Contenu connexe
Similaire à สถาบันทางการเมือง
Similaire à สถาบันทางการเมือง (20)
Plus de kroobannakakok (12)
สถาบันทางการเมือง
- 1. สถาบันทางการเมือง มี 5 หัวข้อ
1.ความหมายของสถาบัน
2.รัฐธรรมนูญ
3.สถาบันฝ่ ายนิ ติบญญัติ
ั
4.สถาบันฝ่ ายบริหาร
5.สถาบันฝ่ ายตุลาการ
- 2. 1.ความหมาย สถาบัน แปลว่า ก่อตัง 2 นัย คือ
1.สถาบันทีเป็ นรูปธรรม เช่น วิทยาเขตหนองคาย สมาคม ไทย-ลาว
2.สถาบันทีเป็ นนามธรรม เช่น ระเบียบ กฎเกณฑ์ทีทีปฏิ บติในสังคม
ั
บรรทัดฐานของพฤติ กรรมทีสร้างขึนมีโครงสร้างแน่ นอน+ปฏิ บติสืบกันมาจนยอมรับกัน
ั
ทางสังคมทีแสดงออก
สถาบันทางการเมือง (political institution) คือสถาบันทีแสดงถึงความสัมพันธ์
ระหว่างการเมืองและสมาชิ กของสังคม/ระหว่างสมาชิ ก/ปฏิบติกิจกรรมทางการเมือง
ั
อย่างต่อเนื อง สถาบันการเมืองทีสําคัญ มี 4 ประการ ดังนี
2.. รัฐธรรมนูญ (Constitution)
2.1 ประเภทของรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของรัฐ แบ่งเป็ น 4 ประเภทหลัก คื อ
1รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อกษร 2.รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี
ั
3.รัฐธรรมนูญรัฐเดียวรัฐรวม 4. รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐและรัฐธรรมนูญกษัตริย ์
- 3. 2.2นักวิชาการบางคนแบ่ง เป็ น 2 ประเภท คือ 1.แบบลายลักษณ์อกษร2.แบบจารีต
ั
1.รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อกษร กฎหมายสูงสุดทีเขียนไว้เป็ นลายลักษณ์อกษร
ั ั
รธน.ของอเมริกาเป็ นต้นแบบ วัตถุประสงค์ /อํานาจอธิปไตย /....กรณี รธน.ไทย
2.รัฐธรรมนูญตามจารีตประเพณี รธน. อังกฤษเป็ นต้นแบบ
3.รัฐธรรมนูญรัฐเดียว รัฐธรรมนูญรวม รัฐทีใช้รฐธรรมนูญรัฐเดี ยว อํานาจอธิปไตยอยู่ที
ั
รัฐบาลเดียว แบ่งอํานาจไปสู่ส่วนภูมิภาค /กระจายอํานาจไปท้องถิน
รัฐธรรมนูญรัฐรวม คื อรัฐบาลซ้อนกัน 2 ระบบ มีฝ่ายบริหาร นิ ติบญญัติ ตุลาการใน
ั
รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิน มี 2 แบบ 1.รัฐบาลกลาง มีอํานาจเท่าทีท้องถิน
กําหนด* federation ของสหรัฐอเมริกา 2.รัฐบาลท้องถินมีอํานาจเท่าทีรัฐบาลกลาง
กําหนด
4.รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ และรัฐธรรมนูญกษัตริย ์ รัฐธรรมนูญสาธาฯปธธ.เป็ นประมุข
รัฐอย่างเดียว /ปธธ.เป็ นประมุข+ผูนําบริหาร รัฐธรรมนูญกษัตริย ์ *
้
สมบูรณาญาสิ ทธิราชย์และกษัตริยอยู่ภายใต้รฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy
์ ั
หรือ Limited Monarchy)
- 4. 2.3 การตีความรัฐธรรมนูญ เพือความศักดิสิทธิของกฎหมายสูงสุดและ
ปองกันการวินิจฉัยกฎหมายทีผิ ดพลาดเช่น ศาลสูง(Supreme Court)ของอเมริกา
้
ศาลรัฐธรรมนูญของไทย (หลังพฤษภาทมิฬ 2535 เริมเรียกร้องรัฐธรรมนูญทีเป็ น
เจตนารมณ์ของปชช.ทีจะปฎิรการเมือง ขยายผลมาเป็ นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
ู
2540 (ฉบับปั จจุบนเป็ นรธน.ลายลักษณ์อกษร ปี พ.ศ. 2550 12 หมวด
ั ั
................)
