Contenu connexe
Similaire à ภาษาบาลีสันสกฤตที่เกี่ยวกับภาษาไทย
Similaire à ภาษาบาลีสันสกฤตที่เกี่ยวกับภาษาไทย (20)
Plus de วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
Plus de วัดดอนทอง กาฬสินธุ์ (20)
ภาษาบาลีสันสกฤตที่เกี่ยวกับภาษาไทย
- 2. ประวัติภาษาบาลีและสันสกฤต
่
„ ภาษาบาลีและสันสกฤตจัดอยูในตระกูลภาษาอินเดีย ‟
ยุโรป (indo ‟ European) ซึ่ งเป็ นตระกูลภาษาที่มีรูป
วิภตติและปั จจัย (Inflectional Language) พวกอารยัน
ั
ได้นาเข้ามาในอิ นเดี ยเมื่ อประมาณปี ที่ ๑,๕๐๐ ก่ อ น
คริ สต์ ศ ัก ราช นั ก ปราชญ์ ท างภาษาได้แ บ่ ง ภาษา
ตระกูลอารยันในอินเดียนี้ออกเป็ น ๓ สมัย ดังนี้
- 3. „ ๑. ภาษาสมัยเก่า (Old Indian) หมายถึงภาษาที่ใช้ใน
คัมภีร์พระเวท (Vedic Language) ได้แก่ คัมภีร์ฤคเวท
ยชุรเวท สามเวท และอถรรพเวท รวมตลอดทั้งคัมภีร์
อุ ป นิ ษ ัท ซึ่ งเป็ นคัม ภี ร์ สุ ด ท้า ยของคัม ภี ร์ พ ระเวท
(เวทานต์) ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์ต่างๆ เหล่านี้ จะมีความ
เก่ า แก่ ล ดหลั่น กัน มาตามล าดั บ ภาษาสั น สกฤต
(Classical Sanskrit) ซึ่งเป็ นภาษาที่ขดเกลาอย่างดีของ
ั
- 4. ็ั ่
„ ปาณิ นิกจดอยูในสมัยนี้
„ ๒. ภาษาสมัยกลาง (Middle Indian) ได้แก่ ภาษา
ปรากฤต ซึ่ งเป็ นภาษาถิ่ น ชาวอารยัน ที่ ใ ช้ กัน ใน
ท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศอินเดีย เช่น ภาษามาคธี มหา
ราษฎรี เศารเสนี เป็ นต้น ภาษาสมัย นี้ มี ล ัก ษณะ
โครงสร้ า งทางเสี ย ง และโครงสร้ า งทางไวยากรณ์
แตกต่างไปจากภาษาในสมัยเก่ามาก อนึ่งภาษาเหล่านี้
- 5. „ นอกจากจะเรี ยกว่าภาษาปรากฤตแล้ว ยังมีชื่อเรี ยกอีก
อย่างหนึ่ งว่า “ภาษาการละคร” เพราะเหตุที่นาไปใช้
เป็ นภาษาพูดของตัวละครบางตัวในบทละครสันสกฤต
ด้วย
„ ๓. ภาษาสมัยใหม่ (Modern Indian) ได้แก่ ภาษาต่างๆ
ในปั จจุบน เช่ น ภาษาฮินดี เบงกาลี ปั ญจาบี มราฐี พิ
ั
หารี เนปาลี เป็ นต้น ภาษาเหล่านี้แม้จะเข้าใจกันว่าสื บ
- 6. „ ภาษาปรากฤต แต่ มี ล ัก ษณะของภาษาผิ ด กัน มาก
เพราะมีภาษาตระกูลอื่นที่ ไม่ได้สืบไปจากภาษาของ
ชาวอารยัน เข้า ไปผสมปะปนกัน มากบ้า งน้ อ ยบ้า ง
แล้วแต่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
„ ที่มา : พระยาอนุมานราชธน, นิรุกติศาสตร์ ภาค ๑ หน้า ๔๙-๕๔.
„ อ้างใน ผศ. ปรี ชา ทิชินพงศ์, บาลี-สันสกฤตที่เกี่ยวกับภาษาไทย, หน้า ๑.
