ขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ
- 1. เอกสารประกอบการเรียน
เรื่อง ขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ
เพื่อให้การศึกษาเกี่ยวกับการย้อมสีธรรมชาติของชุมชนที่อาศัยอยู่ในแถบป่ายาวหรือปรีย์ทม
ตาบลสาโรง และตาบลตาอ็อง อาเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นไปอย่างรอบด้านและลึกซึ้ง
จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกล่าวถึงขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะความรู้และข้อมูลดังกล่าว
จะช่วยให้การศึกษาวิเคราะห์ เกี่ยวกับการขั้นตอนย้อมสีธรรมชาติมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจะได้
กล่าวถึงการย้อมสีธรรมชาติ ภูมิปัญญาการย้อมสีธรรมชาติและขั้นตอนผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ
ในชุมชนปรีย์ทม ดังนี้
การย้อมสีธรรมชาติ
การย้อมสีธรรมชาติ คือการนาเอาวัตถุดิบในธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลินทรีย์ และ
แร่ธาตุต่าง ๆ มาย้อมกับเส้นไหม เพื่อนามาทอเป็นผ้า เพื่อเพิ่มสีสันและความสวยงามบนผืนผ้า
อันเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสู่คนรุ่นหลัง โดยการนาวัสดุจากธรรมชาติที่ให้สีมาทา
การย้อมสีธรรมชาติย้อมผ้า และแต่งสีอาหาร สีธรรมชาติมีส่วนที่ดีไม่ฉูดฉาด สีอ่อนเย็นตากว่าสี
สังเคราะห์ ปัจจุบันมีการตื่นตัวเกี่ยวกับการใช้สีธรรมชาติมากขึ้น เพราะสีสัง เคราะห์เพียงบางตัว
เท่านั้นที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสภาพแวดล้อม ตรงข้ามกับสีธรรมชาติที่น้อยชนิดจะเป็นพิษ
ส่วนใหญ่จะเป็นสีที่ปลอดภัย บางชนิดใช้เป็นอาหารและยาได้ด้วย
ภูมิปัญญาการย้อมสีธรรมชาติ
ภูมิปัญญาการย้อมสีธรรมชาติ คือ ความรู้การย้อมสีธรรมชาติ เป็นความรู้พื้นบ้านที่ได้รับ
การเรียนรู้ ถ่ายทอดสืบต่อจากคนรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่นหนึ่ง ควบคู่กับกรรมวิธีการทอผ้าพื้นบ้านมานาน
และดูเหมือนว่าการย้อมสีธรรมชาติ เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่สีธรรมชาติเป็นความ
ภาคภูมิอย่างหนึ่งของคนทา เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ยังคงร่วมสมัยอยู่เสมอ
กรรมวิธีการย้อม
การย้อมสีธรรมชาติ มีกรรมวิธีที่นิยมทากันอยู่ 2 แบบคือ การย้อมร้อน และการย้อมเย็น
โดยกรรมวิธีการย้อมร้อนคือ การใช้ความร้อนที่เกิดจากการต้มในการสกัดสีจากวัตถุดิบธรรมชาติ
ในขั้นตอนการย้อม ส่วนกรรมวิธีการย้อมเย็น คือ การนาเอาวัตถุดิบธรรมชาติที่ให้สีนั้นมาสกัดสี
โดยวิธีการหมัก และใช้แสงแดดป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการย้อมให้ติดสี เช่น การย้อมด้วยคราม
ฮ่อม และมะเกลือ เป็นต้น (ปิยาภรณ์ เพชรสูงเนิน. 2539 : 1 - 2)
- 2. ขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติ
การเตรียมเปลือกไม้ ใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ผลหรือเมล็ด
ในการเตรียมเปลือกไม้ ใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ผลหรือเมล็ด เพื่อใช้ในการย้อมสี ต้องมี
จิตสานึกในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจะทาให้ต้นไม้ที่ให้สีไม่ถูกทาลาย โดยเน้นความประหยัด
และมีแนวทางยั่งยืนในการใช้ประหยัดวัตถุดิบในการย้อมสีธรรมชาติ ดังนี้
1. เปลือกไม้ ตัดเปลือกชิ้นเดียว แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้มากที่สุด สีจะออกมา
มากกว่าเปลือกอันใหญ่ ไม่จาเป็นต้องตัดต้นไม้ด้วย
2. ใบไม้ ควรใช้ใบไม้ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป และต้นไม้ควรมีอายุ 5 ปีข้ึนไป
หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ สีจะออกมาก
3. ดอกไม้ ไม่แนะนาให้ใช้เพราะต้องใช้ปริมาณมาก และการใช้ดอกไม้จะทาให้ต้นไม้
ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้
4. รากไม้ รากไม้เป็นแหล่งดูดอาหาร เพราะต้องตัดต้นไม้ทั้งต้น บางคนอยากได้สีขนุน
ต้องตัดต้นขนุนทิ้งทั้งต้น รออีก 20 ปี กว่าต้นขนุนจะโตขึ้นมาแม้จะได้เงินมากก็ไม่มีประโยชน์
(มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์. 2546 : 52 - 53)
ภาพที่ 1 การเตรียมเปลือกไม้ก่อนนาไปย้อมสีธรรมชาติโดยการชั่งน้าหนัก
เพื่อให้ได้ปริมาณและอัตราส่วนที่เหมาะสม
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 24 กรกฎาคม 2551)
- 4. การต้มสกัดนาสีจากเปลือกไม้ ใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ผลหรือเมล็ด
การต้ม สกั ดน้าสี จากเปลือกไม้ ใบไม้ รากไม้ แก่ นไม้ ผลหรื อเมล็ ด เป็นกรรมวิธี
การย้อมร้อน สาหรับการย้อมแบบร้อนใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส ในสภาพอุณหภูมิ
ร้อนเช่นนี้โมเลกุลของสีจะซึมเข้าไปในเนื้อผ้าได้ดีที่สุดและมีผลต่อความสดและความคงทนของสี
ด้วย
การสกัดสีจากส่วนต่าง ๆ ของพืชเพื่อทาน้าย้อมสามารถทาได้โดยการนาส่วนดอกหรือราก
ไปแช่น้าและคั้นเอาน้าสี ใบและกิ่งก้านนาไปหมักและคั้นเอาน้าสี ส่วนผลและเมล็ดต้องนาไป
โขลกก่อนนาไปคั้นเอาน้าสี สาหรับเปลือกและแก่นนาไปตัดทอนให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ในปริมาณที่
พอเหมาะกับน้าสะอาด นาส่วนผสมทั้งสองอย่างใส่ลงในหม้ออลูมิเนียมหรือหม้อสแตนเลส นาขึ้น
ตั้งไฟเพื่อสกัดสีออก ตั้งไว้นานประมาณหนึ่งชั่วโมง สีในเปลือกไม้ก็จะออกมาเป็นน้าย้ อม
(ยุพินศรี สายทอง. 2536 : 112)
การนากลับมาใช้ใหม่
เมื่อสกัดน้าสีจากเปลือกไม้จนได้สีที่เข้มแล้ว ตักเปลือกไม้ที่ต้มออกโดยใช้ตะแกรง เปลือก
ไม้ที่สกัดจนสีออกหมดแล้วก็อย่าทิ้งนามาเป็นเชื้อเพลิงได้อีก
ภาพที่ 4 นาเปลือกไม้ที่สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับน้าสะอาด ตั้งไฟไว้นาน
ประมาณหนึ่งชั่วโมง
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 24 กรกฎาคม 2552)
