก็ควรมีวินัยในตนเอง โดยการหาเวลามาชดเชยการออกกำลังกายที่หายไปในวันรุ่งขึ้น
5. Love what you do to get fit   อันนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยพิสมัยการออกกำลังตามยิมชั้นนำซักเท่าไหร่ ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า คุณควรหา กิจกรรมเรียกเหงื่ออย่างที่คุณโปรดปราน เป็นต้นว่า พาเจ้าหมาตัวโปรดไปเดินเล่นนอกบ้าน หรือออกไป เล่นซอฟบอลกับบรรดาเพื่อนๆ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนขาเม้าส Œ ไปเดินเล่นซัก  30   นาทีด้วยกันก็ได้ 6. Have a plan B   สำหรับข้อนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คุณจะออกไปเฮฮากับเพื่อนช่วงวันหยุด แล้วกลับมาพร้อมกับน้ำหนักตัว เกินไปซัก  5  ปอนด์  ( 2.2  กก .)  บนตาชั่งตัวเก็ง ขอย้ำว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ อาหารมื้อถัดไปค่อยทานน้อยลงเป็นไง   7. Stop and Think   สุดทายนี้แถมให้ก็คือว่า เมื่อจานหลักของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณมักจะได้ยินคำถามต่อว่า  " รับของหวานไหม "  พร้อมกับส่งเมนูขนมหวานหน้าตาชวนลิ้มมาให้คุณ .... คำแนะนำต่อไปนี้คือ คิดและคิดก่อนว่าจะสั่งหรือไม่สั่ง  " เมื่อกี๊เรากินอะไรไปบ้าง "  หรือ  "  เอ กินเยอะไปหรือเปล่านะวันนี้ "  คำถามทั้งหลาย ที่พากันโถมเข้ามาในหัวคุณนี้จะช่วย ให้คุณสร้างระเบียบวินัยในการทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มากขึ้นอันนำไปสู่การควบคุมน้ำหนักตัว ที่ได้ผลดีเยี่ยมนั่นเอง

Contenu connexe

Similaire à สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่

การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23 การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23 Phet103
 
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักสถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักIntaruechai Intaruechai
 
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักสถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักIntaruechai Intaruechai
 
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23Phet103
 
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพ
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพคู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพ
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพThiti Wongpong
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาIntaruechai Intaruechai
 

Similaire à สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่ (20)

Breakfast2
Breakfast2Breakfast2
Breakfast2
 
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23 การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
 
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักสถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
 
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผักสถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
สถานการณ์ปัญหา เรื่อง ผัก
 
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
การดูแลสุขภาพ ธนภรณ์ ม.1 ห้อง 3 เลขที่ 23
 
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพ
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพคู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพ
คู่มือออกกำลังกายและโภชนาการเพื่อสุขภาพ
 
4
44
4
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 
การสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหาการสร้างสถานการปัญหา
การสร้างสถานการปัญหา
 

สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่

  • 1.
  • 2. การกินของย่างให้ห่างจากมะเร็ง เทคนิคในการกินให้ห่างจากมะเร็ง 1. เริ่มจาก การทําความสะอาดตะแกรง ที่ใช้ย่างซะก่อนเพื่อป้องกันสาร Carcinogen ( สารก่อมะเร็ง ) 2. เช็ดตะแกรงให้สะอาด 3. สําหรับ การเตรียมเนื้อ : ควรหมักด้วยสมุนไพร เครื่องเทศ ไวน์ น้ำปลา หรือน้ำมะนาวก่อน เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติและความนุ่มแล้ว ยังสามารถช่วยลดสารก่อมะเร็ง 4. ควรเก็บเนื้อหมักไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันแบคทีเรียที่ปนมากับอากาศ 5. วอร์มเตาปิ้ง ก่อนการใช้งานสัก 5-10 นาที เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 6. ควรเตรียมเนื้อที่จะใช้ย่าง ให้อยู่ในรูปของปีกผีเสื้อ : โดยใช้มีดกรีดลงไปตรงกลางชิ้นเนื้อให้ลึกพอสมควร แต่ระวังอย่าให้เนื้อขาดออกจากกัน จากนั้นจึงนําไปย่าง เมื่อเนื้อถูกความร้อนจะแบะออกคล้าย ๆ กับปีกของผีเสื้อ วิธีนี้จะช่วยป้องกัน ไม่ให้เนื้อข้างนอกไหม้ก่อนที่เนื้อข้างในจะสุก 7. ใน กรณีที่ใช้เตาถ่าน ควรหลีกเลี่ยงการให้เนื้อสัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง 8. กลับเนื้ออย่างน้อย 1 ครั้ง จะช่วยให้เนื้อสุกสม่ำเสมอกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อย่ากินอาหารที่ไหม้ จะได้ปลอดภัยจากมะเร็ง .
  • 3. ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามถึงความสำคัญและอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับดวงตา ในงาน นิวเยียร์ นิวยู เป็นคุณคนใหม่ ..... เริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง จัดโดย " แบลคมอร์ส " ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ได้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำวิธีดูแลสุขภาพตา พญ . กนกวรรณ ยุติธรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุโรงพยาบาลราชวิถี บอกถึงอันตรายและการดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกวิธีว่า การเกิดอันตรายต่อดวงตานั้นมีสาเหตุมาจากหลากหลายอย่าง ทั้งจากมลภาวะ ฝุ่นละออง หรือจากแสงยูวี อีกอย่างหนึ่งคือ เกิดจากตัวเราเองไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือการนั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆ ก็จะทำให้เกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนล้าและทำให้ตาแห้งได้ ส่วนความเสื่อมของดวงตาไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดกับผู้สูงอายุ เพราะเด็กและคนวัยทำงานก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน " วิธีการดูแลดวงตาง่ายๆ คือ ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำทุกๆ 1 ชั่วโมงควรจะพักสายตาสัก 2 รอบ รอบละ 5-10 นาที โดยการมองไปไกลๆ พยายามฝึกให้เป็นนิสัย และไม่ควรใช้สายตาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานเกิน 8 ชั่วโมง อีกวิธีหนึ่งคือ การรับประทานอาหารเสริมจะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาได้ " ทุกอวัยวะในร่างกายสำคัญทุกส่วน สุขภาพดวงตา เรื่องสำคัญ อย่ามองข้าม
  • 4. หนุ่มสาวสมัยนี้ ท้องผูกกันเป็นแฟชั่น สามวันถ่ายทีก็มี อาทิตย์ หนึ่งถ่าย ครั้งก็มาก สองอาทิตย์นั้นมีน้อยเมื่อสัก 5-6 ปีก่อน แต่ตอนนี้ชักจะมากขึ้นทุกวันแล้ว แน่นอนครับ คุณๆเหล่านี้มีอาการผิดปกติแน่นอน คือ ท้องผูกเป็นประจำ ปกติแล้ว คุณควรจะถ่ายทุกวันเป็นปกติธรรมดา ( ทั่วๆไปนะครับ ) แต่การจะตัดสินว่าคุณเป็นโรคท้องผูกนั้นจะตัดสินกันว่า ถ้าคุณไม่ถ่ายทุกวันจะถือว่า คุณท้องผูกนั้นยังไม่เข้าเกณฑ์ นายแพทย์มาร์วิน ชูสเตอร์ ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับระบบย่อย โรงพยาบาล ฟรังซิสสก็อตคีย์ เมดิคัลเซ็นเตอร์ มารีแลนด์ กล่าวไว้ว่า “ จะว่าใครเป็นโรคท้องผูกนั้น ต้องดู ูที่สภาพร่างกายของแต่ละคน บางคนถ่ายวันละ 3 ครั้ง ก็ถือว่าปกติ หรือบางคนสามวันครั้ง ก็ถือว่าปกติเช่นกัน แล้วแต่คน ” แต่โดยทั่วๆไปนั้น ถ้าร่างกายแข็งแรงตามปกติ และชีวิตประจำวันเป็นไปตามธรรมดา ถ่าย วันละครั้งก็ดีแล้ว แต่บางคนที่ 3 วันครั้งนั้น อาจจะมีระบบย่อยซึ่งย่อยยาก อาจจะช้าหน่อย แต่ถ้าถ่ายสามวันครั้งเป็นประจำ และเวลาถ่ายก็ถ่ายได้หมดท้องนั้น ก็ถือว่าปกติเช่นกันแต่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป ถือว่าคงจะมีอาการท้องผูก และเชื่อไหมครับ บางคนที่หลายวันถ่ายครั้งหนึ่งนั้น มีนิสัยค่อนข้างจะขี้เกียจเข้าห้องน้ำ เห็นว่า เป็นการเสียเวลา รอจนกระทั่งปวดจริงๆทนไม่ไหว หรือว่าห้องน้ำ ซึ่งตามปกติอาจจะต้องใช้กัน หลายคน และเมื่อห้องน้ำว่างจริงๆ จึงจะเข้าห้องน้ำ อย่างนี้โรคท้องผูกของคุณไม่ใช่ท้องผูกโดยธรรมชาติ แต่เป็นท้องผูกที่เกิดจากพฤติกรรมของ คุณเอง คุณไม่ได้สนใจว่าคุณควรจะถ่ายเป็นปกติทุกวันหรือทุก 2-3 วัน ให้เป็นไปตามปกติ ท้องผูก
