Contenu connexe
Similaire à บทความวิจัยดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา ภาคภาษาไทย ผอ.เชิดศักดิ์ ศุภโสภณ
Similaire à บทความวิจัยดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา ภาคภาษาไทย ผอ.เชิดศักดิ์ ศุภโสภณ (20)
Plus de Kobwit Piriyawat (20)
บทความวิจัยดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา ภาคภาษาไทย ผอ.เชิดศักดิ์ ศุภโสภณ
- 1. 1
การพัฒนารู ปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงสู่ ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพืนฐานของรัฐ
้
เชิดศักดิ์ ศุภโสภณ
รศ.ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทกษ์ ั
รศ.ดร.วีระวัฒน์ อุทยรัตน์
ั
THE DEVELEPMENT OF A CHANGE MANGEMENT MODEL
TOWARD THE EXCELLENCE OF PUBLIC BASIC EDUCATION INSTITUTIONS.
CHERDSAK SUPPASOPON
PRUET SIRIBANPITAK
WEERAWAT UIAIRAT
บทคัดย่ อ
การวิจยครั้งนี้มีวตถุประสงค์เพือศึกษาสภาพและปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลง
ั ั ่
ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ ตลอดจนพัฒนารู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ น
เลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ กลุ่มตัวอย่างในการวิจย ประกอบด้วย ผูบริ หารสถานศึกษาขั้น
ั ้
พื้นฐานที่เป็ นเลิศ จานวน 9 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และผูรักษา
้
ในตาแหน่งผูบริ หารสถานศึกษา รองผูบริ หาร หัวหน้ากลุ่มสาระการเรี ยนรู ้หรื อหัวหน้ างาน จานวน
้ ้
ทั้งสิ้น 471 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) เครื่ องมือที่ใช้ในการ
วิจย ประกอบด้วย แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม ผลการวิจยพบว่า
ั ั 1)
สภาพการบริ หารการเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษา มีการกาหนดทิศทางการบริ หารงาน โดยคานึงถึง
ความต้องการ/ ความจาเป็ น มีการวิเคราะห์งานหลักที่สาคัญและจาเป็ นของสถานศึกษา มีการจัดทา
แผนงบประมาณที่สอดคล้องกับนโยบายของโรงเรี ยน มีการแปลงกลยุทธ์สู่การปฏิบตโดยจัดทาเป็ น
ัิ
แผนประจาปี การขับเคลื่อนกระบวนการบริ หารเป็ นแบบล่างขึ้นบน มีโครงการสนับสนุนให้บุคลากร
สามารถประเมินผล และนามาใช้ในการจัดการเรี ยนการสอนอย่างเหมาะสม 2) ปั ญหาการบริ หาร
การเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษา คือ การกาหนดนโยบายไม่ได้สะท้อนปั ญหาที่แท้จริ งของ
สถานศึกษา การกาหนดเป้ าหมายไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหา/ความต้องการอย่างแท้จริ ง และการ
กาหนดกลยุทธ์ต่างๆ ไม่สมพันธ์กบกลยุทธ์ขององค์กร ขาดการทางานเป็ นทีม จานวนบุคลากรไม่
ั ั
ั
สัมพันธ์กบจานวนงาน มีงบประมาณไม่เพียงพอ กฎระเบียบไม่เอื้อต่อการให้อานาจการตัดสินใจ
และการประเมินผลการปฏิบติงานไม่ครบถ้ว นตามแผนการปฏิบติงาน 3) รู ปแบบการบริ หารการ
ั ั
เปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ ที่ควรจะเป็ น คือ รู ปแบบบูรณาการ 4
มุมมอง ประกอบด้วย มุมมองจากบนลงล่าง (Top - Down) มุมมองจากล่างขึ้นบน (Bottom –Up)
มุมมองจากภายนอกสู่ภายใน (Outside –In) และมุมมองภายในสู่ภายนอก (Inside–Out)
- 2. 2
แนวคิด หลักการ และวัตถุ ประสงค์ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้าง การเพิมบทบาท ่
หน้าที่และบริ การใหม่ การเปลี่ยนผูนา และการปรับตัวให้ทนการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
้ ั
โครงสร้างการบริ หารแบบ
งานหลักและงานที่ปรึ กษา (Line and Staff Organization Structure) แบบร่ วมคิดร่ วมทา
และลักษณะรู ปแบบบูรณ าการ 4 มุมมอง (Integrated four perspective Model) และกลยุทธ์การ
ดาเนินงาน ประกอบด้วย กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรโดยการบัญชา การให้มีส่วนร่ วมในวงจากัด
การกระจายอานาจ และการสร้างขีดความสามารถให้แก่สมาชิกในองค์กร ส่วนปั จจัยการเปลี่ยนแปลง
สู่ความสาเร็จ ส่วนใหญ่ข้ ึ นอยูกบสมรรถนะส่วนบุคคลของผูบริ หารสถานศึกษา และปั จจัยที่ช่วย
่ ั ้
ส่งเสริ ม ได้แก่ การบริ หารทรัพยากร การมีส่วนร่ วมของบุคลากร เครื อข่ายภายนอก การจัดการปั ญหา
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การปฏิบติงานอย่างเหมาะสม ความเป็ นสถาบัน และการเปลี่ยนแปลงองค์กร
ั
บทนา
กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทั้งทางความเจริ ญด้านเทคโนโลยี กระแสสังคมโลกา
ภิวตน์ ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ด้านการเมืองการปกครองที่มีลกษณะประชาธิปไตย ด้านกฎหมาย
ั ั
รัฐธรรมนูญ และด้านการปฏิรูประบบบริ การสุขภาพ ส่งผลทาให้สภาพภายในประเทศเปลี่ยนแปล ง
