SlideShare a Scribd company logo
1 of 62
Download to read offline
บทที่ 4
4.1 บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
การติดต่อสื่อสารข้อมูลสมัยใหม่นี้ มีรากฐานมาจากความ 
พยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ 
โดยอาศัยระบบสื่อสารที่มีอยู่แล้ว เช่น โทรศัพท์ ดังนั้นการ 
สื่อสารข้อมูลจึงอยู่ในขอบเขตที่จา กัด ต่อมาเมื่อมีการใช้ 
คอมพิวเตอร์มากขึ้น ความต้องการในการติดต่อระหว่าง 
คอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน ที่เรียกว่า ระบบ 
เครือข่าย (Network) 
ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลา ดับ
ในตอนเริ่มต้นของยุคสื่อสาร เมื่อประมาณ พ.ศ. 2513-2515 ความ 
ต้องการใชค้อมพิวเตอร์ร่วมกันมีมากขึ้น แต่คอมพิวเตอร์ยังมีราคาสูงมาก 
เมื่อเทียบกับอุปกรณ์สื่อสารที่มีอยู่แล้วบางอย่าง การสื่อสารด้วยระบบ 
เครือข่ายในระยะนั้นจึงเน้นการใชค้อมพิวเตอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์เป็นผู้ 
ให้บริการแก่ผู้ใชป้ลายทางหลายคน เพื่อประหยัดค่าใชจ้่ายของระบบ 
ต่อมาเมื่อถึงยุคสมัยของไมโครคอมพิวเตอร์ พบว่าขีดความสามารถใน 
ด้านความเร็วของการทา งานของเมนเฟรม มีความเร็วมากกว่า 10 เท่า เมื่อ 
เทียบกับไมโครคอมพิวเตอร์ตัวที่ดีที่สุด แต่ราคาของเมนเฟรมแพงกว่า 
ไมโครคอมพิวเตอร์หลายพันเท่า การใชไ้มโครคอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายและ 
กระจายออกไป การสื่อสารจึงกลายเป็นระบบเครือข่ายแบบกระจาย กล่าวคือ 
แทนที่จะออกแบบให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางต่อกับเมนเฟรม ก็ 
เปลี่ยนเป็นระบบเครือข่ายที่ใชค้อมพิวเตอร์ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แทน
ลักษณะของเครือข่ายจึงเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อาจจะอยู่บนแผงวงจร 
อิเล็กทรอนิกส์เดียวกัน ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นระบบที่ทา งานร่วมกันในห้อง 
ทา งาน ในตกึ ระหว่างตึก ระหว่างสถาบัน ระหว่างเมือง ระหว่างประเทศ การ 
จัดแบ่งรูปแบบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงแยกตามขนาดของเครือข่าย ดัง 
ตารางดังต่อไปนี้
ความสา คัญของการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึง 
เป็นสิ่งที่ตระหนักกันอยู่เสมอ ลองพิจารณาถึงประโยชน์ของการสื่อสาร 
ข้อมูลต่อไปนี้ 
1) การจัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารไดร้วดเร็ว การจัดเก็บข้อมูลซึ่ง 
อย่ใูนรูปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ สามารถจัดเก็บไวใ้นแผ่นบันทึก 
ที่มีความหนาแน่นสูง แผ่นบันทึกแผ่นหนึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ 
มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร สา หรับการสื่อสารข้อมูลนั้น ถ้าข้อมูลผ่าน 
สายโทรศัพท์ได้ด้วยอัตรา 120 ตัวอักษรต่อวินาทีแล้ว จะส่งข้อมูล 
200 หน้าได้ในเวลา 40 นาที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามานั่งป้อนข้อมูล 
เหล่านนั้ซา้ ใหม่อีก
2) ความถูกต้องของขอ้มูล โดยปกติมีการส่งข้อมูลด้วยสัญญาณทาง 
อิเล็กทรอนิกส์จากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นด้วยระบบดิจิทัล วิธีการรับส่ง 
นนั้จะมีการตรวจสอบสภาพของข้อมูลหากข้อมูลผิดพลาดก็จะมีการ 
รับรู้และพยายามหาวิธีการแก้ไขให้ข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง โดย 
อาจให้ทา การส่งใหม่ หรือกรณีที่ผิดพลาดไม่มากนัก ฝ่ายผ้รูับอาจใช้ 
โปรแกรมของตนแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องได้
3) ความเร็วของการทา งาน โดยปกติสัญญาณของไฟฟ้าจะเดินทางด้วย 
ความเร็วเท่าแสง ทา ให้การใชค้อมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีก 
โลกหนึ่งหรือคน้หาข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถทา ได้รวดเร็ว 
ความรวดเร็วของระบบจะทา ให้ผู้ใชส้ะดวกสบายอย่างยิ่ง เช่น บริษัทสายการ 
บินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ว ทา ให้การจองที่ 
นั่งของสายการบินสามารถทา ได้ทันที 
4) ต้นทุนประหยดัการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต่อเข้าหากันเป็นเครือข่าย 
เพื่อส่งหรือสา เนาข้อมูลทา ให้ราคาต้นทุนของการใชข้้อมูลไม่แพง เมื่อเทียบกับ 
การจัดส่งแบบวิธีอื่น นักคอมพิวเตอร์บางคนสามารถส่งโปรแกรมให้กันและ 
กันผ่านทางสายโทรศัพท์ได้
4.2 การสื่อ 
สารขอ้มูล 
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่าย 
โอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น 
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ 
ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน องค์ประกอบหลักของระบบสื่อสาร 
ข้อมูลมีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ 
1. ข่าวสารหรือข้อมูล (message) 
2. ผ้สู่ง (sender) 
3. ผ้รูับ (receiver) 
4. สื่อกลาง (media) 
5. โพรโทคอล (protocol
1. ผูส้่งข่าวสารหรือแหล่งกา เนิดข่าวสาร (source) อาจจะเป็นสัญญาณต่างๆ เช่นสัญญาณ 
ภาพ ข้อมูลและสียงเป็นตน้ ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใชแ้สงไฟ ควนัไฟ หรือ 
ท่าทางต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นแหล่งกา เนิดข่าวสาร จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน 
2. ผูร้บัข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร (sink) ซึ่งจะรับรูจ้ากสิ่งที่ผู้ส่ง 
ข่าวสาร หรือแหล่งกา เนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใด ที่การติดต่อสื่อสารบรรลุ 
วตัถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะไดรั้บข่าวสารนนั้ ๆ ถ้าผ้รูับ 
สารหรือ จุดหมายปลายทางไม่ไดรั้บข่าวสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสา เร็จ 
กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอง
3. ช่องสญัญาณ (channel) ในที่นี้อาจจะหมายถึงสื่อกลางหรือตัวกลาง 
ที่ข่าวสารเดินทางผ่าน อาจจะเป็นอากาศ สายนา สัญญาณต่าง ๆ หรือแม้กระทั่ง 
ของเหลว เช่น น้า น้า มัน เป็นต้น เปรียบเสมือนเป็นสะพานที่จะให้ข่าวสารข้าม 
จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง 
4. การเขา้รหสั (encoding) เป็นการช่วยให้ผ้สู่งข่าวสารและผู้รับข่าวสาร 
มีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย จึงมีความจา เป็นต้องแปลง 
ความหมายนี้ การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูปพลังงาน ที่ 
พร้อมจะส่งไปในสื่อกลาง ทางผู้ส่งมีความเข้าใจต้องตรงกันระหว่าง ผ้สู่งและ 
ผู้รับ หรือมีรหัสเดียวกัน การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้
5. การถอดรหสั (decoding) หมายถึงการที่ผู้รับข่าวสารแปลงพลังงาน 
จากสื่อกลางให้กลับไปอยู่ในรูปข่าวสารที่ส่งมาจากผู้ส่งข่าวสาร โดยมีความเข้า 
ในหรือรหัสตรงกัน 
6. สญัญาณรบกวน (noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ มักจะลดทอน 
หรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทงั้ทางด้านผ้สู่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และ 
ช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขนั้พื้นฐานมักจะสมมติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสาร 
และผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาด ตา แหน่งที่ใชวิ้เคราะห์ มักจะเป็นที่ตัวกลาง 
หรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผ้รูับ 
ข่าวสาร ในทางปฎิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง 
เพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดา เนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่ง
4.2.1การสื่อ 
สาร-วิธีการถ่ายโอนขอ้มูล1 
1. การถ่ายโอนขอ้มูลแบบขนานการถ่ายโอนขอ้มูลแบบขนาน ทา ได้ 
โดยการส่งข้อมูลออกทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิตจากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ 
อุปกรณ์ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 
8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน 
ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 
ฟุต เพราะอาจทา ให้เกิดปัญหาสัญญาณสูญหายไปกับความต้านทานของสาย 
นอกจากนี้อาจมีปัญหาที่เกิดจากระดับไฟฟ้าสายดินที่จุดรับผิดไปจากจุดส่ง ทา 
ให้เกิดการผิดพลาดในการรับสัญญาณทางฝ่ายรับ
นอกจากแกนหลักแล้วอาจจะมีทางเดินของสัญญาณควบคุมอื่น ๆ อีก 
เช่น บิตพาริตี ที่ใชใ้นการตรวจสอบความผิดพลาดของการรับสัญญาณที่ 
ปลายทางหรือสายที่ควบคุมการโต้ตอบ (hand-shake)
2. การถ่ายโอนขอ้มูลแบบอนุกรมในการถ่ายโอนขอ้มูลแบบ 
อนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดส่งและจุดรับ การส่งข้อมูล 
แบบนี้จะชา้กว่าแบบขนาน การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการตวักลาง 
สา หรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือสายเพียงคู่เดียว ค่าใชจ้่ายจะถูกกว่า 
แบบขนานสา หรับการส่งระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะเมื่อเรามีระบบการสื่อสาร 
ทางโทรศัพท์ไวใ้ชง้านอยู่แล้ว ย่อมจะเป็นการประหยัดกว่าที่จะทา การ 
ติดต่อสื่อสารทีละ 8 ช่อง เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลแบบขนานการถ่ายโอนข้อมูล 
แบบอนุกรมจะเริ่มโดยข้อมูลจากจุดส่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณอนุกรม
เสียก่อน แล้วคอยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังจุดรับ และที่จุดรับจะต้องมีกลไก 
ในการเปลี่ยนข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตัวพอดี 
เช่น บิตที่ 1 ลงที่บัสข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตัว 
พอดี เช่น บิตที่ 1 ลงที่บัสข้อมูลเสน้ที่ 1 ดังแสดงในรูป
4.2.2การสื่อ 
สาร : วิธีการถ่ายโอน2 
การติดต่อแบบอนุกรมอาจแบ่งตามรูปแบบการรับ-ส่งได้ 3 แบบ 
1. การสื่อ 
สารแบบทางเดียว (simplex: SPX) เป็นการสื่อสารแบบทาง 
เดียว มีทิศทางการไหลของสัญญาณเป็นทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ มีเพียง 
อุปกรณ์ตัวเดียวเท่านั้นที่ทา หน้าที่ส่งข้อมูล อุปกรณ์ตัวอื่นทา หน้าที่รับข้อมูล 
อย่างเดียว ตัวอย่างเช่น แป้นพิมพ์และจอภาพ หรือสวิตซ์และหลอดไฟ หรือ 
การออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ที่ผู้รับและผู้ส่งไม่สามารถโต้ตอบกันได้
2. การสื่อสารแบบสองทางครึ่งอัตรา (half duplex: HDX) เป็นการ 
สื่อสารแบบสองทาง แต่ส่งได้ทีละทาง โดยแต่ละสถานีทา หน้าที่ได้ทงั้รับและส่ง 
ข้อมูล เมื่ออุปกรณ์ใดทา หน้าที่เป็นผู้ส่ง อุปกรณ์ตัวอื่นจะทา หน้าเป็นผ้รูับ ไม่ 
สามารถส่งข้อมูลสวนทางกันได้ ตัวอย่างของการส่งสัญญาณแบบนี้เช่น วิทยุ 
สื่อสารของหน่วยงานราชการ หรือตา รวจซึ่งต้องผลัดกันพูด เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ 
พูดต้องกดปุ่มแล้วจึงพูดได้ เมื่อพูดเสร็จเรามักจะได้ยินคา ว่า "เปลี่ยน" นั่นคือ 
เป็นการบอกให้ผู้รับทราบว่า ผู้ส่งต้องการเปลี่ยนสถานะจากผู้ส่งเป็นผ้รูับ และ 
ให้ผู้รับเปลี่ยนเป็นผู้ส่ง
3. การสื่อ 
สารแบบสองทางเต็มอตัรา (full duplex: FDX) เป็นการ 
สื่อสารแบบสองทาง แต่รับส่งได้พร้อม ๆ กัน หมายความว่า สถานีทั้ง 2 
สถานี สามารถส่งและรับข้อมูลได้พร้อม ๆ กัน และตัวกลางที่ใชทั้้ง 2 ฝั่ง อาจ 
ใชร้่วมกันหรือแบ่งแยกเป็นสายสา หรับรับ กับสายสา หรับส่งก็ได้ การสื่อสาร 
แบบนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าแบบอื่น ๆ เพราะไม่เกิดการหน่วงเวลาในช่วงการ 
เปลี่ยนสถานะระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง
4.3 สื่อ 
กลางในการสื่อ 
สารขอ้มูล 
ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นส่วนที่ทา ให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่าง 
อุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และอุปกรณ์ที่ยอมให้ข่าวสารข้อมูลเดินทางผ่านจาก 
ผู้ส่งไปสู่ผู้รับ สื่อกลางที่ใชใ้นการสื่อสารข้อมูลมีอยู่หลายประเภท แต่ละ 
ประเภทมีความแตกต่างกันในด้านของปริมาณข้อมูลที่สื่อกลางนั้นๆ สามารถ 
นา ผ่านไปได้ในเวลาขณะใดขณะหนึ่ง การวดัปริมาณหรือความจุในการนา 
ข้อมูลหรือที่เรียกกันว่า แบนด์วิดธ์(bandwidth) มีหน่วยเป็น 
จา นวน บิต ข้อมูลต่อวินาที (bits per second : bps) ลักษณะของตัวกลาง 
ต่างๆ มีดังต่อไปนี้
4.3.1 สื่อ 
กลางประเภทมีสาย 
1) สายคู่บิดเกลียว (Twisted – Pair Cable)สายคบูิ่ดเกลียวประกอบด้วย 
สายทองแดง ที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก หลังจากนั้นก็นา สายทั้งสองมาถักกัน 
เป็นเกลียวคู่ เช่น สายคู่บิดเกลียวที่ใชกั้บเครือข่ายทอ้งถิ่น (CAT5) การนา 
สายมาถักเป็นเกลียวเพื่อช่วยลดการแทรกแซงจากสัญญาณรบกวนสายคู่บิด 
เกลียวมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชีลด์และแบบมีชิลด์ 
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชีลด์(Unshielded Twisted –Pair Cable :UTP
สายคู่บิดเกลียวแบบมีชิลด์(Shielded Twisted –Pair Cable :STP) 
สา หรับสายSTP คล้ายกับสาย UTP แต่สาย STP จะมีชิลด์ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง 
ทา ให้ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีกว่าสาย UTP 
ขอ้ดี 
1) ราคาถูก 
2) มีน้า หนักเบา 
3) ง่ายต่อการใช้งาน 
ขอ้เสีย 
1) มีความเร็วจา กัด 
2) ใชกั้บระยะทางสนั้ๆ
สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) 
สายมักทา ด้วยทองแดงอยู่แกนกลาง ซึ่งสายทองแดงจะถูกห่อหุ้มด้วย 
พลาสติก จากนนั้ก็จะมีชิลด์ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน 
และหุ้มด้วยเปลือกนอกอีกชั้นหนึ่งป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่น 
แมเ่หล็กไฟฟ้าได้ดี สายโคแอกเชียลที่เห็นได้ทั่วๆไป คือ สายที่นา มาใชต้่อเข้า 
กับเสาอากาศทีวีที่ใชต้ามบ้าน
ขอ้ดี 
1) เชื่อมต่อได้ในระยะไกล 
2) ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี 
ขอ้เสีย 
1) มีราคาแพง 
2) สายมีขนาดใหญ่ 
3) ติดตงั้ยาก
สายไฟเบอร์ออปติค(Optical Fiber) 
สายไฟเบอร์ออปติคหรือสายใยแก้วนา แสง เป็นสายที่มีลักษณะโปร่งแสง 
มีรูปทรงกระบอกในตัวขนาดประมาณเสน้ผมของมนุษย์แต่มีขนาดเล็ก 
สายไฟเบอร์ออปติค แบ่งเป็น 3 ชนิด 
1) Multimode step –index fiber จะสะท้อนแบบหกัมุม 
2) Multimode graded –index มีลักษณะคล้ายคลื่น 
3) Single mode fiber เป็นแนวตรง
ขอ้ดี 
1) มีขนาดเล็กน้า หนักเบา 
2) มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูล 
3) มีความทนทานและมีอายุการใชง้านยาวนาน 
ขอ้เสีย 
1) เสน้ใยแก้วมีความเปราะบาง แตกหักง่าย 
2) มีราคาสูง เมื่อเทียบกับสายเคเบิลทั่วไป 
3) การติดตั้งจา เป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
4.3.2 สื่อ 
กลางประเภทไม่มีสาย 
สื่อที่ไม่ใชส้าย สื่อประเภทนี้เป็นระบบตัวกลางที่ส่งเป็นคลื่นวิทยุ เช่น 
อากาศที่เราใชส้่งคลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) รวมทงั้การสื่อสาร 
ผ่านดาวเทียม
ดาวเทียม 
การใชด้าวเทียมสา หรับการส่งข้อมูลแบบดิจิตอลก็เหมือนกับการส่งแบบไมโครเวฟนั่นเอง 
ค่ะ ดาวเทียมนนั้จะตอ้งรับและส่งสัญญาณแบบสันตรง ดาวเทียมจะช่วยส่งสัญญาณใน 
ระยะไกลซึ่งทา ไดม้ากขึ้นในลักษณะของการข้ามภูมิภาค ข้ามทวีป ซึ่งสัญญาณไมโครเวฟ 
นั้นไม่สามารถทา ไดเ้นื่องจาก ดาวเทียมนั้นจะมีฟุตพร้นิ(Footprint) สา หรับฟุตพร้นิ 
(Footprint) ก็คือจา นวนพื้นที่บนผิวโลกที่ดาวเทียมหนึ่งครอบคลุมการส่งสัญญาณได้ 
นั่นเองค่ะ 
ในปัจจุบันนี้มีการใชสั้ญญาณดาวเทียมที่โคจรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ก็คือ 
• ดาวเทียมแบบจีอีโอ (Geostationary Earth Orbit : GEO) ดาวเทียมชนิดนี้ จะเหมาะ 
กับการส่งสัญญาณโทรทัศน์ 
• ดาวเทียมแบบโคจรระดบักลาง (Medium Earth Orbit : MEO) ดาวเทียมชนิดนี้ใน 
การโคจรจะโน้มเอียงไปยังสน้ศูนย์สูตรนั่นเอง 
• ดาวเทียมแบบระดับต ่า 
(Low Earth Orbit : LEO) ดาวเทียมชนิดนี้จา นวนมาก 