  • 5. อาจารย์มาร์วิน ชูสเตอร์จะห้ามนักห้ามหนาเรื่องกินยาถ่าย ท่านถึงกับออกประกาศว่า “ อย่าไป เชื่อโฆษณาของบริษัทขายยาที่ชักชวนให้กินยาถ่ายเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี เพราะการกินยาถ่าย บ่อยๆนั้นเป็นการทำลายสุขภาพมากกว่าเป็นการบำรุงสุขภาพ ” อาจารย์ชูสเตอร์กล่าวต่อไปว่า “ กินยาถ่ายบ่อยๆเพียง 2-3 ครั้ง ก็จะเกิดอาการติดยา และเมื่อ ติดยาแล้วก็จะต้องกินยาถ่ายตลอด ถ้าไม่กินก็จะถ่ายไม่ออก ” ต่อไปนี้ขอรวบรวมข้อเสียต่างๆมาคุยกับคุณหนุ่มคุณสาวที่ขี้เกียจเข้าห้องน้ำ 1. เรื่องปวดหัว เวียนหัว ตัวร้อน คุณจะมีอาการเป็นประจำ รวมทั้งอาการเกี่ยวกับท้องและ อาการจากอาหารไม่ย่อย คือ ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อก็จะมีเป็นประจำด้วย 2. คุณผู้หญิงถ้ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน อาการอื่นๆเกี่ยวกับท้องผูกก็จะเป็นมากขึ้น 3. ถ้าท้องผูกแล้วเวลาถ่ายมีเลือดออกมาปนด้วย ให้ระวังมากๆอาจจะเป็นโรคเบาๆขนาดว่าจะ เป็นริดสีดวงทวาร หรืออาจจะเป็นหนักมากขนาดมะเร็งลำไส้ก็เป็นได้ 4. คุณสาวๆที่กำลังตั้งครรภ์จะเป็นคุณแม่ ต้องระวังมากๆ เพราะเวลาตั้งท้องแล้ว ส่วนมาก มักจะมีอาการท้องผูก เตรียมแก้ไว้เสียแต่เนิ่นๆ ( คอยดูวิธีแก้อาทิตย์หน้า ) 5. คุณสาวๆหรือคุณหนุ่มๆเคยสังเกตไหมว่าสิวขึ้นหน้าของคุณนั้นมันจะอักเสบกลายเป็น แผลหรือฝีหัวเล็กๆได้ง่าย นั่นเกี่ยวกับการที่คุณท้องผูกด้วย นอกไปจากนั้นหน้าตาและผิวพรรณมักจะคล้ำ รึไม่สวยเลย 6. ระวังให้ดีอีกอย่างนะครับ กลิ่นตัวคุณจะแรงมาก ถ้าท้องผูก 7. และยิ่งต้องระวังให้มากๆยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าคุณเป็นคนชอบบริโภคอาหารประเภทเนื้อ - นม - ไข่ นอกจากจะท้องผูกแล้ว อย่าเผลอไป “ ปู๊ด ” ใกล้ๆแฟน จะทำให้แฟนเกิดตัดสวาทขาดตอนกัน ไปเลย เพราะกลิ่นจากท้องผูกผสมกับเนื้อ - นม - ไข่นั้นมันร้ายแรงนัก 8. ให้ระวังมากๆด้วยว่า อาการท้องผูกอาจจะเกี่ยวกับโรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติ (HYPO THYROID) ได้รีบไปตรวจเสีย 9. มีโรคประหลาดเกี่ยวกับท้องผูกอีกโรคหนึ่ง คือ โรค HIRSCHSPRUNG's DISEASE ( อ่านว่า “ เฮิชสปรุงส์ ดีซีส ” ) ซึ่งเกิดจากความพิการตั้งแต่เล็กๆ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ เกิดจากระบบประสาทส่วนที่คอยคุมการบีบตัวของ ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงาน เมื่อลำไส้ไม่บีบตัว กากอาหารก็ไม่เคลื่อน ไหว ทำให้ลำไส้บวมขยายตัว ผู้ป่วยจะเกิดอาการ ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน หรือจะเกิดอาการท้องเดินและท้องผูกสลับกัน อาการภายนอกที่สังเกต เห็นก็คือ ท้องแข็ง - บวม เบื่ออาหารต้องไปพบแพทย์ทันที
  • 6. โยคะลดอาการปวดประจำเดือน การฝึกโยคะในท่าดาว ท่าก้มจับนิ้วหัวแม่เท้า และท่านั่งยกขาเปิดสะโพก เป็นอาสนะที่เป็นประโยชน์กับบริเวณไขสันหลัง ช่วยลดอาการปวดเอวและตึงที่บริเวณสะโพก นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ดีทีเดียว
  • 7. ท่าดาว อาสนะนี้มีประโยชน์มาก ลดอาการปวดประจำเดือน บริหารข้อสะโพกทั้งสองข้าง ลดอาการปวดกล้ามเนื้อสะโพก ลดอาการปวดหลัง กระดูกสันหลังมีความยืดหยุ่น ทำให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังเป็นการบริหารกล้ามเนื้อด้านในต้นขา ซึ่งเป็นส่วนที่เรามักละเลยการบริหาร     - อยู่ในท่านั่ง นำฝ่าเท้ามาประกบกัน มือจับเท้าทั้งสองข้าง     - หายใจเข้าและผ่อนลมหายใจออก ค่อยๆ โน้มตัวลงไป หน้าผากแตะมือที่ประสานไว้     - หายใจเข้าออกตามปกติ คงท่าไว้เท่าที่ทำได้ อย่าฝืนร่างกาย ขณะค้างท่าให้จดจ่อกับลมหายใจ     - กลับสู่ท่าเริ่ม โดยค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นช้าๆ  
  • 8. ท่าก้มจับนิ้วหัวแม่เท้า อาสนะเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะในช่องท้อง เป็นอีกท่าหนึ่งที่ขอแนะนำเพราะช่วยลดอาการปวดเอว ลดอาการปวดประจำเดือน และช่วยบริหารขาให้แข็งแรงด้วย นอกจากนี้ยังฝึกได้ไม่ยาก และขอเพียงทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น     - ยืนแยกขาความกว้างประมาณไหล่     - ค่อยๆ ก้ม โดยควบคุมขาให้ตึง นำมือจับปลายนิ้วหัวแม่โป้ง ( ทำเท่าที่ทำได้ ถ้าหากยังจับไม่ถึง ให้แตะแค่บริเวณหน้าแข้งไปก่อนในช่วงแรกที่ฝึก )     - คงท่าไว้ จดจ่อที่ท้อง กำหนดลมหายใจ หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ        - กลับสู่ท่าเริ่ม โดยค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้
  • 9. ท่านั่งยกขาเปิดสะโพก อาสนะเพื่อลดอาการปวดประจำเดือน   ท่านั่งยกขาเปิดสะโพกนี้เป็นท่าที่ผู้หญิงควรฝึกเป็นประจำ เพราะจะช่วยบริหารอวัยวะบริเวณเชิงกรานให้แข็งแรง      - นั่งยกขาแล้วนำมือจับขา พยายามนั่งหลังให้ตรงในขณะปฏิบัติ คงท่าไว้ และกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ( นับ 5 ลมหายใจ ) หากรู้สึกไม่ไหวขอให้อย่าฝืน ทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น      - จากนั้นปฏิบัติเช่นเดิมกับขาอีกข้างหนึ่ง
  • 10.