ไป กระแสของการเปลี่ยนแป ลงต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบและเป็ นแรงผลักดันให้สภาพการจัด
การศึกษาของประเทศเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านปรัชญาการศึกษา เป้ าหมาย วัตถุประสงค์ หลักสูตร
การจัดการเรี ยนการสอน การประเมินผลการเรี ยนการสอน การนิเทศและการพัฒนาบุคลากร รู ปแบบ
การจัดการศึกษา การบริ หารจัดการ บทบาทของผูบริ หารและบุคลากรครู ผสอน การบริ หารการศึกษา
้ ู้
มีแนวโน้มเป็ นไปในลักษณะเดียวกับการบริ หารธุรกิจที่มุ่งประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างจริ งจัง
โดยเฉพาะอย่างยิงการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่อการจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
่ ถือเป็ น
การศึกษาที่จดขึ้นเพื่ อเตรี ยมทรัพยากรอันมีค่าของประเทศอ อกสู่ยคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็ น
ั ุ
การยกระดับคุณภาพของประชากรในประเทศให้มากขึ้นส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต
ทฤษฎีการบริ หารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ การ
ั
บริ หารการเปลี่ยนแปลงที่เด่นๆ และสามารถนามาประยุกต์ใช้กบการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
ได้แก่ ทฤษฎีของเลวิน (Lewin, 1985 อ้างถึงใน เสริ มศักดิ์ วิศาลาภรณ์ , 2539) ซึ่ง อธิบายถึง
กระบวนการเปลี่ยนแปลง ทฤษฎี E และทฤษฎี O ของ ลียค (Leucke, 2003) ทฤษฎี E นั้นเป็ นการ
ุ
เปลี่ยนแปลงเป้ าหมายจากหน้ามือเป็ นหลังมืออย่างรวดเร็วโดยเน้นที่ค่านิยมที่เปลี่ยนจากบนลงสู่ล่าง
มีการใช้ที่ปรึ กษา จากภายนอกเป็ นจานวนมาก ส่วนทฤษฎี O เน้นการเปลี่ยนเป้ าหมายเพือให้ ่
เป้ าหมายมีผล การปฏิบติงานที่สูงขึ้น เน้นวัฒนธรรมที่ทรงพลังและบุคลากรที่มีความสามารถและมี
ั
สมรรถนะสูง แนวคิดของท ฤษฎี Hamlin (2001) ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ครอบคลุม
ในมิติที่เป็ นการทาให้เกิดผลในส่วนต่างๆ ขององค์ประกอบในองค์การ อาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
- 3. 3
ผสมผสานหรื อเกิดขึ้นต่อเนื่องแต่ละประเภทก็ได้แล้วแต่บริ บทของสถานศึกษาแต่ละแห่ง อย่างไรก็
่่
ตาม ทฤษฎีและแนวคิดทา งการบริ หารเป็ นที่ ทราบกันอยูวา “ไม่มีวธีการบริ หารแบบใด แบบหนึ่งที่
ิ
เป็ นวิธีที่ดีที่สุด ” (No one best way) ในทางปฏิบ ั ติการเลือกใช้รูปแบบที่ดีที่สุด ที่เหมาะสมที่สุดกับ
สถานการณ์ที่เกิดในขณะนั้น และมักมีการคิดค้นพัฒนารู ปแบบการบริ หารใหม่ๆ ขึ้นมาใช้อยูเ่ สมอๆ
ดังนั้น รู ปแบบการบริ หารที่ดีจะต้องแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปร นาไปสู่การ
ทานายผลที่จะตามมา โดยสามารถตรวจสอบได้ดวยข้อมูลเชิงประจักษ์ อธิบายถึงโครงสร้างหรื อ
้
กลไกความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของเรื่ องที่กาลังทาอย่างชัดเจน นาไปสู่การสร้างแนวความคิด ใหม่หรื อ
ความสัมพันธ์ใหม่ หรื อขยายองค์ความรู ้ สอดคล้องกับทฤษฎีของเรื่ องที่จะใช้รูปแบบ
ผูวจยในฐานะผูบริ หารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตระหนักถึงรู ปแบบการบริ หารสถานศึกษาที่ดี
้ิั ้
มีความเหมาะสม สามารถนาไปใช้ในการบริ หารสถานศึกษาเพือให้สถานศึกษาสู่ความเป็ นเลิศตาม
่
เป้ าหมายของการจัดการศึกษาในสภาพการเปลี่ยนแปลงของปั จจุบน ผูวจยจึงสนใจที่จะศึกษาการ
ั ้ิั
พัฒนารู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ อันจะ
เป็ นประโยชน์ท้งในเชิงวิชาการและเชิงปฏิบติการ ด้านการบริ หารจัดการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน
ั ั
เป็ นการเพิมประสิทธิภาพและคุณภาพทางการศึกษาโดยรวมของประเทศต่อไป
่
วัตถุประสงค์ในการวิจัย
1. เพือศึกษาสภาพการบริ หารการเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ
่
2. เพือศึกษาปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ
่
3. เพือพัฒนารู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
่
ของรัฐ
วิธีดาเนินการวิจัย
การวิจยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวจยเชิงพรรณนา ใช้วธีการเก็บข้อมูลจากหลายแหล่งหลายวิธีการ
ั ิั ิ
เพือตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ข้อมูลของการวิจยครั้งนี้มีท้งข้อมูลเชิงปริ มาณ
่ ั ั
(Quantitative Data) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data)โดยดาเนินการตามขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 กาหนดกรอบความคิดในการวิจย โดยการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและ
ั
งานวิจยที่เกี่ยวข้องกับการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพืนฐานของรัฐ
ั ้
เพือนาสาระสาคัญเป็ นข้อมูลประกอบการดาเนินการวิจย
่ ั
ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสภาพและปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ โดยศึกษาสภาพและปั ญหาจากเอกสารและงานวิจยที่เกี่ยวข้อง โดย
ั
เครื่ องมือ การวิจยที่จดทาขึ้นตามกรอบความคิดของกา
ั ั รวิจย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร
ั
- 4. 4
การวิเคราะห์ขอมูลใช้การวิเคราะห์และการสังเคราะห์เนื้อหาแล้วสรุ ปสาระสาคัญตามที่กาหนดไว้ใน
้
กรอบความคิดของการวิจย ศึกษาสภาพและปั ญหาโดยใช้แบบสอบถามกับบุคลากรของสถานศึกษา
ั
ขั้นพืนฐานที่เป็ นเลิศ วิเคราะห์ขอมูลจา กแบบสอบถามโดยใช้ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
้ ้
ศึกษาสภาพและปั ญหาจากการสัมภาษณ์ผบริ หารสถานศึกษาที่เป็ นเลิศ โดยใช้เครื่ องมือเป็ นแบบ
ู้
สัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้างวิเคราะห์ขอมูลผลการสัมภาษณ์ โดยการสังเคราะห์เนื้อหา
้
ขั้นตอนที่ 3 สร้างรู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปล ง สู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษา ขั้น
พื้นฐานของรัฐ โดยพิจารณาร่ างรู ปแบบจากการสังเคราะห์ผลการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ผลการวิจยที่ ั
เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาสภาพและปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานของรัฐ
ขั้นตอนที่ 4 ประเมินความเหมาะสมแ ละความเป็ นไปได้ของรู ปแบบโดยการสนทนากลุ่ม
(Focus Group Discussion) ของกลุ่มผูทรงคุณวุฒิ จานวน 18 คนโดยเลือกผูทรงคุณวุฒิร่วมกับอาจารย์
้ ้
ที่ปรึ กษาแบบเจาะจงบุคคล 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผูที่เป็ นหรื อเคยเป็ นผูบริ หารระดับกระทรวงและ
้ ้
สานักงานเขตพืนที่การศึกษา 2) กลุ่มนักวิชาการ /นักกฎหมาย 3) กลุ่มผูปฏิบติงานในสถานศึกษา
้ ้ ั
ประกอบด้วย ผูอานวยการสถานศึกษา รองผูอานวยการสถานศึกษา และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรี ยนรู ้
้ ้
หรื อหัวหน้างาน จากนั้นจึงวิเคราะห์และสังเคราะห์ขอมูลเพือนาไปปรับปรุ งสร้างรู ปแบบต่อไป
้ ่
ขั้นตอนที่ 5 ปรับปรุ งพัฒนาและนาเสนอรู ปแบบ โดยการนาผลจากการศึกษาความเหมาะสม
และความเป็ นไปได้ของรู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้น
พื้นฐานของรัฐ จากผูทรงคุณวุฒิมาปรับปรุ งและนาเสนอรู ปแบบการบริ หารสถานศึกษา
้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่ าง
การวิจยครั้งนี้ กาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็ น 2 ส่วน ดังนี้
ั
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์
ประชากรที่ใช้ คือ ผูบริ หารสถานศึกษาต้นแบบสถานศึกษา ประเภทที่1 จานวน 609 คน
้
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผูบริ หารสถานศึกษาต้นแบบสถานศึกษา ประเภทที่ 1 จานวน 9 คน
้
ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กระจายตามเขตตรวจราชการ
2. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสอบถาม
ประชากรที่ใช้ คือ ผูบริ หารหรื อผูรักษาการในตาแหน่งผูบริ หารสถานศึกษา รองผูบริ หาร
้ ้ ้ ้
หัวหน้ากลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ หรื อหัวหน้างานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็ นเลิศ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผูบริ หารสถานศึกษาหรื อผูรักษาการในตาแหน่งผูบริ หารสถานศึกษา
้ ้ ้
รองผูบริ หาร หัวหน้ากลุ่มสาระการเรี ยนรู ้หรื อหัวหน้างาน จานวนทั้งสิ้น 482 คน ซึ่งได้มา โดยวิธี การ
้
สุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling)
- 5. 5
เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย
1. แบบวิเคราะห์เอกสาร มีลกษณะเป็ นแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างขึ้น เพือวิเคราะห์และ
ั ่
สังเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับหลักการ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยที่เกี่ยวข้องตามกรอบความคิดในการ
ั
วิจย
ั
2. แบบสัมภาษณ์ เป็ นแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง ใช้สาหรับสั มภาษณ์ผบริ หาร
ู้
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็ นเลิศ เพือสอบถามรู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศ
่
ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ
3. แบบสอบถาม เป็ นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) สาหรับสอบถามบุคลากรของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็ นเลิศ เพือสารวจสภาพแ ละปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่
่
ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ
ผลการศึกษา
1. ผลการศึกษาสภาพและปั ญหากระบวนการบริ หาร มีรายละเอียดดังนี้
1) ด้านการกาหนดเป้ าหมาย วิเคราะห์ปัญหา/ความต้องการ มีการกาหนดทิศทาง
โดยคานึงถึงความต้องการ/ ความจาเป็ น แต่การกาหนดเป้ าหมายไม่ชดเจน
ั
2) ด้านการกาหนดนโยบาย ไม่ได้สะท้อนปั ญหาที่แท้จริ งของสถานศึกษา การ
กาหนดเป้ าหมาย ไม่ได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหา/ความต้องการอย่างแท้จริ ง และการกาหนดกลยุทธ์
ั
ต่างๆ ไม่สมพันธ์กบกลยุทธ์ขององค์กร
ั
3) ด้านการวางแผน มีการวิเคราะห์งานหลักที่ สาคัญและจาเป็ นของสถานศึกษา
กาหนดผูรับผิดชอบหลักในทุกขั้นตอน การขับเคลื่อนกระบวนการบริ หารเป็ นแบบล่างขึ้นบน แต่การ
้
วางแผนไม่เป็ นตามลาดับขั้นตอน ขาดระบบระเบียบวิธีการปฏิบติงานที่ชดเจน คณะทางานขาดการ
ั ั
ทางานเป็ นทีม การประสานงาน และการเดินไปในทิศทางเดียวกัน กา รพิจารณาจานวนบุคลากรไม่
ั
สัมพันธ์กบจานวนงานในสถานศึกษา
4) ด้านงบประมาณ มีการจัดทาแผนงบประมาณ ที่สอดคล้องกับนโยบายของ
โรงเรี ยน มีโครงการสนับสนุนให้บุคลากร สามารถกาหนดงบประมาณ มาใช้เพือการจัดการเรี ยนการ
่
สอนอย่างเหมาะสม แต่มีงบประมาณไม่เพียงพอ และกฎ ระเบียบไ ม่เอื้อต่อการให้อานาจการ
ตัดสินใจ
5) ด้านการนาแผนไปปฏิบติ มีการแปลงกลยุทธ์สู่การปฏิบติ โดยจัดทาเป็ นแผน
ั ั
ั ้
ประจาปี มีการกระจายงานและอานาจในการตัดสินใจให้กบผูบริ หารและบุคลากร การขับเคลื่อน
กระบวนการบริ หาร เป็ นแบบล่างขึ้นบน แต่การประสานงานในการนาแผนไปปฏิบติ สร้างความ
ั
สับสน เข้าใจไม่ตรงกัน การมอบหมายไม่ชดเจน
ั
- 6. 6
6) ด้านการประเมินผล มีการประเมินตนเองทุกปี การศึกษา เพือติดตาม
่
ความก้าวหน้าของสถานศึกษา มีโครงการสนับสนุนให้บุคลากร สามารถประเมินผล และนามาใช้ใน
การจัดการเรี ยนการสอนอย่างเหมาะสม แต่การประเมินผลการปฏิบตงา นไม่ครบถ้วนตามแผนการ
ัิ
ปฏิบติงาน
ั
2. ผลการพัฒนารู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานของรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
ส่ วนที่ 1 ชื่อรู ปแบบ
รู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของ
รัฐ ที่ผวจยพัฒนาขึ้น ใช้แนวคิดรู ปแบบการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยงยืนและสมดุลของ สตีฟ
ู้ ิ ั ั่
ไตรเวตต์ (Steve Trivett) ประกอบด้วยมุมมอง 4 แบบ คือ มุมมองจากบนลงล่าง (Top Down) มุมมอง
จากล่างขึ้นบน (Bottom –Up) มุมมองจากภายนอกสู่ภายใน (Outside –In) และมุมมองภายในสู่
ภายนอก (Inside–Out)โดยบูรณาการตามความเหมาะสมกับบริ บทของสถานศึกษากาหนดชื่อเฉพาะ
ว่า “รู ปแบบบูรณาการ 4 มุมมอง(Integrated four perspective Model)” รายละเอียด ดังแผนภาพ
- 7. 7
รู ปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงสู่ ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพืนฐานของรัฐ
้
องค์ประกอบของรู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษา
ส่วนที่ 1 ชื่อรู ปแบบ
ส่วนที่ 2 แนวคิด หลักการ วัตถุประสงค์
ส่วนที่ 3 โครงสร้าง กระบวนการ รู ปแบบการเปลี่ยนแปลง
ส่วนที่ 4 กลยุทธ์ในการดาเนินงานและปั จจัยการเปลี่ยนแปลงสู่ความสาเร็จ
แผนภาพ รู ปแบบบูรณาการ 4 มุมมอง
ส่ วนที่ 2 แนวคิด หลักการ และวัตถุประสงค์
2.1 แนวคิด
การบริ หารเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาเป็ นกระบวนการดาเนินงานของ
สถานศึกษาโดยอาศัยคนซึ่งได้แก่ ผูบริ หารสถานศึกษาและบุคลากรทุกคนและอาศัยทรัพยากรต่างๆ
้
เพือให้การดาเนินงานของสถานศึกษาบรรลุวตถุประสงค์เกิดผลงานที่โดดเด่นมีคุณภาพสูงเหนือกว่า
่ ั
- 8. 8
ธรรมดาสามารถเป็ นแบบอย่างแก่สถานศึกษาอื่นได้ การบริ หารการเปลี่ยนแป ลงไปสู่ภาวะใดภาวะ
หนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน หลัก ๆ คือ
่
1) การปรับโครงสร้างสร้าง ไม่วาจะเป็ นการลดขนาด การปั บอัตรากาลังหรื อตาแหน่ง
2) การเพิมบทบาทหน้าที่และบริ การใหม่เพิมเติมจากที่มีอยูเ่ ดิม ส่งผลทาให้มีส่วนงานหรื อ
่ ่
กระบวนการทางานใหม่รวมทั้งทักษะความรู ้ใหม่ๆ ที่ตองมีมากขึ้น้
3) การเปลี่ยนผูนา ผูนาคนใหม่จะนาการเปลี่ ยนแปลงมาสู่องค์กรเสมอไม่วาจะเป็ นรู ปแบบ
้ ้ ่
การทางาน สภาพแวดล้อมที่ผนาชอบหรื อคุนเคย
ู้ ้
4) การปรับตัวให้ทนการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เทคโนโลยีทาให้ระบวนการทางาน
ั
เปลี่ยนรู ปแบบเพือให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิงขึ้นเปลี่ยนรู ปแบบเพือใ ห้มีประสิทธิภาพและ
่ ่ ่
รวดเร็วยิงขึ้น
่
2.2 หลักการ
รู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐมี
หลักการ ดังนี้
1) หลักการทัวไป ยึดหลักการจัดการศึกษาดังนี้
่
1.1) เป็ นการศึกษาตลอดชีวตสาหรับประชาชน
ิ
1.2) ให้สงคมมีส่วนร่ วมในการจัดการศึกษา
