More Related Content
Similar to การบูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นมงคลสูงสุด (20)
More from Kiat Chaloemkiat (16)
การบูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นมงคลสูงสุด
- 1. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมนฺติฯ
!
ณ บัดนี้ อาตมภาพจักไดแสดงพระธรรมเทศนาในปูชากถา วาดวยเรื่องการบูชาบุคคลท่ีควรบูชา เพื่อเปน
เครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา เพ่ิมพูนกุศลบุญราศี ประดับปญญาบารมีของศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย และเพื่อ
เปนการเพิ่มกำลังแหงศรัทธาคือความเชื่อ ปสาทะคือความเลื่อมใส ในพระรัตนตรัยใหมีความมั่นคงยิ่งขึ้นไป ใน
โอกาสที่กิจกรรมเทศนเวียนในพรรษาไดเวียนมาบรรจบครบรอบปที่ 54 และในครั้งนี้เปนครั้งที่ 12 ตรงกับวันเสาร
ที่ 29 เดือน กันยายน พ.ศ. 2555 ซึ่งเปนหนาที่ของสำนักวัดปาโยธาประสิทธิ์ หรือที่เราเรียกกันติดปากวา “วัดปา
เกษตร” จะไดนอมนำเอาหลักธรรมที่ไดรับมอบหมายแลวนั้น มาบรรยายขยายความใหทานสาธุชนทั้งหลายไดสดับ
รับฟง ในการณนี้ประธานสงฆ คือพระครูโสภณธรรมรังสี เจาอาวาสวัดปาโยธาประสิทธิ์และเจาคณะอำเภอ
เมืองสุรินทร ธรรมยุต ไดมอบหมายใหอาตมภาพ พระมหาเฉลิมเกียรติ จิรวฑฺฒโน เลขานุการเจาคณะ
อำเภอศีขรภูมิ ธรรมยุต เปนองคธรรมกถึก คือผูขึ้นมากลาวแจงแสดงความชัดเจนแหงพระธรรมขององคสมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจา เพื่อเปนธรรมปฏิสันถารและเปนแนวทางแหงสัมมาปฏิบัติแดทานทั้งหลาย ที่ไดมาประชุม
พรอมกัน ณ ธรรมสภาแหงนี้ ตามสมควรแกเวลาสืบไป
!
กอนที่จะนำทานทั้งหลายเขาสูเนื้อหาแหงธรรมะที่ไดยกขึ้นเปนอุเทศในเบื้องตนนั้น อาตมภาพขอหยิบ
หยกประเด็นธรรมะที่วา “มงคล” นั้นเกิดขึ้นมาอยางไร ใครเปนผูนำเรื่องนี้ขึ้นมากลาวกอน ซึ่งประเด็นปญหานี้ได
สรางความโกลาหลวุนวายเปนอันมาก ในหมูชนผูคงแกเรียนในสังคมชุมพูทวีปเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ความปรากฎ
วา มนุษยชายหญิงในชุมพูทวีปมีการถกเถียงกันวา อะไรเปนมงคล บางกลุมก็กลาววาหูที่ตนไดยินเสียงตางๆ ที่นา
ฟง มีความไพเราะ นี่แหละเปนมงคล อีกกลุมหนึ่งก็กลาววาตาทั้งสองดวงที่สามารถมองเห็นอะไรไดทั้งที่สวยงาม
และไมสวยนี่แหละเปนมงคล ทุกคนไมสามารถหาขอสรุปได ปญหานี้ไดแผขยายวงกวางขึ้นเรื่อยๆ แมเทวดาชั้น
ภุมเทวดาก็ถูกกระแสแหงความสงสัยครอบงำเหมือนกัน ไดนำความในโลกมนุษยไปแจงใหเทพชั้นผูใหญทั้งหลาย
ไดทราบ เทพเหลานั้นก็ไมสามารถใหคำตอบไดวา อะไรเปนมงคลอันสูงสุด ปญหานี้ไดคุกรุนเสมือนมีเมฆหมอกมา
ปดบังดวงปญญาของมนุษยและเหลาเทพทั้งหลายเอาไว ปลอยใหเวลาลวงเลยมาถึง 12 ป ขณะนั้นพระพุทธเจา
ไดอุบัติเกิดขึ้นในโลกแลว ทาวสักกะผูจอมราชันยแหงเทพ (พระอินทร) ไดตรัสถามหมูเทพที่มาเฝาวา พวกทานได
ทูลถามพระผูมีพระภาคเจาแลวหรือยัง เมื่อทรงทราบวายัง จึงไดทรงตำหนิวาพวกทานไดลวงเลย พระผูมีพระภาค
เจาผูทรงแสดงมงคลแลว กลับมาถามเรา เปนเหมือนทิ้งไฟเสีย แลวมาถือเอาไฟที่กนหิ้งหอย ตรัสแลวชวนกันไป
เฝาพระพุทธเจาที่พระวิหารเชตวัน ใกลกรุงสาวัตถีในแควนโกศล ถวายบังคมแลวยืนอยู ณ ที่ควร ทาวสักกะ
ทรงมอบหมายใหเทวดาองคหนึ่งเปนผูทูลถามเรื่องนี้ ในเวลานั้นเทพเจาในหมื่นจักรวาล เนรมิตกายใหละเอียดมา
แออัดประชุมกัน เพื่อมงคลปญหาในที่นั้นดวย จนพระเชตวันสวางไสวไปทั่วดวยรัศมีกายของเทวดาเหลานั้น ถึง
กระนั้นก็มิอาจบดบังพระรัศมี ซึ่งเปลงออกจากพระกายของพระพุทธเจาได เทวดาองคที่ไดรับมอบหมายใหทูลถาม
มงคลปญหากะพระพุทธเจา ไดทูลถามปญหากะพระพุทธเจาวา "เทวดาและมนุษยทั้งหลายเปนอันมากหวังอยูซึ่ง
ความสวัสดี ไดพากันคิดสิ่งที่เปนมงคล (แตไมอาจคิดได) ขอพระองคโปรดตรัสบอกอุดมมงคล" พระผูมีพระภาค
เจาจึงตรัสใหทราบวา มงคลมีอยู 38 มงคล ดวยพระคาถา 10 คาถาใน มงคลสูตร ตามลำดับ คำวา มงคล หมาย
ถึง อุดม รุงเรือง ดีเลิศ และการบูชาบุคคลที่ควรบูชาก็จัดเปนมงคลอันสูงสุดเหมือนกัน ซึ่งปรากฏในมงคลสูตร
คาถาที่ 1 ขอที่ 3 ซึ่งจะไดกลาวในลำดับตอไป
- 2. 2
ความหมาย@
!