  • 11. 2. ทำอาหารมื้อค่ำด้วยตัวเอง : หลายคนเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ว่าไม่มีใครสามารถมีสุขภาพที่ดี 100 เปอร์เซ็นต์ได้หรอกครับ ถ้าคุณยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกินมื้อเย็นนอกบ้าน เพราะหลังจากที่กระโดดข้ามมื้อเช้าและกินอาหารกลางวันด้วยความเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าสารอาหารแล้ว ก็มีเพียงอาหารมื้อค่ำเท่านั้นแหละครับที่จะเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่ควรจะให้คุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย และดีกับสุขภาพมากที่สุด ประโยชน์ที่ได้ : เมื่อทำอาหารเอง คุณจะสามารถควบคุมจำนวนส่วนผสมและวัตถุดิบที่ต้องการได้ และที่สำคัญคุณสามารถกำหนดปริมาณอาหารที่คุณจะกินในมื้อนั้นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกินให้หมดด้วยความเสียดาย คำแนะนำ : เริ่มทำอาหารเองอย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 1 สัปดาห์ ด้วยการซื้อส่วนผสมหรือวัตถุดิบสำหรับการปรุงอาหารง่ายๆ มาไว้ในห้องครัวและตู้เย็นที่สะดวกในการนำมาใช้ โดยอาจจะลองเริ่มในวันหยุดสุดสัปดาห์หน้า ที่คุณพอจะมีเวลาและตั้งหลักอีกนิดหน่อยสำหรับการเป็นพ่อครัวมือใหม่ โดยไม่ลืมเพิ่มและให้ความสำคัญกับส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์อย่างผักสดและผลไม้ แทนการปรุงอาหารสำเร็จรูปประเภทแป้งที่เคยกินเป็นประจำ
  • 12. 3. กินข้าวไม่ขัดสี : และอาหารประเภทแป้งที่ยังไม่แปรรูปให้มากขึ้น ประโยชน์ที่ได้ : เมล็ดพืชไม่ขัดสี จะช่วยป้องกันโรคและให้วิตามินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและหัวใจในระยะยาว เพราะอาหารประเภทนี้จะช่วยในการลดปริมาณคอเลสเตอลอลและมีเส้นใยจำนวนมาก คำแนะนำ : หลีกเลี่ยงการกินแซนด์วิชที่ทำจากแป้งสีขาว หรือเลือกกินอาหารเมนูข้าวแทนขนมปังหรือเส้นพาสต้าถ้าหลีกเลี่ยงได้ 4. กินอาหารเช้า : อย่าลืมความจริงที่ว่าในเวลาเช้าร่างกายของคุณยังคงต้องการเติมพลังงาน ในเวลาเดียวกันสมองของคุณก็กำลังต้องการสารอาหารเพื่อใช้ในการสั่งงานและจัดการกับระบบความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ที่ได้ : การศึกษาวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ที่กินอาหารเช้าจะกระตือรือร้นและมีความสามารถในการจัดการกับงานได้มากกว่าคนที่ไม่กิน คำแนะนำ : เผื่อเวลาไว้สำหรับอาหารมื้อเช้า โดยเลือกกินอาหารมื้อเร่งด่วนอย่างธัญพืช ไข่ ขนมปังโฮลวีต หรือถ้ามีเวลามากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะกินอาหารมื้อใหญ่อย่างข้าวในตอนเช้า ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้นครับ
  • 13. 5. อาหารระหว่างมื้อเป็นเรื่องรับได้ : สำหรับผู้ชายที่ระบบการเผาผลาญและนำไปใช้ของร่างกายมี ประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว ( ในกรณีที่คุณออกกำลังกายด้วย ) คุณสามารถกินอาหารระหว่างมื้อซึ่งเน้นไปที่ของขบเคี้ยวประเภทผัก ธัญพืช โปรตีนอบกรอบ ( ไม่ใช่ทอด ) เพื่อให้พลังงานระหว่างทำงานหรือก่อนออกกำลังกายได้ครับ ประโยชน์ที่ได้ : วิตามินและเกลือเเร่จำนวนมากและหลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารมื้อใหญ่ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างวันได้ ซึ่งจะช่วยลดความเหนื่อยอ่อนและปรับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี คำแนะนำ : คุณสามารถพกอาหารขบเคี้ยวสำเร็จรูปทิ้งไว้ที่ทำงาน เมื่อไม่มีเวลากินอาหารกลางวันหรือรู้สึกหิวระหว่างวันได้ หากคำนวณดูแล้วว่าจำนวนแคลอรีแต่ละวันที่ได้รับไม่มากเกินไป
  • 14. การหายใจเข้าออกผ่านโพรงจมูกเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารร่างกายแบบชาวตะวันออก   อย่างเช่นการฝึกโยคะ ซึ่งมีจังหวะการหายใจเนิบๆ ควบคู่กับท่าทางการเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผู้ฝึกเกิดสมาธิ จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังปฏิบัติ นอกจากนี้การหายใจเต็มปอดยังทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง ช่วยทำความสะอาดปอด และที่สำคัญระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ฝึกหายใจแบบโยคะด้วยท่าต่อไปนี้ ... ท่าที่ 1 นั่งสบายๆ กำนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือข้างขวา ใช้เฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วนาง เริ่มต้นให้ใช้นิ้วโป้งปิดรูจมูกขวา หายใจออกด้วยรูจมูกซ้ายช้าๆ จากนั้นให้ใช้นิ้วนางปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้าช้าๆ ด้วยรูจมูกขวา เวลาหายใจเข้าทุกครั้งให้ค่อยๆ แหงนหน้ายืดตัวขึ้นช้าๆ สูดอากาศให้เต็ม ส่วนเวลาหายใจออกให้ค่อยๆ ก้มตัวลงเพื่อไล่อากาศออกให้หมด ทำท่านี้สลับกันข้างละ 3-5 ครั้ง แล้วพักด้วยการหายใจเข้า - ออกลึกๆ ท่าที่ 2 นิ้วโป้งปิดรูจมูกขวา หายใจออกด้วยรูจมูกซ้ายช้าๆ นิ้วนางปิดรูจมูกซ้าย หายใจเข้าด้วยรูจมูกขวาช้าๆ ปิดรูจมูกทั้งสองข้างด้วยนิ้วโป้งและนิ้วนาง กลั้นหายใจพร้อมกดคางชิดอก จากนั้นเปิดรูจมูกซ้าย หายใจออกช้าๆ จนสุด ลดมือทั้งสองข้างลงวางไว้ที่เข่า กดคางชิดอก ขมิบทวาร กลั้นหายใจ พยายามแขม่วหน้าท้องเข้าให้ได้มากที่สุด ในการฝึกช่วงแรกๆ อาจกลั้นหายใจไว้ประมาณ 5-10 วินาที แล้วค่อยๆ เพิ่มให้นานขึ้น จากนั้นให้คลายมือลงแล้วพักหายใจเข้า - ออกลึกๆ เสร็จแล้วทำซ้ำสลับข้าง * ในขั้นแรกควรฝึกหายใจให้ต่อเนื่องไม่ติดขัด คือสามารถหายใจเข้าได้ในช่วงที่ยาวพอดี โดยไม่มีการหายใจเข้าใหม่อีกครั้งในระหว่างนั้น สำหรับช่วงการกลั้นหายใจอาจลดหรือเพิ่มได้ ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความแข็งแรงของแต่ละ บริหารลมหายใจแบบโยคะ