2.4 จุดกําเนิ ดของรัฐธรรมนูญ
1.)วิวฒนาการ(ค่อยเป็ นค่อยไป) ช่วงชิ งอํานาจ กษัตริยกบรัฐสภาของอังกฤษ
ั ์ ั
2.)ปฏิวติ/รัฐประหาร กรณี การปฏิวติฝรังเศส ค.ศ. 1789/ปฏิวติรสเซีย(ความ
ั ั ั ั
แตกต่างของปฎิวติ* Revolution ปชช.ล้มล้างอํานาจ/รวดเร็ว แต่ รัฐประหาร* Coup
ั
D etatคือ......
3.)ประมุขรัฐมอบให้ กรณี ร.7 พระราชทานอํานาจรธน.แก่ปชช.ชาวไทย
4.)การรวมตัวของประชาชนก่อกําเนิ ดรัฐ กรณี ปชช.สหรัฐจากมลรัฐรวมตัว
5.)ประเทศทียึ ดครองมอบให้ กรณี ญีปุ่ นรับจากสัมพันธมิตรหลังสงครามโลก 2
- 5. 2.5 ลักษณะของรัฐธรรมนูญทีดี (รัฐธรรมนูญทีดีตองเหมาะสมกับสภาพรัฐ)
้
1.) มีขอความชัดเจนแน่ นอน
้
2.)กําหนดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนไว้ชดเจน ั
3.)ครอบคลุมบทบัญญัติการปกครองรัฐไว้ครบถ้วน
4.)ไม่ควรยาวเกินไป
5.)กําหนดวิธีการแก้ไข เพิมเติ มรัฐธรรมนูญ
2.6 เนื อหาสาระของรัฐธรรมนูญ
1.) ระบุถึงอุดมการณ์ 2.)โครงร่างของรัฐบาล อํานาจ/หน้าที 3. การแบ่งอํานาจ
4. กําหนดขอบเขตสิทธิ ของบุคคล และกรอบอํานาจรัฐ 5. กําหนดวิธีการแก้ไข
การแก้ไข เพิมเติม รัฐธรรมนูญ 5วิธี คื อ 1.แก้ไขโดยฝ่ ายนิ ติบญญัติ(เสียงข้างมาก)
ั
2.แก้ไขโดยฝ่ ายนิ ติบญญัติคะแนนพิเศษ 2/3 หรือ 3/4 3.แก้ไขโดยฝ่ ายนิ ติบญญัติ
ั ั
แต่ตองขอประชามติ 4.แก้ไขโดยปชช.ทัวไป (ดีทีสุด) 5.แก้ไขโดยตังองค์กรพิเศษทํา
้
หน้าทีแก้ไข
- 6. 3.สถาบันนิ ติบญญัติ
ั
3.1 สถาบันนิ ติบญญัติ คือฝ่ ายรัฐสภา มีหน้าทีหลักคือออกกฎหมาย และการเป็ นตัวแทน
ั
ประชาชน /ควบคุมการทํางานของรัฐบาลในระบบรัฐสภา
*สภานิ ติบญญัติเกิดขึนครังแรกในอังกฤษ สมัยพระเจ้าวิลเลียมส์ตงสภามหาสภา (Great
ั ั
Council) หรือ Magnum Consilium Great Council ต่อมาสมัยพระเจ้าเฮนรีที 3 ขัดแย้งกับ
สภาจึงเปลียนเป็ นชือ parliament
3.2ปั จจุบนประเทศทีมีระบบรัฐสภาแบ่งสถาบันนิ ติบญญัติเป็ น 2 รูปแบบ คือ
ั ั
1.) ระบบสภาเดียวหรือ เอกสภา (Unicameral)มีสภาเดียวส่วนใหญ่อยู่ในระดับการปกครองส่วน
ท้องถิน ในสหรัฐอเมริกา เช่น สภาแขวง (County Board) สภาเมือง (City Councils)
- 7. 2.) ระบบสองสภา (Bicameral) ทวิสภา (Bicameral) มี 2 สภา รูปแบบในการออก
กฎหมายแบบนี เป็ นทีนิ ยมในประเทศต่างๆ ทัวโลก ถือกําเนิ ดขึนครังแรกในประเทศ