- 7. ประวัติภาษาสันสกฤต
„ ในช่วงระยะเวลา ๑,๐๐๐ ปี ที่ชาวอารยันอพยพเข้ามา
ในอิ น เดี ย นั้น ท าให้ ภ าษาและวัฒ นธรรมของชาว
อารยันปะปนกับภาษาและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง
่
ที่อาศัยอยูในประเทศอินเดีย อารยันรับเอาเทพเจ้าบาง
ั
องค์ของคนพื้นเมืองมารวมไว้กบเทพเจ้าของตนด้วย
เช่ น ปศุบดี อันเป็ นภาคหนึ่ งของพระศิ วะและความ
เชื่อต่างๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์อถรรพเวท ตลอดจนภาษา
- 8. „ ที่ใช้ในคัมภีร์พระเวทหมวดหลังๆ มีร่องรอยของภาษา
พื้นเมืองเข้าไปปะปนอยู่ดวยมาก ข้อพิสูจน์ คือ เมื่ อ
้
เวลาผ่านไปประมาณ ๓๐๐ ปี ความแตกต่างของภาษา
ก็เกิดขึ้นจนทาให้อารยัน ต้องแต่งคัมภีร์ยชุรเวท เพื่อ
อธิบายบทสวดของฤคเวท
„ ระยะ ๑,๕๐๐ ปี ก่ อ นคริ ส ตกาลนี้ เอง ปราชญ์ช าว
อารยันคนหนึ่ง ชื่อ “ปาณิ นิ” มีความเห็นว่าหากปล่อย
- 9. „ ให้ภาษาถิ่ นเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาพระเวทมากขึ้ น
จะทาให้ลกษณะดั้งเดิมของภาษาอารยันเสี ยไป จึงได้
ั
เขียนตาราไวยากรณ์ข้ ึนเล่มหนึ่ ง ชื่ อว่า “อัษฎาธฺ ยายี”
แปลว่ า “คั ม ภี ร์ แปดบท” อธิ บ ายกฏเกณฑ์ แ ละ
โครงสร้ างของภาษาพระเวทเสี ย ใหม่ ให้ชื่อ ภาษาที่
่
จัดระบบใหม่แล้วนี้ วา “สันสกฤต” ซึ่ งแปลว่า ขัดเกลา
แล้ว, ทาให้ดีแล้ว เพื่อให้แตกต่างจากภาษาปรากฤตที่
- 11. ประวัติภาษาบาลี
„ ภาษาบาลี เ ป็ นภาษาปรากฤต (ที่ วิว ฒนาการมาจาก
ั
ภาษาพระเวท) ในยุคกลางของอินเดีย ภาษาปรากฤตนี้
แบ่งออกเป็ น ๓ สมัย คือ
„ ๑. ภาษาปรากฤตสมัยเก่า หรื อภาษาบาลี (Old Prakrit
or Pali) ซึ่งประกอบด้วย
„ ก. ภาษาถิ่นในจารึ กพระเจ้าอโศก ประมาณกลาง
- 12. „ ศตวรรษที่ ๓ ก่ อนคริ สตกาล ถึ งพุทธศตวรรษที่ ๒
(๒๕๐ ปี ก่อนคริ สตกาล)
„ ข. ภาษาบาลี ใ นพระไตรปิ ฎกของหิ น ยาน คัม ภี ร์
มหาวงศ์ และคาถาในชาดก
„ ค. ภาษาในคัมภีร์ทางศาสนาไชนะ
„ ง. ภาษาในบทละครของอัศวโฆษะ
- 13. „ ๒. ภาษาปรากฤตสมัยกลาง ซึ่งประกอบด้วย
„ ก. ภาษามหาราษฎรี ที่ปรากฏในลานาท้องถิ่นแถบที่
ราบสูงเดดคาน
„ ข. ภาษาปรากฤตในบทละครของกาลิทาส เช่น ภาษา
มาคธี ภาษาเศารเสนี ฯลฯ รวมทั้งภาษาปรากฤตใน
ตาราไวยากรณ์
- 15. „ ภาษาปรากฤตสมัยเก่านี้ เองได้ถูกนักไวยากรณ์นามา
วางกฏเกณฑ์ ซึ่ งได้รั บ อิ ท ธิ พ ลจากกฏเกณฑ์ ท าง
ไวยากรณ์ ข องสั น สกฤต และใช้บ ัน ทึ ก พุ ท ธวจนะ
ภาษาบาลีจึงเป็ นภาษาลักษณะเดียวกับภาษาสันสกฤต
คือ เป็ นภาษาสังเคราะห์ (Synthetic Language) ได้แก่
ภาษาที่สร้างขึ้น มิใช่ภาษาที่เกิดเองตามธรรมชาติ นัก
ภาษาต่างก็ยงไม่สามารถลงความเห็นได้แน่นอนว่า
ั
- 16. „ ภาษาบาลีถูกสร้ า งขึ้นจากภาษาปรากฤตภาษาใด ไม่
ทราบ ทราบแต่ เ พี ย งว่ า โครงสร้ างของภาษาบาลี
ใกล้ เ คีย งกับภาษาอรรธมาคธี ที่ เป็ นภาษาปรากฤต
ประจาศาสนาไชนะ
„ ภาษาบาลีถูกนามาใช้ บันทึก พระพุทธวจนะเป็ นลาย
ลักษณ์ อักษร เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ ปรากฏ
หลักฐานเป็ นครั้งแรกในจารึกพระเจ้ าอโศกมหาราช
- 17. „ ถือ เป็ นภาษาประจาพระพุทธศาสนานิก ายหิ น ยาน สว่ น
พระพุทธศาสนานิกายมหายานใช้ ภาษาสั นสกฤตบันทึกพระ
พุทธวจนะ
„ ที่มา : Alfred C. Woolner, Introduction to Prakrit, Motilal Banarsidass, 1975, P.
73,
„ อ้างใน สุ ภาพร มากแจ้ง, ภาษาบาลี – สั นสกฤตในภาษาไทย, ๒๕๓๕, หน้า๒-๔.