บูชา คือการแสดงความเคารพ การยกยองเชิดชู ดวยความเลื่อมใส ที่แสดงออกทางกาย วาจา และใจ
อยางบริสุทธิ@์ ไมมีอารมณอยางอื่นมาเจือปนใหจิตหวั่นไหวได
@
!
!
!
!
การบูชา มี 3 ลักษณะ คือ :!
ปคคัณหะปูชา หมายถึง การบูชาดวยการยกยอง
!
สักการะปูชา หมายถึง การบูชาดวยเครื่องสักการะตางๆ
!
สัมมานะปูชา หมายถึง การบูชาดวยการยอมรับนับถือ
การบูชา มี 2 ประเภท คือ :@
อามิสสะปูชา หมายถึง การบูชาดวยอามิสสิ่งของและ
@
ปฏิบัติปูชา หมายถึง การบูชาดวยการปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม
!
การบูชา ถือเปนกิริยาที่แสดงออกถึงความเคารพตอบุคคล สถานที่ และสัญลักษณตางๆ ที่เกี่ยวของกับ
บุคคล เชน หลักคำสอน รูปเหมือน ขาวของเครื่องใชตางๆ หรือแมแตพระบรมธาตุฯ และการบูชาที่ไดกระทำนั้น
ตองเปนบุคคลที่มีคุณธรรมจริงๆ การบูชานั้นจึงจะมีผลอันอุดม สมดังพระบาลีที่ปรากฎในมงคลสูตรซึ่งอาตมภาพ
ไดยกขึ้นเปนอุเทศเบื้องตนวา ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ความวา การบูชาบุคคลทีี่ควรบูชาถือเปน
มงคลอันสูงสุด! ที่กลาววาเปนมงคลอยางสูงสุดนั้น สูงสุดดวยลักษณะแหงการกระทำอยู ๓ อยาง ที่กลาวในเบื้อง
ตน คือ
!
1. ปคคัณหะปูชา คือ การบูชาดวยการกลาวยกยอง สรรเสริญ ในคุณธรรมของผูนั้นใหเปนที่ปรากฏ ไป
ที่ไหนก็มีการกลาวถึงอยูตลอดเวลา เหมือนที่ญาติโยมไดระลึกนึกถึงบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยิ่งถาเราทราบ
ความหมายวาทานหมายถึงอะไร ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาในองคพระรัตนตรัยมากเทานั้น เหมือนคำกลาวของครูบา
อาจารยผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทานมักกลาววา “คุณของพระพุทธเจา พระธรรมเจา พระสังฆเจา จะสวดกี่ครั้งกี่
ชั่วโมงก็ไมรูจักเบื่อ เพราะเชื่ออยางสนิทใจแลววาพระรัตนตรัยมีจริง มีคุณตอหมูสัตวผูเรารอนดวยเพลิงกิเลสจริง”
!
2. สักการะปูชา คือ การบูชาดวยเครื่องสักการะ มีดอกไม ธูป เทียน หรือของหอมที่โลกนิยมในปจจุบัน
เพื่อนำมาบูชา แมแตเปลวเพลิงซึ่งถูกจุดที่เทียนก็เปนการบูชาชนิดหนึ่งที่มีความเชื่อวา ถาใครไดบูชาแลวจะกอให
เกิดปญญา ดังพระบาลีวา นตฺถิ ปฺญาสมา อาภา ความวา แสงสวางเสมอดวยปญญาไมมี การแสดงความเคารพ
ดวยเครื่องสักการะเปนการบูชาที่สามารถทำไดงายที่สุด เพราะไมตองอาศัยความพากเพียรอะไรมาก วัตถุดิบที่
เปนเครื่องบูชาในปจจุบันก็มีพรอม ในเมืองมีหางรานที่ในบริการเกี่ยวกับเครื่องสังฆภัณฑเยอะ ทั้งนี้อุบาสกอุบาสิกาตองมีปญญาในการบูชาเชนเดียวกัน มิเชนนั้นก็จะเปนการบูชาแบบหลงงมงาย ที่กลาวเชนนี้ เพราะวา
ญาติโยมทั่วไปไมคอยจะเขาวัดสักเทาไหร หรือไมคอยไดทำบุญกับพอแมเทาที่ควร วันดีคืนดีตัวเองนอนหลับฝนไม
ดี ฝนวาแมตาย หรือตัวเองถูกคนฆาตาย ตื่นเชามารูสึกไมคอยดี จิตใจหดหู ยิ้มก็ไมคอยออก คิดไดวาการไปถวาย
สังฆทานที่วัดมันจะชวยได สิ่งที่ไดคือโยมไดให ไดเสียสละทรัพยของตนกับผูอื่นที่เราเชื่อวาทานปฏิบัติดี ผลตรงนี้
ไดแผขยายมาถึงจิตใจของเรา เกิดความสุขความราเริง ที่จริงพระทานไมไดใหอะไรเราหรอก ทานก็รับเฉยๆ พรที่
ทานใหก็พูดแบบนี้กันกับทุกคนที่ไปถวายสังฆทาน อำนาจแหงการบูชาดวยเครื่องสักการะมีผลมาก ดังนิทานใน
ธรรมบทเรื่องเทพธิดาผูทำบุญดวยดอกบวบสีเหลืองตอนหนึ่งวา มีหญิงสาวผูหนึ่ง อาศัยอยูในหมูบานชนบทหาง
ไกล มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย กลับจากการทำงาน ระหวางทางเห็นดอกบวบกำลังบานใหม มีสีเหลือง
- 3. 3
สด นางไดเก็บดอกบวบดวยความเพลิดเพลินใจ พรอมกับคิดในใจวาเราจะนำดอกบวบนี้ไปบูชาพระ ระหวางทาง
ที่นางเดินไปจิตก็คิดถึงแตเรื่องการถวายดอกไมพระ ทันใดนั้นเองวัวตัวผูเดินสวนทางมาพอดี ดวยวิบากกรรมที่
เคยกระทำระหวางกัน ทำใหนางถูกวัดขวิดที่ระหวางอกดวยเขาอันแหลมคม นางสิ้นใจทันทีในมือยังถือดอกไมที่จะ
ไปถวายพระไวเนน ดวยอำนาจแหงจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย และขณะจิตที่คิดจะนำดอกบวบสีเหลืองไปถวาย
พระนี้ สงผลใหนางไปจุติในเทวสถานวิมานทอง ที่ประดับประดาเหมือนดังสีแหงดอกบวบเหลืองทันที
!