สามารถครอบคลุมการส่งสัญญาณบนโลกให้ทั่วถึงได้
ขอ้ดี-ขอ้เสีย ของการส่งสญัญาณแบบดาวเทียม 
ขอ้ดี 
การส่งข้อมูลหรือการส่งสัญญาณแบบดาวเทียมจะสามรถรับ-ส่ง ข้อมูลได้เร็ว 
สะดวกต่อการติดต่อสื่อสาร และสามารถส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่ไกล 
ขอ้เสีย 
การส่งสัญญาณข้อมูลทางดาวเทียมก็คือระบบดาวเทียมนนั้ คล้ายกับ 
ไมโครเวฟ คือ อาจจะ 
ถูกกระทบโดยสภาพอากาศ ดังนนั้ มีการล่าชา้ของสัญญาณในการส่งข้อมูลแต่ 
ละช่วง ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูล จัดการกับปัญหาความล่าชา้ 
สัญญาณข้อมูลสามารถถูกรบกวนจากสัญญาณ ภาคพื้นอื่น ๆ ได้ อีก ในการ 
ส่งสัญญาณเนื่องจากระยะทางขึ้น-ลง ของสัญญาณ และที่สา คัญคือ มีราคาสูง 
ในการลงทุนทา ให้ค่าบริการสูงตามขึ้นมา
คลื่นวิทยุ 
คลื่นวิทยุที่กระจายออกจากสายอากาศ จะเดินทางไปทุกทิศทาง ในทุกระนาบ การกระจายคลื่นนี้ 
มีลักษณะเป็นการขยายตัวของพลังงานออกเป็นทรงกลม ถ้าจะพิจารณาในส่วนของพื้นที่แทนหน้า 
คลื่นจะเห็นได้ว่ามันพุ่งออกไปเรื่อย ๆ จากจุดกา เนิด และสามารถเขียนแนวทิศทางเดินของหน้า 
คลื่นได้ด้วยเส้นตรงหรือเส้นรังสี เส้นรังสีที่ลากจากสายอากาศออกไปจะทา มุมกับระนาบแนวนอน 
มุมนี้เรียกว่า มุมแผ่คลื่น อาจมีค่าเป็นบวก ( มุมเงย ) หรือมีค่าเป็นลบ ( มุมกดลง ) ก็ได้ มุม 
ของการแผ่คลื่นนี้อาจนา มาใช้เป็นตัวกา หนดประเภทของคลื่นวิทยุได้ โดยทั่วไปคลื่นวิทยุอาจแบ่ง 
ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คลื่นดิน (GROUND WAVE ) กับคลื่นฟ้า (SKY WAVE ) 
พลังงานคลื่นวิทยุส่วนใหญ่จะเดินทางอยู่ใกล้ ๆ ผิวโลกหรือเรียกว่าคลื่นดิน ซึ่งคลื่นนี้จะเดินไป 
ตามส่วนโค้งของโลก คลื่นอีกส่วนที่ออกจากสายอากาศ ด้วยมุมแผ่คลื่นเป็นค่าบวก จะเดินทาง 
จากพื้นโลกพุ่งไปยังบรรยากาศจนถึงชนั้เพดานฟ้าและจะสะท้อนกลับลงมายังโลกนี้เรียกว่า คลื่น 
ฟ้า
คลื่นวิทยุช่วงความถี่ต่าง ๆ อาจมีผลต่อร่างกายดังนี้ 
1. คลื่นวิทยุที่มีความถี่น้อยกว่า 150 เมกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นมากกว่า 
2 เมตร) คลื่นจะทะลุผ่านร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ เนื่องจากไม่มีการ 
ดูดกลืนพลังงานของคลื่นไว้ร่างกายจึงเปรียบเสมือนเป็นวตัถุโปร่งใสต่อคลื่นวิทยุ 
ช่วงนี้ 
2. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 150 เมกะเฮิรตซ์ ถึง 1.2 จิกะเฮิรตซ์ (มีความ 
ยาวคลื่นระหว่าง 2.00 ถึง 0.25 เมตร) คลื่นวิทยุช่วงนี้สามารถทะลุผ่านเข้าไปใน 
ร่างกายได้ลึกประมาณ 2.5 ถึง 20 เซนติเมตร เนื้อเยื่อของอวยัวะภายในบริเวณนนั้ 
จะดูดกลืนพลังงานของคลื่นไวถึ้งร้อยละ 40 ของพลังงานที่ตกกระทบ ทา ให้เกิด 
ความร้อนขึ้นในเนื้อเยื่อ โดยที่ร่างกายไม่สามารถรู้สึกได้ ถ้าร่างกายไม่สามารถ 
กระจายความร้อนออกไปในอัตราเท่ากับที่รับเข้ามา อุณหภูมิหรือระดับความร้อน 
ของร่างกายจะสูงขึ้น เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกาย ความร้อนในร่างกายที่สูงกว่า 
ระดับปกติอาจก่อให้เกิดผลหลายประการ เช่น
- เลือดจะแข็งตัวชา้กว่าปกติ ผลอันนี้ถ้ามีการเสียเลือดเกิดข้นึ อาการจะมีความรุนแรง 
- การหมุนเวียนของเลือดเร็วข้นึ 
- ฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงจะมีความจุออกซิเจนลดลง ทา ให้เลือดมีออกซิเจนไม่ 
เพียงพอเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ เมื่อเนื้อเยื่อขาดออกซิเจนจะทา ให้เซลล์สมอง ระบบ 
ประสาทส่วนกลางและอวยัวะภายในขาดออกซิเจนด้วย อาจทา ให้มีการกระตุกของ 
กล้ามเนื้อจนถึงชัก ถ้าสภาพเช่นนี้ดา เนินต่อไป ผลที่ตามมาก็คือ ไม่รู้สึกตัวและอาจ 
เสียชีวิตได้ 
3. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 1-3 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นระหว่าง 30 ถึง 
10 เซนติเมตร) ทั้งผิวหนังและเนื้อเยื่อลึกลงไปดูดกลืนพลังงานได้ราวร้อยละ 20 ถึง 
ร้อยละ 100 ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อเยื่อ คลื่นวิทยุเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อนัยน์ตา 
โดยเฉพาะเลนส์ตาจะมีความไวเป็นพิเศษต่อคลื่นวิทยุความถี่ประมาณ 3 จกิะเฮิรตซ์ 
เพราะเลนส์ตามีความแตกต่างจากอวยัวะอื่นตรงที่ไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและไมมี่กลไก 
ซ่อมเซลล์
ดังนั้นเมื่อนัยน์ตาได้รับคลื่นอย่างต่อเนื่องจะทา ให้ของเหลวภายในตามี 
อุณหภูมิสูงขึ้น โดยไม่สามารถถ่ายโอนความร้อนเพื่อให้อุณหภูมิลดลงได้ 
เหมือนเนื้อเยื่อของอวยัวะอื่น ๆ จึงจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงตามมา 
พบว่าถ้าอุณหภูมิของตาสูงขึ้นเซลล์เลนส์ตาบางส่วนอาจถูกทา ลายอย่างชา้ ๆ 
ทา ให้ความโปร่งแสงของเลนส์ตาลดลง ตาจะขุ่นลงเรื่อย ๆ ในที่สุดจะเกิดเป็น 
ต้อกระจก สายตาผิดปกติ และสุดทา้ยอาจมองไมเ่ห็น 
4. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 3-10 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่น 
ระหว่าง 10 ถึง 3 เซนติเมตร) ผิวหนังชนั้บนสามารถดูดกลืนพลังงานมากที่สุด 
เราจะรู้สึกว่าเหมือนกับถูกแสงอาทิตย์ 
5. คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงกว่า 10 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 
3 เซนติเมตร) ผิวหนังจะสะทอ้นให้กลับออกไป โดยมีการดูดกลืนพลังงาน 
เล็กน้อย
ขอ้ดี: ติดตั้งเพื่อเชื่อมโยงการติดต่อได้สะดวก เพียงต่ออุปกรณ์ 
เครื่องรับ-ส่งวิทยุกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แล้วตรวจสอบความเรียบร้อยของ 
ระบบก็สามารถจะสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกอาคารได้ เนื่องจากใน 
การสื่อสารด้วยระบบวิทยุจะมีระบบความพร้อมก่อนทา การรับส่งข้อมูล จึงไม่ 
ค่อยมีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน 
ขอ้เสีย : มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลตา่ นอกจากนี้ยังต้องทา การขอ 
อนุญาตใชค้วามถี่วิทยุกับกรมไปรษณีย์โทรเลขเสียก่อน สา หรับค่าใชจ้่ายใน 
เรื่องของอุปกรณ์สื่อสารนั้นค่อนข้างจะมีราคาแพงกว่าการสื่อสารด้วย 
สายสัญญาณ
ไมโครเวฟ (Microwave) 
สัญญาณคลื่นความถี่ประมาณ 100 เมกะเฮิรตซ์ เดินทางเป็นเสน้ตรง ทา ให้ 
สามารถปรับทิศทางการส่งไดแ้น่นอน การบีบสัญญาณส่งใหเ้ป็นลา แคบ ๆ จะทา ใหมี้ 
พลังงานสูง สัญญาณรบกวนตา่ การปรับจานรับและจานส่งสัญญาณใหต้รงกันพอดีจะทา 
ใหส้ามารถส่งสัญญาณไดห้ลายความถี่ไปในทิศทางเดียวกันได้โดยไม่รบกวนกัน 
ขอ้เสียคือ คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถเดินผ่านวตัถุที่กีดขวางได้สัญญาณอาจเกิดการหัก 
เหในระหว่างเดินทางทา ใหม้าถึงจาน รับสัญญาณชา้กว่าปกตแิละสัญญาณบางส่วนอาจสูญ 
หายได้เรียกว่าเกิด “multipath fading” จากสภาพภูมิอากาศ และความถี่สัญญาณ 
คลื่นความถี่ตั้งแต่ 8 กิกะเฮิรตซ์ข้นึไป จะถูกดูดซึมโดยพื้นน้า หรือเมื่อผ่านพายุฝนเพราะมี 
ความยาวคลื่นเพียงไม่กี่เซนติเมตร การตั้งสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟ (relay 
station) สามารถตงั้ใหอ้ย่หู่างกันไดถึ้ง 30-50 กิโลเมตร นิยมนา มาใชใ้นธุรกิจ งาน 
ใหบ้ริการเช่น โทรศัพท์ทางไกล โทรศัพท์มือถือ การแพร่ภาพโทรทัศน์ เป็นตน้ เพื่อ 
หลีกเลี่ยงการวางสายเคเบิล ระบบไมโครเวฟจึงมีราคาถูกกว่าระบบอื่น
คลื่น 
อินฟราเรดและคลื่น 
สนั้ (Infrared and millimeter wave) 
นิยมใชส้า หรับการสื่อสารระยะใกล้ คุณสมบัติของคลื่นคือ เดินทางเป็น 
แนวตรง ราคาถูก และง่ายต่อการผลิตใชง้านแต่ไมส่ามารถเดินทางผ่านวตัถุ 
หรือสิ่งกีดขวางได้ เช่น รีโมทสา หรับควบคุมวิทยุ วิดีโอโทรทัศน์ เครื่องเล่น 
บังคับต่าง ๆ เป็นต้น สามารถใชค้ลื่นอินฟราเรดเพื่อการสื่อสารในระบบ 
เครือข่ายทอ้งถิ่น (LAN) ได้ดี เพราะคุณสมบัติของคลื่นที่ไม่สามารถเดินทาง 
ผ่านสิ่งกีดขวางได้ การใชร้ะบบเครือข่ายในห้องทา งานที่มีอุปกรณ์ใชค้ลื่น 
อินฟราเรดในการรับ-ส่งสัญญาณแบบหลาย ทิศทางติดตงั้อยู่ ทา ให้สะดวกต่อ 
การใชเ้ครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาซึ่งใชอุ้ปกรณ์รับ-ส่งด้วยคลื่นอินฟราเรด 
สามารถติดต่อกับระบบเครือข่ายของสา นักงานได้ และยังนา คุณสมบัติของ 
คลื่นอินฟราเรดไปใชใ้นการจัดประชุม ทุกคนสามารถสื่อสารข้อมูลด้วยเครื่อง 
คอมพิวเตอร์ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารคลื่นอินฟราเรดโดยไม่ต้องเสียเวลาในการ 
วาง สายเชื่อมต่อระบบเครือข่ายให้ห้องประชุม
สญัญาณแสงเลเซอร์ (Laser beams) 
เป็นระบบการสื่อสารแบบทางเดียว ผู้รับและผู้ส่งสัญญาณข้อมูลจึงต้อง 
มีอุปกรณ์ทงั้ในการรับและส่งข้อมูลด้วย จึงจะสามารถสื่อสารได้สองทาง การ 
ส่งข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์มีราคาถูกและช่วงความกวา้งของช่องสัญญาณสูงมาก 
เมื่อเทียบกับการใชสั้ญญาณไมโครเวฟ ลา แสงเลเซอร์มีขนาดเสน้ผ่าศูนย์กลาง 
เพียง 1 มิลลิเมตร อุปกรณ์รับสัญญาณมีขนาดโตกว่าเพียงเล็กน้อย การ 
ติดตงั้อุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ ต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียด ข้อเสียของ 
ลา แสงเลเซอร์คือ ไมส่ามารถส่องผ่านสายฝนหรือหมอกหนา ๆ ได้รวมทงั้คลื่น 
ความร้อนจากแสงแดดอาจทา ให้แสงเลเซอร์เกิดการหักเหได้ เช่นการส่ง 
สัญญาณแสงเลเซอร์ระหว่างอาคาร เป็นต้น
4.4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 
ธรรมชาติมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ร่วมกันทา งาน 
สร้างสรรสังคมเพื่อให้ ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น จากการดา เนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้านครอบครัว 
การทา งานตลอดจนสังคมและการเมือง ทา ให้ต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เมื่อ 
มนุษย์มีความจา เป็นที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พัฒนาการ ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงต้อง 
ตอบสนองเพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ แรกเริ่มมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ รวมศูนย์ เช่น 
มินิคอมพิวเตอร์ หรือ เมนเฟรม โดยให้ผ้ใูช้งานใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรียบเสมือน เป็น 
สถานีปลายทาง ที่เรียกใช้ทรัพยากร การคา นวณจากศูนย์คอมพิวเตอร์และให้คอมพิวเตอร์ 
ตอบสนองต่อ การทา งานนั้น ต่อมามีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ที่ทา ให้สะดวกต่อการใช้งานส่วน 
บุคคล จนมีการเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พีซี (Personal Competer:PC) การใช้งาน 
คอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใช้งานง่ายราคา ไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ 
ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งานกันมาก บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ปรับปรุง และพัฒนาเทคโนโลยี 
ให้ตอบสนองความต้องการที่จะทา งานร่วมกันเป็นกลุ่มในรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงเป็น 
วิธีการหนึ่ง และกา ลังได้รับความนิยมสูงมาก เพราะทา ให้ตอบสนองตรงความต้องการที่จะ 
ติดต่อสื่อสาร ข้อมูลระหว่างกัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาทที่สา คัญต่อหน่วยงานต่างๆ ดังนี้ 
1. ทา ให้เกิดการทา งานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทา งานพร้อมกัน 
2. ให้สามารถใชข้้อมูลต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งทา ให้องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น 
3. ทา ให้สามารถใชท้รัพยากรได้คุ้มค่า เช่น ใชเ้ครื่องประมวลผลร่วมกัน แบ่งกันใชแ้ฟ้มข้อมูล ใช้ 
เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่มีราคาแพงร่วมกัน 
4. ทา ให้ลดต้นทุน เพราะการลงทุนสามารถลงทุนให้เหมาะสมกับหน่วยงาน
4.5 โพรโทคอล 
โปรโตคอล ( Protocol) หมายถึง ข้อกา หนดหรือข้อตกลงในการสื่อสาร 
ระหว่างคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดี 
ข้อเสีย และใชใ้นโอกาสหรือสถานการณ์แตกต่างกันไป คล้ายๆ กับภาษามนุษย์ 
ที่มีทั้งภาษาไทย จีน ฝรั่ง หรือภาษาใบ้ ภาษามือ หรือจะใชวิ้ธียักคิ้วหลิ่วตาเพื่อ 
ส่งสัญญาณก็จัดเป็นภาษาได้เหมือนกัน ซึ่งจะสื่อสารกันรู้เรื่องได้จะต้องใชภ้าษา 
เดียวกัน ในบางกรณีถ้าคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องสื่อสารกันคนละภาษากันและ 
ต้องการนา มาเชื่อมต่อกัน จะต้องมีตัวกลางในการแปลงโปรโตคอลกลับไป 
กลับมาซึ่งนิยมเรียกว่า Gateway ถ้าเทียบกับภาษามนุษย์ก็คือ ล่าม ซึ่งมีอยู่ทั้ง 
ที่เป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์แยกต่างหากสา หรับทา หน้าที่นี้โดยเฉพาะ หรือาจะเป็น 
โปรแกรมหรือไดร์ฟเวอร์ที่สามารถติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นๆได้เลย
OSI 7-Layer Reference Model (OSI Model) โดยโครงสรา้งการสื่อสารข้อมูลที่ 
กา หนดขึ้นมีคุณสมบัติดังนี้ คือ ในแต่ละชั้นของแบบการสื่อสารข้อมูลเราจะเรียกว่า Layer 
หรอื "ชนั้" ของแบบการสื่อสารข้อมูล ประกอบดว้ยชั้นย่อยๆ 7 ชนั้ ในแต่ละชนั้หรือแต่ละ 
Layer จะเสมือนเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลอยู่กับชั้นเดียวกันในคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่ง แต่ใน 
การเชื่อมกันจริงๆ นั้นจะเป็นเพียงการเชื่อมในระดับ Layer1 ซึ่งเป็นชั้นล่างสุดเท่านั้น ที่มี 
การรับส่งข้อมูลผ่านสายส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งสองโดยที่ Layer อื่นๆ ไม่ได้ 
เชื่อมต่อกันจริงๆ เพียงแต่ทา งานเสมือนกับว่ามีการติดต่อรับส่งข้อมูลกับชนั้เดียวกันของ 
คอมพิวเตอร์อีกดา้นหนึ่ง
คุณสมบัติข้อที่สองของ OSI Model คือ แต่ละชั้นที่รับส่งข้อมูลจะมีการ 
ติดต่อรับส่งข้อมูลกับชั้นที่อยู่ติดกับตัวเองเท่านั้น จะติดต่อรับส่งข้อมูลข้าม 
กระโดดไปชั้นอื่นๆ ในคอมพิวเตอร์ของตัวเองไม่ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ด้านส่ง 
ข้อมูลออกไปให้ผ้รูับใน Layer ที่ 7 ซึ่งอยู่ที่ด้านบนสุดของด้านส่งข้อมูลจะมี 
การเชื่อมต่อกับ Layer 6 เท่านนั้ ในส่วน Layer 6 จะมีการเชื่อมต่อรับส่ง 
ข้อมูลกับ Layer 5 และ Layer 7 เท่านนั้ Layer 7 จะไม่มีการกระโดดไป 
Layer 4 หรือ 5 ได้ จะมีการส่งข้อมูลไล่ลา ดับลงมา จากบนลงล่าง จนถึง 
Layer 1 แล้วเชื่อมต่อกับ Layer 1 ในด้านการรับข้อมูล ไล่ขึ้นไปจนถึง 
Layer 7
ในทางปฏิบัติ OSI Model ได้แบ่งลักษณะการทา งานออกเป็น 2 กลุ่ม 
กลุ่มแรก ได้แก่ 4 ชั้นสื่อสารด้านบน คือ Layer ที่ 7, 6, 5 และ 4 ทา 
หน้าที่เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ใชกั้บโปรแกรมประยุกต์ เพื่อให้รับส่งข้อมูล 
กับฮาร์ดแวร์ที่อยู่ชั้นล่างได้อย่างถูกต้อง เรียกว่า Application-oriented 
layers ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับซอฟท์แวร์เป็นหลัก โดยใน 4 ชนั้บนมักจะเป็น 
ซอฟท์แวร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งในโปรแกรมเดียว 
กลุ่มที่สอง จะเป็นชั้นล่าง ได้แก่ Layer ที่ 3, 2 และ 1 ทา หน้าที่เกี่ยวกับ 
การรับส่งข้อมูลผ่านสายส่ง และควบคุมการรับส่งข้อมูล ตรวจสอบ 
ข้อผิดพลาด รวมทั้งเลือกเสน้ทางในการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ 
เป็นหลักเรียกว่า Network-dependent layers
ซึ่งในส่วนของ 3 ชนั้ล่างสุด หรือ Layer ที่ 1, 2 และ 3 นั้น มักจะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ 
และโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ทา ใหส้ามารถแยกแต่ละชนั้ออกจากกันได้ง่าย 
และผลิตภัณฑ์ของต่างบริษัทกันในแต่ละชนั้ไดอ้ย่างไม่มีปัญหา
OSI Model แบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นจะมีชื่อ 
เรียกและหน้าที่การทา งาน ดงันี้ 
Layer ที่ 
7 Application Layer 
Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการับส่งข้อมูล ทา 
หน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้โดยจะรับคา สั่งต่างๆ จากผู้ใชส้่งให้คอมพิวเตอร์แปล 
ความหมาย และทา งานตามคา สั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์เช่น การ 