- 18. อุปมาอุปไมยภาษาบาลีและสั นสกฤต
„ นักภาษาศาสตร์ ของอินเดียจึงเปรียบภาษาบาลีเสมือน
หนึ่ ง กระแสธารที่ ไ หลมาตั้ ง แต่ ส มั ย พระเวทจนถึ ง
ปั จ จุ บัน ส่ วนภาษาสั น สกฤตนั้ น ได้ รับการอุป มาให้
เป็ นบึงใหญ่ ซึ่งถึงแม้ ว่า จะมีนาขังอยู่มากมาย แต่ ก็ไม่
้
มีการไหลถ่ ายเทไปที่ไหน หรือมิฉะนั้นก็เปรียบภาษา
สั น สกฤตกั บ ภาษาบาลี ใ ห้ เป็ นสองสาวลู ก พ่ อ แม่
เดียวกัน ภาษาบาลีน้ ันพอเติบโตขึนก็มเี หย้ ามีเรือน
้
- 19. „ ได้ลูก ได้ห ลานสื บตระกูล กันต่ อ ไป ส่ ว นสัน สกฤต
พอใจที่จะดารงตนเป็ นสาวแก่ตลอดมา ด้วยเหตุที่เป็ น
พี่ น้อ งท้อ งเดี ย วกันเช่ นนี้ สั น สกฤตกับ บาลี จึง มี รู ป
่
โฉมหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันถึงแม้วาเมื่อพูดถึงการ
ตกแต่งร่ างกายแล้วทั้งสองอาจจะมีวิธีการและรสนิ ยม
แตกต่างกันอยูบาง ่ ้
- 20. สาเหตุทภาษาบาลีและสั นสกฤตเข้ ามาในภาษาไทย
ี่
„ ในซี กโลกตะวันออก อินเดียได้ ชื่ อว่ าเป็ นประเทศที่
เจริ ญรุ่ งเรื อ งมาแต่ ค รั้ ง โบราณกาล ชนชาติต่า งๆ ใน
บริ เวณใกล้ เคียงโดยเฉพาะแถบเอเชี ยตะวันออกเฉียง
ใต้ ล้ ว นได้ รั บ อิท ธิ พ ลแห่ ง ความเจริ ญ รุ่ ง เรื อ งของ
อินเดียแทบทุกด้ าน
„ ประเทศไทยเป็ นชาติหนึ่ งที่อ ยู่ ในข่ า ยได้ รั บอิทธิ พ ล
แห่ งความเจริญรุ่งเรืองแทบทุกด้ านจากอินเดีย
- 21. „ โดยเฉพาะด้ านภาษา มีผู้กล่ าวว่ า “ถ้ าเปิ ดพจนานุกรม
ฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถานดู แ ล้ ว จะเห็ น ว่ า มี ค าที่ เ รา
นามาจากภาษาบาลีสันสกฤตอยู่ต้ังครึ่งค่ อนเล่ ม”
- 22. „ ตามหลั ก ฐานโบราณคดี พ บว่ า ศาสนาพุ ท ธนิ ก าย
หินยานเข้ า มาสู่ ดินแดนสุ วรรณภู มิเ ป็ นครั้ ง แรกเมื่อ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (คริ สต์ ศตวรรษที่ ๗)
โดยประมาณจากอายุจารึกภาษาบาลีเก่ าทีสุดทีขุดพบที่
่ ่
บริ เ วณนครปฐม หรื อ อาณาจั ก รทวาราวดี ใ นสมั ย
โบราณ คือ จารึ กคาถา เย ธมฺมา แต่ ถ้าจะยึดหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์ ศาสนาพุทธนิกายหินยานควรจะ
- 23. „ เข้ ามาก่ อนหน้ านั้น คือ ประมาณพุทธศตวรรษ
„ ที่ ๓ เมื่อพระเจ้ าอโศกมหาราชส่ งสมทูตออกเผยแพร่
พุทธศาสนา สมณทูตสายที่มาสู่ ดินแดนสุ วรรณภูมิ คือ
พระโสณเถระ และพระอุตรเถระ
„ จารึ ก ภาษาสั น สกฤตเก่ า ที่ สุ ด ในประเทศไทย พบที่
นครศรีธรรมราช เมือพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พ.ศ. ๑๓๑๘
่
- 24. „ (ค.ศ. ๗๗๕) มีเ นื้อ ความสรรเสริ ญพระเจ้ า แผ่ นดิน
แห่ งอาณาจักรศรีวิชัย และกล่ าวถึงการสร้ างปราสาท
อิ ฐ สามหลั ง บู ช าพระโพธิ สั ตว์ ปั ท มปาณี บู ช า
พระพุ ท ธเจ้ า และพระโพธิ สั ต ว์ วั ช รปาณี แสดง
อิทธิพลของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน
- 25. „ ที่กล่ าวมาแล้ วข้ างต้ นเป็ นเรื่ องราวของภาษาบาลีและ
สั นสกฤต ในดินแดนก่ อนที่ชนชาติไทยจะปรากฏ ซึ่ง
จากหลักฐานที่กล่ าวมายังไม่ อาจสรุ ปได้ อย่ างแน่ ชัดว่ า
ภาษาบาลี หรือภาษาสั นสกฤตเข้ ามาสู่ ดินแดนสุ วรรณ
ภูมิก่อนกัน เพราะยังอาจมีหลักฐานทางโบราณคดีที่
เก่ ากว่ านั้น ซึ่งยังขุดค้ นไม่ พบอิทธิพลของภาษาบาลี –
สั นสกฤตในภาษาไทย ปรากฏให้ เห็นครั้งแรกสุ ดใน
- 26. „ ศิ ล าจารึ ก หลั ก ที่ ๑ ของพ่ อ ขุ น รามค าแหงมหาราช
จารึ กเมื่ อ ปี พ .ศ. ๑๘๒๖ พุ ท ธศตวรรษที่ ๑๙
(คริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ ๑๓) ปรากฏทั้ ง ภาษาบาลี แ ละ
สั นสกฤต อิทธิพลของภาษาสั นสกฤตดูจะมีมากกว่ า
คาในจารึกทีเ่ ป็ นภาษาสั นสกฤตอย่ างชัดเจน ได้ แก่ ศรี
อินทราทิตย์ ตรีบูร ศรัทธา พรรษา พาทย์ ปราชญ์ ไตร
ศรีธรรมราช ปราสาท สรีตพงศ์ ศรีสัชชนาลัย ศก
- 27. „ ธรรม สถาบก ศรี รั ต นธาตุ สุ พรรณภู มิ สมุ ท ร
นอกจากนีเ้ ป็ นคาทีใช้ ปนกันทั้งภาษาบาลีและสั นสกฤต
่
เป็ นส่ วนใหญ่
„ ที่ มา : จิ ระพัฒน์ ประพันธ์วิทยา, “การเข้ามาของภาษาบาลี -สันสกฤตใน
ประเทศไทย”, เอกสารอัดสาเนาประกอบการสัมมนา อิทธิ พลของภาษาบาลี
และสันสกฤตที่มีต่อภาษาไทย, อ้างใน สุ ภาพร มากแจ้ง , เรื่ องเดียวกัน, หน้า
๕-๖.