3. สัมมานะปูชา คือ การบูชาดวยการยอมรับ หรือถาจะพูดภาษางายๆ ก็คือการมีใจใหกัน ขอนี้จะตรงกับ
คำวาการบูชาตองมีศรัทธามากอน ถาไมมีศรัทธาจะไมสามารถทำการบูชาไดเลย ดังความปรากฏเปนพุทธภาษิต
ใน สังยุตตนิกาย สัคคาถวรรค 15/50 วา สทฺธา สาธุ ปติฺฐิตา แปลไดความวา ศรัทธาตั้งมั่นแลว ยังประโยชนให
สำเร็จ สมัยโบราณเวลาจะสอนหรือถายทอดวิชาความรูใดๆ ใหกับลูกศิษย จะตองมีการตั้งครูเสียกอน เพื่อใหผูที่จะ
เรียนนั้นไดแสดงเจตจำนงคที่แทจริงวา ตนเองมีศรัทธา ยอมปฏิบัติตามคำสั่งสอนครูทุกอยาง ไมโตเเยงหรือ
คัดคานในหลักคำสอน และถาใครสามารถปฏิบัติไดจริงก็จะประสบผลสำเร็จ ลักษณะเชนนี้เปนการบูชาดวยการ
ยอมรับ ในปจจุบันนี้เราขาดการบูชาในลักษณะนี้มาก เราอางตนวาเปนผูมีความรู คงแกเรียน มีประสบการณชีวิต
มามาก เคยเปนใหญมีตำแหนงหนาที่การงาน มีคนนับหนาถือตาในสังคมมาก ไปไหนมาไหนมีคนใหการตอนรับ
กำแพงความคิดเหลานี้เองที่คอยขวางกั้นจิตใจของเรา ไมใหยอมรับอะไรงายๆ บางก็อางวาพุทธเจาใหใชหลักกา
ลามสูตร คืออยาเชื่ออะไรงายๆ ซึ่งในหลักความเปนจริงที่เรากำลังประสบอยูนี้นั้นมันใชหลักการนัั้นไมได เพราะ
เรากำลังจะตกเหวคือความมืดบอดอยูแลวนะ ดังนั้นเราตองเปดใจใหกวางยอมรับกับสิ่งบางอยางที่เราเชื่ออยูในใจ
ลึกๆ วาจะชวยเราได คือเปนที่พึ่งเราได ฉะนั้นการที่เราจะบูชาอะไรสักอยาง ไมวาจะเปนบูชาพระรัตนตรัย
พระบรมธาตุ หรือพระเครื่องตางๆ เราตองมีใจที่ศรัทธาเลื่อมใสมากอนแลว หรือยังไมมีศรัทธามากอนแตเคยได
ประสบกับเหตุการณบางอยางที่ทำใหตนเชื่ออยางสนิทใจวา เหตุการณเหลานี้มีอยูจริง จึงจะเกิดผล ยกตัวอยาง
เชน พระปญจวัคคียกอนที่จะไดฟงพระธรรมเทศนาของพุทธเจานั้น ในใจของทุกคนไดนึกวาเราจะไมปฏิบัติรับใช
สมณะโคตม จะพูดอะไรพวกเราก็จะไมฟงไมยอมรับ แตเมื่อพระพุทธองคเสด็จมาถึง เพราะความที่ตนเคยปฏิบัติ
หนาที่รับใชมาตลอดก็ทำใหลืมขอตกลงที่ไดตกลงกันไวสนิท
และเมื่อฟงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรที่พุทธองคทรง
ตรัสก็ยิ่งเลื่อมใส เพราะพระดำรัสเชนนี้พวกตนไมเคยไดยินที่ไหนมากอน เมื่อฟงธรรมจบลงโกณฑัญญะดาบสก็ได
ดวงตาเห็นธรรมทันที
!
จากลักษณะการบูชาที่กลาวมา ถากลาวโดยประเภทแลวมี 2 ประเภท คือ อามิสบูชา เปนการบูชาที่ตอง
อาศัยวัตถุ เชนการใหสิ่งของ ดอกไม ของหอม หรืออาหาร นับเปนการบูชาที่ทุกคนสามารถทำได สะดวกเวลาไหน
ก็สามารถทำได แมการเขาวัดทำบุญตักบาตร และถวายสังฆทานก็จัดเปนอามิสบูชา ซึ่งพุทธองคตรัสวา เพียงแค
การบูชาแบบนี้ก็มีผลมากสำหรับอุบาสก-อุบาสิกา เพราะถือวาเปนการขวนขวายที่ตองอาศัยความพากเพียรมาก
และปฏิบัติบูชา ซึ่งถือเปนการบูชาที่ยิ่งใหญ และพุทธองคกลาววาเปนยอดแหงการบูชา เพราะการบูชาเเบบนี้
สามารถชวยธำรงคหลักคำสอนของพระพุทธองคใหคงอยูไดตลอด เปนการบูชาที่เหมาะสำหรับฝายบรรพชิต ฝาย
อุบาสก-อุบาสิกาจะบูชาดวยการปฏิบัติบูชาก็ได ในปจจุบันนี้การบูชาแบบที่สองนี้มีความหยอนยานมาก สาเหตุ
เพราะเราลืมหนาทีี่ของตนเอง เมื่อลืมหนาที่ของตนเองนานเขา ก็นำไปสูการไมใสใจหลักธรรมหลักวินัย จึงปรากฏ
เปนขาวเกี่ยวกับพระสงฆตามสื่อตางๆ อยูเปนประจำ
บุคคลที่ควรบูชา
!
การบูชานั้น เราบูชาที่ตัวบุคคล กับ บูชาคุณงามความดีของบุคคล ในการบูชาบุคคลนั้นนักปราชญ
ราชบัณฑิตไดแบงบุคคลไว 3 พวก ดวยกัน คือ
- 4. 4
!
บุคคลที่สูงดวยชาติ (ชาติวุฒิ) เปนผูมีที่มีชาติกำเนิดสูง เชน พระเจาจักรพรรดิ์ พระราชา พระราชินี และ
พระบรมวงศานุวงศทุกๆ พระองค
!!!!!!!! !!บุคคลที่สูงดวยวัย (วัยวุฒิ) เปนผูที่เกิดกอนเรา ทานเหลานี้เปนผูอาบน้ำรอนมากอนยอมไดรับการเรียน
รูมากอน มี ปู-ยา, ตา-ยาย, พอ-แม, พี่ ปา นา อา หรือแมแตรุนพี่ เปนตน
!
บุคคลที่สูงดวยคุณ (คุณวุฒิ) เปนผูท่ีประพฤติปฏิบัติธรรม หรือมีการศึกษาที่สูงพรอมทั้งมีความประพฤติ
ที่ดีควบคูกัน เชน ครูอุปชฌายอาจารย พระอริยสงฆ พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา
!