ั
1.3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรี ยนรู ้ให้เป็ นไปอย่างต่อเนื่อง
2) หลักการกากับรู ปแบบ มีดงนี้
ั
2.1) การบริ หารการเปลี่ยนแปลง เป็ นกระบวนการดาเนิ นงานอย่างเป็ นระบบ ตาม
แผนที่จดทาไว้
ั
2.2) การบริ หารแบบร่ วมคิดร่ วมทา เป็ นการบริ หารจัดการที่คนกลุ่มน โยบายและ
กลุ่มจัดทาแผนงาน/โครงการต้องร่ วมมือกันอย่างดียง และปฏิบติงานสอดคล้องประสานกัน
ิ่ ั
2.3) รู ปแบบการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เป็ นรู ปแบบที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง
ขององค์กรประกอบด้วย มุมมอง 4 มุมมอง คือ มุมมองจากบนลงล่าง (Top- Down) มุมมองจากล่าง
ขึ้นบน (Bottom –Up) มุมมองจากภายนอกสู่ภายใน (Outside–In) และมุมมองภายในสู่ภายนอก
(Inside–Out)
2.4) การบริ หารสู่ความเป็ นเลิศ เป็ นกระบวนการดาเนินงานให้บรรลุวตถุประสงค์
ั
โดยอาศัยคนและทรัพยากรต่างๆ ผ่านกระบวนการทางบริ หาร จนมีผลงานที่มีคุณภาพสามารถเป็ น
แบบอย่างที่ดีแก่องค์กรอื่นๆ ได้
2.5) กลยุทธ์การดาเนินงาน เป็ นการวางแผนงานสู่การปฏิบติเพือให้งานบรรลุ
ั ่
เป้ าหมาย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
- 9. 9
2.6) ปั จจัยการเปลี่ยนแปลงสู่ความสาเร็จ เป็ นปั จจัยที่ช่วยส่งเสริ มให้การบริ หารการ
เปลี่ยนแปลงประสบผลสาเร็จ ปั จจัยหลักได้แก่ สมรรถน ะของผูบริ หาร รู ปแบบการทางานและ
้
บุคลากร
2.3 วัตถุประสงค์
การบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ มี
วัตถุประสงค์ ดังนี้
1) วัตถุประสงค์ทวไป ั่
1.1) เพือให้มีรูปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษา
่
ขั้นพื้นฐานของรัฐ ที่สอดคล้องกับบริ บทสังคมไทยและมีความสามารถปรับตัว ภายใต้การมีส่วนร่ วม
ตัดสินใจจากทุกฝ่ ายที่เกี่ยวข้อง
1.2) เพือให้กระทรวงศึกษาธิการนาไปเป็ นข้อมูลประกอบการกาหนดนโยบาย
่
การบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐต่อไป
2) วัตถุประสงค์เฉพาะ
2.1) เพือเสริ มสร้างประสิทธิภาพการบริ หารจัดการสถานศึกษา
่
2.2) เพือพัฒนาศักยภาพของผูบริ หาร ครู และบุคลากร
่ ้
ส่ วนที่ 3 โครงสร้ าง กระบวนการและรู ปแบบการเปลี่ยนแปลง
3.1 โครงสร้ างการบริหาร
โครงสร้างการบริ หารมีลกษณะโครง สร้างแบบงานหลักและงานที่ปรึ กษา ( Line and
ั
Staff Organization Structure) เป็ นโครงสร้างของสถานศึกษาที่มีโครงสร้างกว้างขวางและซับซ้อน
ยากที่จะบริ หารโดยผูบริ หารแต่เพียงคนเดียวได้ จาเป็ นต้องมีหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยเหลือและให้
้
คาปรึ กษา ซึ่งหน่วยงานที่ปรึ กษาไม่มีอานาจในการสังการใด ๆ มีหน้าที่เฉพาะช่วยเหลือให้คาปรึ กษา
่
เท่านั้น เช่น สมาคมผูปกครอง สมาคมศิษย์เก่า ผูปกครองเครื อข่าย และมีคณะกรรมการสถานศึกษา
้ ้
ขั้นพื้นฐาน เพือทาหน้าที่กากับและส่งเสริ มสนับสนุน กิจการของสถานศึกษา ตามการจัดโครงสร้าง
่
ตามพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 มาตรา 38 มีอานาจสังการได้ใน ่
บางเรื่ องตามมติที่ประชุม เช่น การอนุมติแผนปฏิบติงานประจาปี หลักสูตร และการวัดผล
ั ั
ประเมินผล เป็ นต้น จากการสัมภาษณ์ และแบบสอบถามปลายเปิ ด การมอบหมายงานรอง
ผูอานวยการสถานศึกษา กลุ่มบริ หารวิชาการ สังการไปยังกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ส่วนใหญ่พบว่ายังไม่
้ ่
เกิดประสิทธิภาพเพราะขาดภาวะผูนาทาให้งานล่าช้า ขาดการติดตามงานทาให้ผบริ หารสถานศึกษา
้ ู้
ต้องดาเนินการสังการและติดตามงานด้วยตนเอง จึงควรเพิมสายบังคับบัญชาลงมายังกลุ่มสาระการ
่ ่
เรี ยนรู ้ดวยเพราะเป็ นหัวใจของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ดังรู ป
้
- 10. 10
คณะกรรมการ ผูอานวยการ
้ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
มูลนิธิฯ ฐาน
สมาคมผูปกครอง
้
ผูปกครองเครื อข่าย
้
หน่วยตรวจสอบ คณะกรรมการบริ หารโรงเรี ยน
ภายใน
รองฯกลุ่ม รองฯกลุ่ม รองฯกลุ่ม รองฯกลุ่ม รองฯกลุ่ม รองฯกลุ่ม
บริ หาร บริ หาร บริ หาร บริ หาร บริ หาร บริ หารนโยบาย
วิชาการ งบประมาณ บุคคล ทัวไป กิจการนักเรี ยน และแผน
่
หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน
หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน หัวหน้างาน
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ กลุ่มสาระฯ
แผนภาพ โครงสร้ างการบริหารสถานศึกษาขั้นพืนฐานของรัฐ
้
3.2 กระบวนการ
บริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาอาศัยแนวคิด กระบวนการบริ หาร
จัดการแบบร่ วมคิดร่ วมทาเป็ นการรวมเอาลักษณะและกลวิธีต่างๆ ให้สมพันธ์กบการเป็ นผูนาและการ
ั ั ้
เปลี่ยนแปลงมีลกษณะการบริ หารจัดการ ดังนี้
ั
1) การบริ หารจัดการของคน กลุ่มกาหนดนโยบาย (Policy Group) และกลุ่มจัดทา