อังกฤษ โดยทัวไปแบ่งเป็ น 2 สภา เรียกว่า Bicameral (Houses/Chambers)
**สภาล่าง (สส.) ประกอบด้วยบุคคลธรรมดาหลากหลาย มาจากการเลื อกตัง
**สภาสูง (สว.) คนทีมีลกษณะพิเศษ มาจากการแต่งตังหรือเลื อกตัง
ั
อํานาจและหน้าทีของสภาคู่ มี 2 รูปแบบ
รูปแบบที 1 - ระบบสภาคู่ทีมีอํานาจเท่าเทียมกัน เช่นรัฐสภาสหรัฐ (Congress)
ประกอบด้วยสภาสูง (หรือวุฒิสภา) และสภาล่าง(หรือสภาผูแทนราษฎร)
้
รูปแบบที 2 - ระบบสภาคู่ทีมีอํานาจเน้นหนักทีสภาเดียว ระบบรัฐสภาอังกฤษซึงมีสภาสูง
หรือสภาขุนนาง (House of Lords) และสภาผูแทนราษฎรหรือสภาสามัญ (House of
้
Commons)
- 8. 3.3 หลักการเลื อกผูแทนของสภามี 4 วิธีการ คือ
้
1.)การเลื อกผูแทนหรือตัวแทนจากชนชัน
้
2.) การเลื อกตัวแทนทางภูมิศาสตร์หรือหน่ วยการเมือง
3.) การเลื อกตัวแทนประชากร เป็ นวิธีการเลื อกทีแพร่หลายมากทีสุด
แบ่งเขตซึงมีสมาชิ กได้เพียงคนเดียว และแบ่งเป็ นเขตซึงมีสมาชิ กได้หลายคน
**จุดอ่อน คื อ ประชากรมีการเคลือนย้ายเสมอ ต้องกําหนดเขตใหม่/เหมาะสม
4.)การเลื อกตัวแทนจากกลุ่มอาชี พ
3.4อํานาจและหน้าทีของสถาบันฝ่ ายนิ ติบญญัติ
ั
1.) ออกกฎหมาย(law - mating) เป็ นอํานาจหน้าทีหลักของสถาบันฝ่ ายนิ ติบญญัติ
ั
2.) การมีส่วนร่วมในอํานาจฝ่ ายบริหาร(executive)
3.)การมีส่วนร่วมในทางตุลาการ
4.)บทบาทในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5.) บทบาทในการเลื อกตัง
- 9. บทบาทของรัฐสภาในระบบประธานาธิบดี กรณี ตวอย่างสหรัฐอเมริกา
ั
* วุฒิสภาและสส.มีอํานาจเท่าเทียมกัน
*วุฒืสภามาจากรัฐต่างๆ ตัวแทนรัฐละ 2 คน วุฒสภาดํารงตําแหน่ งคราวละ 6 ปี และ
1/3 ของวุฒิสมาชิ ก ต้องเลื อกใหม่ทุก 2 ปี
*หน้าทีของสส. และ สว. คื อ
**การออกกฎหมาย/แก้ไขรัฐธรรมนูญ
** สว.ให้การรับรองการแต่งตังข้าราชการระดับสูงของปธธ.
** สส.ทํา impeachment กล่าวโทษฝ่ ายพลเรือน/ตุลาการหรือปธธ.ให้พนจากตําแหน่ ง
้
ได้
** วุฒิสภามีอํานาจปลด ปธธ.(removal)ได้ 2/3ของวุฒิสภา
- 10. 3.5โครงสร้างรัฐสภาไทย โดยทัวไปมักแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ สภาเดียว
(Unicameral System) และสภาคู่ (Bicameral System)
บทบาทของรัฐสภาไทย
1.วุฒิสภาทําหน้าทีเป็ นพีเลียง กําเนิ ดจากอังกฤษ สภาขุนนาง ไทยเริมมีการเลือกตัง สว.ปี
2540
2.สส.มีอํานาจมากกว่าสว.