ซึ่งบุคคลทั้ง 3 กลุมนี้ เราสามารถกระทำการบูชาไดทั้งสองอยาง คือแบบอามิสบูชาและแบบปฏิบัติบูชาไป
พรอมๆ กันได ในพระสุตตันตะปฎก ขุททะกะนิกาย ธรรมบท เลมที่ 18 ขอที่ 303 ยอหนา 326 พระพุทธเจาทรง
ตรัสเกี่ยวกับบุคคลที่ควรบูชาไว คือ ผูมีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา และผูมีศีล
บริสุทธิ์
บุคคลที่สมควรสรางสถูปไวบูชา (ถูปารหบุคคล)
!
บุคคลที่ควรบูชา คือ บุคคลที่มีคุณงามความดี ควรคาแกการระลึกถึง และยึดถือเปนแบบอยางในการ
ประพฤติปฏิบัติตาม มีอยูดวยกันจำนวนมาก เชน พระพุทธเจา พระสงฆ พอ แม ฯลฯ อยางไรก็ดีพระพุทธเจาได
ตรัสถึงบุคคลที่สมควรแกการสรางสถูปบูชาไวเพียง 4 จำพวก ไดแก
@
1. พระพุทธเจา เหตุที่พระพุทธเจาทรงเปนถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายวา เมื่อมหาชน
ยังจิตใหเลื่อมใสวา นี่เปนสถุปของพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น พวกเขายังจิตใหเลื่อมใสใน
สถุป)นั้นแลว เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค
!
2. พระปจเจกพุทธเจา เหตุที่พระปจเจกพุทธเจาทรงเปนถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบาย
วา เมื่อมหาชนยังจิตใหเลื่อมใสวา นี่เปนสถูปของพระปจเจกพุทธเจาพระองคนั้น พวกเขายังจิตใหเลื่อมใสในสถูป
นั้นแลว เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค
!
3. พระอรหันต เหตุที่พระสาวกของพระพุทธเจาทรงเปนถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบาย
วา เมื่อมหาชนยังจิตใหเลื่อมใสวา นี่เปนสถูปของพระสาวกของพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น พวกเขายังจิตให
เลื่อมใสในสถูปนั้นแลว เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค
!
4. พระเจาจักรพรรดิ์ เหตุที่พระเจาจักรพรรดิ์ทรงเปนถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายวา
เมื่อมหาชนยังจิตใหเลื่อมใสวา นี่เปนสถูปของพระธรรมราชาผูทรงธรรมนั้น พวกเขายังจิตใหเลื่อมใสในสถูปนั้น
แลว เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตก ยอมเขาถึงสุคติโลกสวรรค
เจดียที่ควรกระทำการบูชาในพุทธศาสนา
@
1. พระธาตุเจดีย คือ เจดียที่สรางขึ้นเพื่อใชบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุอรหันต เชนพระ
ธาตุพนม พระดอยสุเทพ ภูเขาทอง พระปฐมเจดีย เปนตน @
@
2. พระธรรมเจดีย คือ เจดียที่สรางขึ้นเพื่อบรรจุพระธรรมวินัย เชน พระไตรปฎก หนังสือธรรม เปนตน
!
3. บริโภคเจดีย คือ สถานที่หรือสิ่งของทั้งหมดที่เกี่ยวของกับพระพุทธเจา เชน สังเวชนียสถานทั้ง 4
ตำบล ตนพระศรีมหาโพธิ์ พุทธบริขาร รอยพระพุทธบาท เปนตน
!
4. อุเทสิกเจดีย์ คือ วัตถุที่สรางขึ้นเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย โดยไมมีการกำหนดรูปแบบที่ชัดเจน เชน
พุทธรูป พระเครื่อง เปนตน
- 5. 5
อานิสงสการบูชาบุคคลที่ควรบูชา
!
๑. ยังสัมมาทิฏฐิที่ยังไมเกิด ใหเกิดขึ้น
!
๒. ยังสัมมาทิฏฐิที่เกิดขึ้นแลว ใหเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
!
๓. ทำใหมีกิริยามารยาท สุภาพออนโยน นารักนานับถือ
!
๔. ทำใหจิตใจผองใส เพราะตรึกอยูในกุศลธรรมเสมอ
!
๕. ทำใหสติสัมปชัญญะบริบูรณขึ้น เพราะมีความสำรวมระวังเปนการปองกันความประมาท
!
๖. ปองกันความลืมตัวความหลงผิดได เพราะตระหนักอยูเสอมวาผูที่มีคุณธรรมสูง กวาตนยังมีอยู
!
๗. ทำใหเกิดกำลังใจและอานุภาพอยางมหาศาล สามารถคุมครองปองกันตนใหพนจากอุปสรรคและภัย
พาลตางๆ ได
!
๘. เปนการกำจัดคนพาลใหพินาศไปโดยทางออม เพราะมีแตคนบูชาบัณฑิตผูมีคุณธรรม
!
๙. เปนการเชิดชูบัณฑิตใหสูงเดน ทำใหทานสามารถบำเพ็ญกรณียกิจไดสะดวกกวางขวางยิ่งขึ้น @
@
เมื่อทานทั้งหลายทราบแลววา บุคคลท่ีเราควรบูชาและแสดงความนับถือนั้นมีใครบาง และอาการกิริยาที่
เราตองแสดงออกเกี่ยวกับการบูชาเราก็ไดทราบแลว แมกระทั่งการบูชาแบบไหนที่มีผลมากพระพุทธองคก็ไดกลาว
ไวหมด แลวถาเราไมแสดงการบูชาหละจะมีโทษอะไรไหม ใน มังคลัตถทีปนี เลม 4 หนา 3 ความตอนหนึ่งวา
ระหวางที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงธรรมแกสุภมาณพอยูนั้น ไดตรัสวา
“...มาณพ สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เปนผูกระดาง (เยอหยิ่ง) ถือตัวจัด ไมกราบไหว
บุคคลผูควรกราบไหว ไมลุกรับบุคคลผูควรลุกรับ ไมใหอาสนะแกบุคคลผูควรแกอาสนะ ไมให
ทางแกบุคคลผูควรแกทาง ไมสักการะบุคคลผูควรสักการะ ไมทำความเคารพผูที่ตนควร
ทำความเคารพ ไมนับถือบุคคลผูที่ตนควรนับถือ ไมบูชาบุคคลผูที่ตนควรบูชา บุคคลนั้นเบื้อง
หนาแตตายเพราะกายแตกยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันตนให
บริบูรณแลวอยางนั้น สมาทานแลวอยางนั้น หากบุคคลนั้นไมเขาถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก
เบื้องหนาแตตายเพราะกายแตกไซร ถาเขามาสูความเปนมนุษย เกิดในที่ใด ๆ ในภายหลัง
ก็จะเปนผูมีตระกูลต่ำในที่นั้นๆ มาณพขอที่บุคคลเปนผูกระดาง ถือตัว ฯลฯ ไมบูชาบุคคลที่
ควรบูชาเปนปฏิปทาเปนไปเพื่อมีสกุลต่ำ…”
!