แผนงาน/โครงการ (Program Group) ปฏิบติงานร่ วมมือกันอย่างดียง
ั ิ่
ั
2) การบริ หารจัดการเป็ นความร่ วมมือและประสานสัมพันธ์กนระหว่างบุคลากรทั้งหมด
ของโรงเรี ยนรวมถึงนักเรี ยนและชุมชน
3) การบริ หารจัดการเน้นการทาหน้าที่หลักของโรงเรี ยน คือ การจัดกิจกรรมการเรี ยน
- 11. 11
การสอน
4) กลุ่มกาหนดนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการบริ หารทาหน้าที่สาคัญ 4 ประการ คือ
กาหนดเป้ าหมายและวิเคร าะห์ปัญหา /ความต้องการ กาหนดนโยบาย กาหนดงบประมาณและ
ประเมินผล สาเร็จตามเป้ าหมาย นโยบายและการสนองตอบต่อปั ญหา/ความต้องการ
5) กลุ่มจัดทาแผนงาน/โครงการ ได้แก่ คณะครู เจ้าหน้าที่ มีหน้าที่จดทาแผนงาน/
ั
โครงการที่สอดคล้องกับเป้ าหมายและนโยบาย
6) แผนงาน/โครงการที่จดทาสะท้อนถึงทิศทางการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ดาเนิ นงานตามแผน
ั
7) การนาแผน/โครงการไปปฏิบติและประเมินผลเป็ นภารกิจสาคัญของกลุ่มจัดทา
ั
แผนงาน/โครงการ
8) กลุ่มกาหนดนโยบายและกลุ่มจัดทาแผนงาน/โครงการมีการแบ่งหน้าที่กนอย่างชัดเจน
ั
แต่มีบางกิจกรรมปฏิบติงานอยูท้งสองกลุ่ม
ั ่ ั
กระบวนการบริหารจัดการแบบร่ วมคิดร่ วมทาประกอบด้ วยขั้นตอนต่ างๆ ดังนี้
ขั้นที่ 1 การกาหนดเป้ าหมาย และวิเคราะห์ ปัญหา/ความต้ องการ (Goal Setting and
Need Identification) การกาหนดเป้ าหมาย (Goal) เป็ นการกาหนดข้อความแสดงทิศทางอย่าง
กว้างๆ รวมถึงวัตถุประสงค์หรื อความต้องการไม่มีการกาหนดช่วงเวลา เป้ าหมายของสถานศึกษาจะ
แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับนักเรี ยน ส่วนการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการนั้นจะ
พิจารณาจากสิ่งที่เป็ นจริ งกับสิ่งที่ควรจะเป็ นว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด แล้วนาปั ญหาและ
ความต้องการในแต่ละด้านมาจัดลาดับความสาคัญ
ขั้นที่ 2 การกาหนดนโยบาย (Policy Making) การกาหนดนโยบายเป็ นการกาหนดข้อความที่
แสดงถึงวัตถุประสงค์และแนวทางที่จะดาเนินการเพือให้วตถุประสงค์ประสบความสาเร็จ และ
่ ั
กาหนดกรอบเป็ นแนวปฏิบติดวยโดยปกตินโยบายกาหนดจากปรัชญาการศึกษาและเป้ าหมาย
ั ้
การศึกษาที่สถานศึกษายอมรับและกาหนดขึ้น พร้อมเสนอแนวทางปฏิบติประกอบไว้อย่างชัดเจนง่าย
ั
ต่อการนาไปปฏิบติ ั
ขั้นที่ 3 การวางแผน (Planning) การวางแผนเป็ นการคิดก่อนที่จะลงมือปฏิบติ คือคิดว่าจะทา
ั
อะไร ทาเมื่อไร ทาอย่างไร และใครเป็ นคนทา
ขั้นที่ 4 การกาหนดงบประมาณ (Budgeting) การกาหนดงบประมาณของสถานศึกษาเป็ น
การแปลค่าข้อมูลทางการเงินของแผนงาน กลุ่มจัดทาแผนงาน /โครงการ ต้องเตรี ยมข้อมูลด้าน
- 12. 12
งบประ มาณและวิเคราะห์สถานภาพของสถาน ศึก ษานามาจั ดทาแผนปฏิบ ั ติการเพือสนับสนุน ่
โครงการอย่างทัวถึงและเหมาะสม
่
ขั้นตอนที่ 5 การนาแผนไปปฏิบัติ (Implementing) เมื่อการจัดทาแผนเป็ นที่ยอมรับของทุก
ฝ่ ายแล้วรายละเอียดของแผนที่กลุ่มกาหนดนโยบายให้ความเห็นชอบแล้วกลุ่มจัดทาแผนงาน /
โครงการก็สามารถนาแผนไปปฏิบติได้ ั
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินผล ( Evaluating) เป็ นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพือจุดประสงค์ในการ
่
ตัดสินใจ และต้อง ตัดสินใจว่าถูกหรื อผิดจากข้อมูล การประเมินผลจะต้องทาในระหว่างดาเนินงาน
และภายหลังการปฏิบติงานตามแผนเสร็จสิ้น
ั
การบริ หารจัดการแบบร่ วมคิดร่ วมทานั้นจะส่งผลกระทบก็ต่อเมื่อผลของการดาเนินโครงการ
ก่อให้เกิดเป้ าหมายใหม่ ปั ญหาความต้องการใหม่ กาหนดนโยบายใหม่หรื อมีโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้น
3.3 รู ปแบบการเปลี่ยนแปลง
การบริ หารการเปลี่ยนแปลงรู ปแบบบูรณาการ 4 มุมมอง (Integrated four perspective Model)
ซึ่งมีองค์ประกอบย่อย 4 องค์ประกอบคือ
1) การเปลี่ยนแปลงสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ โครงสร้าง เทคโนโลยี คนและวัฒนธรรม
2) รู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลง 4 มุมมอง ได้แก่ คือ มุมมองจากบนลงล่าง (Top -
Down) มุมมองจากล่างขึ้นบน (Bottom –Up) มุมมองจากภายนอกสู่ภายใน (Outside–In) และมุมมอง
ภายในสู่ภายนอก (Inside–Out)
3) กระบวนการร่ วมคิดร่ วมทาได้แก่ การกาหนดเป้ าหมายและวิเคราะห์ปัญหาความต้อง การ
การกาหนดนโยบาย การวางแผน การกาหนดงบประมาณ การทาแผนไปปฏิบตและการประเมินผล ัิ
4) ระบบวงจรคุณภาพ (PDCA) โดยในแต่ละองค์ประกอบมีความสอดคล้องสัมพันธ์กน และ ั
่ั
ขึ้นอยูกบรู ปแบบการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง 4 มุมมอง คือ มุมมองจากบนลงล่าง (Top- Down)
เช่น กระทรวงหรื อสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนโยบาย หรื อ การนาเสนอ ความ