แปลความหมายของการกดปุ่มบนเมาส์ให้เป็นคา สั่งในการก็อปปีไฟล์ หรือ ดึง 
ข้อมูลมาแสดงบนจอภาพ เป็นต้น ซึ่งการแปลคา สั่งจากผู้ใชส้่งให้กับ 
คอมพิวเตอร์รับไปทา งานนี้ จะต้องแปลออกมาถูกต้องตามกฏ ( Syntax) ที่ใช้ 
ในระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์นนั้ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการก็อปปี้ไฟล์ 
เกิดขึ้นในระบบ คา สั่งที่ใชจ้ะต้องสร้างไฟล์ได้ถูกต้อง มีชื่อไฟล์ยาวไมเ่กินจา นวน 
ที่ระบบปฏิบัติการนั้นกา หนดไว้รูปแบบของชื่อไฟล์ตรงตามข้อกา หนด เป็นต้น
Layer ที่ 
6 Presentation Layer 
Presentation Layer เป็นชั้นที่ทา หน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้าน 
หนึ่งในระดับชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรมประยุกต์จะมี 
ขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร ข้อมูลที่รับส่งกันใน Layer ที่6 จะอยู่ในรูปแบบ 
ของข้อมูลชนั้สูงมีกฏ ( Syntax) บังคับแน่นอน เช่น ในการกก็อปปี้ไฟล์จะมี 
ขั้นตอนย่อยประกอบกัน คือสร้างไฟล์ที่กา หนดขึ้นมาเสียก่อน จากนนั้จึงเปิด 
ไฟล์ แล้วทา การรับข้อมูลจากปลายทางลงมาเก็บลงในไฟล์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ 
โดยเนื้อหาของข้อมูลที่ทา การรับส่งระหว่างกัน ก็คือคา สั่งของขนั้ตอนย่อยๆ 
ข้างต้นนั่นเอง นอกจากนี้ Layer ที่ 6 ยังทา หน้าที่แปลคา สั่งที่ได้รับจาก Layer 
ที่ 7 ให้เป็นคา สั่งระดับปฏิบัติการส่งให้ Layer ที่ 5 ต่อไป
Layer ที่ 
5 Session Layer 
Session Layer ทา หน้าที่ควบคุม "จังหวะ" ในการรับส่งข้อมูลของ 
คอมพิวเตอร์ทั้งสองด้าน ที่รับส่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันให้มีความสอดคล้องกัน 
( Synchronization) และกา หนดวิธีที่ใชใ้นการรับส่งข้อมูล เช่น อาจจะเป็นใน 
การสลับกันส่ง ( Half Duplex) หรือการรับส่งข้อมูลพร้อมกันทงั้สองด้าน ( 
Full Duplex) ข้อมูลที่รับส่งใน Layer ที่ 5 จะอยู่ในรูป dialog หรอืประโยค 
สนทนาโต้ตอบกันระหว่างด้านรับและด้านส่งข้อมูล เช่น เมื่อได้รับข้อมูลส่วน 
แรกจากผ้สู่ง ก็จะตอบโต้กลับให้ผ้สู่งได้รู้ว่าได้รับข้อมูลส่วนแรกแล้ว พร้อมที่จะ 
รับข้อมูลส่วนถัดไป ซึ่งคล้ายกับการสนนาโต้ตอบกันระหว่างผู้รับและผ้สู่ง 
นั่นเอง
Layer ที่ 
4 Transport Layer 
Transport Layer ทา หน้าที่เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลระดับสูงของ Layer ที่ 
5 มาเป็นข้อมูลที่รับส่งในระดับฮาร์ดแวร์ เช่น แปลงค่าหรือชื่อของเครื่อง 
คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายให้เป็น network address พร้อมทงั้เป็นชนั้ที่ควบคุม 
การรับส่งข้อมูลจากปลายด้านส่งถึงปลายด้านรับข้อมูล ให้ข้อมูลมีการไหลลื่น 
ตลอดเสน้ทางตามจังหวะที่ควบคุมจาก Layer ที่ 5 โดยใน Layer ที่ 4 นี้ จะเป็น 
รอยต่อระหว่างการรับส่งข้อมูลซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์การรับส่งข้อมูลของ 
ระดับสูงจะถูกแยกจากฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลที่ Layer ที่4 และจะไมมี่ส่วนใด
ผูกติดกับฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลในระดับล่าง ดังนั้นฮาร์ดแวร์และ 
ซอฟท์แวร์ที่ใชค้วบคุมการรับส่งข้อมูลในระดับล่างลงไปจาก Layer ที่ 4 จึง 
สามารถสับเปลี่ยน และใชข้้ามไปมากับซอฟท์แวร์รับส่งข้อมูลในระดับที่อยู่ 
ข้างบน (ตงั้แต่ Layer ที่ 4 ขึ้นไปถึง Layer ที่ 7) ได้ง่าย หน้าที่อีกประการ 
หนึ่งของ Layer ที่ 4 คือ การควบคุมคุณภาพการรับส่งข้อมูลให้มีมาตรฐานใน 
ระดับที่ตกลงกันทั้งสองฝ่าย และการตัดข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ ให้เหมาะ 
กับลักษณะการทา งานของฮาร์ดแวร์ที่ใชใ้นเครือข่าย เช่น หาก Layer ที่ 5 
ต้องการส่งข้อมูลที่มีความยาวเกินกว่าที่ระบบเครือข่ายที่จะส่งให้ Layer ที่ 4 ก็ 
จะทา หน้าที่ตัดข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ แล้วส่งไปให้ผู้รับ ข้อมูลที่ได้รับ 
ปลายทางก็จะถูกนา มาต่อกันที่ Layer ที่ 4 ของด้านผ้รูับ และส่งไปให้ Layer 
ที่ 5 ต่อไป
Layer ที่ 
3 Network Layer 
Network Layer ทา หน้าที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้านรับ และด้านส่งเข้า 
หากันผ่านระบบเครือข่าย พร้อมทั้งเลือกหรือกา หนดเสน้ทางที่จะใชใ้นการ 
รับส่งข้อมูลระหว่างกัน และส่งผ่านข้อมูลที่ได้รับไปยังอุปกรณ์ในเครือข่ายต่าง 
ๆ จนกระทั่งถึงปลายทาง ใน Layer ที่ 3 ข้อมูลที่รับส่งกันจะอยู่ในรูปแบบของ 
กลุ่มข้อมูลที่เรียกว่า Packet หรือ Frame ข้อมูล Layer ที่ 4, 5, 6 และ 7 
มองเห็นเป็นคา สั่งและ Dialog ต่าง ๆ นนั้ จะถูกแปลงและผนึกรวมอยู่ในรูป 
ของ Packet หรือ Frame ที่มีเพียงแอดเดรสของผู้รับ , ผ้สู่ง , ลา ดับการรับส่ง 
และส่วนของข้อมูลเท่านั้น หน้าที่อีกประการหนึ่ง คือ การทา Call Setup หรือ 
เรียกติดต่อคอมพิวเตอร์ปลายทางก่อนการรับส่งข้อมูล และการทา Call 
Cleaning หรือการยกเลิกการติดต่อคอมพิวเตอร์เมื่อการรับส่งข้อมูลจบลง 
แล้ว ในกรณีที่มีการรับส่งข้อมูลนั้นต้องมีการติดต่อกันก่อ
Layer ที่ 
2 Data link Layer 
Data link Layer เป็นชั้นที่ทา หน้าที่เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลในระดับ 
ฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อมีการสั่งให้รับข้อมูลจากใน Layer ที่ 3 ลงมา Layer ที่ 2 
จะทา หน้าที่แปลคา สั่งนั้นให้เป็นคา สั่งควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูล ทา การ 
ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูลของระดับฮาร์ดแวร์ และทา การแก้ 
ข้อผิดพลาดที่ได้ตรวจพบ ข้อมูลที่อยู่ใน Layer ที่ 2 จะอยู่ในรูปของ Frame 
เช่น ถ้าฮาร์ดแวร์ที่ใชเ้ป็น Ethernet LAN ข้อมูลจะมีรูปร่างของ Frame ตามที่ 
ระบุไวใ้นมาตรฐานของ Ethernet หากว่าฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลเป็นชนิดอื่น 
รูปร่างของ Frame ก็จะเปลี่ยนไปตามมาตรฐานนั่นเอง
Layer ที่ 
1 Physical Layer 
Physical Layer เป็นชั้นล่างสุด และเป็นชั้นเดียวที่มีการเชื่อมต่อทาง 
กายภาพระหว่างคอมพิวเตอร์สองระบบที่ทา การรับส่งข้อมูล ใน Layer ที่ 1 นี้ 
จะมีการกา หนดคุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใชเ้ชื่อมต่อระหว่าง 
คอมพิวเตอร์ทั้งสองระบบ เช่น สายที่ใชรั้บส่งข้อมูลจะเป็นแบบไหน ข้อต่อที่ใช้ 
ในการรับส่งข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร ความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าใด 
สัญญาณที่ใชใ้นการรับส่งข้อมูลมีรูปร่างอย่างไร ข้อมูลใน Layer ที่ 1 นี้จะ 
มองเห็นเป็นการรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงต่อไป
4.6 อุปกรณ์เครือข่าย 
คงมีหลายๆท่านที่คิดจะติดตั้งระบบเครือข่ายเพื่อใชง้านภายในบ้านหรอื 
ในสา นักงานของตัวเอง เพราะต้องการแชร์ ทรัพยากรที่มีอยู่เช่นเครื่องพิมพ์ 
ข้อมูล เครื่องสแกนและอื่นๆ ให้เครื่องคอมฯหลายๆเครื่องใชร้่วมกัน อีกทงั้ 
ต้องการความสะดวกในการติดต่อสื่อสารภายในองค์กรทางอีเมล์ ซึ่งท่านก็ลอง 
คิดดูว่าถ้าท่านทา งานอยู่ชั้นสี่แล้วเครื่องพิมพ์อยู่ชั้นสามถ้าไม่มีระบบเครือข่าย 
จะทา ยังไงถ้าต้องพิมพ์งาน ก็คงต้อง Save งานใส่แผ่นแล้วก็เดินลงไปพิมพ์ที่ 
ชนั้สาม เป็นยังงัยครับ แค่คิดก็เหนื่อยใช่มยั้ครับ แล้วถ้าอยากมีระบบเครือข่าย 
จะทา ยังงัย ? มีสองทางเลือกครับ ทางเลือกแรก คือ “จา้งเขาทา ” งา่ยครับขอ 
แต่มีเงินเป็นพอก็ทา ได้ และอีกทางคือ “ทา เอง” ซึ่งก็ต้องลงแรง
ศึกษาหาข้อมูลทา การบ้านกันเหนื่อยหน่อยละครับ แต่สิ่งที่ไดก้ลับมาก็คือความรู้ได้ 
พัฒนาความสามารถ และยังไดค้วามภูมิใจ แต่ก็อย่าลืมเงื่อนไขเรื่องเวลานะครับ เพราะถ้า 
ตอ้งการใชง้านอย่างเร่งด่วน ก็ควรว่าจา้งผ้รูับเหมาวางระบบ มาจัดการใหดี้กว่า แต่เรื่อง 
การศึกษาหาความรูก้็ไม่ควรทิ้ง เพราะระบบเมื่อติดตั้งเสร็จใช่ว่าจะจบเลย ยังตอ้งการ การ 
ดูแลรักษาเพื่อใหส้ามารถทา งานรับใชท้่าน โดยไม่มีปัญหา และสมมุตินะครับสมมุติ ถ้า 
ท่านจะทา เองแล้วจะทา ยังไง? ไม่ตอ้งกังวลครับ ทุกปัญหามีคา ตอบ เมื่อท่านคิดจะทา เอง 
ก็ตอ้งหาข้อมูลกันก่อน เรื่องแรกที่จะพูดถึงเรามาพูดถึงอุปกรณ์เครือข่ายกัน สา หรับ 
อุปกรณ์เครือข่ายนนั้ก็จะมีอย่หูลายๆ แบบไม่ว่าจะเป็น Lan Card, Hub, Switch, 
Firewalls & Filters, Internet Gateway Routers & LAN Modems, Network 
Management, Print Server หรืออุปกรณ์ Wireless การเลือกใชอุ้ปกรณ์ในระบบ 
เครือข่ายพวกนี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มีหลายคนบ่นกันมากว่าอยากติดตงั้ระบบเครือข่าย 
ไวใ้ชแ้ต่ติดที่ตรงเลือกอุปกรณ์ในการใชง้านไม่ถูก ไม่ยากครับขั้นแรกท่านผ้อู่านจะตอ้ง 
ทราบถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์แต่ชนิดก่อน
การ์ดแลน 
เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่ในการรับส่งข้อมูลจากเครื่องคอมฯเครื่องหนึ่ง 
ไปสู่อีกเครื่องโดยผ่านสายแลน การ์ดแลนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถต่อพ่วงกับ 
พอร์ตแทบทุกชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ISA, PCI, USB, 
Parallel, PCMCIA และ Compact Flash ซึ่งที่เห็นใชกั้นมากที่สุดก็จะเป็น 
แบบ PCI เพราะถ้าเทียบราคากับประสิทธิภาพแล้วถือว่าค่อนข้างถูก มีหลาย 
ราคา ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทจนถึงหลักพัน ส่วนแบบ USB, Parallel, PCMCIA 
ส่วนใหญ่จะเห็นใชกั้นมากกับเครื่องโน๊ตบุ๊ค เพราะก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าการ 
ติดอุปกรณ์ลงในพอร์ตภายใน ของเครื่องโน๊ตบุ๊คเป็นเรื่องยาก ดังนนั้การต่อ 
อุปกรณ์ต่อพ่วงจึงต้องอาศัยพอร์ตภายนอกดังที่กล่าวมา
ฮบั 
เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่เสมือนกับชุมทางข้อมูล มีหน้าที่เป็นตัวกลาง 
คอยส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย ซึ่งลักษณะการทา งาน ให้ลองนึกถึง 
ภาพการออกอากาศโทรทัศน์ ที่เมื่อมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง 
กา ลังส่งข้อมูล เครื่องที่อยู่บนเครือข่ายทุกเครื่องจะได้รับข้อมูลเหมือนๆ กันทุก 
เครื่อง ซึ่งเมื่อแต่ละเครื่องได้รับข้อมูลก็จะดูว่า เป็นข้อมูลของตัวเองไหม ถ้าใช่ก็ 
จะรับเข้ามาประมวลผล ถ้าไม่ใช่ก็ไม่รับเข้ามา ซึ่งจากากรทา งานในลักษณะนี้ ใน 
เครือข่ายที่ใชฮั้บเป็นตัวกระจ่ายสัญญาณ จะสามารถส่งข้อมูลสู่เครือข่ายได้ทีละ 
เครื่อง ถ้ามีคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งกา ลังส่งข้อมูล เครื่องอื่นๆ ก็ต้อง 
รอให้การส่งข้อมูลเสร็จสิ้นเสียก่อน เมื่อช่องสัญญาณว่าง จึงจะสามารถส่ง 
ข้อมูลได้
สวิตซ์ 
สวิตซ์จะทา หน้าที่คล้ายฮับ แต่จะเก่งกว่าตรงที่เมื่อมีการร้องขอโดย 
เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเพื่อส่งข้อมูล สวิตซ์ก็จะสร้างวงจรเสมือนขึ้นมา 
ให้เครื่องสองเครื่องนี้ส่งข้อมูลถึงกัน ซึ่งช่องสัญญาณกลางก็จะว่างไวร้องรับ 
การร้องขอส่งข้อมูลจากเครื่องอื่นๆ ต่อไป ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ 
ทา งานของสายโทรศัพท์ ที่หลายๆ คู่สายสามารถพูดคุยพร้อมๆ กันได้ จาก 
คุณลักษณะนี้ทา ให้สามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าฮับ เพราะแทบจะไมมี่การรอใช้ 
ช่องสัญญาณเกิดขึ้นในเครือข่ายที่ใชส้วิตซ์เป็นตัวกระจายสัญญาณ และแน่นอน 
ราคาของสวิตซ์ย่อมแพงกว่าฮับ
โมเด็ม 
เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่แปลงสัญญาณให้สามารถส่งผ่านทาง 
สายโทรศัพท์ สายเช่า และสายไฟเบอร์ออฟติก แล้วแต่ประเภทของโมเด็ม ทา 
ให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกล ยกตัวอย่างเช่น การที่คุณใชโ้มเด็มหมุน 
โทรศัพท์หาไอเอสพีที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร เพื่อจะเข้าสู่ระบบ 
อินเตอร์เน็ต
เราเตอร์ 
เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่เลือกเสน้ทางในการส่งผ่านข้อมูล ทา หน้าที่ใน 
การหาเสน้ทางที่ดีที่สุดในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการล้มเหลวในการส่ง 
ข้อมูล และเราเตอร์ยังสามารถช่วยเชื่อมเครือข่ายสองเครือข่าย หรือมากกว่า 
เข้าด้วยกัน เพราะเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถทา งานบนเครือข่ายอย่างน้อย 
สองเครือข่ายขึ้นไป ถ้าจะพูดถึงราคา พูดแบบน่ารักๆ ก็ต้องพูดว่า โห...แพงจัง 
เลย
สายแลน 
เมื่อมีวงแลนก็ตอ้งมีสายแลน สายแลนมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นสายโคแอคเชียน ยู 
ทีพี เอสทีพี และ ไฟเบอร์ออปติก หรือแม้กระทั่งแบบที่ไม่ใชส้าย (Wireless LAN ) และ 
แบบที่เห็นไดบ้่อยที่สุดในปัจจุบันที่นิยมใชกั้น ก็ไดแ้ก่สายแบบ ยูทีพี ที่ใชกั้บหัวต่อแบบ 
RJ 45 ซึ่งจะคล้ายๆกับหัวต่อของสายโทรศัพท์ ( ของโทรศัพท์เป็นแบบ RJ11 ) ซึ่งสาย 
ประเภทนี้จะไม่มีการ ชีลด์ป้องกันสัญญาณรบกวน แต่จะใชวิ้ธีตเีกลียวสายเป็นคู่ๆ 4 คู่ 
ป้องกันสัญญาณรบกวน อีกแบบก็คือการใชวิ้ธีส่งสัญญาณดว้ยคลื่นวิทยุย่านความถี่สูง 
บางแบบก็ใชอิ้นฟราเรด จุดเด่นที่เห็นไดชั้ดคือเมื่อไม่ตอ้งเดินสายทา ใหส้ามารถติดตงั้ได้ 
ง่าย ย้ายก็สะดวก แต่ข้อดอ้ยก็คือปัญหาจากการถูกรบกวน และสัญญาณถูกบัง แถม 
ความเร็วในการส่งข้อมูลยังดอ้ยกว่าระบบแลนแบบใชส้ายอยู่ราคาก็สูงกว่า และที่กา ลังมา 
แรงในขณะนี้คือเทคโนโลยีแบบ Ethernet over VDSL น่าสนใจกันข้นึมาบ้างแล้วไหม 
ครับ ถ้าสนใจเราก็ไปลุยกันต่อเลยครับ ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่ใชๆ้กันก็มีอยู่2 
แบบ คือ แบบระยะใกล้ และแบบระยะไกล เอาเป็นว่าเรามาเริ่มตน้การเลือกใชอุ้ปกรณ์ 
ระบบเครือข่ายแบบระยะใกล้
4.7 รูปร่างเครือข่าย 
โทโพโลยีหมายถึง รูปแบบการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ 
คอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกัน ให้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งในการกล่าวถึง 
โทโพโลยีจะกล่าวถึงใน 2 ลักษณะ คือ โทโพโลยีทางตรรกะ (logical 
topology) และโทโพโลยีทางกายภาพ (Physical Topology) 
โทโพโลยีทางตรรกะ แสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ต่างๆของ 
เครือข่ายเป็นแผนภาพ ส่วนโทโพโลยีทางกายภาพ หมายถึงการเชื่อมโยงทาง 
กายภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงทาง 
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ โทโพโลยีทั่วไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มักจะหมายถึง 
โทโพโลยีทางตรรกะ ซึ่งมีรูปแบบการเชื่อมโยงหลายรูปแบบรูปแบบที่สา คัญมี 
ดังนี้
การเชื่ 
อมโยงแบบสมบูรณ์ (Complete Interconnect) การเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ เป็นการ 
เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายเข้าดว้ยกันแบบจุดต่อจุด ดังแสดงในรูปภาพการ 
เชื่อมโยงแบบนี้ทา ใหมี้ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลสูงโปรแกรมที่ใชใ้นการควบคุม การสื่อสาร 
ก็เป็นแบบพื้นฐานไม่ซับซอ้นมากนัก และไม่จา เป็นตอ้งมีหน่วยประมวลผลกลาง การสื่อสารใน 
การเลือกเสน้ทางสื่อสารเนื่องจากเป็นการเชื่อมโยงโดยตรงถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่อง 
การเชื่อมโยงแบบนี้มีความเชื่อมั่นในการสื่อสารสูง และหากไดเ้พิ่มหน่วยประมวลผลการสื่อสาร 
เข้าไปในระบบอีก จะทา ใหก้ารสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โครงสรา้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY) 
การนา เครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสาร 
นั้น สามารถกระทา ได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป 
โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจา แนกตามลักษณะ 
ของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้ 
1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology) 
2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology) 
3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)

