More Related Content
Similar to ตอบสถานการณ์ปัญาหา แนวคิดพฤติกรรมนิยม.Pdมf
Similar to ตอบสถานการณ์ปัญาหา แนวคิดพฤติกรรมนิยม.Pdมf (20)
ตอบสถานการณ์ปัญาหา แนวคิดพฤติกรรมนิยม.Pdมf
- 1. จัดทาโดย
1. นางสาวจันทิมา บุญโชติ รหัส 565050036-5
2. นางสาวพิมพ์พร ชาวแสน รหัส 565050045-4
3. นางอุไรวรรณ ชาญกัน รหัส 565050222-8
สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- 3. หลักการที่นามาใช้ในการวางเงื่อนไขกับไก่ มาจากทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิค(Classical Conditioning Theory) ของ พาฟลอฟ มีหลักการคือ สิ่งเร้าที่
วางเงื่อนไข + สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข = การเรียนรู้ ด้วยหลักการนี้ สามารถนามาใช้
ในการวางเงื่อนไขกับไก่ โดยการให้สิ่งเร้าคือเสียงเคาะไม้ไผ่ เพื่อทาให้ไก่มีพฤติกรรม
ตอบสนองที่ต้องการคือไก่มากินอาหารตามที่กาหนด ทาให้ผู้ปฏิบัติคือปอยฝ้ายไม่ต้อง
มาให้อาหารไก่ด้วยตนเอง แต่ทาได้โดยการให้คนอื่นเคาะไม้ไผ่เป็นสัญญาณบอกเวลา
ให้อาหารไก่ ทุกครั้งที่มีเสียงเคาะไม้ไผ่ไก่ก็จะมากินอาหาร
หลักการและเหตุผลของทฤษฏีในการนามาใช้วางเงื่อนไขกับไก่
- 4. ข้อดี คือ ทาให้ไก่มีพฤติกรรมการตอบสนองต่อการวางเงื่อนไขเพื่อตอบสนอง
ต่อความหิวได้โดยใช้เวลาระยะสั้นๆ เช่น ปอยฝ้ายไม่ต้องมาให้อาหารไก่ด้วยตนเองแต่
ให้คนงานคนอื่นเคาะไม้ไผ่เป็นสัญญาณบอกเวลาให้อาหารไก่ ทุกครั้งที่มีเสียงเคาะไม้ไผ่
ไก่ก็จะตอบสนองต่อเสียงไม้ไผ่โดยการวิ่งมากินอาหาร
ข้อดี-ข้อจากัด ของทฤษฎีการวางเงื่อนไข
แบบคลาสสิค(Classical Conditioning Theory) ของ พาฟลอฟ
ข้อจากัด คือ ถ้าไม่ทาตามเงื่อนไขที่วางไว้ เช่น การเคาะไม้ไผ่หลายๆครั้ง แต่
ไม่มีการให้อาหารไก่ ไก่ก็จะลดอาการตอบสนองและไม่สนใจเสียงเคาะไม้ไผ่ในที่สุดทาให้
วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
- 7. หลักการในการเลือกทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
มาใช้ในการแก้ไขปัญหาของสถานการณ์
การแก้ปัญหาเลือกใช้ทฤษฏีพฤติกรรมนิยม ตามหลักการวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิค ของ วัตสัน ที่ได้ทาการทดลองกับมนุษย์โดยศึกษาเรื่องความกลัว มาใช้
ในการแก้ปัญหานี้ นั้นคือ
การให้สิ่งเร้าที่ทาให้เกิดอาการกลัว เด็กจะกลัวเสียงดัง แต่ไม่กลัวสัตว์
เช่นหนูขาว วัตสันทาการทดลองกับเด็กที่ชอบเล่นกับหนูขาว แล้วเคาะเหล็กให้เกิด
เสียงดังในขณะที่เด็กกาลังจะแตะหนูขาวทาซ้าไปซ้ามา หลังจากนั้นพบว่าเด็กเห็น
หนูขาวก็เกิดอาการกลัว
การให้สิ่งเร้าแก้อาการกลัว วัตสันให้ แม่เด็กอุ้มเด็กแล้วยื่นหนูขาวให้เด็ก
จับ ผลคือเด็กจะร้องไห้จากนั้นให้แม่เด็กปลอบเด็กว่าหนูขาวไม่น่ากลัวพร้อมอามือ
จับและลูบตัวหนูขาว ทาเช่นนี้หลายครั้ง ในที่สุดเด็กก็หายกลัวหนูขาวและ จับ ลูบ
ตัวหนูขาวได้
- 8. เหตุผลในการเลือกทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม การวางเงื่อนไขแบบ
คลาสสิคของ วัตสัน มาใช้ในการแก้ปัญหา เพราะทฤษฎีนี้มีการทดลองกับมนุษย์
โดยตรงและศึกษาเกี่ยวกับความกลัว จึงสามารถนาความรู้จากวิธีการทดลอง
ดังกล่าวของวัตสันไปปรับใช้เป็นแนวทางในการหาวิธีแก้ปัญหาอาการกลัวการไป