- 5. ภาพที่ 5 สกัดน้าสีจากเปลือกไม้จนได้สีที่เข้มแล้ว ตักเปลือกไม้ที่ต้มออกโดยใช้ตะแกรง
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 24 กรกฎาคม 2552)
การเตรียมผ้าและการมัดผ้าเป็นลวดลายแบบต่าง ๆ
ผ้าที่ใช้ในการทาผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติเป็นผ้าประเภทเส้นใยธรรมชาติเท่านั้น จะไม่ใช้
ผ้าที่ทาจากเส้นใยสังเคราะห์ ผ้าที่ทาจากเส้นใยธรรมชาติ หมายถึง เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้ามัสลิน
ทามาจากพืช และผ้าไหมทามาจากเส้นใยของไหม ส่วนเส้นใยสังเคราะห์หรือเส้นใยที่มนุษย์ทาขึ้น
นั้น ผ้าเหล่านี้จะย้อมไม่ได้ดี ผ้าที่ผลิตขึ้นจะลงแป้งเพื่อให้ผ้าคงรูป เวลาที่จะนามาย้อมต้องตัดผ้า
เป็นชิ้นตามที่ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ แล้วนามาซักหรือนามาต้มในน้าสบู่อ่อน ๆ เมื่อเนื้อผ้านิ่ม
จะทาให้ย้อมติดดีขึ้น (สมร ประทิพเนตร. 2547 : สัมภาษณ์)
ภาพที่ 6 ผ้าที่จะใช้ทาผ้ามัดย้อมต้องตัดเป็นชิ้น และต้องซักน้าหรือนาไปต้มเอาแป้งออกให้หมด
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 10 เมษายน 2552)
- 7. กรรมวิธีการย้อมแบบร้อน
กรรมวิธีการย้อมแบบร้อนคือ การใช้ความร้อนที่เกิดจากการต้มในการสกัดสีจากวัตถุดิบ
ธรรมชาติ โดยการนาน้าสีที่สกัดขึ้นตั้งไฟ เมื่ออุณหภูมิในหม้อย้อมได้ 70 องศาเซลเซียส ให้นา
ผ้าลงย้อม ขณะย้อมหมุนกลับผ้าทุก ๆ 10 นาที อุณหภูมิในการย้อมไม่ควรเกิน 95 องศาเซลเซียส
ภาพที่ 9 นาผ้าที่ผูกและมัดแล้วไปต้มในน้าสีเปลือกไม้ ควรกลับผ้าทุก ๆ 10 นาที
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 12 เมษายน 2552)
สารกระตุ้นในการย้อมสีธรรมชาติ
ในการย้อมสีธรรมชาติสามารถทาให้เกิดระดับสีต่างกันด้วยการใช้สารกระตุ้นช่วยให้สีติด
ต่างชนิดกัน ตัวช่วยติดสีที่ได้จากธรรมชาติที่เป็นด่าง เช่น ปูนขาวและปูนแดง ที่ใช้กินกับหมาก
โคลนที่อยู่ในแหล่งน้าธรรมชาติ น้าสนิม ซึ่งนางศรีจันทร์ อุไร ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สาร
ช่วยติดต่างชนิดกัน ดังเช่น การใช้ใบหูกวางกับน้าสนิม จะได้เป็นสีเขียวอ่อน ถ้าต้องการย้อม
เป็นสีเขียวอมเหลืองต้องใช้ใบหูกวางกับปูนขาว และถ้าใช้เปลือกประดู่กับโคลน จะได้สีน้าตาล
เข้ม แต่ถ้าใช้เปลือกประดู่กับปูนแดง จะได้เป็นสีน้าตาลแดง (ศรีจันทร์ อุไร. 2549 : สัมภาษณ์)
- 8. ภาพที่ 10 ผ้าย้อมสีเปลือกไม้หมักโคลน
ภาพที่ 11 ผ้าย้อมสีเปลือกไม้หมักปูนแดง
การใช้สารกระตุ้นช่วยให้สีติดผ้า นาผ้ามัดย้อมที่ย้อมกับน้าสีเปลือกไม้หรือใบไม้แล้ว
นามาหมักกับโคลน ปูนแดง หรือปูนขาวโดยหมักแยกกันเป็นชนิดไม่ให้ปนกัน ใช้เวลาในการ
หมักนานประมาณ 10 - 20 นาที
ภาพที่ 12 ผ้าย้อมสีเปลือกไม้หมักปูนขาว
ภาพที่ 13 นาผ้ามัดย้อมที่หมักกับโคลน
หรือปูนขาวไปต้มในน้าสีเปลือกไม้ 30 นาที
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 12 เมษายน 2552)