- 28. สรุ ปสาเหตุ ๓ ประการ
„ ๑. ด้ านศาสนา อินเดียเป็ นชาติที่เจริ ญรุ่ งเรื อง และได้
ทาให้ ความเจริญรุ่ งเรืองแพร่ กระจายในบริ เวณแหลม
สุ ว รรณภู มิ ม าแต่ อ ดี ต โดยเฉพาะทางศาสนาชาว
อินเดียเป็ นผู้ นาเข้ า มาทั้งศาสนาพราหมณ์ และพุทธ
ศาสนา ประเทศไทยได้ ยอมรั บ เอาศาสนาพุท ธเป็ น
ศาสนาประจ าชาติ และรั บ เอาคติ ข องพราหมณ์ ม า
ปฏิบติในชีวตประจาวันปนอยู่ในลัทธิประเพณี
ั ิ
- 29. „ เกือบทุกอย่ าง ผลทีติดตามมาจากการนับถือศาสนาทั้ง
่
๒ ก็คือ ภาษาที่เ กี่ยวข้ อ งกับศาสนาทั้ ง ๒ ได้ เข้ ามา
ปะปนอยู่ ในภาษาไทยมากมาย ภาษาสั น สกฤต
เกี่ยวข้ องกับศาสนาพราหมณ์ และพุทธศาสนานิกาย
อาจริ ยวาท ส่ วนภาษาบาลีเกี่ยวข้ องกับพุทธศาสนา
นิ ก ายเถรวาทถ้ อ ยคาในภาษาทั้ง ๒ นี้จึง มี ป ะปนอยู่
อย่ างดาษดื่น บางคาเราใช้ กนสนิทปาก
ั
- 30. „ จนลืมนึกไปว่ าเป็ นคาที่เรารั บมาจากภาษาทั้ง ๒ เช่ น
บาป บุ ญ กุ ศ ล นรก สวรรค์ ทาน ศี ล เมตตา กรุ ณ า
คาถา พุทโธ โมโห เวทนา สั งขาร เป็ นต้ น
- 31. „ ๒. ด้ า นวรรณคดี วรรณคดี อิ น เดี ย มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ
วรรณคดีไทยเป็ นอย่ างยิ่ง ทั้งที่เป็ นวรรณคดีสันสกฤต
และวรรณคดีบาลี วรรณคดีสันสกฤตที่สาคัญ คือ รา
มายณะ และมหาภารตะ ส่ วนวรรณคดีบาลีที่สาคัญ คือ
พระไตรปิ ฎก เมื่อวรรณคดีเหล่ านี้เข้ ามาแพร่ หลายใน
ประเทศไทย ก็ทาให้ ถ้อยคาภาษาที่ใช้ อยู่ในวรรณคดี
เหล่ านั้นแพร่ หลายในภาษาไทยตามไปด้ วย ทั้งทีเ่ ป็ น
- 32. • ชื่อตัวละคร และศัพท์ ที่ใช้ ในวงการวรรณคดี เช่ น ราม
ลักษณ์ สี ดา ทศกัณฐ์ ครุ ฑ กินนร คนธรรพ์ หิมพานต์
พระสุ เมรุ ไกรลาส อโนดาต ฉัททันต์ ประพันธ์ ฉันท์
กาพย์ กวี เป็ นต้ น
- 33. • ๓. ด้ า นรั ฐ ศาสตร์ รั ฐ ศาสตร์ หรื อ วิ ช าว่ า ด้ ว ยการ
ปกครองแบบอิ น เดี ย มี อิ ท ธิ พ ลสู งต่ อระบบการ
ปกครองของไทยมาแต่ ค รั้ ง อดีต การปกครองของ
อินเดียนั้นมีพราหมณ์ ปุโรหิตเป็ นทีปรึกษาของพระเจ้ า
่
แผ่ นดิน ตาราเกียวกับการปกครองที่พราหมณ์ ปุโรหิต
่
เหล่ านี้ใช้ เป็ นคัมภีร์ภ าษาสั นสกฤต ดัง นั้น อิทธิ พ ล
ของภาษาสั นสกฤตทางด้ านรัฐศาสตร์ จึงมา
- 34. • จากพราหมณ์ ปุโรหิตเหล่ านั้น ตัวอย่ างคา เช่ น ราชา
ราชิ นี กษัตริย์ ราชโอรส กฎมณเฑียรบาล ราชบัลลังก์
อภิเษก เสนา อมาตย์ ตรี ปวาย ฉั ตรมงคล พืชมงคล
ตลอดจนการตั้งพระนามพระมหากษัตริย์ ราชทินนาม
ชื่อตาแหน่ ง ชื่อปราสาท พระราชวัง เป็ นต้ น
- 35. • สรุ ป สาเหตุที่ภาษาบาลีและสั นสกฤตเข้ ามาเกี่ยวข้ อง
กั บ ภาษาไทย มี ส าเหตุ เ ดี ย ว คื อ ความสั มพั น ธ์
แลกเปลียนทางวัฒนธรรม
่
- 36. ระบบเสี ยงภาษาบาลีและสั นสกฤต
• ภาษาบาลีและสั นสกฤต มีหน่ วยเสี ยงอยู่ ๒ ประเภท
คื อ หน่ ว ยเสี ย งสระและหน่ ว ยเสี ย งพยั ญ ชนะ ไม่ มี
หน่ วยเสี ยงวรรณยุกต์ เหมือนภาษาไทย
- 37. หน่ วยเสี ยงสระ
• หน่ วยเสี ยงสระบาลีมี ๘ หน่ วยเสี ยง ส่ วนสั นสกฤตมี
๑๓ หน่ ว ยเสี ย ง ระบบเสี ย งสระของภาษาบาลีจึ ง มี
ความซับซ้ อนน้ อยกว่ า เพราะมีจานวนน้ อยกว่ าถึง ๕