More Related Content

What's hot

แม็พคอม
แม็พคอมแม็พคอม
แม็พคอมNattanaree
 
การวางแผน การสร้างสื่อ
การวางแผน การสร้างสื่อการวางแผน การสร้างสื่อ
การวางแผน การสร้างสื่อAnna Wongpattanakit
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสารsariya25
 
Organization communication
Organization communicationOrganization communication
Organization communicationKan Yuenyong
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and networkNidzy Krajangpat
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ธีรภัฎ คำปู่
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์Supicha Ploy
 
การสื่อสารในองค์กร
การสื่อสารในองค์กรการสื่อสารในองค์กร
การสื่อสารในองค์กรtanongsak
 
Presentation1
Presentation1Presentation1
Presentation1patcha130
 
การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลpatcha130
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสารTuaLek Kitkoot
 
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการ
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการ
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการjansaowapa
 
การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลpatcha130
 

What's hot (18)

บริการบนอินเทอร์เน็ต
บริการบนอินเทอร์เน็ตบริการบนอินเทอร์เน็ต
บริการบนอินเทอร์เน็ต
 
แม็พคอม
แม็พคอมแม็พคอม
แม็พคอม
 
การวางแผน การสร้างสื่อ
การวางแผน การสร้างสื่อการวางแผน การสร้างสื่อ
การวางแผน การสร้างสื่อ
 
เวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บเวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บ
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสาร
 
Organization communication
Organization communicationOrganization communication
Organization communication
 
Network
NetworkNetwork
Network
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
 
Communication Process (กระบวนการการสื่อสาร) ch.5
Communication Process (กระบวนการการสื่อสาร) ch.5Communication Process (กระบวนการการสื่อสาร) ch.5
Communication Process (กระบวนการการสื่อสาร) ch.5
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารในองค์กร
การสื่อสารในองค์กรการสื่อสารในองค์กร
การสื่อสารในองค์กร
 
Presentation1
Presentation1Presentation1
Presentation1
 
การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูล
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสาร
 
network basics
network basicsnetwork basics
network basics
 
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการ
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการ
ใบความรู้ 1 เรื่อง การสื่อสารข้อมูลและพัฒนาการ
 
การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูล
 

Similar to บทที่ 4

การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลpatcha130
 
Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11paween
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ธีรภัฎ คำปู่
 