การทาความสะอาดผ้าและการแกะวัสดุที่มัดผ้าหลังการย้อมสีธรรมชาติ
การทาความสะอาดผ้าหลังการย้อมสีธรรมชาติ เมื่อยกผ้าลงแล้วควรพักผ้าไว้ให้เย็นก่อน
จึงล้างด้วยน้าสะอาดประมาณ 2 - 3 ครัง ในกระบวนการย้อมสีต้องใช้น้าในปริมาณมาก แต่วิธีการ
้
ประหยัดน้า สามารถทาได้โดยเตรียมอ่างล้างเรียงเป็น 5 - 6 อ่าง แล้วล้างน้าที่หนึ่ง สอง เรียง
ตามลาดับไป ไม่ต้องกลัวว่าสีธรรมชาติจะติดผ้าชิ้นอื่น จึงทาให้ประหยัดน้าได้มากในการแกะวัสดุ
ที่ผูกและมัดผ้าไว้ ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรตัด เพราะจะทาให้มีดหรือกรรไกรตัดถูกเนื้อผ้าทาให้
ขาดได้ หรือจะใช้มีดตัดเล็บตัดวัสดุที่มัดหรือผูกผ้าก็ได้
- 9. ภาพที่ 14 ยกผ้าลงจากหม้อต้มสีเปลือกไม้พักไว้
ภาพที่ 16 แกะวัสดุที่ผูกและมัดผ้าออก
ภาพที่ 15 ล้างผ้าในน้าสะอาด 2 - 3 ครั้ง
ภาพที่ 17 นาผ้ามัดย้อมไปตากไว้ในร่ม
ให้แห้ง ไม่ควรนาผ้ามัดย้อมไปตากแดด
เพราะจะทาให้สีซีดและจางเร็ว
ที่มา : พนิดา ยิ่งกล้า (ถ่ายภาพ, 12 เมษายน 2552)
- 10. ตัวอย่างผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติที่ย้อมจากเปลือกไม้ ใบไม้ ราก แก่น ผลหรือเมล็ด ของพืช
ภาพที่ 18 ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือก
สีเสียดแก่น หมักโคลน
ภาพที่ 20
ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือกลิ้นฟ้าหมักปูนแดง
ภาพที่ 19 ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือก
สีเสียดแก่นหมักปูนแดง
ภาพที่ 21
ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือกลิ้นฟ้าหมักปูนขาว
ภาพที่ 22
ภาพที่ 23
ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือกมะพร้าวหมักโคลน ผ้ามัดย้อมที่ย้อมด้วยเปลือกยอป่าหมักโคลน
- 12. เอกสารอ้างอิง
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์. (2546). รายงานการศึกษาเบื้องต้น โครงการวิจัยกลุ่มผลิตภัณฑ์
ผ้าทอมือในโครงการหนึ่งตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์. สุรินทร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.
ถ่ายเอกสาร.
ปิยาภรณ์ เพชรสูงเนิน. (2549). ภูมิปัญญาการย้อมสี ธรรมชาติ โครงการส่ งเสริมและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ มาตรฐานการย้อมสี ธรรมชาติ. สุรินทร์ : ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ.
ยุพินศรี สายทอง. (2532). การออกแบบลวดลายผ้าปาเต๊ะและมัดย้อม. กรุงเทพฯ : ดีดีบุ๊คสโตร์.
ศรีจันทร์ อุไร. (2549, 12 มกราคม). สัมภาษณ์โดย พนิดา ยิ่งกล้า ที่บ้านเลขที่ 86 หมู่ที่ 5
ตาบลตาอ็อง อาเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์.
สมร ประทิพเนตร. (2547, 10 มกราคม). สัมภาษณ์โดย พนิดา ยิ่งกล้า ที่บ้านเลขที่ 46 หมู่ที่ 5
ตาบลตาอ็อง อาเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์.