หน่ วยเสี ยง
- 38. ๑. หน่ วยเสี ยงสระบาลี
• ห น่ ว ย เ สี ย ง ส ร ะ บ า ลี มี ๘ รัสสระ ทีฆสระ ฐานทีเกิด
หน่ วยเสี ยง แบ่ งเป็ นสระเดี่ยว
๖ หน่ วยเสี ยง และสระประสม อะ อา ลาคอ
๒ หน่ วยเสี ยง อิ อี เพดาน
• ก. สระเดี่ ยว ๖ หน่ ว ยเสี ยง มี อุ อู ริมฝี ปาก
ลั ก ษณะเสี ย งและฐานที่ เ กิ ด
ต่ างกัน ดังนี้
- 39. • ข. สระประสม ทั้ง ๒ หน่ วยเสี ยง มีลักษณะเสี ยงและ
ฐานที่เกิดต่ างกัน ดังนี้
• เอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับ สระ อิ เกิดจาก
ฐานลาคอกับเพดาน
• โอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับ สระ อุ เกิด
จากฐานลาคอกับริมฝี ปาก
- 40. • สระประสมทั้ง ๒ หน่ วยเสี ยง ตามปกติมีเสี ยงเป็ นทีฆะ
คือ ออกเสี ย ง ๒ มาตรา แต่ ถ้ า หน่ ว ยเสี ย งทั้ ง ๒ นี้ ไป
ปรากฏกั บ ค าที่ มี ตั ว สะกดตั ว ตาม เสี ย งจะออกเป็ น
รัสสระ เช่ น
• เตโช เอ และ โอ เป็ น ทีฆสระ
• เมตฺตา เอ เป็ น รัสสระ
• โอฏฺฐ โอ เป็ น รัสสระ
- 41. ๒. หน่ วยเสี ยงสระสั นสกฤต
• หน่ วยเสี ยงสระสั นสกฤตมี ๑๔ หน่ วยเสี ยง เฉพาะทีมี ่
ลักษณะเสี ยงและฐานที่เกิดตรงกันกับสระในภาษาบาลี
๘ หน่ วยเสี ยง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ และ โอ ส่ วนอีก ๖
หน่ วยเสี ยงทีเ่ พิมไปจากภาษาบาลีมลกษณะเสี ยงและ
่ ีั
ฐานที่เกิด ดังนี้
- 42. • ก. สระเดี่ย ว มี ๔ หน่ ว ยเสี ย ง แต่ ล ะเสี ย งมีลัก ษณะ
เสี ยงและฐานที่เกิดต่ างกัน ดังนี้
• ฤ เป็ นรัสสระ เกิดจากฐานปุ่ มเหงือก
• ฤา เป็ นทีฆสระ เกิดจากฐานปุ่ มเหงือก
• ฦ เป็ นรัสสระ เกิดจากฐานฟัน
• ฦา เป็ นทีฆสระ เกิดจากฐานฟัน
- 43. • ข. สระประสม มี หน่ ว ยเสี ยง แต่ ล ะเสี ย งมีลัก ษณะ
เสี ยงและฐานที่เกิดต่ างกัน ดังนี้
• ไอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับ สระ เอ
• เกิดจากฐานลาคอกับเพดาน
• เอา เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับ สระ โอ
• เกิดจากฐานลาคอกับริมฝี ปาก
- 44. จัดเข้ าเป็ นพวกหรือวรรณะได้ ตามฐานที่เกิด
สระเดี่ยว สระประสม
วรรณะ รัสสระ ทีฆสระ คูณ พฤทธิ
อะ วรรณะ อะ อา เอ (อะ+อิ) ไอ (อะ+เอ)
อิ วรรณะ อิ อี โอ (อะ+อุ) เอา (อะ+โอ)
อุ วรรณะ อุ อู
ฤ วรรณะ ฤ ฤา
ฦ วรรณะ ฦ ฦา
ฦา วรรณะ
- 45. ข้ อควรจา
• ๑. เนื่องจากสระ เอ ของภาษาบาลีและสั นสกฤตเมื่อมี
ตั ว สะกดตั ว ตาม จะออกเสี ย งเป็ นรั ส สระ เมื่อ ไทย
รับคาบาลีสันสกฤตบางคาแล้ วมาเปลี่ยนรู ปเป็ นสระ เอ
มีตัวสะกด เราจึงไม่ นิยมใส่ ไม้ ไต่ คู้ท้งทีคาเหล่ านั้นออก
ั ่
เสี ยงสั้ น เช่ น
• วชฺ ร เป็ น เพชร
- 46. • ปญฺจ เป็ น เบญจ
• วชฺ ฌฆาต เป็ น เพชฌฆาต
• อนิจฺจอนาถ เป็ น อเนจอนาถ
• ๒. เนื่องจากสระ เอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ
กับสระ อิ ในการสนธิระหว่ างคาต้ นทีสุดศัพท์
่
- 47. • ด้ วยสระ อะ อา (อะ, อา การั นต์ ) กับคาหลังที่ขึ้นต้ น
ด้ วยสระ อิ อี จึงมักได้ รูปเป็ นสระ เอ เช่ น
• ปรม บวก อีศวร เป็ น ปรเมศวร
• นร บวก อินทร เป็ น นเรนทร
• มหา บวก อีศวร เป็ น มเหศวร