คิดเห็น กระบวนการทางานโครงสร้างต่าง ๆ ก็ อาจถูกนาเสนอจากล่างขึ้นบนได้ และเมื่อเกิดการ
ยอมรับก็จะทาให้งานสาเร็จลุล่วงด้วยดี มุมมองจากภายนอกสู่ภายใน เช่น ด้านเทคโนโลยี ปั จจุบน ั
สถานศึกษาต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้ทนสมัยและรวดเร็ว ส่วนมุมมองภายในสู่ภายนอก เช่น ครู
ั
คิดนวัตกรรมอบรมคุณธรรมจริ ยธรรมนักเรี ยนโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาเพือป้ องกัน ่
ปั ญหายาเสพติด ดังนั้น การบริ หารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาต้องอาศัยกระบวนการบริ หารแบบ
ร่ วมคิดร่ วมทา 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) การกาหนดเป้ าหมายและวิเคราะห์ปัญหา 2) การกาหนด
นโยบาย 3) การวางแผน 4)การกาหนดงบประมาณ 5) การนาแผนไปปฏิบติและ 6) การประเมินผล
ั
ทั้งนี้ในการดาเนินงานแต่ละส่วนต้องใช้วงจรคุณภาพ PDCA กากับโดยมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงทุก
ส่วน
- 13. 13
ส่ วนที่ 4 กลยุทธ์ การดาเนินงานและปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสู่ ความสาเร็จ
4.1 กลยุทธ์ การดาเนินงาน
รู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ มี
กลยุทธ์การดาเนินงานสู่ความสาเร็จดังนี้
1) กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรโดยการบัญชาการเป็ นการที่ผบริ หารคิดริ เริ่ มและใช้
ู้
อานาจบัญชาการปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆ ขององค์กร
2) กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรโดยการให้มีส่วนร่ วมในวงจากัด เป็ นวิธีการเปิ ด
โอกาสให้บุคลากรทีมีความสาคัญโดยตาแหน่งหน้าที่หรื อการยอมรับอย่างไม่เป็ นทางการ
3) กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรโดยการกระจายอานาจเป็ นการเปิ ดโอกาสให้ทุกคนมี
่
ส่วนริ เริ่ มและดาเนินการเปลี่ยนแปลงองค์กรทั้งในส่วนที่ตนรับผิดชอบและในส่ วนที่อยูนอกเหนือ
ความรับผิดชอบ
4) กลยุทธ์แบบผสม เป็ นการนากลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงหลายๆ แบบมาใช้ร่วมกัน
อาจใช้กลยุทธ์การบัญชาการโดยผูบริ หารสูงสุดประกอบกับการสร้า งทีมงานการปรับระบบงานของ
้
ฝ่ ายต่างๆ และเสริ มด้วยการจัดกิจกรรมกลุ่มคุณภาพในระดับปฏิบตการ
ัิ
5) กลยุทธ์การพัฒนาองค์กร เป็ นกลยุทธ์ท่มุ่งสร้างขีดความสามารถให้แก่สมาชิกใน
ี
องค์กร ด้วยการมองปั ญหา แก้ปัญหาและเรี ยนรู ้ร่วมกันโดยอาศัยที่ปรึ กษา
4.2 ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสู่ ความสาเร็จ
ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสู่ ความสาเร็จ
ปั จจัยที่ช่วยการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความสาเร็จซึ่งส่วนใหญ่ข้ ึนอยูกบสมรรถนะส่วน
่ ั
บุคคลของผูบริ หารสถานศึกษา ดังนั้นปั จจัย การบริ หารการเปลี่ยนแปลงซึ่งประกอบด้วย 1) ภาวะ
้
ผูนา 2)ความเป็ นอิสระในการบริ หาร 3)ความร่ วมมือของบุคลากร 4)โครงการที่ดีและมีความ
้
เหมาะสม 5)การกระจายอานาจ 6)แรงจูงใจ 7)วิสยทัศน์ 8)การบริ หารบุคลากร 9)การบริ หาร
ั
ทรัพยากร 10)การมีส่วนร่ วมของบุคลากร 11)เครื อข่ายภายนอก 12)การจัดการปั ญหา 13)การ
พัฒนาอย่างต่อเนื่อง 14)การปฏิบติงานได้อย่างเหมาะสม 15)ความเป็ นสถาบัน 16)การเปลี่ยนแปลง
ั
องค์กร ซึ่งสี่ปัจจัยแรกจะเป็ นสมรรถนะของผูบริ หารสถานศึกษาที่มีทกษะความเป็ นผูนา ส่วนเรื่ อง
้ ั ้
่ ั
ความเป็ นอิสระในการบริ หารโรงเรี ยนจะขึ้นอยูกบนโยบายของโรงเรี ยนความร่ วมมือของบุคลากร
ผูบริ หารซึ่งมีส่วนสาคัญในการสร้างความศรัทธาให้แก่บุคลากรและตัวบุคลากรเองก็ตองมีสมรรถนะ
้ ้
ที่ดีและปั จจัยสุดท้ายคือ โครงการที่ดีและมีความเหมาะสมกับบริ บทของโรงเรี ยน ชุมชนและ
วัฒนธรรม นอกจากนี้ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริ มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันนามาสู่ความสาเร็จได้แก่ การ
- 14. 14
บริ หารทรัพยากร การมีส่วนร่ วมของบุคลากร เครื อข่ายภายนอก การจัดการปั ญหา การพัฒนาอย่าง
ต่อเนื่อง การปฏิบติงานอย่างเหมาะสม ความเป็ นสถาบันและการเปลี่ยนแปลงองค์กรซึ่งจะเป็ นปั จจัย
ั
ที่ส่งผลต่อการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความสาเร็จของสถานศึกษาได้อย่างยังยืน ผูบริ หารซึ่งมีส่วน
่ ้
สาคัญในการส ร้างความศรัทธาให้แก่บุคลากรและตัวบุคลากรเองก็ตองมีสมรรถนะที่ดีและปั จจัย
้
สุดท้ายคือ โครงการที่ดีและมีความเหมาะสมกับบริ บทของโรงเรี ยน ชุมชนและวัฒนธรรม นอกจากนี้
ปั จจัยที่ช่วยส่งเสริ มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันนามาสู่ความสาเร็จได้แก่ การบริ หารทรัพยากร การมี
ส่วนร่ วมของบุคลากร เครื อข่ายภายนอก การจัดการปั ญหา การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การปฏิบติงาน ั