เมื่อเราทราบอยางนี้แลวก็ควรที่จะกระทำการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ทั้งนี้โดยผานสื่อกลางคือคุณงามความดี
ของบุคคลที่เราทำการบูชา เปรียบเสมือนการอาบน้ำที่ทุกคนตองอาบ เราไมอาบน้ำก็ไดจะเปนวันหรือเปนอาทิตย
ก็ได แตเราสามารถทนอยูไดหรือไม และเวลาพบปะผูคนเขาจะทนกลิ่นเราไดไหม การเปนคนที่ไมมีการบูชาอะไร
เลยก็เหมือนกัน แตทั้งนี้ใชวาเราจะบูชาทุกอยาง เราก็ตองมีสิ่งทีี่ควรเวนเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เราไมควรบูชาก็มี ดังนี้
ส่ิงที่ไมควรบูชา
@
!
!
!
1. คนพาล คือไมยกยอง ไมเชิดชู ไมสรรเสริญ ไมสนับสนุน ในฐานะตางๆ
2. สิ่งที่เนื่องดวยคนพาล เชนรูปภาพ รูปปน ผลงาน ขาวของเครื่องใชตางๆ
3. สิ่งที่บูชาแลวไมเกิดสิริมงคล เชนรูปภาพดารา นักรอง และสื่อที่มุงไปทางอบายมุขทั้งหลาย
4. สิ่งที่บูชาแลวโง เชนตนไมใหญ ภูเขาสูง อาราม เพราะบูชาแลวไมกอใหเกิดปญญา
- 6. 6
!
การบูชาบุคคลที่ควรบูชานั้น เปรียบเสมือนกลาไมที่ยังเล็กอยู เมื่อเรานำไปปลูกจำเปนตองมีหลักค้ำไม
ใหลม เพราะรากจะขาด หรือตายกอนฉันใด ผูที่หวังความเจริญกาวหนา ก็จำเปนตองบูชาบุคคลที่ควรบูชาไวเปน
แบบอยางในการดำเนินชีวิต เปนหลักใจ เปนเครื่องปองกันความเห็นผิดและมิใหอกุศลกรรมตางๆ กลับมากำเริบ
ขึ้นอีกฉันนั้น บุคคลที่จะกระทำการบูชาไดนั้น ในเบื้องตนตองมีธรรมะเกิดขึ้นในใจกอนเสมอ คือทุกคนไดเห็นความ
ทุกข ที่มากอกวนใจอยูตลอดเวลา จากการมีทุกขมากก็ทำใหเกิดปญญา แตถาแกไมไดก็จะเกิดปญหาทันที มี
ความรูวาความทุกขที่มีอยูตนจะตองแกไขอยางไร นั่นหมายความวาเราตองดูบุคคลตนแบบ เรียกวาผูควรแกการ
บูชา ก็จะทำใหเราเกิดความศรัทธา เลื่อมใสในแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งในที่สุดก็นำเราไปสูความสุข สภาวะเหลานี้
เปนธรรมะที่มาปรากฏใหเราไดเห็นอยูตลอดเวลา แตพวกเราไมสามารถแยกออกไดวามันคืออะไรบาง เพื่อเปน
ปุคลาธิษฐานอาตมภาพขอยกนิทานที่ปรากฏในคัมภีรมงคลทีปนี ซึ่งรจนาโดยพระสิริมังคลาจารยมาสาธกให
สาธุชนทั้งหลายไดสดับ ดำเนินความวา
!
เมืองราชคฤห มีชางรอยดอกไมชื่อนายสุมนะ ไดนำดอกมะลิถวายพระเจาพิมพิสารกษัตริยเมืองราชคฤห
ทุกวันๆ ละ ๘ ทะนาน ทาวเธอก็พระราชทานทรัพยใหวันละ ๘ กหาปณะตอบแทนมิไดขาด อยูมาวันหนึ่งนาย
สุมนะไปเก็บดอกมะลิแลวกลับมา ระหวางทางไดพบพระพุทธเจากับหมูสงฆเขาไปในเมืองเพื่อจะบิณฑบาตโปรด
สัตว นายสุมนะมีจิตศรัทธาเลื่อมใส คิดจะถวายดอกไมบูชาพระพุทธเจา ขณะนั้นไดคิดวา เมื่อเราไมไดถวายดอกไม
แกพระราชาพระองคจะทรงกริ้ว แลวลงโทษมีอาญาเปนประการใดก็ตามเถิด อานิสงสที่เราบูชาแกพระพุทธเจานี้มี
ผลอันประเสริฐทั้งในชาตินี้และชาติหนา ถาเราพึงถวายแกพระราชาก็จะมีผลเพียงแตในชาตินี้ คิดเชนนั้นแลวก็เกิด
มีจิตยินดีศรัทธาในการทำพุทธบูชา นายสุมนะจึงกำเอาดอกมะลิสองกำมือโยนขึ้นไปในอากาศ ในการโยนแตละ
ครั้งนั้นปรากฏวา ครั้งแรกดอกมะลิก็แผเปนตาขายอยูเบื้องบนของพระพุทธเจา ครั้งที่สองนั้นก็แผเปนตาขายอยู
เบื้องขวาของพระพุทธองค ดอกไมสองกำมือที่โยนไปครั้งที่ ๓ นั้นก็แผเปนตาขายอยูเบื้องซาย ดอกไมสองกำมือที่
โยนไปครั้งที่ ๔ นั้นก็แผเปนตาขายอยูเบื้องหลัง ดังนั้นตาขายดอกมะลิจึงลอมองคของพระพุทธเจาอยู ๔ ดานเปด
เฉพาะดานหนา พระองคเสด็จไปถึงไหนตาขายดอกไมทั้ง ๔ ดาน ก็ลอยตามพระองคไปถึงที่นั่น ผันกานเขาขางใน
ผันดอกออกขางนอกทั้งสิ้นเปนอัศจรรยดังนี้ ชาวเมืองทั้งหลายไดเห็นแลวก็พากันเลื่อมใสกราบไหวบูชาศรัทธาใน
พุทธคุณกันทั่วหนา
!