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูลMeaw Sukee
 
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์Piyanoot Ch
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลchukiat008
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลchukiat008
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and networkkamol
 
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูลใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูลkruumawan
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8Nuttapat Sukcharoen
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์Warayut Pakdee
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูลเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูลnamfonsatsin
 
การสื่ออสารข้อมูล
การสื่ออสารข้อมูลการสื่ออสารข้อมูล
การสื่ออสารข้อมูลตอ ต้น
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8ratiporn555
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8niramon_gam
 
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสารบทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสารBeauso English
 

Similar to บทที่ 4 (20)

หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศหน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
 
การถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูลการถ่ายโอนข้อมูล
การถ่ายโอนข้อมูล
 
Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11
 
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล
2.1 พัฒนาการสื่อสารข้อมูล
 
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่2เรื่องการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
 
การสื่อสาร
การสื่อสารการสื่อสาร
การสื่อสาร
 
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูลใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
 
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
Communication Concept 3
Communication Concept 3Communication Concept 3
Communication Concept 3
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูลเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
 
การสื่ออสารข้อมูล
การสื่ออสารข้อมูลการสื่ออสารข้อมูล
การสื่ออสารข้อมูล
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8
 
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสารบทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 

More from Sudkamon Play

Web server คืออะไร
Web server คืออะไรWeb server คืออะไร
Web server คืออะไรSudkamon Play
 
Cai คืออะไร
Cai คืออะไรCai คืออะไร
Cai คืออะไรSudkamon Play
 
องค์ประกอบของ Lms
องค์ประกอบของ Lmsองค์ประกอบของ Lms
องค์ประกอบของ LmsSudkamon Play
 
ประโยชน์ของ E learning
ประโยชน์ของ E learningประโยชน์ของ E learning
ประโยชน์ของ E learningSudkamon Play
 
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learningข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learningSudkamon Play
 
ความเป็นมาของระบบ E learning
ความเป็นมาของระบบ E learningความเป็นมาของระบบ E learning
ความเป็นมาของระบบ E learningSudkamon Play
 
E learning คือ
E learning คือE learning คือ
E learning คือSudkamon Play
 

More from Sudkamon Play (13)

Web server คืออะไร
Web server คืออะไรWeb server คืออะไร
Web server คืออะไร
 
Cai คืออะไร
Cai คืออะไรCai คืออะไร
Cai คืออะไร
 
องค์ประกอบของ Lms
องค์ประกอบของ Lmsองค์ประกอบของ Lms
องค์ประกอบของ Lms
 
ประโยชน์ของ E learning
ประโยชน์ของ E learningประโยชน์ของ E learning
ประโยชน์ของ E learning
 
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learningข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
 
ความเป็นมาของระบบ E learning
ความเป็นมาของระบบ E learningความเป็นมาของระบบ E learning
ความเป็นมาของระบบ E learning
 
E learning คือ
E learning คือE learning คือ
E learning คือ
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 4