  • 15. แก่อย่างมีคุณภาพ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่ชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ควรแก่อย่างมีคุณภาพ เจ็บป่วยให้น้อยที่สุด และตายจากไปอย่างมีคุณค่า สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เมื่อพูดถึงความแก่ ดร . คริสตอฟ บามแบร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก - แอพเพนดอร์ฟ ( Hamburg-Eppendorf) ในเยอรมนี เผยว่า 30% ของกระบวนการชราภาพมาจากยีน อีก 70% มาจากการใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละคน เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา เมื่ออายุมากขึ้นการเผาผลาญพลังงานก็ช้าลง ระบบย่อยอาหารก็แย่ลง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กล้ามเนื้อก็หดลงและสร้างได้ช้าลง ไขมันจะเข้ามาแทนที่ได้ง่ายขึ้น ล่วงเข้าวัย 40 ปี แม้จะมีคำพูดปลอบใจว่า “ เหมือนชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ” แต่ความจริงก็คือ เราเริ่มแก่ เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนหรือวัยชราเรียบร้อยแล้ว ดร . คริสตอฟ มีข้อแนะนำสำหรับการเริ่มต้นสู่วัยชราอย่างมีคุณภาพว่า “ คนในวัยนี้ต้องกินอาหารให้น้อยลง และออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินมาตรฐาน สำหรับผู้ชายวัย 40 ปีขึ้นไป โรคที่ควรระวังคือมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคหัวใจ ส่วนผู้หญิงวัยเดียวกัน ควรระวังมะเร็งเต้านมและโรคกระดูกพรุน อีกโรคที่ควรระวังทั้งหญิงและชาย เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปแล้ว คือ มะเร็งลำไส้ “ ถ้าดูแลตัวเองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกาย เชื่อว่าทุกคนจะเป็นคนแก่ที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน ” ดร . คริสตอฟ สรุปอย่างมั่นใจ
  • 16. ระวัง ยาแก้ปวด กินมากเสี่ยงอันตราย เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยกลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯ นำผลการศึกษาล่าสุดตีพิมพ์ในวารสาร Archives Of Internal Medicine สรุปได้ว่า ยาแก้ปวดที่ใช้กันโดยทั่วไป เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และพาราเซตามอล ถ้ากินเป็นประจำ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ การวิจัยครั้งนี้ ศึกษากับเพศชายเป็นหลัก โดยพิจารณาจากกลุ่มทดลองที่กินยาแก้ปวดเกือบทุกวันใน 1 สัปดาห์ พบว่าประมาณ 1 ใน 3 มีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงโรคหัวใจ มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานยาแก้ปวด ก่อนการวิจัยครั้งนี้ ในปี พ . ศ . 2544 มีการวิจัยเรื่องเดียวกันในเพศหญิง และผลการวิจัยก็ออกมาทำนองเดียวกัน นั่นคือ ผู้หญิงที่กินยาแก้ปวดเป็นประจำ จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้กินยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องหรือพร่ำเพรื่อ “ ผลการวิจัยทั้งสองครั้งมีประโยชน์มากในการนำไปใช้ป้องกันสาเหตุการเกิดความดันโลหิตสูงได้ทางหนึ่ง ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ” ดร . จอห์น โฟร์แมน หัวหน้าคณะนักวิจัย เขียนไว้ในรายงานผลการศึกษา ใครที่ตัวร้อนนิดก็กินพาราฯ ปวดหัวหน่อยก็กินแอสไพริน กรุณาเปลี่ยนพฤติกรรมกันได้แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงที่อันตรายกว่าเดิม และหลายคนอาจคิดไม่ถึง
  • 17. นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันวิจัยออกมาว่า กาแฟวันละแก้วช่วยป้องกันผิวจากแสงอาทิตย์ จากการศึกษาทดลองในหนู ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พบว่า สามารถป้องกันเซลล์ก่อมะเร็งเพิ่มขึ้นได้ถึง 400% ทีเดียว ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษได้เตือนว่า แม้ว่ากาแฟจะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนของการป้องกันแดดแต่อย่างใด จึงไม่ควรออกไปเดินกลางแดดโดยไม่ปกป้อง แม้ว่าจะดื่มกาแฟไปแล้ว 1 ถ้วยก็ตาม ส่วนการออกกำลังกายครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง จะช่วยให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใส เพื่อเป็นการรักษาผิวได้อีกทางหนึ่ง กาแฟกับความทรงจำของผู้หญิง นักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้ทำการวิจัยกับผู้หญิงที่มีอายุ 65 ปี และสาวๆ ( เหลือน้อย ) ที่มีอายุมากกว่านั้น ที่ดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน และผู้ที่ดื่มเพียงแก้วเดียวต่อวัน หรือไม่ดื่มเลย พบว่า ในกลุ่มของผู้ที่ดื่มกาแฟมาก มีความจำดีกว่าผู้ที่ดื่มน้อยถึง 4 ปี และจากการทดลองยังพบว่า กาแฟมีแนวโน้มที่ช่วยป้องกันอาการวิกลจริตด้วย ดื่มกาแฟ - ออกกำลังกาย “ รักษาผิว ”