ฝายนายสุมนะก็เกิดความปติยินดีในเครื่องสักการบูชาของตนแลวก็กลับบาน เลาเรื่องที่ไดทำพุทธบูชาให
ภรรยาฟง ฝายภรรยาเปนผูไรปญญาจึงไมมีความยินดีอนุโมทนา กลับโกรธดาวาใหแกสามี แลวพาบุตรไปเฝา
พระเจาพิมพิสารกราบทูลถึงเหตุการณที่สามีไดนำดอกไมที่ควรจะนำมาถวายแกพระราชาไปบูชาแดพระพุทธเจา
หญิงนั้นก็ออกตัวกลัวความผิด กราบทูลแกพระราชาวา อันการกระทำของนายสุมนะนั้นจะบังเกิดในทางดีก็ตาม ใน
ทางรายก็ตาม ขาพเจาจะไมขอรับดวย ขาพเจาขอหยาขาดจากนายสุมนะตั้งแตบัดนี้เปนตนไป พระราชาเปนผู
เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เมื่อไดฟงดังนั้น ก็ดำริวาหญิงผูนี้เปนพาล หาความศรัทธาปสาทะในพระรัตนตรัยมิได แตก็
แสรงทำเปนพิโรธ แลวตรัสกับหญิงนั้นวา ดีละที่เจาหยาขาดจากสามี ตัวเราจะรูกิจอันควรทำอยางสาสมตอนาย
สุมนะเอง จึงสงหญิงนั้นกลับไป สวนพระราชาก็เสด็จออกไปตอนรับพระพุทธเจา พระพุทธองคทรงรูวาพระเจา
พิมพิสารมีพระทัยเลื่อมใสในการบูชา พระศาสดาทรงมีพระกรุณาจะสงเคราะหแกนายสุมนะ ทรงสงบาตรใหพระ
เจาพิมพิสารแลวเสด็จทรงประทับนั่งที่หนาพระลาน พระเจาพิมพิสารก็ถวายทานแกพระพุทธเจา พระพุทธองคทรง
กระทำภัตตกิจแลวก็ตรัสอนุโมทนาทานแสดงธรรมโปรดพระเจาพิมพิสารแลวก็ถวายพระพรลากลับสูวัดเวฬุวัน
ดอกไมทั้งหลายเหลานั้นก็ลอมพระองคมาตราบเทาถึงพระวิหาร ดอกไมจึงไดตกเรี่ยรายอยูที่ซุมพระทวารนั่นแล
!
ครั้งนั้นพระเจาพิมพิสารมีพระทัยเลื่อมใสในการทำพุทธบูชาจึงรับสั่งหานายสุมนะ เขามารับพระราชทาน
ทรัพยทั้งหลาย ๗ สิ่ง สิ่งละ ๘ คือ ชาง ๘ มา ๘ ขาหญิง ๘ ขาชาย ๘ นารีรูปงาม ๘ บานสวย ๘ เงิน ๘ พัน
- 7. 7
กหาปณะ นายสุมนะไดรับพระราชทานทรัพยเปนอันมากดวยผลที่ทำพุทธบูชา พระอานนทเถระจึงทูลถาม
พระพุทธเจาวา นายสุมนะกระทำพุทธบูชานี้จะมีผลอานิสงสไปในภายภาคหนาเปนประการใด พระพุทธองคจึงตรัส
วา ดูกรอานนท นายสุมนะกระทำพุทธบูชาครั้งนี้เทากับเปนการสละชีวิตบูชาตถาคต เพราะวาขณะนำดอกไมมา
บูชามิรูวาพระราชาจะลงโทษหรือไมประการใด ดวยกุศลนี้ตอไปในภายหนานายสุมนะจะไมไปเกิดในอบายภูมิ
ตลอดถึงแสนกัป จะรื่นเริงบันเทิงเสวยสุขอยูแตในมนุษยโลกและเทวโลกเทานั้น ครั้นในชาติสุดทายจะไดตรัสรูเปน
พระปจเจกพุทธเจา มีนามวาพระสุมนะ เขาสูพระนิพพานเปนที่สุด ดังนี้
@
ดังนั้น การบูชา คือ การยกยอง เลื่อมใส ดวยความบริสุทธิ์ใจ ไมเสแสรงแกลงทำ นั่นหมายถึง กิริยา
อาการสุภาพที่แสดงตอผูที่ควรบูชาทั้งตอหนาและลับหลัง เปนอุบายในการฝกตนเองใหมีความออนนอมถอมตน
ไมเปนคนกระดาง ถือตัว เยอหยิ่งจองหอง ซึ่งมีอยู 3 ลักษณะ คือ การยกยอง การสักการะ และการนอบนอม ใน
ทางปฏิบัตินั้นมี 2 วิธี คือ การบูชาดวยสิ่งของ เรียกวา อามิสบูชา และ การบูชาดวยการปฏิบัติตามคำสอน หรือ
ตามแบบอยางที่ทานไดวางไว เรียกวา ปฏิบัติบูชา ซึ่งอยางหลังนี้พระพุทธเจาทรงยกยองวาเปนการบูชาที่มีผล
มาก สงผลใหพระพุทธศาสนามีความมั่นคงและยั่งยืน ถาทานใดประสงคและปรารถนาที่จะอบรมตนเองใหเปนคนดี
โดยมีบุคคลตนแบบ เหมือนเด็กนักเรียนถาอยากจะเกงมีคุณภาพในอนาคต ตองมีคุณครูที่เกงและมีคุณธรรมคอย
เปนพี่เลี้ยง อุบาสก-อุบาสิกาก็เชนเดียวกัน ถามุงหวังความเจริญในชีวิตของตนก็ตองบูชาบุคคลที่ควรบูชา มีนัยดัง
ไดอรรถาธิบายมา
!
เทศนาปริโยสาเน ในกาลสิ้นสุดลงแหงพระธรรมเทศนานี้ ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเต
ชะสา ขออำนาจแหงคุณพระศรีรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่ทานทั้งหลายไดบำเพ็ญมาแลวตั้งแตในอดีตจนถึง
ปจจุบันสมัย จงมารวมกันเปนมหัตเดชานุภาพ สนับสนุนสงเสริมใหทานทั้งหลาย ถึงพรอมดวยอายุ วรรณะ สุขะ
พละ ปฏิภาณ ธนะสารสมบัติ ธรรมะสารสมบัติ คิดนึกปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบไปดวยธรรมแลวไซร ขอให
ความปรารถนานั้นๆ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ ทุกประการ
!