- 48. • ๓. เนื่องจากสระ โอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ
กับสระ อุ ในการสนธิระหว่ างคาต้ นที่สุดศัพท์ ด้วยสระ
อะ อา กับคาหลังที่ขึนต้ นด้ วยสระ อุ อู จึงมักได้ รูปเป็ น
้
โอ เช่ น
• ราชา บวก อุบาย เป็ น ราโชบาย
• อรุ ณ บวก อุทย ั เป็ น อรุโณทัย
• มหา บวก อุฬาร เป็ น มโหฬาร
- 49. • ๔. เนื่องจากสระ ไอ เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ
กับสระ เอ ซึ่งเป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับสระ
อิ อีกทีหนึ่ง สระ ไอ จึงมีความซั บซ้ อนมาก และไม่ มี
ในภาษาบาลีด้วย ดังนั้นคาที่สันสกฤตใช้ ไอ จึงเป็ น เอ
ในบาลี เช่ น
- 50. • ไมเรย เป็ น เมรย
• ไจตฺย เป็ น เจติย
• ไปรษฺย เป็ น เปสฺ ส
- 51. • ๕. เนื่องจากสระ เอา เป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ
กับสระ โอ ซึ่งเป็ นสระประสมระหว่ างสระ อะ กับสระ
อุ อีกทีหนึ่ง สระ โอ จึงมีความซั บซ้ อนมาก และไม่ มี
ในภาษาบาลีด้วย ดังนั้นคาทีสันสกฤตใช้ เอา จึงเป็ น โอ
่
ในบาลี เช่ น
- 52. • เปารุษ เป็ น โปริส
• เสาหิตฺย เป็ น โสหิจฺจ
• อกฺเษาหิณี เป็ น อกฺโขหิณี
- 53. • ๖. เนื่องจากสระที่อยู่ในวรรณะเดียวกันจะมีคุณสมบัติ
ที่ เ ป็ นฐานที่ เ กิ ด ร่ วมกั น ดั ง นั้ น สระที่ อ ยู่ ใ นวรรณะ
เดียวกันเหล่ านั้น จึงมักกลายเสี ยงกันได้ ง่าย โดยเฉพาะ
ในการสร้ างศัพท์ ด้วยวิธีกิตก์ (ธาตุ บวก ปัจจัย) ที่ต้อง
เพิมกาลังให้ กบสระ เช่ น
่ ั
- 54. • วิทฺ บวก ณ เป็ น เวท
• ลิขฺ บวก ณ เป็ น เลข
• วิทฺ บวก ณี เป็ น เวที
• ยุชฺ บวก ณ เป็ น โยค
• ภุชฺ บวก ณี เป็ น โภคี
• รุชฺ บวก ณ เป็ น โรค
- 55. หน่ วยเสี ยงพยัญชนะ
• หน่ ว ยเสี ย งพยั ญ ชนะภาษาบาลี มี ๓๓ หน่ ว ยเสี ย ง
ส่ วนของภาษาสั นสกฤตมี ๓๕ หน่ วยเสี ยง มากน้ อย
กว่ ากัน ๒ หน่ วยเสี ยง คือ ศ ษ นอกจากนั้นมีตรงกัน
ดังนี้
• ๑. หน่ วยเสี ยงพยัญชนะบาลี มี ๓๓ หน่ วยเสี ยง แบ่ ง
ตามคุณสมบัติของเสี ยงได้ ๒ พวกใหญ่ ๆ ดังนี้
- 56. • ก. พยัญชนะวรรค มี ๒๕ หน่ วยเสี ยง ได้ แก่ พยัญชนะ
ในแถวที่ ๑ – ๕ ทุกวรรค พยัญชนะในแต่ ละแถว
เหล่ านี้ มีคุณสมบัติของเสี ยงตรงกันและเกิดขึ้นครบ
ทุ ก ฐานกรณ์ เช่ น พยัญชนะในแถวที่ ๑ มีคุ ณ สมบัติ
ของเสี ยงเป็ น อโฆษะ สิ ถิล และเกิดขึ้นครบทุ ก ฐาน
กรณ์ ดังนี้
- 57. •ก เกิดจากฐานกัณฐชะ
•จ เกิดจากฐานตาลุชะ
•ฏ เกิดจากฐานมุทธชะ
•ต เกิดจากฐานทันตชะ
•ป เกิดจากฐานโอฏฐชะ
- 58. • สาเหตุทเี่ รียกว่ า พยัญชนะวรรค เพราะพยัญชนะแต่
ละแถวมีคุณสมบัติของเสี ยงตรงกันและเกิดขึนจาก
้
ฐานกรณ์ ครบทั้ง ๕
- 59. แผนภูมิ
ลักษณะเสี ยง อโฆษะ โฆษะ
ฐานกรณ์ สิ ถิล ธนิต สถิล ธนิต นาสิ ก
กัณฐชะ (ลาคอ) ก ข ค ฆ ง
ตาลุชะ (เพดาน) จ ฉ ช ฌ ญ
มุทธชะ (ปุ่ มเหงือก) ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
ทันตชะ (ฟัน) ต ถ ท ธ น
โอฏฐชะ (ริมฝี ปาก) ป ผ พ ภ ม
- 60. • ข. พยัญชนะอวรรคหรือเศษวรรค
• พยัญชนะอวรรคหรือเศษวรรค มี ๘ หน่ วยเสี ยง คือ ย
รลวสหฬอ