  • 18. ผู้หญิงวัยหมดฤดู ระวัง"ภาวะกระดูกพรุน " กระดูก " เป็นอวัยวะ " สำคัญ " อวัยวะหนึ่งที่ต้องดูแลก่อนที่อวัยวะชิ้นนี้จะ " สึกกร่อน " กลายเป็น " มหันตภัยต่อร่างกาย " ด้วยการป่วยเป็น " โรคกระดูกพรุน " นพ . วีรยุทธ เชาวป์ปรีชา ผู้อำนวยการแพทย์โรงพยาบาลวิภาวดี เปิดเผยข้อมูลว่า จากสถิติขององค์การอนามัยโลก ทุก 30 วินาที จะมีผู้ป่วยที่กระดูกหักจากภาวะโรคกระดูกพรุนทั่วโลก 1 คน " ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมารับการรักษาที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน ทั้งกระดูกสะโพกหัก ปวดหลัง หลังโก่ง เดินไม่ได้ ทั้งหมดเกิดจากสาเหตุภาวะโรคกระดูกพรุนทั้งสิ้น " สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนและหักง่าย นพ . วีรยุทธ บอกว่า ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคไทรอยด์ ผู้ที่ป่วยเรื้อรัง ผู้ที่ขาดสารอาหารได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือกินยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน หรือได้รับการตัดรังไข่แล้ว ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่เป็นประจำ ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง แล้วยังคงใช้ชีวิตอย่างประมาทไม่ระวังตัว หากได้รับอุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อย เช่น นั่งรถกระแทก โอกาสกระดูกหักก็มีสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และหากมีภาวะแทรกซ้อนจากการที่กระดูกหัก อาการอาจรุนแรงถึงขั้นพิการ หรือไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ " วิธีง่ายๆ ในการป้องกันภาวะกระดูกพรุน ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รักประทานอาหารที่มีแคลเซียม นอกจากนี้การเข้ารับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุกปี จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้ เพราะหลังจากที่กระดูกหยุดเติบโตอายุ 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูกสามารถสร้างขึ้นทดแทนการสึกกร่อนได้ "
  • 19. ใช้เครื่องสำอางร่วมกัน ระวังไวรัสและแบคทีเรีย เครื่องสำอางที่ช่วยให้สาวๆ สวยขึ้นนั้น อีกด้านหนึ่งก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียและไวรัส ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ได้ แพทย์ผิวหนังกล่าวว่า อุปกรณ์เครื่องสำอางทุกชิ้นของผู้หญิงจะต้องสะอาดและควรใช้ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นแป้งฝุ่น แป้งแข็ง แป้งทูเวย์ ส่วนพัฟฟองน้ำที่ใช้สำหรับผัดหน้าควรทำความสะอาดบ่อยๆ เพราะหากไม่ทำความสะอาดจะเกิดเชื้อราขึ้นที่พัฟ เมื่อนำมาแตะแป้งทาหน้าจะเกิดติดเชื้อได้ โดยการทำความสะอาดพัฟนั้นทำได้ด้วยการใช้น้ำสบู่อ่อน แล้วนำไปผึ่งลมรอให้แห้ง นอกจากนั้น เครื่องสำอางที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น อายแชโดว์ อายไลเนอร์ มาสคาร่า หรือแม้กระทั่งครีมบำรุงผิวรอบดวงตา เปลือกตา ขอบตา เป็นผิวหนังที่บอบบาง และไม่ควรใช้ของคนอื่นเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียหรือไวรัสได้ หรือที่ดัดขนตาก็มีอันตราย เพราะบางคนแพ้โลหะ การแพ้ที่พบในผู้ป่วยส่วนใหญ่มี 2 ลักษณะ คือ เกิดระคายเคืองจากการสัมผัส ส่วนใหญ่เกิดจาดสารเคมีที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง และภูมิแพ้สัมผัส ที่เกิดจากปฎิกิริยากับสารเคมี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการคัน บวม และมีตุ่มน้ำใสๆ เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง หากมีอาการดังกล่าวควรหยุดใช้ และรีบพบแพทย์ทันที
  • 20. ลดน้ำหนักมากเกินไป มีผลเสียกับกระดูก ถ้าคุณคือคนที่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องแคลอรี่ จำกัดจำเขี่ยกับการรับประทานจนกลายเป็นนิสัยประจำตัว ขอเตือนว่าคุณอาจมีปัญหากับกระดูกในอนาคตได้ งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอพบว่า ผู้หญิงที่เข้มงวดกับเรื่องของการออกกำลังกายและอาหารการกินมากเกินไป จะทำให้เกิดอันตรายกับกระดูกได้ แล้วจะกลายเป็นต้นเหตุของโรคกระดูกเปราะหรือหักง่ายได้ในอนาคต และที่เป็นปัญหาคือ ผู้หญิงส่วนมากจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาดสารอาหารที่จำเป็นไป เพราะสาเหตุของการอดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลามีประจำเดือนนั้น ผู้หญิงต้องการสารอาหารที่เพียงพอมาหล่อเลี้ยงร่างกายมากเป็นพิเศษ สำหรับนักกีฬาหรือผู้หญิงที่รักการออกกำลังกาย จึงมีข้อแนะนำให้รับประทานอาหารที่ดี เพื่อที่ว่ารอบประจำเดือนจะได้เป็นไปตามปกติ นอกจากนั้นกฎเหล็กที่ดีที่สุด สำหรับคนออกกำลังกายก็คือ ยิ่งคุณออกกำลังกายมากเท่าไหร่ คุณต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น การปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนรักตัวเองขนานแท้
  • 21. 4 วิธีแก้อาการปวดหลัง ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่เป็นประจำ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้อาการปวดหลังมาฝากกัน ฝึกพิลาทิส เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลำตัว ท่าที่ใช้ในการลดอาการปวดหลังคือ ท่ายกเชิงกราน ท่าหนีบหมอน และท่าหมุนข้อเท้า เคล็ดลับ คือ เมื่อหายใจเข้าต้องเอาอากาศ เข้าไปเต็มปอด ซึ่งจะรู้สึกว่าสะดือถูกยกขึ้น และค่อย ๆ หายใจออกทางปาก และกดสะดือลง 1. ว่ายน้ำ การว่ายน้ำจะช่วยลดอาการของโรคปวดหลังได้มาก เพราะ ไม่สร้างแรงกดแรงกระแทก แต่ควรงดว่าย ท่ากบ เพราะต้องแอ่นหลังมาก 2. ปรับเปลี่ยนท่านอน ห้ามนอนคว่ำ นอนหงาย เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่น หากนอนหงายควรใช้หมอน ข้างหนุนโคนขาจะทำให้สะโพกและเข่างอเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้กระดูกสันหลังหายแอ่นและแบนติดที่นอน การนอนตะแคงเป็นท่าที่ดีที่สุด แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้กระดูกสันหลังแอ่นได้ ฉะนั้นควรนอนให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพกและเข่ากอดหมอนข้างไว้ ทำให้หลังโก่งเล็กน้อย 3. การหยิบจับของ ให้ย่อตัวแล้วยกของหนักมาชิดตัว แล้วลุกขึ้นยืนด้วยกำลังขา ขณะที่อุ้มของหนักให้ของชิดตัวตลอดเวลา เมื่อจะวางของ ลงให้ทำเช่นเดียวกับตอนยกขึ้น
  • 22. ท่านอนแบบไหนถึงจะหลับสบาย นพ . ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อการนอนถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่านอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
  • 23. กินอย่างไรให้อายุยืนยาว การกินอิ่มนอนหลับอย่างพอเพียงถือเป็นสุดยอดแห่งการใช้ชีวิตให้ยืนยาวแข็งแรง ปราศจากโรคภัย แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่า เราจะกินอยู่กันอย่างไรถึงจะสามารถทำให้มีชีวิตที่เปี่ยมสุขและยืนยาวได้ ผักผลไม้เพื่อชีวิต หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ‘ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ’ หรือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระกันบ่อยครั้ง และทำไมเราจึงต้องกินอาหารที่มีสารไว้ต่อต้านอนุมูลอิสระกันล่ะ อนุมูลอิสระเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะเริ่มเป็นปัญหาเมื่อมีปริมาณมากขึ้นในร่างกาย อันเป็นผลจากมลภาวะทางร่างกายที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนก่อตัวเป็นพิษสะสมในร่างกาย เมื่อร่างกายมีอนุมูลอิสระมาก ก็จะทำให้สุขภาพเสื่อมลงส่งผลให้เชื้อโรคเก่า ๆ กลับคืนมา รวมถึงโรคใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาเยือนอีกมากมาย ระบบภูมิต้านทานโรคของร่างกายจะตกอยู่ภายใต้ความเครียดจนทำงานหนักเกินไปและอ่อนแอลง จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลเสียจึงตามมา ดังนั้นถ้าเราเลือกรับประทานอาหารจำพวกที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระให้มากที่สุดก็จะเป็นผลดีกับร่างกายของเรา ผลการวิจัยอย่างเป็นทางการพบว่าผลไม้จำพวก ‘ เบอร์รี่ ’ เป็นแหล่งอาหารที่ให้สารต่อต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม รองลงมาก็เป็นบร็อคเคอรี่หรือดอกกระหล่ำสีเขียวสดนั่นเอง สุดยอดวิตามินอี อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอีอย่างเช่น พืชตระกูลถั่ว ถ้ารับประทานเป็นประจำแล้วจะมีผลดีต่อเส้นเลือดหัวใจ ช่วยชะลอการเกิดโรคเบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดี ทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุชะลอความชราได้โดยการยับยั้งการทำลายเซลล์ในร่างกาย กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงเส้นเลือดและกล้ามเนื้อ ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดการเกิดลิ่มเลือด มะเร็งและยังลดอาการปวดข้อได้อีกด้วย
  • 24. หอมกรุ่นชาเขียว การดื่มชาเขียววันละ 1 ถ้วย จะช่วยลดความดันโลหิตได้สูงถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดื่มมากกว่านั้นก็จะลดได้มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์แถมชาเขียวยังอุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และสามารถช่วยเข้าไปต่อต้านเชื้อมะเร็งไม่ให้เจริญเติบโตมากขึ้นได้อีกด้วย อย่ากลัวไขมัน ไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืช พืชตระกูลถั่วอะโวคาโด และไขมันจากปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 ที่มีผลดีต่อร่างกายช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และยังช่วยลดอาการเหี่ยวของผิวหนังจากความชราได้ดีอีกด้วยเพียงคุณบริโภคไขมันเหล่านี้ให้ได้ 2-4 วันต่อสัปดาห์ หรือกินถั่วเต็มหนึ่งฝ่ามือทุกวัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสำเร็จรูปเพราะมักจะอุดมไปด้วยสารกันบูด สารเคมีเกลือ และสีผสมอาหาร ยิ่งถ้าบริโภคอาหารสำเร็จรูปเข้าไปนาน ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ และที่สำคัญผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เพราะจะไปเพิ่มระดับอินซูลินในเลือดให้สูงขึ้น จิบไวน์สักนิด การดื่มไวน์วันละ 1 แก้ว หรือ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานและมะเร็งเต้านมด้วย แถมยังเหมาะกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนไปแล้วด้วย ไวน์ช่วยทำให้หลอดเลือดหัวใจขยาย ทำให้เลือดเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้สะดวก และยังช่วยชะลอวัยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อีก กินให้พออิ่ม มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดได้ทำการวิจัยและระบุว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักน้อยเกินไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ความดันสูงและเบาหวานส่วนผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม ระดับน้ำหนักที่เหมาะสมที่ควรจะขึ้นหรือลงได้ในช่วงวัยเด็กถึงผู้ใหญ่ก็คือ ประมาณ 1 ก . ก . ต่อปี แต่ถ้าคุณมีอายุที่ค่อนข้าง ๆ สูงแล้วควรจะรักษาระดับ น้ำหนักให้คงอยู่ไม่เพิ่มหรือลดมากเกินไปจาก น้ำหนักมาตรฐาน
  • 25. ประกาศิต 7 ประการเพื่อการควบคุมน้ำหนัก 1. Start the day right สุภาษิตยอดฮิตไม่ว่าที่ไหนก็ตามดังที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นั้นสงสัยจะจริงแท้แน่นอน เพราะการลดน้ำหนักก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะผลการศึกษาจากสถาบันควบคุมน้ำหนักแห่งหนึ่งที่ทดลองในคนมากกว่า 6,000 คน ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน่าพอใจและยังคงรักษาน้ำหนักขณะนั้นไว้ได้ ถึง 6 ปี โดยสรุปก็คือว่า หากคุณเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย คุณจะสามารถควบคุมอาหารมื้อต่อๆ ไปได้ง่ายขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้คุณก็ควรระวังเครื่องดื่มที่แอบแฝงแคลอรีเอาไว้ อย่างกาแฟลาเต้ ชาเย็น และน้ำผลไม้ เป็นต้น 2. Get Some Protein เคล็ดลับข้อนี้อยู่ที่การรับประทานโปรตีนทดแทนอาหารกลุ่มอื่นๆ จำพวกคาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คุณผู้หญิงควรทานโปรตีนประมาณวันละ 1/3 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์ ดังนั้นสมมุติว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 145 ปอนด์หรือ 65 กิโลกรัม คุณก็ควรทานโปรตีนประมาณ 48 กรัม 3. Pack on produce and Eat to feel full on less ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่า การทานพวกผักผลไม้มากๆ จะส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก เพราะพืชผักพวกนี้จะทำให้อิ่มเร็วพร้อมกับแคลอรีไม่มากนัก หรืออีกวิธีคือถ้าในเมนูวันนั้นเป็นพวกเนื้อสัตว์ ชีส พาสต้า หรือข้าว คุณก็อาจจะเลือกทานเพียงครึ่งเดียวแต่ไปเพิ่มผักเข้าไป อีกเท่าตัว ทีนี้ก็แน่นอนว่า คุณจะสามารถอิ่มอร่อยแบบไม่อ้วนได้ 4. Work out to better manage stress แน่นอนว่าการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยคลายเครียดแล้ว ยังจะช่วยจัดการกับขนมขบเคี้ยว ที่คุณเพิ่งทานเล่นเข้าไป ให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ คุณควรจะคิดว่าการออกกำลังกายคือ กิจวัตรที่คุณจะต้องทำเสมือนกับการเข้าประชุม หากวันนี้มีเหตุจำเป็นจริงๆ คุณก็ควรมีวินัยในตนเอง โดยการหาเวลามาชดเชยการออกกำลังกายที่หายไปในวันรุ่งขึ้น
  • 26. 5. Love what you do to get fit อันนี้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยพิสมัยการออกกำลังตามยิมชั้นนำซักเท่าไหร่ ข้อนี้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า คุณควรหา กิจกรรมเรียกเหงื่ออย่างที่คุณโปรดปราน เป็นต้นว่า พาเจ้าหมาตัวโปรดไปเดินเล่นนอกบ้าน หรือออกไป เล่นซอฟบอลกับบรรดาเพื่อนๆ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนขาเม้าส Œ ไปเดินเล่นซัก 30 นาทีด้วยกันก็ได้ 6. Have a plan B สำหรับข้อนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คุณจะออกไปเฮฮากับเพื่อนช่วงวันหยุด แล้วกลับมาพร้อมกับน้ำหนักตัว เกินไปซัก 5 ปอนด์ ( 2.2 กก .) บนตาชั่งตัวเก็ง ขอย้ำว่า ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ อาหารมื้อถัดไปค่อยทานน้อยลงเป็นไง 7. Stop and Think สุดทายนี้แถมให้ก็คือว่า เมื่อจานหลักของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณมักจะได้ยินคำถามต่อว่า " รับของหวานไหม " พร้อมกับส่งเมนูขนมหวานหน้าตาชวนลิ้มมาให้คุณ .... คำแนะนำต่อไปนี้คือ คิดและคิดก่อนว่าจะสั่งหรือไม่สั่ง " เมื่อกี๊เรากินอะไรไปบ้าง " หรือ " เอ กินเยอะไปหรือเปล่านะวันนี้ " คำถามทั้งหลาย ที่พากันโถมเข้ามาในหัวคุณนี้จะช่วย ให้คุณสร้างระเบียบวินัยในการทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มากขึ้นอันนำไปสู่การควบคุมน้ำหนักตัว ที่ได้ผลดีเยี่ยมนั่นเอง