แสดงพระธรรมเทศนาในปูชากถา พอสมควรแกเวลา ขอสมมติยุติลงคงไวแตเพียงเทานี้
เอวัง ก็มีดวยประการฉะนี้
- 8. 8
พระไตรปฎก เลมที่ ๒๓
พระสุตตันตะปฎก เลมที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
อัคคิสูตร
วาดวยเรื่องไฟ (บูชายัญ)
!
สังคมอินเดียสมัยกอนมีความเชื่อวา การบูชายัญเปนการบูชาที่มีผลมาก เพื่อเปนเกร็ดความรูเสริมใหกับ
ญาติธรรมทั้งหลาย จึงนำนิทานชาดกมาประกอบไวทายเนื้อหา คือ
!
สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลพระนคร
สาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อุคคะตะสะรีระพราหมณตระเตรียมมหายัญ โคผู ๕๐๐ ลูกโคผู ๕๐๐ ลูกโคเมีย ๕๐๐ แพะ๕๐๐
แกะ ๕๐๐ ถูกนำเขาไปผูกไวที่หลักเพื่อบูชายัญ ลำดับนั้น อุคคะตะสะรีระพราหมณไดเขาไปเฝาพระผูมีพระภาค
ถึงที่ประทับ ไดปราศรัยกับพระผูมีพระภาค ครั้นผานการปราศรัยพอใหระลึกถึงกันไปแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขาง
หนึ่ง ครั้นแลว
!
ไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคไดสดับมาดังนี้วา การกอไฟ การปกหลัก
บูชายัญ ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก พระผูมีพระภาคตรัสวา ดูกรพราหมณ แมเราก็ไดฟงมาวา การกอไฟ การ
ปกหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงสมาก แมครั้งที่ ๒ ฯลฯ แมครั้งที่ ๓ อุคคะตะสะรีระพราหมณก็ไดกราบทูลวา
ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคไดสดับมาดังนี้วา การกอไฟ การปกหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงสมาก ฯ
!
พ. ดูกรพราหมณ แมเราก็ไดฟงมาวา การกอไฟ การปกหลักบูชายัญมีผลมาก มีอานิสงสมาก ฯ
!
อุ. ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขอความทั้งหมดของขาพระองค สมกันกับขอความของทานพระโคดม ฯ
!
เมื่ออุคคะตะสะรีระพราหมณกราบทูลอยางนี้แลว ทานพระอานนท ไดกลาวกะอุคคะตะสะรีระพราหมณวา
ดูกรพราหมณ ทานไมควรถามพระตถาคตอยางนี้วา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคไดสดับมาดังนี้วา การกอ
ไฟ การปกหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงสมาก แตทานควรถามพระตถาคตอยางนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ ก็ขา
พระองคประสงคจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ขอพระผูมีพระภาคโปรดตักเตือนสั่งสอนขอที่จะพึงเปนไป เพื่อ
ประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แกขาพระองคเถิด ลำดับนั้น อุคคะตะสะรีระพราหมณไดกราบทูล
พระผูมีพระภาควา ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคประสงคจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญขอทานพระโคดมโปรดตัก
เตือนสั่งสอนขอที่จะพึงเปนไป เพื่อประโยชนเกื้อกูลเพื่อความสุขตลอดกาลนาน แกขาพระองคเถิด ฯ
!
พ. ดูกรพราหมณ บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องตนยอมเงื้อศาตรา ๓ ชนิด อัน
เปนอกุศล มีทุกขเปนกำไร มีทุกขเปนวิบาก ศาตรา ๓ ชนิดเปนไฉน คือ ศาตราทางกาย ๑ ศาตราทางวาจา ๑
ศาตราทางใจ ๑ ดูกรพราหมณ บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องตนทีเดียว ยอมเกิดความ
คิดอยางนี้วาตองฆาโคผูเทานี้ตัว ลูกโคผูเทานี้ตัวลูกโคเมียเทานี้ตัว แพะเทานี้ตัว แกะเทานี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาคิด
วาจะทำบุญแตกลับทำบาป คิดวาจะทำกุศล กลับทำอกุศล คิดวาจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ ดูกร
พราหมณ บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องตนทีเดียว ยอมเงื้อศาตราทางใจขอที่ ๑ นี้ อัน
เปนอกุศล มีทุกขเปนกำไรมีทุกขเปนวิบาก ฯ
!
อีกประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องตนที่เดียว ยอมกลาววาจา (สั่ง)
อยางนี้วา จงฆาโคผูเทานี้ตัว ลูกโคผูเทานี้ตัว ลูกโคเมียเทานี้ตัว แพะเทานี้ตัว แกะเทานี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาสั่งวา
จะทำบุญกลับทำบาป เขาสั่งวาจะทำกุศล กลับทำอกุศล เขาสั่งวาจะแสวงหาทางสุคติกลับแสวงหาทางทุคติ ดูกร
- 9. 9
พราหมณ เมื่อบุคคลจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องตนทีเดียว ยอมเงื้อศาตราทางวาจาขอที่ ๒ นี้
อันเปนอกุศลมีทุกขเปนกำไร มีทุกขเปนวิบาก ฯ
!
อีกประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องตนทีเดียว ยอมลงมือดวยตนเอง
กอน คือตองฆาโคผู ลูกโคผู ลูกโคเมียแพะ แกะ เพื่อบูชายัญ เขาลงมือวาจะทำบุญ กลับทำบาป ลงมือวาจะทำกุศล
กลับทำอกุศล ลงมือวาจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ ดูกรพราหมณ บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลัก
บูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องตนทีเดียวยอมเงื้อศาตราทางกายขอที่ ๓ นี้ อันเปนอกุศล มีทุกขเปนกำไร มีทุกขเปน
วิบากดูกรพราหมณ บุคคลเมื่อจะกอไฟ ปกหลักบูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องตนทีเดียว ยอมเงื้อศาตรา ๓ อยางนี้
อันเปนอกุศล มีทุกขเปนกำไร มีทุกขเปนวิบากดูกรพราหมณ ทานพึงละ พึงเวน ไมพึงเสพไฟ ๓ กองนี้ ๓ กองเปน
ไฉน ไฟคือราคะ ๑ ไฟคือโทสะ ๑ ไฟคือโมหะ ๑ ดูกรพราหมณ ก็เพราะเหตุไรจึงพึงละพึงเวน ไมพึงเสพไฟคือ
ราคะนี้ เพราะบุคคลผูกำหนัดอันราคะครอบงำย่ำยีจิตยอมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจได ครั้น
ประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาทางใจแลว เมื่อตายไปยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละพึงเวน
ไมพึงเสพไฟคือราคะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละพึงเวน ไมพึงเสพไฟคือผูโกรธ อันโทสะครอบงำย่ำยีจิต ยอม
ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจไดโทสะนี้ เพราะบุคคลครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแลว
เมื่อตายไปยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเวน ไมพึงเสพไฟคือโทสะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึง
พึงละ พึงเวน ไมพึงเสพไฟคือโมหะนี้ เพราะบุคคลผูหลง อันโมหะครอบงำย่ำยีจิต ยอมประพฤติทุจริตทางกาย
ทางวาจา ทางใจได ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแลว เมื่อตายไป ยอมเขาถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเวน ไมพึงเสพไฟคือโมหะนี้ ดูกรพราหมณ ทานพึงละ พึงเวน ไมพึงเสพไฟ ๓ กองนี้แล
ดูกรพราหมณ ไฟ ๓ กองนี้ ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารใหเปนสุขโดยชอบ ๓ กองเปนไฉน คือ ไฟคือ
อาหุไนยบุคคล ๑ ไฟคือคหบดี ๑ ไฟคือทักขิไณยบุคคล ๑ ดูกรพราหมณ ก็ไฟคืออาหุไนยบุคคลเปนไฉน ดูกร
พราหมณ คนในโลกนี้ คือ มารดาหรือบิดา เรียกวาไฟคืออาหุไนยบุคคล ขอนั้นเพราะอะไร เพราะบุคคลเกิดมาแต
มารดาบิดานี้ ฉะนั้น ไฟคืออาหุไนยบุคคล จึงควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา บริหารใหเปนสุขโดยชอบ ก็ไฟคือ
คหบดีเปนไฉน คนในโลกนี้ คือ บุตร ภรรยา ทาส หรือคนใช นี้เรียกวาไฟคือคหบดี ฉะนั้น ไฟคือคหบดีจึงควรสัก
การะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารใหเปนสุขโดยชอบ ก็ไฟคือทักขิไณยบุคคลเปนไฉน สมณพราหมณในโลกนี้ งด
เวนจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยูในขันติและโสรัจจะ ฝกฝนจิตใจใหสงบ ดับรอนไดเปนเอก นี้เรียกวาไฟคือ
ทักขิไณยบุคคล ฉะนั้น ไฟคือทักขิไณยบุคคลนี้ จึงควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา บริหารใหเปนสุขโดยชอบ ดูกร
พราหมณ ไฟ ๓ กองนี้แลควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารใหเปนสุขโดยชอบ สวนไฟที่เกิดแตไม พึงกอให
โพลงขึ้น พึงเพงดู พึงดับ พึงเก็บไวตามกาลที่สมควร ฯ
!
เมื่อพระผูมีพระภาคตรัสอยางนี้แลว อุคคะตะสะรีระพราหมณไดกราบทูลพระผูมีพระภาควา ขาแตพระโค
ดมผูเจริญ ภาษิตของพระองคแจมแจงนัก ฯลฯขอทานพระโคดมผูเจริญ โปรดทรงจำขาพระองควา เปนอุบาสกผู
ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแตวันนี้เปนตนไป ขาแตพระโคดมผูเจริญ ขาพระองคนี้จะปลอยโคผู ๕๐๐ ลูกโคผู ๕๐๐ ลูก
โคเมีย ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ใหชีวิตมัน พวกมันจะไดพากันไปกินหญาอันเขียวสด ดื่มน้ำเย็นสะอาด และรับ
ลมอันเย็นสดชื่น ฯ
- 10. 10
ประวัติผูบรรยาย
@
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
ชื่อ@
!
การศึกษา@
!
!
!
!
บรรพชา@
!
!
!
อุปสมบท@
!
!
!
!
!
!
!
ที่อยูปจจุบัน @
หนาที่ปจจุบัน @
!
!
หนาที่ในอดีต @
หนาที่พิเศษ@
!!
!
!
พระมหาเฉลิมเกียรติ จิรวฑฺฒโน นามสกุล แกวหอม ปจจุบันอายุ ๓๒ ป
พรรษา ๑๒ (ปจจุบันเปน พระปลัด ฐานานุกรมของพระพิศาลศาสนกิจ)
๒๕๓๘ ! น.ธ.เอก,ป.ธ.๓ (สำนักเรียนวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี)
๒๕๔๘ ! พธ.บ. (การเมืองการปกครอง) มหาจุฬาฯ วิทยาเขตสุรินทร
๒๕๕๒! ศศ.ม. (ยุทธศาสตรการพัฒนา) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร
ปจจุบันกำลังศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาวะผูนำและ
การบริหาร (Ph.D.) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร
๒๕๓๗ ณ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด
จังหวัดสุรินทร พระอุดมญาณโมลี ปจจุบันเปนพระราชาคณะชั้นสมเด็จที่
สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) ที่ปรึกษาเจาคณะ
ภาค ๑๑ ธรรมยุต วัดสัมพันธวงศ กรุงเทพฯ เปนพระอุปชฌาย
๒๕๔๔ ณ อุโบสถวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร มีพระครูภาวนาวิทยาคม
ปจจุบันเปนพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระพิศาลศาสนกิจ (เยื้อน ขนฺติพโล) จอ.ศีขรภูมิ (ธ) และรก.จจ.สุรินทร (ธ) เปนพระอุปชฌาย
พระอาจารยวุฒิศักดิ์ วฑฺฒโน ปจจุบันเปนพระครูเจาคณะตำบลชั้นโทที่
พระครูไพโรจนวุฒิคุณ เจาอาวาสวัดเทพประทาน และ จต.บัวเชด (ธ)
เปนพระกรรมวาจาจารย พระอาจารยวุฒิศักดิ์ สุทฺธิปฺโญ ปจจุบันเปน
พระครูเจาอาวาสวัดราษฎรชั้นเอกที่ พระครูสุทธิปญญาภรณ จต.สนม(ธ) และ รก.จอ.ศีขรภูมิ (ธ) เปนพระอนุสาวนาจารย
วัดปาโยธาประสิทธิ์ ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร
พระธรรมวิทยากรประจำสำนักปฏิบัติธรรมวัดปาโยธาประสิทธิ์
เลขานุการเจาคณะอำเภอศีขรภูมิ ธรรมยุต
ผูชวยเจาอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ฝายศาสนศึกษา
๒๕๕๒ เปนรองผูอำนวยการ รร.เทพประทานจุฬามณีวิทยา (รร.การกุศลในวัด)
พระปาฏิโมกข, พระนักเทศน, พระวิทยากร, พระนวกรรม
!
!