• พยัญชนะเหล่ านีมคุณสมบัติของเสี ยงที่เกิดขึนไม่ ครบ
้ ี ้
ทุกฐานกรณ์ ดังนี้
- 61. •ย เป็ นเสี ยงอรรธสระ โฆษะ เกิดฐานตาลุชะ
•ร เป็ นเสี ยงโฆษะ เกิดฐานมุทธชะ
•ล เป็ นเสี ยงโฆษะ เกิดฐานทันตชะ
•ว เป็ นเสี ยงอรรธสระ โฆษะ เกิดฐานโอฏฐชะ
•ส เป็ นเสี ยงอุสุม อโฆษะ เกิดฐานทันตชะ
- 62. • ห เป็ นเสี ยงโฆษะ เกิดฐานกัณฐชะ
• ฬ เป็ นเสี ยงโฆษะ เกิดฐานมุทธชะ
• อ เป็ นเสี ยงโฆษะ เกิดฐานกัณฐชะ
- 63. ความแตกต่ างระหว่ างภาษาไทยกับบาลีและ
สั นสกฤต
• ภาษาบาลี – สั นสกฤต และภาษาไทยแตกต่ างกันด้ วย
ตระกูลภาษา
• ภาษาไทยอยู่ ในตระกู ล ภาษาค าโดด (Isolating
Language) มี ลั ก ษณะเด่ น คื อ ค าในภาษาไทยส่ วน
ใหญ่ เป็ นคาพยางค์ เดียว และสร้ างคาด้ วยวิธีการนาคา
มารวมกัน
- 64. ความแตกต่ างทางระบบเสี ยง
• ภาษาบาลี – สั นสกฤตมีเสี ยงสาคัญ ๒ เสี ยง คือ เสี ยง
สระ และเสี ยงพยัญชนะ
• ภาษาไทยมีเ สี ย งส าคัญ ๓ เสี ย ง คือ เสี ย งสระ เสี ย ง
พยัญชนะ และเสี ยงวรรณยุกต์
- 65. • ภาษาบาลี – สั นสกฤต อยู่ในตระกูลมีวิภัตติปัจจัย
(Inflectional Language) ซึ่ งประกอบขึ้นจากธาตุ
(root) และสร้ างคาด้ วยการนาเอาส่ วนของคามา
ประกอบเข้ าข้ างหน้ า และข้ างหลังศัพท์
- 66. • การที่ภาษาไทยมีเสี ยงวรรณยุก ต์ จึง ทาให้ คาบาลี –
สั น สกฤต ที่ไ ทยรั บ มาส่ วนหนึ่ ง ถู ก ดัด แปลงให้ อ อก
เสี ยงสะดวก และกลมกลืนกับภาษาไทย โดยเติมเสี ยง
วรรณยุกต์ ลงไป เช่ น พาห > พ่ าห์ เทห > เท่ ห์ โลห
> โล่ พุทโธ > พุทโธ่
- 67. ความแตกต่ างของสระ
• ก. ความแตกต่ างของเสี ยงสระ
• ภาษาบาลีมีเ สี ยงสระ ๘ เสี ยง สั นสกฤตมี ๑๔ เสี ย ง
ส่ วนเสี ยงสระในภาษาไทยมี ๒๔ เสี ยง (ไม่ นับสระเกิน
อีก ๘ เสี ยง) ซึ่ งซ้าเสี ยงกับสระบาลี – สั นสกฤต
ทั้งหมด และยังมีเกินกว่ านั้นอีก ๑๖ เสี ยง คือ มีเสี ยง
สระเดี่ยวมากกว่ า ๑๐ เสี ยง ได้ แก่ อึ อื เอะ เอ แอะ แอ
เออะ เออ โอะ เอาะ ออ
- 68. • เสี ยงสระประสม ๖ เสี ยง ได้ แก่ เอียะ เอีย เอือ ะ เอือ
อัวะ อัว ทั้งนีมข้อสั งเกต คือ สระ ฤ ฤา ฦ ฦา สั นสกฤต
้ ี
เป็ นสระเดี่ยว เอ โอ ไอ เอา บาลี – สั นสกฤต เป็ นสระ
ประสม (Diphthong) ส่ วนภาษาไทย เอ โอ เป็ นสระ
เดียว ฤ ฤา ฦ ฦา ไอ เอา เป็ นสระเกิน
่
- 69. ความแตกต่ างของพยัญชนะ
• ความแตกต่ างของพยัญชนะภาษาไทยกับภาษาบาลี –
สั นสกฤตนั้น แยกได้ เป็ น ๒ ด้ าน คือ
• ๑. ความแตกต่ างทางเสี ยงพยัญชนะ
• ๒. ความแตกต่ างทางการใช้ พยัญชนะ
- 70. ความแตกต่ างของการใช้ สระ
• - ภาษาบาลีต้องลงท้ ายด้ วยเสี ยงสระเสมอ
• - ภาษาสั นสกฤตทั้งสระเดียว และสระประสมมี
่
พยัญชนะตามได้ ทุกเสี ยง
• - ภาษาไทยทั้งสระเดียว และสระประสมมีพยัญชนะ
่
ตามได้ ทุกเสี ยงเว้ นเสี ยงสระเกิน อา ไอ ใอ เอา ไม่
สามารถตามด้ วยเสี ยงพยัญชนะได้
- 71. ๑. ความแตกต่ างทางเสี ยงพยัญชนะ
• ภาษาบาลี – สั นสกฤต มีเสี ยงพยัญชนะทั้งสิ้น ๓๕
เสี ยง ๓๕ รูป (บาลีมี ๓๓ เสี ยง ๓๓ รูป)
• ภาษาไทยมี ๒๑ เสี ยง ๔๔ รูป (ปัจจุบนใช้ เพียง ๔๒ รู ป
ั
ฃ ฅ เลิ ก ใช้ ) มี ท้ั ง เสี ยงที่ ซ้ า และต่ างกั บ บาลี –
สั นสกฤต
- 72. ตารางเปรียบเทียบภาษาบาลี – สั นสกฤต
บาลี สั นสกฤต
๑. สระมี ๘ ตัว คือ ๑. สระมี ๑๔ ตัว เพิมจาก
่
อะ อา อิ อี บาลี ๖ ตัว คือ
อุ อู เอ โอ ฤ ฤๅ
ฦ ฦๅ ไอ เอา
- 73. บาลี สั นสกฤต
๒. มี พ ยั ญ ชนะ ๓๓ ๒. มีพยัญชนะ ๓๕ ตัว
ตัว (พยัญชนะวรรค) เพิมจากภาษาบาลี ๒
่
ตัว คือ ศ ษ
ยกเว้ น ศอก ศึก เศิก โศก
เศร้ า เป็ นภาษาไทยแท้ )
- 74. บาลี สั นสกฤต
๓. มีตวสะกดตัวตาม
ั ๓. มีตวสะกดและตัวตามไม่
ั
แน่ นอน เช่ น กัญญา จักขุ แน่ นอน เช่ น กันยา จักษุ
ทักขิณะ ปุจฉา อัณณพ ทักษิณ ปฤจฉา วิทยุ
คัมภีร์ เป็ นต้ น อัธยาศัย เป็ นต้ น
- 75. บาลี สั นสกฤต
๔. นิยม ๔. นิยม
ใช้ ฬ เช่ น กีฬา จุฬา ใช้ ฑ เช่ น กรีฑา จุฑา
ครุฬ เป็ นต้ น ครุฑ
(จาว่ า กีฬา-บาลี) (จาว่ า กรีฑา-
สั นสกฤต)
- 76. บาลี สั นสกฤต
๕. ไม่ นิยมควบกลาและ ้ ๕. นิยมควบกลาและล
้
อักษรนา เช่ น ปฐม อักษรนา เช่ น ประถม
มัจฉา สามี มิต ฐาน มัตสยา สวามี มิตร
ปทุม ถาวร เปม สถาน ประทุม สถาวร
กิริยา เป็ นต้ น เปรม กริยา เป็ นต้ น
- 77. บาลี สั นสกฤต
๖. นิยม ๖. นิยมใช้ รร (ร หัน) เช่ น
ใช้ "ริ" เช่ น ภริย ภรรยา จรรยา อัศจรรย์
า จริยา อัจฉริยะ เป็ นต้ น
เป็ นต้ น
เนื่องจากแผลงมาจาก รฺ (ร เรผะ) เช่ น
วรฺ ณ = วรรณ ธรฺ ม = ธรรม
* ยกเว้ น บรร เป็ นคาเขมร
- 78. บาลี สั นสกฤต
๗. นิยมใช้ ณ นาหน้ าวรรค ๗. นิยม "เคราะห์ " เช่ น
ฏะ เช่ น มณฑล ภัณฑ์ วิเคราะห์ สั งเคราะห์
หรือ ณ นาหน้ า ห เช่ น อนุเคราะห์ เป็ นต้ น
กัณหา ตัณหา
- 79. ลักษณะเสี ยง อโฆษะ โฆษะ
ฐานกรณ์ สิ ถิล ธนิต สถิล ธนิต นาสิ ก
กัณฐชะ (ลาคอ) ก ข ค ฆ ง
ตาลุชะ (เพดาน) จ ฉ ช ฌ ญ
มุทธชะ (ปุ่ มเหงือก) ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
ทันตชะ (ฟัน) ต ถ ท ธ น
โอฏฐชะ (ริมฝี ปาก) ป ผ พ ภ ม
- 80. แผนภูมิสรุ ปหน่วยเสี ยงบาลี สันสกฤต
ลักษณะเสี ยง พยัญชนะวรรค พยัญชนะ สระ
อโฆษะ โฆษะ เศษวรรค
ฐานกรณ์ สถิล ธนิต สถิล ธนิต นาสิ ก โฆษะ อโฆษะ เดี่ยว ประสม
กัณฐชะ ก ข ค ฆ ง ห อะ อา
ตาลุชะ จ ฉ ช ฌ ญ ย ศ* อิ อี เอ โอ*
มุทธชะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ร ฬ ษ* ฤ* ฤา*
ทันตชะ ต ถ ท ธ น ล ส ฦา*
โอฏฐชะ ป ผ พ ภ ม ว อุ อู โอ เอา*
- 81. • ข้ อสั งเกต
„ ๑. พยั ญ ชนะวรรคทั้ ง ๒๕ หน่ วยเสี ย งเป็ นมู ค ะ
(mutes) คือ เป็ นใบ้ ออกเสี ยงเองไม่ ได้ ต้ องอาศัยสระ
จึงออกเสี ยงได้ ดังนั้น คาใดที่มีพยัญชนะวรรคเป็ น
ตัวสะกดและมีพยัญชนะวรรคเป็ นตัวตาม เมื่อเป็ นคา
ในภาษาไทย เราจึงไม่ ออกเสี ยงตัวสะกด เช่ น
- 82. „ สปฺตาห ไทยใช้ สั ปดาห์ อ่ านว่ า สั บ – ดา
„ วิตฺถาร ไทยใช้ วิตถาร อ่ านว่ า วิด – ถาน
„ อคฺนี ไทยใช้ อัคนี อ่ านว่ า อัก - นี
- 83. „ ๒. คาที่มี ศ ษ ส สะกด ตัวอื่นตาม เมื่อเป็ นภาษาไทย
เราจะออกเสี ยงตัวสะกดมีเสี ยงสระอะ ทั้งนีเ้ พราะ ศ ษ
ส เป็ นอุสุม จึงมีเสี ยงแทรกออกมา เช่ น
„ วิสฺตาร ไทยใช้ พิสดาร อ่ านว่ า พิด – สะ – ดาน
„ วสฺ ตุ ไทยใช้ วัสดุ อ่ านว่ า วัด – สะ – ดุ
„ ปุษฺป ไทยใช้ บุษบา อ่ านว่ า บุด – สะ - บา