  • 2. 4.1 บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารข้อมูลสมัยใหม่นี้ มีรากฐานมาจากความ พยายามในการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยระบบสื่อสารที่มีอยู่แล้ว เช่น โทรศัพท์ ดังนั้นการ สื่อสารข้อมูลจึงอยู่ในขอบเขตที่จา กัด ต่อมาเมื่อมีการใช้ คอมพิวเตอร์มากขึ้น ความต้องการในการติดต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน ที่เรียกว่า ระบบ เครือข่าย (Network) ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลา ดับ
  • 3. ในตอนเริ่มต้นของยุคสื่อสาร เมื่อประมาณ พ.ศ. 2513-2515 ความ ต้องการใชค้อมพิวเตอร์ร่วมกันมีมากขึ้น แต่คอมพิวเตอร์ยังมีราคาสูงมาก เมื่อเทียบกับอุปกรณ์สื่อสารที่มีอยู่แล้วบางอย่าง การสื่อสารด้วยระบบ เครือข่ายในระยะนั้นจึงเน้นการใชค้อมพิวเตอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์เป็นผู้ ให้บริการแก่ผู้ใชป้ลายทางหลายคน เพื่อประหยัดค่าใชจ้่ายของระบบ ต่อมาเมื่อถึงยุคสมัยของไมโครคอมพิวเตอร์ พบว่าขีดความสามารถใน ด้านความเร็วของการทา งานของเมนเฟรม มีความเร็วมากกว่า 10 เท่า เมื่อ เทียบกับไมโครคอมพิวเตอร์ตัวที่ดีที่สุด แต่ราคาของเมนเฟรมแพงกว่า ไมโครคอมพิวเตอร์หลายพันเท่า การใชไ้มโครคอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายและ กระจายออกไป การสื่อสารจึงกลายเป็นระบบเครือข่ายแบบกระจาย กล่าวคือ แทนที่จะออกแบบให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางต่อกับเมนเฟรม ก็ เปลี่ยนเป็นระบบเครือข่ายที่ใชค้อมพิวเตอร์ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์แทน
  • 4. ลักษณะของเครือข่ายจึงเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อาจจะอยู่บนแผงวงจร อิเล็กทรอนิกส์เดียวกัน ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นระบบที่ทา งานร่วมกันในห้อง ทา งาน ในตกึ ระหว่างตึก ระหว่างสถาบัน ระหว่างเมือง ระหว่างประเทศ การ จัดแบ่งรูปแบบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์จึงแยกตามขนาดของเครือข่าย ดัง ตารางดังต่อไปนี้
  • 5. ความสา คัญของการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึง เป็นสิ่งที่ตระหนักกันอยู่เสมอ ลองพิจารณาถึงประโยชน์ของการสื่อสาร ข้อมูลต่อไปนี้ 1) การจัดเก็บข้อมูลได้ง่ายและสื่อสารไดร้วดเร็ว การจัดเก็บข้อมูลซึ่ง อย่ใูนรูปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ สามารถจัดเก็บไวใ้นแผ่นบันทึก ที่มีความหนาแน่นสูง แผ่นบันทึกแผ่นหนึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร สา หรับการสื่อสารข้อมูลนั้น ถ้าข้อมูลผ่าน สายโทรศัพท์ได้ด้วยอัตรา 120 ตัวอักษรต่อวินาทีแล้ว จะส่งข้อมูล 200 หน้าได้ในเวลา 40 นาที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามานั่งป้อนข้อมูล เหล่านนั้ซา้ ใหม่อีก
  • 6. 2) ความถูกต้องของขอ้มูล โดยปกติมีการส่งข้อมูลด้วยสัญญาณทาง อิเล็กทรอนิกส์จากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นด้วยระบบดิจิทัล วิธีการรับส่ง นนั้จะมีการตรวจสอบสภาพของข้อมูลหากข้อมูลผิดพลาดก็จะมีการ รับรู้และพยายามหาวิธีการแก้ไขให้ข้อมูลที่ได้รับมีความถูกต้อง โดย อาจให้ทา การส่งใหม่ หรือกรณีที่ผิดพลาดไม่มากนัก ฝ่ายผ้รูับอาจใช้ โปรแกรมของตนแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องได้
  • 7. 3) ความเร็วของการทา งาน โดยปกติสัญญาณของไฟฟ้าจะเดินทางด้วย ความเร็วเท่าแสง ทา ให้การใชค้อมพิวเตอร์ส่งข้อมูลจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีก โลกหนึ่งหรือคน้หาข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถทา ได้รวดเร็ว ความรวดเร็วของระบบจะทา ให้ผู้ใชส้ะดวกสบายอย่างยิ่ง เช่น บริษัทสายการ บินทุกแห่งสามารถทราบข้อมูลของทุกเที่ยวบินได้อย่างรวดเร็ว ทา ให้การจองที่ นั่งของสายการบินสามารถทา ได้ทันที 4) ต้นทุนประหยดัการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต่อเข้าหากันเป็นเครือข่าย เพื่อส่งหรือสา เนาข้อมูลทา ให้ราคาต้นทุนของการใชข้้อมูลไม่แพง เมื่อเทียบกับ การจัดส่งแบบวิธีอื่น นักคอมพิวเตอร์บางคนสามารถส่งโปรแกรมให้กันและ กันผ่านทางสายโทรศัพท์ได้
  • 8. 4.2 การสื่อ สารขอ้มูล การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่าย โอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน องค์ประกอบหลักของระบบสื่อสาร ข้อมูลมีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ 1. ข่าวสารหรือข้อมูล (message) 2. ผ้สู่ง (sender) 3. ผ้รูับ (receiver) 4. สื่อกลาง (media) 5. โพรโทคอล (protocol
  • 9. 1. ผูส้่งข่าวสารหรือแหล่งกา เนิดข่าวสาร (source) อาจจะเป็นสัญญาณต่างๆ เช่นสัญญาณ ภาพ ข้อมูลและสียงเป็นตน้ ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใชแ้สงไฟ ควนัไฟ หรือ ท่าทางต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นแหล่งกา เนิดข่าวสาร จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน 2. ผูร้บัข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร (sink) ซึ่งจะรับรูจ้ากสิ่งที่ผู้ส่ง ข่าวสาร หรือแหล่งกา เนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใด ที่การติดต่อสื่อสารบรรลุ วตัถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะไดรั้บข่าวสารนนั้ ๆ ถ้าผ้รูับ สารหรือ จุดหมายปลายทางไม่ไดรั้บข่าวสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสา เร็จ กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอง
  • 10. 3. ช่องสญัญาณ (channel) ในที่นี้อาจจะหมายถึงสื่อกลางหรือตัวกลาง ที่ข่าวสารเดินทางผ่าน อาจจะเป็นอากาศ สายนา สัญญาณต่าง ๆ หรือแม้กระทั่ง ของเหลว เช่น น้า น้า มัน เป็นต้น เปรียบเสมือนเป็นสะพานที่จะให้ข่าวสารข้าม จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง 4. การเขา้รหสั (encoding) เป็นการช่วยให้ผ้สู่งข่าวสารและผู้รับข่าวสาร มีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย จึงมีความจา เป็นต้องแปลง ความหมายนี้ การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูปพลังงาน ที่ พร้อมจะส่งไปในสื่อกลาง ทางผู้ส่งมีความเข้าใจต้องตรงกันระหว่าง ผ้สู่งและ ผู้รับ หรือมีรหัสเดียวกัน การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้
  • 11. 5. การถอดรหสั (decoding) หมายถึงการที่ผู้รับข่าวสารแปลงพลังงาน จากสื่อกลางให้กลับไปอยู่ในรูปข่าวสารที่ส่งมาจากผู้ส่งข่าวสาร โดยมีความเข้า ในหรือรหัสตรงกัน 6. สญัญาณรบกวน (noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ มักจะลดทอน หรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทงั้ทางด้านผ้สู่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และ ช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขนั้พื้นฐานมักจะสมมติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสาร และผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาด ตา แหน่งที่ใชวิ้เคราะห์ มักจะเป็นที่ตัวกลาง หรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผ้รูับ ข่าวสาร ในทางปฎิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง เพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดา เนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่ง
  • 12. 4.2.1การสื่อ สาร-วิธีการถ่ายโอนขอ้มูล1 1. การถ่ายโอนขอ้มูลแบบขนานการถ่ายโอนขอ้มูลแบบขนาน ทา ได้ โดยการส่งข้อมูลออกทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิตจากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ อุปกรณ์ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต เพราะอาจทา ให้เกิดปัญหาสัญญาณสูญหายไปกับความต้านทานของสาย นอกจากนี้อาจมีปัญหาที่เกิดจากระดับไฟฟ้าสายดินที่จุดรับผิดไปจากจุดส่ง ทา ให้เกิดการผิดพลาดในการรับสัญญาณทางฝ่ายรับ
  • 13. นอกจากแกนหลักแล้วอาจจะมีทางเดินของสัญญาณควบคุมอื่น ๆ อีก เช่น บิตพาริตี ที่ใชใ้นการตรวจสอบความผิดพลาดของการรับสัญญาณที่ ปลายทางหรือสายที่ควบคุมการโต้ตอบ (hand-shake)
  • 14. 2. การถ่ายโอนขอ้มูลแบบอนุกรมในการถ่ายโอนขอ้มูลแบบ อนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออกมาทีละบิต ระหว่างจุดส่งและจุดรับ การส่งข้อมูล แบบนี้จะชา้กว่าแบบขนาน การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรมต้องการตวักลาง สา หรับการสื่อสารเพียงช่องเดียวหรือสายเพียงคู่เดียว ค่าใชจ้่ายจะถูกกว่า แบบขนานสา หรับการส่งระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะเมื่อเรามีระบบการสื่อสาร ทางโทรศัพท์ไวใ้ชง้านอยู่แล้ว ย่อมจะเป็นการประหยัดกว่าที่จะทา การ ติดต่อสื่อสารทีละ 8 ช่อง เพื่อการถ่ายโอนข้อมูลแบบขนานการถ่ายโอนข้อมูล แบบอนุกรมจะเริ่มโดยข้อมูลจากจุดส่งจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณอนุกรม
  • 15. เสียก่อน แล้วคอยทยอยส่งออกทีละบิตไปยังจุดรับ และที่จุดรับจะต้องมีกลไก ในการเปลี่ยนข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตัวพอดี เช่น บิตที่ 1 ลงที่บัสข้อมูลที่ส่งมาทีละบิต ให้เป็นสัญญาณแบบขนานซึ่งลงตัว พอดี เช่น บิตที่ 1 ลงที่บัสข้อมูลเสน้ที่ 1 ดังแสดงในรูป
  • 16. 4.2.2การสื่อ สาร : วิธีการถ่ายโอน2 การติดต่อแบบอนุกรมอาจแบ่งตามรูปแบบการรับ-ส่งได้ 3 แบบ 1. การสื่อ สารแบบทางเดียว (simplex: SPX) เป็นการสื่อสารแบบทาง เดียว มีทิศทางการไหลของสัญญาณเป็นทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ มีเพียง อุปกรณ์ตัวเดียวเท่านั้นที่ทา หน้าที่ส่งข้อมูล อุปกรณ์ตัวอื่นทา หน้าที่รับข้อมูล อย่างเดียว ตัวอย่างเช่น แป้นพิมพ์และจอภาพ หรือสวิตซ์และหลอดไฟ หรือ การออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ ที่ผู้รับและผู้ส่งไม่สามารถโต้ตอบกันได้
  • 17. 2. การสื่อสารแบบสองทางครึ่งอัตรา (half duplex: HDX) เป็นการ สื่อสารแบบสองทาง แต่ส่งได้ทีละทาง โดยแต่ละสถานีทา หน้าที่ได้ทงั้รับและส่ง ข้อมูล เมื่ออุปกรณ์ใดทา หน้าที่เป็นผู้ส่ง อุปกรณ์ตัวอื่นจะทา หน้าเป็นผ้รูับ ไม่ สามารถส่งข้อมูลสวนทางกันได้ ตัวอย่างของการส่งสัญญาณแบบนี้เช่น วิทยุ สื่อสารของหน่วยงานราชการ หรือตา รวจซึ่งต้องผลัดกันพูด เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ พูดต้องกดปุ่มแล้วจึงพูดได้ เมื่อพูดเสร็จเรามักจะได้ยินคา ว่า "เปลี่ยน" นั่นคือ เป็นการบอกให้ผู้รับทราบว่า ผู้ส่งต้องการเปลี่ยนสถานะจากผู้ส่งเป็นผ้รูับ และ ให้ผู้รับเปลี่ยนเป็นผู้ส่ง
  • 18. 3. การสื่อ สารแบบสองทางเต็มอตัรา (full duplex: FDX) เป็นการ สื่อสารแบบสองทาง แต่รับส่งได้พร้อม ๆ กัน หมายความว่า สถานีทั้ง 2 สถานี สามารถส่งและรับข้อมูลได้พร้อม ๆ กัน และตัวกลางที่ใชทั้้ง 2 ฝั่ง อาจ ใชร้่วมกันหรือแบ่งแยกเป็นสายสา หรับรับ กับสายสา หรับส่งก็ได้ การสื่อสาร แบบนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าแบบอื่น ๆ เพราะไม่เกิดการหน่วงเวลาในช่วงการ เปลี่ยนสถานะระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง
  • 19. 4.3 สื่อ กลางในการสื่อ สารขอ้มูล ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นส่วนที่ทา ให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่าง อุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และอุปกรณ์ที่ยอมให้ข่าวสารข้อมูลเดินทางผ่านจาก ผู้ส่งไปสู่ผู้รับ สื่อกลางที่ใชใ้นการสื่อสารข้อมูลมีอยู่หลายประเภท แต่ละ ประเภทมีความแตกต่างกันในด้านของปริมาณข้อมูลที่สื่อกลางนั้นๆ สามารถ นา ผ่านไปได้ในเวลาขณะใดขณะหนึ่ง การวดัปริมาณหรือความจุในการนา ข้อมูลหรือที่เรียกกันว่า แบนด์วิดธ์(bandwidth) มีหน่วยเป็น จา นวน บิต ข้อมูลต่อวินาที (bits per second : bps) ลักษณะของตัวกลาง ต่างๆ มีดังต่อไปนี้
  • 20. 4.3.1 สื่อ กลางประเภทมีสาย 1) สายคู่บิดเกลียว (Twisted – Pair Cable)สายคบูิ่ดเกลียวประกอบด้วย สายทองแดง ที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก หลังจากนั้นก็นา สายทั้งสองมาถักกัน เป็นเกลียวคู่ เช่น สายคู่บิดเกลียวที่ใชกั้บเครือข่ายทอ้งถิ่น (CAT5) การนา สายมาถักเป็นเกลียวเพื่อช่วยลดการแทรกแซงจากสัญญาณรบกวนสายคู่บิด เกลียวมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชีลด์และแบบมีชิลด์ สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชีลด์(Unshielded Twisted –Pair Cable :UTP
  • 21. สายคู่บิดเกลียวแบบมีชิลด์(Shielded Twisted –Pair Cable :STP) สา หรับสายSTP คล้ายกับสาย UTP แต่สาย STP จะมีชิลด์ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ทา ให้ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีกว่าสาย UTP ขอ้ดี 1) ราคาถูก 2) มีน้า หนักเบา 3) ง่ายต่อการใช้งาน ขอ้เสีย 1) มีความเร็วจา กัด 2) ใชกั้บระยะทางสนั้ๆ
  • 22. สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) สายมักทา ด้วยทองแดงอยู่แกนกลาง ซึ่งสายทองแดงจะถูกห่อหุ้มด้วย พลาสติก จากนนั้ก็จะมีชิลด์ห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน และหุ้มด้วยเปลือกนอกอีกชั้นหนึ่งป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่น แมเ่หล็กไฟฟ้าได้ดี สายโคแอกเชียลที่เห็นได้ทั่วๆไป คือ สายที่นา มาใชต้่อเข้า กับเสาอากาศทีวีที่ใชต้ามบ้าน
  • 23. ขอ้ดี 1) เชื่อมต่อได้ในระยะไกล 2) ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี ขอ้เสีย 1) มีราคาแพง 2) สายมีขนาดใหญ่ 3) ติดตงั้ยาก
  • 24. สายไฟเบอร์ออปติค(Optical Fiber) สายไฟเบอร์ออปติคหรือสายใยแก้วนา แสง เป็นสายที่มีลักษณะโปร่งแสง มีรูปทรงกระบอกในตัวขนาดประมาณเสน้ผมของมนุษย์แต่มีขนาดเล็ก สายไฟเบอร์ออปติค แบ่งเป็น 3 ชนิด 1) Multimode step –index fiber จะสะท้อนแบบหกัมุม 2) Multimode graded –index มีลักษณะคล้ายคลื่น 3) Single mode fiber เป็นแนวตรง
  • 25. ขอ้ดี 1) มีขนาดเล็กน้า หนักเบา 2) มีความปลอดภัยในการส่งข้อมูล 3) มีความทนทานและมีอายุการใชง้านยาวนาน ขอ้เสีย 1) เสน้ใยแก้วมีความเปราะบาง แตกหักง่าย 2) มีราคาสูง เมื่อเทียบกับสายเคเบิลทั่วไป 3) การติดตั้งจา เป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
  • 26. 4.3.2 สื่อ กลางประเภทไม่มีสาย สื่อที่ไม่ใชส้าย สื่อประเภทนี้เป็นระบบตัวกลางที่ส่งเป็นคลื่นวิทยุ เช่น อากาศที่เราใชส้่งคลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) รวมทงั้การสื่อสาร ผ่านดาวเทียม
  • 27. ดาวเทียม การใชด้าวเทียมสา หรับการส่งข้อมูลแบบดิจิตอลก็เหมือนกับการส่งแบบไมโครเวฟนั่นเอง ค่ะ ดาวเทียมนนั้จะตอ้งรับและส่งสัญญาณแบบสันตรง ดาวเทียมจะช่วยส่งสัญญาณใน ระยะไกลซึ่งทา ไดม้ากขึ้นในลักษณะของการข้ามภูมิภาค ข้ามทวีป ซึ่งสัญญาณไมโครเวฟ นั้นไม่สามารถทา ไดเ้นื่องจาก ดาวเทียมนั้นจะมีฟุตพร้นิ(Footprint) สา หรับฟุตพร้นิ (Footprint) ก็คือจา นวนพื้นที่บนผิวโลกที่ดาวเทียมหนึ่งครอบคลุมการส่งสัญญาณได้ นั่นเองค่ะ ในปัจจุบันนี้มีการใชสั้ญญาณดาวเทียมที่โคจรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ก็คือ • ดาวเทียมแบบจีอีโอ (Geostationary Earth Orbit : GEO) ดาวเทียมชนิดนี้ จะเหมาะ กับการส่งสัญญาณโทรทัศน์ • ดาวเทียมแบบโคจรระดบักลาง (Medium Earth Orbit : MEO) ดาวเทียมชนิดนี้ใน การโคจรจะโน้มเอียงไปยังสน้ศูนย์สูตรนั่นเอง • ดาวเทียมแบบระดับต ่า (Low Earth Orbit : LEO) ดาวเทียมชนิดนี้จา นวนมาก สามารถครอบคลุมการส่งสัญญาณบนโลกให้ทั่วถึงได้