3.รัฐสภามีอํานาจตรวจสอบข้อเท็จจริงใน คณะกรรมาธิการประจําวุฒิสภา หรือประจําสภา
ผูแทนราษฎร
้
**ขันตอนการ/กระบวนการออกกฎหมาย ครม./รัฐสภาเป็ นผูเ้ สนอร่างกม. นําร่างเข้าสู่สภา
- 11. การพิจารณาร่างกฎหมาย รัฐสภา มี 3 วาระ คือ(สส.และ สว.ใช้แบบเดียวกัน)
วาระที 1. รับหลักการ อ่านชือ /อ่านสาระให้สภารับทราบ
วาระที 2. แปรญัตติ 1.เปิ ดให้แสดงความคิดเห็น/อภิปรายแล้ว
2. สภาเห็นชอบ ให้ตงคณะกรรมาธิการพิจารณา
ั
ปรับแก้(แต่หามแก้หลักการ)
้
3.กรรมาธิการปรับแก้ เสร็จเรียบร้อย นําเสนอสภาเพือ
ปรับแก้อีกครัง เมือปรับแก้เสร็จเสนอเข้าวาระ 3
วาระที 3 ลงมติ ให้อภิปรายแต่หามแก้ไขร่างกม. เมือลงมติเสร็จให้เสนอวุฒิสภา
้
เมือวุฒิสภาพิจารณาเสร็จ เสนอประมุขประเทศ(พระมหากษัตริย) ์
- 12. 4. สถาบันฝ่ ายบริหาร คณะผูบริหารประเทศในระบบรัฐสภา และปธธ.แตกต่างกัน
้
4.1สถาบันฝ่ ายบริหารในระบบรัฐสภา
**ฝ่ ายบริหารบริหารประเทศ นํากม.ไปบังตับใช้ (บางครังออกม.เองได้)
**ในประเทศประชาธิปไตย อํานาจฝ่ ายบริหารมีจํากัด รัฐบาลอยู่ในการควบคุมของรัฐสภา
เมือลงมติ คณะผูบริหารต้องถือปฏิบติตามมติ
้ ั
** นายก+รมต.เป็ นคณะเดียวกัน นายกหมดวาระ/ลาออก/ถูกไม่ไว้วางใจ รมต.ต้องออก
เพือให้รฐบาลมีเสถียรภาพ ระบบรัฐสภาให้อานาจฝ่ ายบริหารมีอํานาจในรัฐสภามาก แต่
ั ํ
สมาชิก สส.ต้องปฏิบติตามมติพรรค
ั
4.2สถาบันฝ่ ายบริหารในระบบประธานาธิบดี
**ปธธ.ได้รบเลือกโดยตรงจากประชาชน เป็ นผูนําฝ่ ายบริหาร/เลือกครม. รมต.ใน
ั ้
ระบบปธธ.จึงมีหน้าทีเหมือนกับเลขานุการ (Secretary) ปธธ.เสนอแนวคิด /แนวทางการ
ปรับกม.ได้ แม้จะไม่มีอํานาจออก กม. /ปธธ.มีอํานาจแทรกตุลาการโดยลดโทษ อภัยโทษ
- 13. 4.3อํานาจหน้าทีของฝ่ ายบริหาร มีหน้าทีครอบคลุม 6 ภารกิจหลัก คือ
1.) บทบาทหน้าทีในด้านการบริหารประเทศ
2.) บทบาทหน้าทีในการแต่งตังและถอดถอน ฝ่ ายบริหาร
3.) บทบาทในการมีส่วนร่วมด้านนิ ติบญญัติ
ั
4.) บทบาทหน้าทีในทางตุลาการ
5.) บทบาทหน้าทีในด้านการฑูต
6.) บทบาทหน้าทีในทางการทหาร
4.4การเข้าสู่ตําแหน่ งและวาระการดํารงตําแหน่ งฝ่ ายบริหาร มี 5 วิธี คือ
1.) การสืบสายโลหิต 2.) การเลือกตังโดยตรง 3.) การเลือกตังโดยอ้อม
4.) โดยการแต่งตัง 5.) โดยการยึ ดอํานาจ
- 14. 4.5วาระการดํารงตําแหน่ งของฝ่ ายบริหาร
1.) แบบไม่แน่ นอน เช่น ระบบรัฐสภารัฐบาลมีวาระเท่ากับรัฐสภา (เช่น 5 ปี )
2.)แบบแน่ นอน เช่น ระบบประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา อยู่ในวาระ 4 ปี
**รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยเรียกผูมีอํานาจบริหารราชการแผ่นดิ นว่า
้
คณะกรรมการราษฎร ในการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2475
เรียกว่า คณะกรรมการราษฎร(คณะรัฐมนตรี) บทบาทรมต.ไทย. ในปั จจุบน มีดงนี
ั ั
1. การกําหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน
2. บริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายทีได้แถลงไว้ต่อสภาผูแทนราษฎร
้
3. ทําหน้าทีประสานงานระหว่างกระทรวง ทบวง กรม
4. วางระเบียบข้อบังคับให้กระทรวงทบวงกรมถือปฏิบติ ั
5. พิจารณาและลงมติเรืองต่างๆ ทีกระทรวงทบวงกรมเสนอ