โรงเรียนของหนูน้อยในสถานการณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน
เหตุผลในการเลือกทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม
ที่นามาใช้ในการแก้ปัญหา
- 9. 1. สืบหาสาเหตุหรือสิ่งเร้าที่ทาให้เด็กเกิดอาการกลัวการไปโรงเรียนให้ได้ว่าเป็น
เพราะสาเหตุใด เมื่อทราบแล้ว เช่น เด็กกลัวการไปโรงเรียนเพราะไปแล้ว
เพื่อนล้อเลียน/ ครูดุด่าเสียงดัง/เพื่อนแกล้ง เป็นต้น ให้ผู้ปกครองให้คาแนะนา
พูดปลอบ ให้กาลังใจ กับหนูน้อย ให้เข้าใจ พร้อมกับแนะนาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องลด
การแสดงพฤติกรรมดังกล่าวลง แล้วพานักเรียนมาโรงเรียนตามปกติ
2. เพิ่มความสนใจข้อดีของการไปโรงเรียนเพื่อให้เด็กอยากไปโรงเรียนและเลิกกลัว
การไปโรงเรียน เช่น ผู้ปกครองไปส่งที่โรงเรียนส่งที่โรงเรียนที่สภาพแวดล้อมดี
เช่น เพื่อนที่สนิทด้วย ,ครูพาทากิจกรรมสนุกสนานที่โรงเรียน เป็นต้น
นาหลักการทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
ของ วัตสัน มาใช้ในการแก้ปัญหา
- 10. สถานการณ์ที่ 3 ฤทธิ์ ครูใหญ่
หลักการที่คิดว่าจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์นี้ ควรมีพื้นฐานมาจาก
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning) ในทฤษฎีการเรียนรู้
กลุ่มพฤติกรรมนิยม
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant Conditioning
Theory) หรือ ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทา ของ สกินเนอร์ (B.F. Skinner) ที่ทาการ
ทดลองการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์กับหนูโดยทดลองขังหนูในกล่องโดยกาหนดเงื่อนไขให้หนู
ต้องกดคานให้มีเสียงดังแกรกก่อนค่อยได้อาหาร ต่อมาเมื่อหนูกดคานก็งดให้อาหารจากกนั้นหนูก็เลิก
กดคาน ซึ่งการทดลองนี้สามารถใช้เป็นแนวทางการศึกษาการเรียนรู้ของมนุษย์ได้ โดยมีแนวคิดว่า
การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะทฤษฎีนี้ต้องการเน้นเรื่อง
สิ่งแวดล้อม สิ่งสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์
พื้นฐานของหลักการที่เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของสถานการณ์
- 11. ซึ่งสรุปได้ว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่
กระทาต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จาเป็นต้องมี
การเสริมแรง (ผลของพฤติกรรมใด ๆ ที่ทาให้พฤติกรรมนั้นเข้มแข็งขึ้น)ซึ่งการ
เสริมแรงนี้มีทั้งการเสริมแรงทางบวก หรือPositive Reinforcement(สภาพการณ์ที่
ช่วยให้พฤติกรรมโอเปอแรนท์เกิดขึ้นอีกในด้านความที่น่าจะเป็นไปได้ของการเกิดโอ
เปอร์แรนท์)การเสริมแรงทางบวกสามารถกระตุ้นให้คนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์
เพิ่มขึ้นและการเสริมแรงทางลบ หรือNegative Reinforcement(การเปลี่ยนแปลง
สภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมอาจจะทาให้พฤติกรรมโอเปอแรนท์เกิดขึ้นได้) การ
เสริมแรงทางลบช่วยเพิ่มความคงทนของการแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยการงด
หรือไม่ให้หรือดึงเอาสิ่งเร้าที่ผู้เรียนพึงพอใจออกไป
- 12. จากสถานการณ์ดังกล่าว อยู่ในขอบข่ายของทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือ
กระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning) เพราะครูมีความต้องการกระตุ้น
ให้กลุ่มผู้เรียน 6 คน แสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นและลดพฤติกรรมที่ไม่พึง
ประสงค์ลง และ เป็นพฤติกรรมที่คงทนซึ่งจาเป็นที่จะต้องได้รับการสริมแรงตาม
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning) ที่จะ
กิจการเรียนรู้จากการลงมือกระทาและถ้าหากได้รับการเสริมแรงจะทาให้เกิด
พฤติกรรมการนนั้นซ้าอีก
วิเคราะห์สถานการณ์จากขอบข่ายของทฤษฎีในกลุ่มพฤติกรรมนิยม
- 13. ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning)
ในการแก้ปัญหา คือ ครูใหญ่ต้องมีการเสริมแรงทางบวกให้กับกลุ่มผู้เรียนดังกล่าว เพื่อให้
เกิดการปรับพฤติกรรมที่คงทน อาจให้แรงเสริม เมื่อผู้เรียนทาตามกติกาในชั้นเรียน เช่น
ถ้านักเรียนกลุ่มนี้ทางานส่งทันเวลา จะปล่อยให้ออกไปเล่นหรือพักผ่อนก่อนเวลา โดยให้
แรงเสริมอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ผู้เรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ จากนั้นค่อยให้แรงเสริม
เป็นครั้งคราว และครูใหญ่ต้องไม่ให้แรงเสริมเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา
ออกมาเช่นไม่ทากติกาที่ตกลงไว้ หรือ ถ้าผู้เรียนยังไม่เกิดพฤติกรรมที่น่าพอใจครูใหญ่
อาจ ให้แรงเสริมเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่นักเรียนทาได้ใกล้เคียงได้ เช่น กิจกรรมมี 10 ข้อ
ปกติผู้เรียนกลุ่มนี้จะไม่ทาเลย
หลักของทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยมในการแก้ปัญหาสถานการณ์
- 14. ครูใหญ่อาจกาหนดให้กรณีพิเศษ ถ้าทาได้อย่างน้อย 5 ข้อจาก10 ข้อจะได้รับ
แรงเสริม เป็นคะแนนพิเศษสะสม ถ้าทาได้เต็มจานวนก็จะยิ่งได้คะแนนสะสมเพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเพราะ ตนเองมีสิทธิ์ทากิจกรรมน้อยกว่าเพื่อน แต่มีโอกาส
สะสมคะแนนได้ เมื่อผู้เรียนเริ่มมีการปรับพฤติกรรมได้ ครูใหญ่จึงค่อยๆลดการชี้แนะลง
และ ลดแรงเสริมดังกล่าวลง เมื่อผู้เรียนกระทาได้แล้วและผู้เรียนเริ่มแสดงว่ามีความ
พอใจในการส่งงานหรือทากิจกรรมตามกติกาข้อตกลง ซึ่งเป็นแรงเสริมด้วยตนเองจาก
การทางานนั้นได้
ข้อควรระวัง
ครูใหญ่ไม่ควรใช้การลงโทษนักเรียนเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้และไม่ควรให้แรง
เสริมเมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
- 15. สถานการณ์ที่ 4 ทาความสะอาด
สถานการณ์นี้อยู่ในขอบข่ายทฤษฎีการเชื่อมโยง (Classical Connectionism)
ของธอร์นไดค์ (Thorndike) เพราะว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ
การตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการ
เรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะ
พยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จาก
การทาความสะอาดรอบแรกของนักเรียนโดยที่นักเรียนไม่ได้วางแผนแล้วการทาความ
สะอาดห้องเรียนนั้น ไม่สะอาด และครั้งที่สองนักเรียนมีการวางแผงทาข้อตกลง จน
ห้องเรียนนั้นสะอาดและก็ทามันเวลา
ขอบข่ายของทฤษฎีในกลุ่มพฤติกรรมนิยมจากสถานการณ์
- 16. ข้อดี นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง สามารถนาปัญหา
ที่ได้จากการพบเจอ ประสบ มาแก้ไขปัญหา ปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ข้อดี และแนวทางในการนาทฤษฎีไปใช้ในการเรียนการสอน
แนวทางในการนาทฤษฎีการเชื่อมโยงไปใช้ในการเรียนการสอน ดังนี้
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง จะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใน
การแก้ไขปัญหา โดยสามารถจดจาผลจากการเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งเกิดความภาคภูมิใจใน
การทาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง และผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่อง
แท้ และให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้ว ควร
ให้ผู้เรียนฝึกนาการเรียนรู้นั้นไปใช้และได้รับผลที่น่าพึงพอใจ จะช่วยให้การเรียนการสอน
ประสบความสาเร็จ
- 17. สถานการณ์ที่ 5 ปัญหาเด็กเรียนซ้า
ครูผู้สอนเมื่อรู้ว่าผู้เรียนไม่ชอบหรือมีเจตคติไม่ดีต่อวิชาที่เราสอนอยู่ก็ควรวิเคราะห์ว่ามีสาเหตุ
มาจากอะไร อะไรคือสิ่งเร้าที่ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นแล้วพยายามไม่ให้สิ่งเร้าที่ผู้เรียนไม่ชอบนั้น
เกิดขึ้น ดังนั้นผู้สอนจึงจะต้องทาการเรียนการสอนวิชานี้ให้มีความน่าสนใจ สนุกสนานและเปิดโอกาสให้
นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ครูต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อศิษย์ให้โอกาสและรับฟัง
ความคิดเห็นของเขา คอยแนะนาในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ และครูผู้สอนควรกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนให้
ชัดเจน แบ่งเนื้อหาเป็นหน่วยย่อยๆให้ผู้เรียนเรียนทีละหน่วย เริ่มจากเนื้อหาที่ง่ายไปหายาก นอกจากนี้ครู
จะต้องดูความพร้อมของผู้เรียนว่ามีพื้นฐานในการเรียนเนื้อหานี้หรือยัง จัดประสบการณ์เนื้อหาให้
เหมาะสมกับการเรียนการสอน ให้การเสริมแรงเมื่อผู้เรียนทาได้ดีและพอใจในความก้าวหน้าด้านการ
เรียนรู้ของผู้เรียนถึงแม้อาจจะเป็นไปได้ช้า หลีกเลี่ยงการคุมชั้นเรียนโดยวิธีการลงโทษ ซึ่งอาจจะทาให้
ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ไม่ดีต่อการเรียนหรือครูผู้สอนและเป็นอุปสรรคต่อการเรียน
หลักการจัดการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมที่นามาใช้ออกแบบการสอน
และสื่อการเรียนการสอน เพื่อใช้ในการแก้ไขสถานการณ์
- 20. หลักการของทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ยังสามารถนามาใช้ใน
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันได้ เช่น ทฤษฏีการวางเงื่อนไข ของ วัตสัน นามาใช้ใน
การแก้ปัญหาการที่ผู้เรียนไม่กล้าถามครูหรือถามเพื่อนในชั้นเรียน รวมไปถึงการจัด
บรรยากาศในชั้นเรียนให้เด็กรู้สึกร่วมกับผู้อื่นเป็นกันเองและกล้าแสดงออก ทฤษฎี
การเรียนรู้แบบลงมือกระทาของ สกินเนอร์ (Operant Conditioning) นามาใช้ใน
การแก้ปัญหาเพื่อให้ผู้เรียน แสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นและลดพฤติกรรมที่
ไม่พึงประสงค์ลง และ เป็นพฤติกรรมที่คงทนซึ่งจาเป็นที่จะต้องได้รับการเสริมแรง
ตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทาของสกินเนอร์ (Operant Conditioning) ที่
จะเกิดการเรียนรู้จากการลงมือกระทาและถ้าหากได้รับการเสริมแรงจะทาให้เกิด
พฤติกรรมการเรียนนั้นซ้าอีก