  • 28. ขอ้ดี-ขอ้เสีย ของการส่งสญัญาณแบบดาวเทียม ขอ้ดี การส่งข้อมูลหรือการส่งสัญญาณแบบดาวเทียมจะสามรถรับ-ส่ง ข้อมูลได้เร็ว สะดวกต่อการติดต่อสื่อสาร และสามารถส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่ไกล ขอ้เสีย การส่งสัญญาณข้อมูลทางดาวเทียมก็คือระบบดาวเทียมนนั้ คล้ายกับ ไมโครเวฟ คือ อาจจะ ถูกกระทบโดยสภาพอากาศ ดังนนั้ มีการล่าชา้ของสัญญาณในการส่งข้อมูลแต่ ละช่วง ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูล จัดการกับปัญหาความล่าชา้ สัญญาณข้อมูลสามารถถูกรบกวนจากสัญญาณ ภาคพื้นอื่น ๆ ได้ อีก ในการ ส่งสัญญาณเนื่องจากระยะทางขึ้น-ลง ของสัญญาณ และที่สา คัญคือ มีราคาสูง ในการลงทุนทา ให้ค่าบริการสูงตามขึ้นมา
  • 29. คลื่นวิทยุ คลื่นวิทยุที่กระจายออกจากสายอากาศ จะเดินทางไปทุกทิศทาง ในทุกระนาบ การกระจายคลื่นนี้ มีลักษณะเป็นการขยายตัวของพลังงานออกเป็นทรงกลม ถ้าจะพิจารณาในส่วนของพื้นที่แทนหน้า คลื่นจะเห็นได้ว่ามันพุ่งออกไปเรื่อย ๆ จากจุดกา เนิด และสามารถเขียนแนวทิศทางเดินของหน้า คลื่นได้ด้วยเส้นตรงหรือเส้นรังสี เส้นรังสีที่ลากจากสายอากาศออกไปจะทา มุมกับระนาบแนวนอน มุมนี้เรียกว่า มุมแผ่คลื่น อาจมีค่าเป็นบวก ( มุมเงย ) หรือมีค่าเป็นลบ ( มุมกดลง ) ก็ได้ มุม ของการแผ่คลื่นนี้อาจนา มาใช้เป็นตัวกา หนดประเภทของคลื่นวิทยุได้ โดยทั่วไปคลื่นวิทยุอาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คลื่นดิน (GROUND WAVE ) กับคลื่นฟ้า (SKY WAVE ) พลังงานคลื่นวิทยุส่วนใหญ่จะเดินทางอยู่ใกล้ ๆ ผิวโลกหรือเรียกว่าคลื่นดิน ซึ่งคลื่นนี้จะเดินไป ตามส่วนโค้งของโลก คลื่นอีกส่วนที่ออกจากสายอากาศ ด้วยมุมแผ่คลื่นเป็นค่าบวก จะเดินทาง จากพื้นโลกพุ่งไปยังบรรยากาศจนถึงชนั้เพดานฟ้าและจะสะท้อนกลับลงมายังโลกนี้เรียกว่า คลื่น ฟ้า
  • 30. คลื่นวิทยุช่วงความถี่ต่าง ๆ อาจมีผลต่อร่างกายดังนี้ 1. คลื่นวิทยุที่มีความถี่น้อยกว่า 150 เมกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นมากกว่า 2 เมตร) คลื่นจะทะลุผ่านร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ เนื่องจากไม่มีการ ดูดกลืนพลังงานของคลื่นไว้ร่างกายจึงเปรียบเสมือนเป็นวตัถุโปร่งใสต่อคลื่นวิทยุ ช่วงนี้ 2. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 150 เมกะเฮิรตซ์ ถึง 1.2 จิกะเฮิรตซ์ (มีความ ยาวคลื่นระหว่าง 2.00 ถึง 0.25 เมตร) คลื่นวิทยุช่วงนี้สามารถทะลุผ่านเข้าไปใน ร่างกายได้ลึกประมาณ 2.5 ถึง 20 เซนติเมตร เนื้อเยื่อของอวยัวะภายในบริเวณนนั้ จะดูดกลืนพลังงานของคลื่นไวถึ้งร้อยละ 40 ของพลังงานที่ตกกระทบ ทา ให้เกิด ความร้อนขึ้นในเนื้อเยื่อ โดยที่ร่างกายไม่สามารถรู้สึกได้ ถ้าร่างกายไม่สามารถ กระจายความร้อนออกไปในอัตราเท่ากับที่รับเข้ามา อุณหภูมิหรือระดับความร้อน ของร่างกายจะสูงขึ้น เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกาย ความร้อนในร่างกายที่สูงกว่า ระดับปกติอาจก่อให้เกิดผลหลายประการ เช่น
  • 31. - เลือดจะแข็งตัวชา้กว่าปกติ ผลอันนี้ถ้ามีการเสียเลือดเกิดข้นึ อาการจะมีความรุนแรง - การหมุนเวียนของเลือดเร็วข้นึ - ฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงจะมีความจุออกซิเจนลดลง ทา ให้เลือดมีออกซิเจนไม่ เพียงพอเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ เมื่อเนื้อเยื่อขาดออกซิเจนจะทา ให้เซลล์สมอง ระบบ ประสาทส่วนกลางและอวยัวะภายในขาดออกซิเจนด้วย อาจทา ให้มีการกระตุกของ กล้ามเนื้อจนถึงชัก ถ้าสภาพเช่นนี้ดา เนินต่อไป ผลที่ตามมาก็คือ ไม่รู้สึกตัวและอาจ เสียชีวิตได้ 3. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 1-3 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นระหว่าง 30 ถึง 10 เซนติเมตร) ทั้งผิวหนังและเนื้อเยื่อลึกลงไปดูดกลืนพลังงานได้ราวร้อยละ 20 ถึง ร้อยละ 100 ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อเยื่อ คลื่นวิทยุเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อนัยน์ตา โดยเฉพาะเลนส์ตาจะมีความไวเป็นพิเศษต่อคลื่นวิทยุความถี่ประมาณ 3 จกิะเฮิรตซ์ เพราะเลนส์ตามีความแตกต่างจากอวยัวะอื่นตรงที่ไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและไมมี่กลไก ซ่อมเซลล์
  • 32. ดังนั้นเมื่อนัยน์ตาได้รับคลื่นอย่างต่อเนื่องจะทา ให้ของเหลวภายในตามี อุณหภูมิสูงขึ้น โดยไม่สามารถถ่ายโอนความร้อนเพื่อให้อุณหภูมิลดลงได้ เหมือนเนื้อเยื่อของอวยัวะอื่น ๆ จึงจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงตามมา พบว่าถ้าอุณหภูมิของตาสูงขึ้นเซลล์เลนส์ตาบางส่วนอาจถูกทา ลายอย่างชา้ ๆ ทา ให้ความโปร่งแสงของเลนส์ตาลดลง ตาจะขุ่นลงเรื่อย ๆ ในที่สุดจะเกิดเป็น ต้อกระจก สายตาผิดปกติ และสุดทา้ยอาจมองไมเ่ห็น 4. คลื่นวิทยุที่มีความถี่ระหว่าง 3-10 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่น ระหว่าง 10 ถึง 3 เซนติเมตร) ผิวหนังชนั้บนสามารถดูดกลืนพลังงานมากที่สุด เราจะรู้สึกว่าเหมือนกับถูกแสงอาทิตย์ 5. คลื่นวิทยุที่มีความถี่สูงกว่า 10 จิกะเฮิรตซ์ (มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 3 เซนติเมตร) ผิวหนังจะสะทอ้นให้กลับออกไป โดยมีการดูดกลืนพลังงาน เล็กน้อย
  • 33. ขอ้ดี: ติดตั้งเพื่อเชื่อมโยงการติดต่อได้สะดวก เพียงต่ออุปกรณ์ เครื่องรับ-ส่งวิทยุกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แล้วตรวจสอบความเรียบร้อยของ ระบบก็สามารถจะสื่อสารข้อมูลทั้งภายในและภายนอกอาคารได้ เนื่องจากใน การสื่อสารด้วยระบบวิทยุจะมีระบบความพร้อมก่อนทา การรับส่งข้อมูล จึงไม่ ค่อยมีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน ขอ้เสีย : มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลตา่ นอกจากนี้ยังต้องทา การขอ อนุญาตใชค้วามถี่วิทยุกับกรมไปรษณีย์โทรเลขเสียก่อน สา หรับค่าใชจ้่ายใน เรื่องของอุปกรณ์สื่อสารนั้นค่อนข้างจะมีราคาแพงกว่าการสื่อสารด้วย สายสัญญาณ
  • 34. ไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณคลื่นความถี่ประมาณ 100 เมกะเฮิรตซ์ เดินทางเป็นเสน้ตรง ทา ให้ สามารถปรับทิศทางการส่งไดแ้น่นอน การบีบสัญญาณส่งใหเ้ป็นลา แคบ ๆ จะทา ใหมี้ พลังงานสูง สัญญาณรบกวนตา่ การปรับจานรับและจานส่งสัญญาณใหต้รงกันพอดีจะทา ใหส้ามารถส่งสัญญาณไดห้ลายความถี่ไปในทิศทางเดียวกันได้โดยไม่รบกวนกัน ขอ้เสียคือ คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถเดินผ่านวตัถุที่กีดขวางได้สัญญาณอาจเกิดการหัก เหในระหว่างเดินทางทา ใหม้าถึงจาน รับสัญญาณชา้กว่าปกตแิละสัญญาณบางส่วนอาจสูญ หายได้เรียกว่าเกิด “multipath fading” จากสภาพภูมิอากาศ และความถี่สัญญาณ คลื่นความถี่ตั้งแต่ 8 กิกะเฮิรตซ์ข้นึไป จะถูกดูดซึมโดยพื้นน้า หรือเมื่อผ่านพายุฝนเพราะมี ความยาวคลื่นเพียงไม่กี่เซนติเมตร การตั้งสถานีรับ-ส่งสัญญาณไมโครเวฟ (relay station) สามารถตงั้ใหอ้ย่หู่างกันไดถึ้ง 30-50 กิโลเมตร นิยมนา มาใชใ้นธุรกิจ งาน ใหบ้ริการเช่น โทรศัพท์ทางไกล โทรศัพท์มือถือ การแพร่ภาพโทรทัศน์ เป็นตน้ เพื่อ หลีกเลี่ยงการวางสายเคเบิล ระบบไมโครเวฟจึงมีราคาถูกกว่าระบบอื่น
  • 35. คลื่น อินฟราเรดและคลื่น สนั้ (Infrared and millimeter wave) นิยมใชส้า หรับการสื่อสารระยะใกล้ คุณสมบัติของคลื่นคือ เดินทางเป็น แนวตรง ราคาถูก และง่ายต่อการผลิตใชง้านแต่ไมส่ามารถเดินทางผ่านวตัถุ หรือสิ่งกีดขวางได้ เช่น รีโมทสา หรับควบคุมวิทยุ วิดีโอโทรทัศน์ เครื่องเล่น บังคับต่าง ๆ เป็นต้น สามารถใชค้ลื่นอินฟราเรดเพื่อการสื่อสารในระบบ เครือข่ายทอ้งถิ่น (LAN) ได้ดี เพราะคุณสมบัติของคลื่นที่ไม่สามารถเดินทาง ผ่านสิ่งกีดขวางได้ การใชร้ะบบเครือข่ายในห้องทา งานที่มีอุปกรณ์ใชค้ลื่น อินฟราเรดในการรับ-ส่งสัญญาณแบบหลาย ทิศทางติดตงั้อยู่ ทา ให้สะดวกต่อ การใชเ้ครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาซึ่งใชอุ้ปกรณ์รับ-ส่งด้วยคลื่นอินฟราเรด สามารถติดต่อกับระบบเครือข่ายของสา นักงานได้ และยังนา คุณสมบัติของ คลื่นอินฟราเรดไปใชใ้นการจัดประชุม ทุกคนสามารถสื่อสารข้อมูลด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ ผ่านอุปกรณ์สื่อสารคลื่นอินฟราเรดโดยไม่ต้องเสียเวลาในการ วาง สายเชื่อมต่อระบบเครือข่ายให้ห้องประชุม
  • 36. สญัญาณแสงเลเซอร์ (Laser beams) เป็นระบบการสื่อสารแบบทางเดียว ผู้รับและผู้ส่งสัญญาณข้อมูลจึงต้อง มีอุปกรณ์ทงั้ในการรับและส่งข้อมูลด้วย จึงจะสามารถสื่อสารได้สองทาง การ ส่งข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์มีราคาถูกและช่วงความกวา้งของช่องสัญญาณสูงมาก เมื่อเทียบกับการใชสั้ญญาณไมโครเวฟ ลา แสงเลเซอร์มีขนาดเสน้ผ่าศูนย์กลาง เพียง 1 มิลลิเมตร อุปกรณ์รับสัญญาณมีขนาดโตกว่าเพียงเล็กน้อย การ ติดตงั้อุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณ ต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียด ข้อเสียของ ลา แสงเลเซอร์คือ ไมส่ามารถส่องผ่านสายฝนหรือหมอกหนา ๆ ได้รวมทงั้คลื่น ความร้อนจากแสงแดดอาจทา ให้แสงเลเซอร์เกิดการหักเหได้ เช่นการส่ง สัญญาณแสงเลเซอร์ระหว่างอาคาร เป็นต้น
  • 37. 4.4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ร่วมกันทา งาน สร้างสรรสังคมเพื่อให้ ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น จากการดา เนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้านครอบครัว การทา งานตลอดจนสังคมและการเมือง ทา ให้ต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เมื่อ มนุษย์มีความจา เป็นที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พัฒนาการ ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงต้อง ตอบสนองเพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ แรกเริ่มมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ รวมศูนย์ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ หรือ เมนเฟรม โดยให้ผ้ใูช้งานใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรียบเสมือน เป็น สถานีปลายทาง ที่เรียกใช้ทรัพยากร การคา นวณจากศูนย์คอมพิวเตอร์และให้คอมพิวเตอร์ ตอบสนองต่อ การทา งานนั้น ต่อมามีการพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ที่ทา ให้สะดวกต่อการใช้งานส่วน บุคคล จนมีการเรียกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พีซี (Personal Competer:PC) การใช้งาน คอมพิวเตอร์จึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใช้งานง่ายราคา ไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งานกันมาก บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างๆ ก็ปรับปรุง และพัฒนาเทคโนโลยี ให้ตอบสนองความต้องการที่จะทา งานร่วมกันเป็นกลุ่มในรูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงเป็น วิธีการหนึ่ง และกา ลังได้รับความนิยมสูงมาก เพราะทา ให้ตอบสนองตรงความต้องการที่จะ ติดต่อสื่อสาร ข้อมูลระหว่างกัน
  • 38. เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีบทบาทที่สา คัญต่อหน่วยงานต่างๆ ดังนี้ 1. ทา ให้เกิดการทา งานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทา งานพร้อมกัน 2. ให้สามารถใชข้้อมูลต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งทา ให้องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น 3. ทา ให้สามารถใชท้รัพยากรได้คุ้มค่า เช่น ใชเ้ครื่องประมวลผลร่วมกัน แบ่งกันใชแ้ฟ้มข้อมูล ใช้ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่มีราคาแพงร่วมกัน 4. ทา ให้ลดต้นทุน เพราะการลงทุนสามารถลงทุนให้เหมาะสมกับหน่วยงาน
  • 39. 4.5 โพรโทคอล โปรโตคอล ( Protocol) หมายถึง ข้อกา หนดหรือข้อตกลงในการสื่อสาร ระหว่างคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดี ข้อเสีย และใชใ้นโอกาสหรือสถานการณ์แตกต่างกันไป คล้ายๆ กับภาษามนุษย์ ที่มีทั้งภาษาไทย จีน ฝรั่ง หรือภาษาใบ้ ภาษามือ หรือจะใชวิ้ธียักคิ้วหลิ่วตาเพื่อ ส่งสัญญาณก็จัดเป็นภาษาได้เหมือนกัน ซึ่งจะสื่อสารกันรู้เรื่องได้จะต้องใชภ้าษา เดียวกัน ในบางกรณีถ้าคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องสื่อสารกันคนละภาษากันและ ต้องการนา มาเชื่อมต่อกัน จะต้องมีตัวกลางในการแปลงโปรโตคอลกลับไป กลับมาซึ่งนิยมเรียกว่า Gateway ถ้าเทียบกับภาษามนุษย์ก็คือ ล่าม ซึ่งมีอยู่ทั้ง ที่เป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์แยกต่างหากสา หรับทา หน้าที่นี้โดยเฉพาะ หรือาจะเป็น โปรแกรมหรือไดร์ฟเวอร์ที่สามารถติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นๆได้เลย
  • 40. OSI 7-Layer Reference Model (OSI Model) โดยโครงสรา้งการสื่อสารข้อมูลที่ กา หนดขึ้นมีคุณสมบัติดังนี้ คือ ในแต่ละชั้นของแบบการสื่อสารข้อมูลเราจะเรียกว่า Layer หรอื "ชนั้" ของแบบการสื่อสารข้อมูล ประกอบดว้ยชั้นย่อยๆ 7 ชนั้ ในแต่ละชนั้หรือแต่ละ Layer จะเสมือนเชื่อมต่อเพื่อส่งข้อมูลอยู่กับชั้นเดียวกันในคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่ง แต่ใน การเชื่อมกันจริงๆ นั้นจะเป็นเพียงการเชื่อมในระดับ Layer1 ซึ่งเป็นชั้นล่างสุดเท่านั้น ที่มี การรับส่งข้อมูลผ่านสายส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งสองโดยที่ Layer อื่นๆ ไม่ได้ เชื่อมต่อกันจริงๆ เพียงแต่ทา งานเสมือนกับว่ามีการติดต่อรับส่งข้อมูลกับชนั้เดียวกันของ คอมพิวเตอร์อีกดา้นหนึ่ง
  • 41. คุณสมบัติข้อที่สองของ OSI Model คือ แต่ละชั้นที่รับส่งข้อมูลจะมีการ ติดต่อรับส่งข้อมูลกับชั้นที่อยู่ติดกับตัวเองเท่านั้น จะติดต่อรับส่งข้อมูลข้าม กระโดดไปชั้นอื่นๆ ในคอมพิวเตอร์ของตัวเองไม่ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ด้านส่ง ข้อมูลออกไปให้ผ้รูับใน Layer ที่ 7 ซึ่งอยู่ที่ด้านบนสุดของด้านส่งข้อมูลจะมี การเชื่อมต่อกับ Layer 6 เท่านนั้ ในส่วน Layer 6 จะมีการเชื่อมต่อรับส่ง ข้อมูลกับ Layer 5 และ Layer 7 เท่านนั้ Layer 7 จะไม่มีการกระโดดไป Layer 4 หรือ 5 ได้ จะมีการส่งข้อมูลไล่ลา ดับลงมา จากบนลงล่าง จนถึง Layer 1 แล้วเชื่อมต่อกับ Layer 1 ในด้านการรับข้อมูล ไล่ขึ้นไปจนถึง Layer 7
  • 42. ในทางปฏิบัติ OSI Model ได้แบ่งลักษณะการทา งานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้แก่ 4 ชั้นสื่อสารด้านบน คือ Layer ที่ 7, 6, 5 และ 4 ทา หน้าที่เชื่อมต่อรับส่งข้อมูลระหว่างผู้ใชกั้บโปรแกรมประยุกต์ เพื่อให้รับส่งข้อมูล กับฮาร์ดแวร์ที่อยู่ชั้นล่างได้อย่างถูกต้อง เรียกว่า Application-oriented layers ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับซอฟท์แวร์เป็นหลัก โดยใน 4 ชนั้บนมักจะเป็น ซอฟท์แวร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งในโปรแกรมเดียว กลุ่มที่สอง จะเป็นชั้นล่าง ได้แก่ Layer ที่ 3, 2 และ 1 ทา หน้าที่เกี่ยวกับ การรับส่งข้อมูลผ่านสายส่ง และควบคุมการรับส่งข้อมูล ตรวจสอบ ข้อผิดพลาด รวมทั้งเลือกเสน้ทางในการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ เป็นหลักเรียกว่า Network-dependent layers
  • 43. ซึ่งในส่วนของ 3 ชนั้ล่างสุด หรือ Layer ที่ 1, 2 และ 3 นั้น มักจะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ทา ใหส้ามารถแยกแต่ละชนั้ออกจากกันได้ง่าย และผลิตภัณฑ์ของต่างบริษัทกันในแต่ละชนั้ไดอ้ย่างไม่มีปัญหา