6.อํานาจหน้าทีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
7.บทบาทหน้าทีของฝ่ ายบริหารภายใต้การชี นํ าของข้าราชการประจํา
- 15. 5.สถาบันฝ่ ายตุลาการ
5.1 การจัดองค์การของฝ่ ายตุลาการ ระบบงานศาลแบ่งเป็ น 3 ส่วน คือ
1.)ศาลระดับธรรมดา (Courts of original Jurisdiction) รับพิจารณาคดีครังแรก
2.) ศาลอุทธรณ์
3.) ศาลฎี กา
5.2 การเข้าสู่ตําแหน่ งของสถาบันฝ่ ายตุลาการ มี 2 ระบบ คือ
1.) การเลื อกตัง การเลือกตังใช้เฉพาะผูพิพากษาของศาลบางประเภท
้
2.) การแต่งตัง ส่วนใหญ่เกือบทุกประเทศใช้วิธีแต่งตัง
การพ้นตําแหน่ ง การถูกกล่าวหาว่าปฏิบติมิชอบ มีการกระทําทีไม่เหมาะสม (impeachment)
ั
กระบวนการกล่าวหาจะเริมต้นจากสภาล่าง มีการสอบสวนมีกระบวนการสืบเนื องเพือประกัน
ความยุติธรรมต่อผูพิพากษาเอง
้
- 16. การสถาปนากระทรวงยุ ติธรรม และ การเปลียนแปลงทางการศาลไทย
** เมือปลายปี ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) รัฐบาลไทยได้ออกประกาศตังกระทรวงยุติธรรม **ศาล
ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทีมีอยู่เดิม 16 ศาล ถูกยุบเหลือเพียง 7 ศาล กระทรวงยุติธรรมได้มี
การปรับปรุงเปลียนแปลงการบริหาร การดําเนิ นการด้านศาลมาเป็ นลําดับตลอดมา
5.3ประเภทของศาลไทย แบ่งเป็ น 4 ประเภท คือ
1. ศาลรัฐธรรมนูญ 2.ศาลยุติธรรม 3.ศาลปกครอง 4.ศาลทหาร
1.)ศาลรัฐธรรมนูญ เริมปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540
2.)ศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมยังเป็ นศาลทัวไป (Ordinary Court) ศาลยุติธรรมหรือศาลใน
กระทรวงยุติธรรมแบ่งออกเป็ น 3 ชันศาล คือ ศาลชันต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
- 17. ศาลชํานัญพิเศษ อยู่ในศาลชันต้นในระบบศาลยุติธรรม มีดงนี
ั
1.) ศาลคดีเด็กและเยาวชนหรือศาลเยาวชนและครอบครัว
2.) ศาลแรงงาน
3) ศาลภาษี อากร
4) ศาลทรัพย์สินทางปั ญญาและการค้าระหว่างประเทศ
5) ศาลล้มละลาย
3.)ศาลปกครอง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2540 ได้บญญัติเรือง
ั
ศาลปกครองไว้เป็ นการเฉพาะ
**ศาลปกครองแบ่งออกเป็ น 2 ชัน คือ 1.ศาลปกครองสูงสุด 2.ศาลปกครองชันต้น (ศาล
ปกครองกลาง และศาลปกครองในภูมิภาค)
- 18. คดีทีขึนสู่ศาลปกครอง คือ คดีพิพาทเกียวกับการทีหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าทีของรัฐ
กระทําการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็ นการออกกฎ คําสังหรือการกระทําอืนใด
เนื องจากกระทําโดยไม่มีอานาจหรือนอกเหนื ออํานาจหน้าทีหรือไม่ถกต้องตามกฎหมาย หรือ
ํ ู
โดยไม่ถกต้องตามรูปแบบขันตอน
ู
หรือโดยไม่สจริต หรือมีลกษณะเป็ นการเลือกปฏิบติทีไม่เป็ นธรรมหรือมีลกษณะเป็ นการสร้าง
ุ ั ั ั
ขันตอนโดยไม่จาเป็ น
ํ
4.) ศาลทหาร ศาลทหารมีอํานาจพิจารณาพิพากษาวางบทลงโทษผูกระทําผิ ดต่อ
้
กฎหมายทหารหรือกฎหมายอืนในทางอาญา ในคดีซึงผูกระทําผิ ดเป็ นบุคคลทีอยู่ในอํานาจศาล
้
ทหารในขณะกระทําผิ ดและมีอํานาจสังลงโทษบุคคลใดๆทีกระทําความผิ ดฐานละเมิดอํานาจ
ศาลตามทีบัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง