Contenu connexe
Similaire à การโน้มน้าวใจ
Similaire à การโน้มน้าวใจ (20)
Plus de ห้องเรียน ภาษาไทยออนไลน์
Plus de ห้องเรียน ภาษาไทยออนไลน์ (20)
การโน้มน้าวใจ
- 1. “การโน้ มน้ าวใจ”
1.ความหมาย การโน้ มน้ าวใจ
การโน้ มน้ าวใจ คือ การพยายามทาให้บุคคลอื่นเปลี่ยนการกระทา หรื อทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ
โดยใช้กลวิธีที่เหมาะสมให้เกิดการยอมรับและเปลียนพฤติกรรมซึ่งรวมถึงทัศนคติ ค่ านิยม ความเชื่ อ และการ
่
กระทา
การเขียนโน้ มน้ าวใจ เป็ นการเขียนที่ตองการให้ผอ่านเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ หรื อ
้
ู้
พฤติกรรม ให้คล้อยตามความคิดของผูเ้ ขียน เช่น การเขียนให้คนบริ จาคเงินเพื่อสาธารณกุศล การเขียนเพื่อให้คน
เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เป็ นต้น
การเขียนโน้มน้าวใจอาจปรากฏในรู ปแบบต่างๆ เช่น ในรู ปแบบของการโฆษณา การหาเสี ยงเลือกตั้ง และ
การเชิญชวน เป็ นต้น
2. ความต้ องการขั้นพืนฐานของมนุษย์ กบการโน้ มน้ าวใจ
้
ั
ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เป็ นแรงผลักดันให้ มนุษย์ สร้ างทัศนคติ ความเชื่อ และค่ านิยม รวมทั้งมี
พฤติกรรมต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของตน ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ตามทฤษฎีของมาสโลว์ มี ๕
ระดับ คือ
ทฤษฏี Maslow’s Hierarchy of needs Theory แบ่ งลาดับความต้ องการของมนุษย์ ไว้ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ความต้ องการทางด้ านร่ างกาย (Physiological needs) ความต้องการในขั้นนี้เป็ นความต้องการ
พื้นฐานของมนุษย์ เป็ นความต้องการขั้นพื้นฐาน (Basic needs) ซึ่งมีพลังมากที่สุดเพราะเป็ นความต้องการที่
จาเป็ นต่อการดารงชี วต ตัวอย่างเช่น ความต้องการอากาศ อาหาร ยารักษาโรค หากความต้องการขั้นแรกยัง
ิ
ไม่ได้รับการตอบสนองก็ยากที่จะพัฒนาสู่ ข้ นอื่นๆ ได้
ั
ขั้นที่ 2 ความต้ องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety and security needs) ความต้องการในขั้นนี้ จะเกิดเมื่อ
ขั้นแรกได้รับการตอบสนอง ความต้องการในขั้นนี้เป็ นความต้องการที่จะรักษาความปลอดภัยในชีวตและ
ิ
ทรัพย์สินของตนเอง หากไม่ได้รับการตอบสนองหากไม่ได้รับการตอบสนองจะเกิดความรู ้สึกหวาดกลัว
ผวา รู ้สึกไม่มนคง
ั่
ขั้นที่ 3 ความต้ องการความรัก และความเป็ นเจ้ าของ (Belonging and love needs) เมื่อ 2 ขั้นแรกได้รับการ
สนองความต้องการแล้ว มนุษย์จะสร้างความรักและความผูกพันกับผูอื่น
้
ขั้นที่ 4 ความต้ องการการได้ รับการยกย่องนับถือ (Esteem needs) แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะ ได้แก่
- ความต้ องการนับถือตนเอง (Self-respect) คือ ความต้องการมีอานาจ มีความเชื่ อมันในตนเอง มี
่
ความสามารถและความสาเร็ จ มีความเคารพนับถือตนเอง
- 2. - ความต้ องการได้ รับการยกย่ องนับถือ (Esteem from others) คือ ความต้องการชื่ อเสี ยงเกียรติยศ การ
ยอมรับยกย่องจากผูอื่น
้
ขั้นที่ 5 ความต้ องการทีจะเข้ าใจประจักษ์ ตนเองอย่างแท้จริง (Self-actualization needs) เป็ นความต้องการ
่
เพื่อตระหนักรู ้ความสามารถของตนกับประพฤติปฏิบติตนตามความสามารถ และสุ ดความสามารถ โดย
ั
เพ่งเล็งประโยชน์ของคนอื่นและของสังคมส่ วนรวมเป็ นสาคัญ
ดังนั้นหลักสาคัททีสุดในการโน้ มน้ าวใจคือ ต้องทาให้มนุษย์ประจักษ์ชดแก่ใจตนเองว่า ถ้าเชื่อและเห็นคุณค่า
่
ั
หรื อกระทาตามที่ผโน้มน้าวชี้แจงหรื อชักนาแล้ว ก็จะได้รับผลตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของตนนันเอง
ู้
่
3. กลวิธีการโน้ มน้ าวใจ
การโน้มน้าวใจทาได้หลายวิธี ที่สาคัญ ได้แก่
3.1 แสดงให้ ประจักษ์ ถึงความน่ าเชื่ อถือของผู้โน้ มน้ าวใจ บุคคลที่จะได้รับความเชื่อถือจากบุคคลอื่นจะต้อง
มีความรู้จริ ง มีคุณธรรม และมีความปรารถนาดีต่อผูอื่น การโน้มน้าวใจจึงต้องทาให้ผรับสารเห็นคุณลักษณะที่ดี
้
ู้
เหล่านี้ของผูโน้มน้าวใจ เพื่อจะได้เกิดความเชื่ อถือ และยินดีปฏิบติตามด้วยตนเอง
้
ั
แนวทางการปฏิบติให้มีลกษณะดังกล่าว อาจทาได้โดย
ั
ั
ขั้นที่ ๑ ทาตนให้มีคุณสมบัติดงกล่าวจริ ง
ั
ขั้นที่ ๒ หาวิธีที่จะทาให้บุคคลที่ตองการโน้มน้าวใจประจักษ์ในคุณลักษณะดังกล่าว
้
คือ
๒.๑ การแสดงว่ ามีความรู้ จริ ง อาจทาได้โดยอธิบายเรื่ องราวได้ละเอียดลออ ถูกต้อง แม่นยา แสดง
ความรู ้ได้ลุ่มลึกชัดเจน
๒.๒ การแสดงว่ ามีคุณธรรม อาจทาได้โดยการเล่าประสบการณ์จริ งที่แสดงให้เห็นถึงความมี
คุณธรรมต่างๆ
่
๒.๓ การแสดงความปรารถนาดีต่อผู้อน อาจทาได้โดยการให้คามันสัญญาที่อยูในวิสัยที่ปฏิบติได้
ื่
ั
่
ซึ่ งแสดงความปรารถนาดีของตนหรื อชี้ให้เห็นความห่วงใย ชี้ให้เห็นแนวทางปฏิบติที่เป็ นประโยชน์ต่อผูปฏิบติ
ั
้ ั
3.2. แสดงให้ เห็นความหนักแน่ นของเหตุผล มนุษย์เป็ นสิ่ งมีชีวตประเภทเดียวที่รู้จกใช้เหตุผล บุคคลยิงมี
ิ
ั
่
ปั ญญาสู งยิงคล้อยตามคาโน้มน้าวใจอันขาดเหตุผลของบุคคลอื่นได้ยาก เพราะฉะนั้นเพื่อให้การโน้มน้าวประสบ
่
่
่ ั
ความสาเร็ จ ผูโน้มน้าวใจต้องแสดงให้ประจักษ์วา เรื่ องที่ตนกาลังโน้มน้าวอยูน้ น มีเหตุผลหนักแน่น และมีค่าควร
้
แก่การยอมรับอย่างแท้จริ ง
3.3. แสดงให้ ประจักษ์ ถึงความรู้ สึกหรืออารมณ์ ร่วมกัน บุคคลที่มีความรู ้สึกหรื ออารมณ์ร่วมกันย่อมคล้อย
ตามกันได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความรู ้สึกเป็ นปฏิปักษ์ต่อกัน ตัวอย่างของความรู ้สึกหรื ออารมณ์ร่วมกัน เช่น มีความนิยม
เชื่อถือในสิ่ งเดียวกัน มีความเคารพรักต่อบุคคลหรื อสถาบันเดียวกัน มีความรังเกียจในสิ่ งเดียวกัน เป็ นต้น
- 3. 3.4. แสดงให้ เห็นทางเลือกทั้งด้ านดีและด้ านเสี ย การโน้มน้าวใจให้ผอื่นเกิดความคิดนึ กเชื่อถือปฏิบติตามที่
ู้
ั
ผูโน้มน้าวใจต้องการนั้น ตามธรรมดาที่จะต้องมีทางเลือกหลายทาง ในการนี้หากผูโน้มน้าวใจแสดงแต่เฉพาะด้านดี
้
้
ของแนวทางที่ตนต้องการ อาจสัมฤทธิ์ ผลได้ยาก ถ้าชี้ให้เห็นด้านไม่ดีดวย เพื่อให้ผถูกโน้มน้าวใจมีโอกาสใช้
้
ู้
่
วิจารณญาณของตนเองเปรี ยบเทียบจนประจักษ์วาทางที่ช้ ี แนะนั้นด้านดีมีมากกว่า เช่นนี้แล้วก็จะทาให้การโน้มน้าว
ใจสัมฤทธิผลได้
3.5. สร้ างความหรรษาแก่ ผ้ ูรับสาร การโน้มน้าวใจในเรื่ องบางเรื่ องหากเอาจริ งเอาจังเกิน
ไปแล้ว การโน้มน้าวใจจะไม่ได้ผล แต่ถาใช้วธีการแบบทีเล่นทีจริ งหรื อใช้อารมณ์ขนบ้างอาจได้ผลดีเพราะเปลี่ยน
้ ิ
ั
่
บรรยากาศที่เคร่ งเครี ยดให้เป็ นบรรยากาศที่ผอนคลาย ทาให้ผรับสารเปลี่ยนสภาพอารมณ์จากการต่อต้านมาเป็ น
ู้
ความรู้สึกกลางๆ พร้อมที่จะคล้อยตามได้
่
3.6. เร้ าให้ เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เมื่อมนุษย์เกิดอารมณ์ข้ ึนอย่างแรงกล้า ไม่วาดีใจ เสี ยใจ โกรธแค้น วิตก
กังวล หวาดกลัว หรื อพะว้าพะวัง อารมณ์เหล่านี้มกทาให้มนุษย์ไม่ใช้เหตุผลอย่างถี่ถวน ขาดความพินิจพิจารณาถึง
ั
้
ความถูกต้อง ความเหมาะ ความควร ขาดสติหลงลืมตัวไปชัวคราว เป็ นเหตุให้คล้อยตามผูโน้มน้าวใจได้ง่าย
้
่
4. ภาษาทีโน้ มน้ าวใจ
่
ภาษาที่โน้มน้าวใจต้องไม่เป็ นการบังคับ ควรเป็ นไปในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง เร้าใจ รู้จกใช้คาสื่ อความหมาย
ั
ได้ตรงตามความต้องการ ควรมีจงหวะและความนุ่มนวล อาจใช้ถอยคาสั้นๆ กระชับ ชัดเจน อาจมีคาคล้องจองกัน
ั
้
เช่น คาขวัญ
ตัวอย่างคาขวัท
่
- มีหนังสื อเหมือนมีมิตร ช่วยชูจิตให้ผองใส
- หนังสื อคือประทีปส่ องทาง ให้ความสว่างสร้างปั ญญา
ั
- มีป่าบารุ งดี เหมือนมีกลปพฤกษ์สี่มุมเมือง
- อากาศปลอดพิษ ชีวตปลอดภัย
ิ
- รถราจะไม่ติดขัด ถ้าเราปฏิบติตามกฎจราจร
ั
- น้ ามันแพงนัก ช่วยกันพร้อมพลัก ประหยัดเชื้อเพลิง
่
- บ้านเมืองสะอาด เพราะชนในชาติช่วยกันรักษา
- บ้านเมืองสะอาด เป็ นเครื่ องประกาศว่าคนเจริ ญ
- ใส่ ใจลูกสักนิด ลูกจะไม่ติดยา
- ยาเสพย์ติดเป็ นพิษแก่ตน กลายเป็ นคนสิ้ นคิด ชีวิตต้องอับปาง
5. การพิจารณาสารโน้ มน้ าวใจในลักษณะต่ างๆ
ในการพิจารณาวิเคราะห์สารโน้มน้าวใจ สิ่ งแรกที่ควรพิจารณา คือ การจับเจตนาของ
ผูส่งสารว่ามีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดประโยชน์แก่ผที่ตนโน้มน้าว หรื อเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมว่ามีหรื อไม่
้
ู้
ลักษณะของสารโน้ มน้ าวใจ สารโน้มน้าวใจที่พบเสมอมี 3 ชนิด ดังนี้
- 4. 5.1. คาเชิทชวน เป็ นการแนะนาให้ช่วยกันกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม
โดยจะปรากฏต่อสาธารณชนในรู ปแบบของใบประกาศ แผ่นปลิว โปสเตอร์ หรื ออาจจะเป็ นการบอกกล่าวด้วยวาจา
ทางเครื่ องขยายเสี ยงทางวิทยุหรื อโทรทัศน์ ผูส่งสารจะบ่งบอกจุดประสงค์อย่างชัดเจน และชี้ให้เห็นประโยชน์
้
รวมทั้งบอกวิธีปฏิบติดวย โดยใช้กลวิธีช้ ีให้ผถูกโน้มน้าวใจเกิดความภูมิใจว่าถ้าปฏิบติตามคาเชิ ญชวนจะเป็ นผูทา
ั ้
ู้
ั
้
ประโยชน์แก่ส่วนรวม และเป็ นที่ยอมรับอย่างมีเกียรติในสังคม
5.2. โฆษณาสิ นค้ าหรือโฆษณาบริการ เป็ นการส่ งสารโน้มน้าวใจต่อสาธารณชนเพื่อ
ประโยชน์ในการขายสิ นค้าหรื อบริ การต่างๆ แก่สาธารณชนเหล่านั้น มีลกษณะดังนี้
ั
5.2.1 ใช้ ถ้อยคาแปลกใหม่ สะดุดหู สะดุดตา สะดุดใจ ผูรับสารเป็ นสาคัญ อาจเป็ นคา สัมผัสอักษร
้
คาเลียนเสี ยงธรรมชาติ หรื อคาที่สร้างขึ้นโดยไม่สมเหตุสมผลมุ่งเพียงความแปลกใหม่
5.2.2 ใช้ ประโยคหรือวลีส้ ั นๆ ที่ทาให้ผอื่นรับสารได้อย่างฉับพลัน แต่ฉาบฉวย
ู้
5.2.3 เนื้ อหาจะชี้ให้เห็นถึงคุณภาพอันดีเลิศของสิ นค้าหรื อบริ การที่นาเสนอ มักใช้ คาเกินความเป็ น
จริง
5.2.4 ใช้ กลวิธีโน้ มน้ าวใจโดยชี้ ให้เห็นว่า สิ นค้าหรื อบริ การที่นาเสนอนั้นเป็ นสิ่ งที่สนองความ
ต้ องการขั้นพืนฐานของมนุษย์
้
5.2.5 เนือหาของสารโฆษณามักขาดเหตุผลทีหนักแน่ นและรัดกุม ขาดความถูกต้องในทางวิชาการ
้
่
5.2.6 การนาเสนอสารใช้วธีการโฆษณาทางสื่ อชนิดต่ างๆ ซ้าๆ กันหลายครั้งหลายวันเป็ น
ิ
ระยะเวลาพอสมควรก็จะดัดแปลงสารนั้นใหม่เพื่อเรี ยกร้องความสนใจ
การโฆษณาสิ นค้าและบริ การมีท้ งประโยชน์และโทษต่อสังคม ดังนี้
ั
ประโยชน์ ของการโฆษณา คือ
-. ทาให้สาธารณชนได้ร้ ู จักสิ นค้ าหรื อบริ การหลายอย่างหลายประเภท
-. ทาให้ผซ้ื อเลือกสิ นค้ าสนองความต้องการของตนได้
ู้
-. ทาให้สินค้ามีราคาถูก หากสิ นค้านั้นเป็ นที่รู้จกแพร่ หลาย
ั
-. การโฆษณาสิ นค้า และบริ การผ่านสื่ อมวลชน จะต้องซื้ อเนื้ อที่และเวลาจากสื่ อมวลชน
ทาให้สื่อมวลชนมีรายได้ และสามารถนาเสนอรายการบันเทิงและสาระความรู ้ต่างๆ อันเป็ นประโยชน์แก่
สาธารณชน
โทษของการโฆษณา คือ
-. ทาให้ประชาชนเกิดความเข้ าใจผิดหรือหลงผิด ตัดสิ นใจซื้ อสิ นค้าและบริ การที่ไม่เหมาะแก่ความจาเป็ น
ของตน
-. การแข่งขันของบริ ษทต่างๆ ทาให้ราคาต้ นทุนการผลิตสู งเป็ นผลให้ราคาสิ นค้าสู งขึ้นตามไปด้วย
ั
-. การใช้ภาษาโฆษณาที่มุ่งแต่ความแปลกใหม่ จนไม่ระวังความถูกต้องอาจทาให้ ภาษาวิบัติเสี ยคุณค่าทาง
เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมบางอย่างที่สาคัญของชาติ
- 5. 5.3. โฆษณาชวนเชื่อ เป็ นการพยายามโดยจงใจมีเจตนาที่จะเปลี่ยนความเชื่อและการกระทาของบุคคล
จานวนมาก ให้เป็ นไปตามความต้องการของตน ด้วยกลวิธีต่างๆ โดยไม่คานึงถึงความถูกต้องและข้อเท็จจริ ง
การโฆษณาชวนเชื่อมี ๒ ชนิด คือ โฆษณาชวนเชื่อเชิงการค้า โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง
การโฆษณาชวนเชื่อ เป็ นการพยายามโดยเจตนาที่จะเปลี่ยนความเชื่อ และเปลี่ยนการกระทาของบุคล
จานวนมากให้เป็ นไปในทางที่ฝ่ายตนต้องการด้วยกลวิธีต่างๆ โดยไม่คานึงถึงคุณธรรม จริ ยธรรม และความถูกต้อง
ตามเหตุผลและข้อเท็จจริ ง ผูโน้มน้าวใจลักษณะนี้มีเจตนาหลอกลวงไปในทางหายนะมากกว่าทางด้านวัฒนะ นันคือ
้
่
ไม่ประสงค์ดี มักใช้กลวิธี ดังนี้
5.3.1. ตราชื่อ คือ การใช้กลวิธีการเบนความสนใจของผูรับสารไปจากเหตุผลและข้อเท็จจริ ง
้
เพื่อให้ผคนทัวไปหมดความเชื่อถือในตัวบุคคลหรื อสถาบันฝ่ ายตรงข้าม มักใช้การหาคาพูดมาเรี ยกชื่อต่างๆ เพื่อให้
ู้ ่
ผูรับสารเกิดมโนภาพว่าบุคคลเหล่านั้นมีลกษณะไม่พึงประสงค์
้
ั
5.3.2. ใช้ คาหรู หราเพือให้ ผ้ ูฟังเกิดความเลือมใสศรัทธา โดยไม่ได้ใช้ความคิดไตร่ ตรองตรวจสอบความ
่
่
ถูกต้องเหมาะสม
5.3.3. อ้ างบุคคลหรือสถาบัน เพื่อให้ผฟังเกิดทัศนะที่ดี เกิดความนิยมชมชอบ นโยบาย หลักการ หรื อ
ู้
อุดมการณ์ของตน ผูฟังที่ไม่ย้งคิดย่อมตกหลุมพรางของผูชวนเชื่อได้
้
ั
้
5.3.4. ทาเหมือนชาวบ้ านธรรมดา เพื่อนาความคิดของตนไปโยงกับชาวบ้านให้เกิดความกลมกลืน ทาให้
ผูฟังเชื่อใจคล้อยตาม
้
5.3.5. อ้างแต่ ประโยชน์ ส่วนตนและอ้างคนส่ วนใหท่ เพื่อให้ผฟังคิดว่าหากตนไม่เชื่อตามจะกลายเป็ นคน
ู้
ประหลาดเพราะคนส่ วนใหญ่น้ นมีความคิดดังกล่าว
ั
การโน้มน้าวใจจะถูกเรี ยกว่า โฆษณาชวนเชื่อ หากการโน้มน้าวใจนั้นมีเจตนาลวงกลบเกลื่อน หรื อ
ปิ ดบังไม่ให้ผรับสารได้รับความรู ้ ความจริ ง และเหตุผลที่จาเป็ นต้องรู้ จนอาจไม่ใช้สมรรถภาพในการคิดและการ
ู้
พิจารณาเหตุผลของตนจนสามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องในเรื่ องต่างๆ ผูรับสารควรมีวิจารณญาณในการฟังและผูพด
้
้ ู
ควรมีเจตนาที่ดีในการโน้มน้าวใจเพื่อให้เกิดผลดี สารโฆษณาชวนเชื่อทางการค้าที่พบ เช่น โฆษณาขายยาที่อาง
้
่
สรรพคุณมากมายซึ่ งไม่ผานการรับรองจากหน่วยงานที่ได้มาตรฐาน การโฆษณารักษาโรคแบบชาวบ้านที่ไม่
น่าเชื่อถือ สาหรับการชวนเชื่ อทางการเมือง เช่น การเผยแพร่ ลทธิ ของผูก่อการร้ายหรื อก่อวินาศกรรมซึ่ งก่อให้เกิด
ั
้
ความเสี ยหายแก่บุคคลและสังคมเป็ นสาคัญ
6. หลักการเขียนโน้ มน้ าวใจ
หลักการเขียนโน้มน้าวใจควรคานึงถึงหลักต่างๆ ดังนี้
6.1 การวิเคราะห์ ผ้ ูอ่าน ผูเ้ ขียนจะต้องวิเคราะห์ผอ่านว่า มีลกษณะอย่างไร เช่น เพศ วัย การศึกษา อาชีพ ฐานะ
ู้
ั
ทางเศรษฐกิจ ฐานะทางสังคม และค่านิยม เป็ นต้น การวิเคราะห์ผอ่านจะช่วยให้ผเู ้ ขียนสามารถกาหนดเนื้อหาและ
ู้
กลวิธีการนาเสนอได้อย่างเหมาะสม
- 6. 6.2 การใช้ หลักจิตวิทยา ผูเ้ ขียนจะต้องอาศัยหลักจิตวิทยาในการเขียนโน้มน้าวใจเป็ นอย่างมาก เนื่องจาก
ผูเ้ ขียนต้องทาความเข้าใจธรรมชาติ ความสนใจ และความต้องการของผูอ่านว่าน่าจะเป็ นไปในทิศทางใด แล้วจึง
้
นามาเป็ นประโยชน์ในการเขียนโน้มน้าวใจต่อไป
6.3 การให้ เหตุผล ผูเ้ ขียนต้องพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดเห็นของตน เหตุผลที่นามาอ้างนั้นควร
น่าเชื่อถือ มีน้ าหนักเพียงพอ และเป็ นไปได้ในทางปฏิบติ ทั้งนี้เพื่อให้ผอ่านเชื่อถือและยอมรับ ตลอดจนมีปฏิกิริยา
ั
ู้
ตอบสนองความต้องการของผูเ้ ขียน
6.4 การใช้ ภาษา ภาษาทีใช้ในการเขียนโน้มน้าวใจควรเป็ นภาษาที่เร้าอารมณ์และความรู ้สึกของผูอ่าน ดังนั้น
้
ผูเ้ ขียนจึงต้องมีศิลปะในการใช้ภาษา คือ รู้จกเลือกสรรถ้อยคาที่สื่อความหมายได้ชดเจน ก่อให้เกิดภาพ และกระตุน
ั
ั
้
อารมณ์ความรู ้สึกของผูอ่าน
้