  • 44. OSI Model แบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นจะมีชื่อ เรียกและหน้าที่การทา งาน ดงันี้ Layer ที่ 7 Application Layer Application Layer เป็นชั้นที่อยู่บนสุดของขบวนการับส่งข้อมูล ทา หน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้โดยจะรับคา สั่งต่างๆ จากผู้ใชส้่งให้คอมพิวเตอร์แปล ความหมาย และทา งานตามคา สั่งที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์เช่น การ แปลความหมายของการกดปุ่มบนเมาส์ให้เป็นคา สั่งในการก็อปปีไฟล์ หรือ ดึง ข้อมูลมาแสดงบนจอภาพ เป็นต้น ซึ่งการแปลคา สั่งจากผู้ใชส้่งให้กับ คอมพิวเตอร์รับไปทา งานนี้ จะต้องแปลออกมาถูกต้องตามกฏ ( Syntax) ที่ใช้ ในระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์นนั้ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการก็อปปี้ไฟล์ เกิดขึ้นในระบบ คา สั่งที่ใชจ้ะต้องสร้างไฟล์ได้ถูกต้อง มีชื่อไฟล์ยาวไมเ่กินจา นวน ที่ระบบปฏิบัติการนั้นกา หนดไว้รูปแบบของชื่อไฟล์ตรงตามข้อกา หนด เป็นต้น
  • 45. Layer ที่ 6 Presentation Layer Presentation Layer เป็นชั้นที่ทา หน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้าน หนึ่งในระดับชั้นเดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรมประยุกต์จะมี ขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร ข้อมูลที่รับส่งกันใน Layer ที่6 จะอยู่ในรูปแบบ ของข้อมูลชนั้สูงมีกฏ ( Syntax) บังคับแน่นอน เช่น ในการกก็อปปี้ไฟล์จะมี ขั้นตอนย่อยประกอบกัน คือสร้างไฟล์ที่กา หนดขึ้นมาเสียก่อน จากนนั้จึงเปิด ไฟล์ แล้วทา การรับข้อมูลจากปลายทางลงมาเก็บลงในไฟล์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ โดยเนื้อหาของข้อมูลที่ทา การรับส่งระหว่างกัน ก็คือคา สั่งของขนั้ตอนย่อยๆ ข้างต้นนั่นเอง นอกจากนี้ Layer ที่ 6 ยังทา หน้าที่แปลคา สั่งที่ได้รับจาก Layer ที่ 7 ให้เป็นคา สั่งระดับปฏิบัติการส่งให้ Layer ที่ 5 ต่อไป
  • 46. Layer ที่ 5 Session Layer Session Layer ทา หน้าที่ควบคุม "จังหวะ" ในการรับส่งข้อมูลของ คอมพิวเตอร์ทั้งสองด้าน ที่รับส่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันให้มีความสอดคล้องกัน ( Synchronization) และกา หนดวิธีที่ใชใ้นการรับส่งข้อมูล เช่น อาจจะเป็นใน การสลับกันส่ง ( Half Duplex) หรือการรับส่งข้อมูลพร้อมกันทงั้สองด้าน ( Full Duplex) ข้อมูลที่รับส่งใน Layer ที่ 5 จะอยู่ในรูป dialog หรอืประโยค สนทนาโต้ตอบกันระหว่างด้านรับและด้านส่งข้อมูล เช่น เมื่อได้รับข้อมูลส่วน แรกจากผ้สู่ง ก็จะตอบโต้กลับให้ผ้สู่งได้รู้ว่าได้รับข้อมูลส่วนแรกแล้ว พร้อมที่จะ รับข้อมูลส่วนถัดไป ซึ่งคล้ายกับการสนนาโต้ตอบกันระหว่างผู้รับและผ้สู่ง นั่นเอง
  • 47. Layer ที่ 4 Transport Layer Transport Layer ทา หน้าที่เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลระดับสูงของ Layer ที่ 5 มาเป็นข้อมูลที่รับส่งในระดับฮาร์ดแวร์ เช่น แปลงค่าหรือชื่อของเครื่อง คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายให้เป็น network address พร้อมทงั้เป็นชนั้ที่ควบคุม การรับส่งข้อมูลจากปลายด้านส่งถึงปลายด้านรับข้อมูล ให้ข้อมูลมีการไหลลื่น ตลอดเสน้ทางตามจังหวะที่ควบคุมจาก Layer ที่ 5 โดยใน Layer ที่ 4 นี้ จะเป็น รอยต่อระหว่างการรับส่งข้อมูลซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์การรับส่งข้อมูลของ ระดับสูงจะถูกแยกจากฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลที่ Layer ที่4 และจะไมมี่ส่วนใด
  • 48. ผูกติดกับฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลในระดับล่าง ดังนั้นฮาร์ดแวร์และ ซอฟท์แวร์ที่ใชค้วบคุมการรับส่งข้อมูลในระดับล่างลงไปจาก Layer ที่ 4 จึง สามารถสับเปลี่ยน และใชข้้ามไปมากับซอฟท์แวร์รับส่งข้อมูลในระดับที่อยู่ ข้างบน (ตงั้แต่ Layer ที่ 4 ขึ้นไปถึง Layer ที่ 7) ได้ง่าย หน้าที่อีกประการ หนึ่งของ Layer ที่ 4 คือ การควบคุมคุณภาพการรับส่งข้อมูลให้มีมาตรฐานใน ระดับที่ตกลงกันทั้งสองฝ่าย และการตัดข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ ให้เหมาะ กับลักษณะการทา งานของฮาร์ดแวร์ที่ใชใ้นเครือข่าย เช่น หาก Layer ที่ 5 ต้องการส่งข้อมูลที่มีความยาวเกินกว่าที่ระบบเครือข่ายที่จะส่งให้ Layer ที่ 4 ก็ จะทา หน้าที่ตัดข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ แล้วส่งไปให้ผู้รับ ข้อมูลที่ได้รับ ปลายทางก็จะถูกนา มาต่อกันที่ Layer ที่ 4 ของด้านผ้รูับ และส่งไปให้ Layer ที่ 5 ต่อไป
  • 49. Layer ที่ 3 Network Layer Network Layer ทา หน้าที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้านรับ และด้านส่งเข้า หากันผ่านระบบเครือข่าย พร้อมทั้งเลือกหรือกา หนดเสน้ทางที่จะใชใ้นการ รับส่งข้อมูลระหว่างกัน และส่งผ่านข้อมูลที่ได้รับไปยังอุปกรณ์ในเครือข่ายต่าง ๆ จนกระทั่งถึงปลายทาง ใน Layer ที่ 3 ข้อมูลที่รับส่งกันจะอยู่ในรูปแบบของ กลุ่มข้อมูลที่เรียกว่า Packet หรือ Frame ข้อมูล Layer ที่ 4, 5, 6 และ 7 มองเห็นเป็นคา สั่งและ Dialog ต่าง ๆ นนั้ จะถูกแปลงและผนึกรวมอยู่ในรูป ของ Packet หรือ Frame ที่มีเพียงแอดเดรสของผู้รับ , ผ้สู่ง , ลา ดับการรับส่ง และส่วนของข้อมูลเท่านั้น หน้าที่อีกประการหนึ่ง คือ การทา Call Setup หรือ เรียกติดต่อคอมพิวเตอร์ปลายทางก่อนการรับส่งข้อมูล และการทา Call Cleaning หรือการยกเลิกการติดต่อคอมพิวเตอร์เมื่อการรับส่งข้อมูลจบลง แล้ว ในกรณีที่มีการรับส่งข้อมูลนั้นต้องมีการติดต่อกันก่อ
  • 50. Layer ที่ 2 Data link Layer Data link Layer เป็นชั้นที่ทา หน้าที่เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลในระดับ ฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อมีการสั่งให้รับข้อมูลจากใน Layer ที่ 3 ลงมา Layer ที่ 2 จะทา หน้าที่แปลคา สั่งนั้นให้เป็นคา สั่งควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูล ทา การ ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูลของระดับฮาร์ดแวร์ และทา การแก้ ข้อผิดพลาดที่ได้ตรวจพบ ข้อมูลที่อยู่ใน Layer ที่ 2 จะอยู่ในรูปของ Frame เช่น ถ้าฮาร์ดแวร์ที่ใชเ้ป็น Ethernet LAN ข้อมูลจะมีรูปร่างของ Frame ตามที่ ระบุไวใ้นมาตรฐานของ Ethernet หากว่าฮาร์ดแวร์ที่ใชรั้บส่งข้อมูลเป็นชนิดอื่น รูปร่างของ Frame ก็จะเปลี่ยนไปตามมาตรฐานนั่นเอง
  • 51. Layer ที่ 1 Physical Layer Physical Layer เป็นชั้นล่างสุด และเป็นชั้นเดียวที่มีการเชื่อมต่อทาง กายภาพระหว่างคอมพิวเตอร์สองระบบที่ทา การรับส่งข้อมูล ใน Layer ที่ 1 นี้ จะมีการกา หนดคุณสมบัติทางกายภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใชเ้ชื่อมต่อระหว่าง คอมพิวเตอร์ทั้งสองระบบ เช่น สายที่ใชรั้บส่งข้อมูลจะเป็นแบบไหน ข้อต่อที่ใช้ ในการรับส่งข้อมูลมีมาตรฐานอย่างไร ความเร็วในการรับส่งข้อมูลเท่าใด สัญญาณที่ใชใ้นการรับส่งข้อมูลมีรูปร่างอย่างไร ข้อมูลใน Layer ที่ 1 นี้จะ มองเห็นเป็นการรับส่งข้อมูลทีละบิตเรียงต่อไป
  • 52. 4.6 อุปกรณ์เครือข่าย คงมีหลายๆท่านที่คิดจะติดตั้งระบบเครือข่ายเพื่อใชง้านภายในบ้านหรอื ในสา นักงานของตัวเอง เพราะต้องการแชร์ ทรัพยากรที่มีอยู่เช่นเครื่องพิมพ์ ข้อมูล เครื่องสแกนและอื่นๆ ให้เครื่องคอมฯหลายๆเครื่องใชร้่วมกัน อีกทงั้ ต้องการความสะดวกในการติดต่อสื่อสารภายในองค์กรทางอีเมล์ ซึ่งท่านก็ลอง คิดดูว่าถ้าท่านทา งานอยู่ชั้นสี่แล้วเครื่องพิมพ์อยู่ชั้นสามถ้าไม่มีระบบเครือข่าย จะทา ยังไงถ้าต้องพิมพ์งาน ก็คงต้อง Save งานใส่แผ่นแล้วก็เดินลงไปพิมพ์ที่ ชนั้สาม เป็นยังงัยครับ แค่คิดก็เหนื่อยใช่มยั้ครับ แล้วถ้าอยากมีระบบเครือข่าย จะทา ยังงัย ? มีสองทางเลือกครับ ทางเลือกแรก คือ “จา้งเขาทา ” งา่ยครับขอ แต่มีเงินเป็นพอก็ทา ได้ และอีกทางคือ “ทา เอง” ซึ่งก็ต้องลงแรง
  • 53. ศึกษาหาข้อมูลทา การบ้านกันเหนื่อยหน่อยละครับ แต่สิ่งที่ไดก้ลับมาก็คือความรู้ได้ พัฒนาความสามารถ และยังไดค้วามภูมิใจ แต่ก็อย่าลืมเงื่อนไขเรื่องเวลานะครับ เพราะถ้า ตอ้งการใชง้านอย่างเร่งด่วน ก็ควรว่าจา้งผ้รูับเหมาวางระบบ มาจัดการใหดี้กว่า แต่เรื่อง การศึกษาหาความรูก้็ไม่ควรทิ้ง เพราะระบบเมื่อติดตั้งเสร็จใช่ว่าจะจบเลย ยังตอ้งการ การ ดูแลรักษาเพื่อใหส้ามารถทา งานรับใชท้่าน โดยไม่มีปัญหา และสมมุตินะครับสมมุติ ถ้า ท่านจะทา เองแล้วจะทา ยังไง? ไม่ตอ้งกังวลครับ ทุกปัญหามีคา ตอบ เมื่อท่านคิดจะทา เอง ก็ตอ้งหาข้อมูลกันก่อน เรื่องแรกที่จะพูดถึงเรามาพูดถึงอุปกรณ์เครือข่ายกัน สา หรับ อุปกรณ์เครือข่ายนนั้ก็จะมีอย่หูลายๆ แบบไม่ว่าจะเป็น Lan Card, Hub, Switch, Firewalls & Filters, Internet Gateway Routers & LAN Modems, Network Management, Print Server หรืออุปกรณ์ Wireless การเลือกใชอุ้ปกรณ์ในระบบ เครือข่ายพวกนี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มีหลายคนบ่นกันมากว่าอยากติดตงั้ระบบเครือข่าย ไวใ้ชแ้ต่ติดที่ตรงเลือกอุปกรณ์ในการใชง้านไม่ถูก ไม่ยากครับขั้นแรกท่านผ้อู่านจะตอ้ง ทราบถึงคุณสมบัติของอุปกรณ์แต่ชนิดก่อน
  • 54. การ์ดแลน เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่ในการรับส่งข้อมูลจากเครื่องคอมฯเครื่องหนึ่ง ไปสู่อีกเครื่องโดยผ่านสายแลน การ์ดแลนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถต่อพ่วงกับ พอร์ตแทบทุกชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ISA, PCI, USB, Parallel, PCMCIA และ Compact Flash ซึ่งที่เห็นใชกั้นมากที่สุดก็จะเป็น แบบ PCI เพราะถ้าเทียบราคากับประสิทธิภาพแล้วถือว่าค่อนข้างถูก มีหลาย ราคา ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทจนถึงหลักพัน ส่วนแบบ USB, Parallel, PCMCIA ส่วนใหญ่จะเห็นใชกั้นมากกับเครื่องโน๊ตบุ๊ค เพราะก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่าการ ติดอุปกรณ์ลงในพอร์ตภายใน ของเครื่องโน๊ตบุ๊คเป็นเรื่องยาก ดังนนั้การต่อ อุปกรณ์ต่อพ่วงจึงต้องอาศัยพอร์ตภายนอกดังที่กล่าวมา
  • 55. ฮบั เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่เสมือนกับชุมทางข้อมูล มีหน้าที่เป็นตัวกลาง คอยส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่าย ซึ่งลักษณะการทา งาน ให้ลองนึกถึง ภาพการออกอากาศโทรทัศน์ ที่เมื่อมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง กา ลังส่งข้อมูล เครื่องที่อยู่บนเครือข่ายทุกเครื่องจะได้รับข้อมูลเหมือนๆ กันทุก เครื่อง ซึ่งเมื่อแต่ละเครื่องได้รับข้อมูลก็จะดูว่า เป็นข้อมูลของตัวเองไหม ถ้าใช่ก็ จะรับเข้ามาประมวลผล ถ้าไม่ใช่ก็ไม่รับเข้ามา ซึ่งจากากรทา งานในลักษณะนี้ ใน เครือข่ายที่ใชฮั้บเป็นตัวกระจ่ายสัญญาณ จะสามารถส่งข้อมูลสู่เครือข่ายได้ทีละ เครื่อง ถ้ามีคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งกา ลังส่งข้อมูล เครื่องอื่นๆ ก็ต้อง รอให้การส่งข้อมูลเสร็จสิ้นเสียก่อน เมื่อช่องสัญญาณว่าง จึงจะสามารถส่ง ข้อมูลได้
  • 56. สวิตซ์ สวิตซ์จะทา หน้าที่คล้ายฮับ แต่จะเก่งกว่าตรงที่เมื่อมีการร้องขอโดย เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเพื่อส่งข้อมูล สวิตซ์ก็จะสร้างวงจรเสมือนขึ้นมา ให้เครื่องสองเครื่องนี้ส่งข้อมูลถึงกัน ซึ่งช่องสัญญาณกลางก็จะว่างไวร้องรับ การร้องขอส่งข้อมูลจากเครื่องอื่นๆ ต่อไป ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ ทา งานของสายโทรศัพท์ ที่หลายๆ คู่สายสามารถพูดคุยพร้อมๆ กันได้ จาก คุณลักษณะนี้ทา ให้สามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าฮับ เพราะแทบจะไมมี่การรอใช้ ช่องสัญญาณเกิดขึ้นในเครือข่ายที่ใชส้วิตซ์เป็นตัวกระจายสัญญาณ และแน่นอน ราคาของสวิตซ์ย่อมแพงกว่าฮับ
  • 57. โมเด็ม เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่แปลงสัญญาณให้สามารถส่งผ่านทาง สายโทรศัพท์ สายเช่า และสายไฟเบอร์ออฟติก แล้วแต่ประเภทของโมเด็ม ทา ให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกล ยกตัวอย่างเช่น การที่คุณใชโ้มเด็มหมุน โทรศัพท์หาไอเอสพีที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร เพื่อจะเข้าสู่ระบบ อินเตอร์เน็ต
  • 58. เราเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทา หน้าที่เลือกเสน้ทางในการส่งผ่านข้อมูล ทา หน้าที่ใน การหาเสน้ทางที่ดีที่สุดในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการล้มเหลวในการส่ง ข้อมูล และเราเตอร์ยังสามารถช่วยเชื่อมเครือข่ายสองเครือข่าย หรือมากกว่า เข้าด้วยกัน เพราะเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถทา งานบนเครือข่ายอย่างน้อย สองเครือข่ายขึ้นไป ถ้าจะพูดถึงราคา พูดแบบน่ารักๆ ก็ต้องพูดว่า โห...แพงจัง เลย
  • 59. สายแลน เมื่อมีวงแลนก็ตอ้งมีสายแลน สายแลนมีหลายแบบไม่ว่าจะเป็นสายโคแอคเชียน ยู ทีพี เอสทีพี และ ไฟเบอร์ออปติก หรือแม้กระทั่งแบบที่ไม่ใชส้าย (Wireless LAN ) และ แบบที่เห็นไดบ้่อยที่สุดในปัจจุบันที่นิยมใชกั้น ก็ไดแ้ก่สายแบบ ยูทีพี ที่ใชกั้บหัวต่อแบบ RJ 45 ซึ่งจะคล้ายๆกับหัวต่อของสายโทรศัพท์ ( ของโทรศัพท์เป็นแบบ RJ11 ) ซึ่งสาย ประเภทนี้จะไม่มีการ ชีลด์ป้องกันสัญญาณรบกวน แต่จะใชวิ้ธีตเีกลียวสายเป็นคู่ๆ 4 คู่ ป้องกันสัญญาณรบกวน อีกแบบก็คือการใชวิ้ธีส่งสัญญาณดว้ยคลื่นวิทยุย่านความถี่สูง บางแบบก็ใชอิ้นฟราเรด จุดเด่นที่เห็นไดชั้ดคือเมื่อไม่ตอ้งเดินสายทา ใหส้ามารถติดตงั้ได้ ง่าย ย้ายก็สะดวก แต่ข้อดอ้ยก็คือปัญหาจากการถูกรบกวน และสัญญาณถูกบัง แถม ความเร็วในการส่งข้อมูลยังดอ้ยกว่าระบบแลนแบบใชส้ายอยู่ราคาก็สูงกว่า และที่กา ลังมา แรงในขณะนี้คือเทคโนโลยีแบบ Ethernet over VDSL น่าสนใจกันข้นึมาบ้างแล้วไหม ครับ ถ้าสนใจเราก็ไปลุยกันต่อเลยครับ ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่ใชๆ้กันก็มีอยู่2 แบบ คือ แบบระยะใกล้ และแบบระยะไกล เอาเป็นว่าเรามาเริ่มตน้การเลือกใชอุ้ปกรณ์ ระบบเครือข่ายแบบระยะใกล้
  • 60. 4.7 รูปร่างเครือข่าย โทโพโลยีหมายถึง รูปแบบการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกัน ให้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งในการกล่าวถึง โทโพโลยีจะกล่าวถึงใน 2 ลักษณะ คือ โทโพโลยีทางตรรกะ (logical topology) และโทโพโลยีทางกายภาพ (Physical Topology) โทโพโลยีทางตรรกะ แสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ต่างๆของ เครือข่ายเป็นแผนภาพ ส่วนโทโพโลยีทางกายภาพ หมายถึงการเชื่อมโยงทาง กายภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงทาง วงจรอิเล็กทรอนิกส์ โทโพโลยีทั่วไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มักจะหมายถึง โทโพโลยีทางตรรกะ ซึ่งมีรูปแบบการเชื่อมโยงหลายรูปแบบรูปแบบที่สา คัญมี ดังนี้
  • 61. การเชื่ อมโยงแบบสมบูรณ์ (Complete Interconnect) การเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ เป็นการ เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายเข้าดว้ยกันแบบจุดต่อจุด ดังแสดงในรูปภาพการ เชื่อมโยงแบบนี้ทา ใหมี้ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลสูงโปรแกรมที่ใชใ้นการควบคุม การสื่อสาร ก็เป็นแบบพื้นฐานไม่ซับซอ้นมากนัก และไม่จา เป็นตอ้งมีหน่วยประมวลผลกลาง การสื่อสารใน การเลือกเสน้ทางสื่อสารเนื่องจากเป็นการเชื่อมโยงโดยตรงถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่อง การเชื่อมโยงแบบนี้มีความเชื่อมั่นในการสื่อสารสูง และหากไดเ้พิ่มหน่วยประมวลผลการสื่อสาร เข้าไปในระบบอีก จะทา ใหก้ารสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • 62. โครงสรา้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY) การนา เครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสาร นั้น สามารถกระทา ได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจา แนกตามลักษณะ ของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้ 1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology) 2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology) 3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)