อย่างเหมาะสม ความเป็ นสถาบันและการเปลี่ยนแปลงองค์กร
อภิปรายผลการศึกษา
1. ผลการศึกษาสภาพการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ของรัฐ มีความสอดคล้องกับแนว คิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพศึกษาของ บาร์โทล (Bartol, 1998) ที่
กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงของสถานศึกษาเป็ นการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างองค์กร หรื อออกแบบ
งานใหม่ มีการปรับกระบวนการของงานโดยใช้เทคโนโลยี และพัฒนาคนในเรื่ องทัศนคติความ
คาดหวัง การรับรู ้และพฤติกรรมการปฏิบติ งานโดยการสร้างความหมายร่ วมกันขององค์กรเป็ น
ั
วัฒนธรรมองค์กร และผลการวิจยของ ศานิตย์ เชยชุ่ม (2543) เรื่ องของแนวทางการบริ หารเพือความ
ั ่
เป็ นเลิศ ของสถานศึกษาเอกชน ซึ่งพบว่า การบริ หารงานเพือความเป็ นเลิศ มีการบริ หารงานด้าน
่
่
โครงสร้างอยูในระดับมากเป็ นลาดับที่ 1 ขององค์ประกอบและในองค์ประกอบย่อย ส่วนผลการศึกษา
ปั ญหาการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความ สอดคล้องกับ
รายงานการวิจย เรื่ องสภาพและปั ญหาการบริ หารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาใน
ั
ประเทศไทย (ธีระ รุ ญเจริ ญ , 2545) ที่พบว่า กา รบริ หารและจัดการศึกษามีปัญหาอุปสรรคด้าน
งบประมาณและอาคารสถานที่ คือ งบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอที่จะดาเนินการได้ตามแผนที่
กาหนดไว้และสถานศึกษาไม่สามารถจัดหางบประมาณเพิมเติมนอกเหนือจากงบประมาณและรายได้
่
ในปั จจุบน และผลการวิจยของ รัตนวดี จันทร์น้ าใส (2552) เรื่ องปั จจัยที่มีผลต่อการต่อต้านการ
ั ั
เปลี่ยนแปลงในองค์การขอบงนักงานบริ ษทเอกชนในกรุ งเทพมหานคร ที่พบว่า เมื่อองค์การมีการ
ั
เปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยี และเป้ าหมายการดาเนินงานของผูบริ หารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการ
้
ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยทางตรงและแสดงออกอย่างเปิ ดเผย
2. ผลการพัฒนารู ปแบบการบริ หารการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็ นเลิศของสถานศึกษาขั้น
พื้นฐานของรัฐ มีความสอดคล้องกับผลการศึกษาของ วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ (2547) เรื่ องการพัฒนา
รู ปแบบการจัดการศึกษาแบบกระจายอานาจในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวทางพระราชบัญญั ติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่พบว่า ยุทธศาสตร์การดาเนินงานสู่ผลสาเร็จของการจัดการศึกษาแบบ
- 15. 15
กระจายอานาจในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่ วม ยุทธศาสตร์การ
มอบงาน ยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากร ยุทธศาสตร์การกากับติดตามงาน ยุทธศาสตร์การใช้
เทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การร ะดมทรัพยากร ยุทธศาสตร์การประสานงาน ยุทธศาสตร์การบูรณาการ
และยุทธศาสตร์การบริ หารที่เน้นคุณภาพทั้งองค์กร
รายการอ้ างอิง
ธีระ รุ ญเจริ ญ. รายงานการวิจัยเรื่องสภาพและปัญหาการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพืนฐาน ้
ของสถานศึกษาในประเทศไทย. 2546. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.onec.go.th/
publiccation/tera/tera.pdf [2 มิถุนายน 2550]
ปองสิน วิเศษศิริ. แนวคิด ทฤษฎีและรู ปแบบการบริหารการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาขั้น
พืนฐาน. เอกสารประกอบการเรี ยนการสอนวิชากระบวนการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม
้
ในองค์การทางการศึกษา. กรุ งเทพมหานคร: คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ . การพัฒนารู ปแบบการจัดการศึกษาแบบกระจายอานาจในสถานศึกษา
ขั้นพืนฐานตามแนวทางพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ.2542. วิทยานิพนธ์ปริ ญญา
้
ดุษฎีบณฑิต สาขาวิชาบริ หารการศึกษา คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547.
ั
ศานิตย์ เชยชุ่ม. แนวทางการบริหารงานเพื่อความเป็ นเลิศของโรงเรียนเอกชน. วิทยานิพนธ์ปริ ญญา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริ หารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2543.
เสริ มศักดิ์ วิศาลาภรณ์. ความขัดแย้ ง: การบริหารเพื่อความสร้ างสรรค์. กรุ งเทพมหานคร: ต้นอ้อ,
2539.
Bartol, M. K., and Martin, C. D. Management. 3rd ed. New York: McGraw-Hill, 1998.
Hamlin, B., Keep, J., and Ash, K. Organizational Change and Development: A Reflective
Guide for Managers, Trainers and Developers. Harlow: Financial Times/Financial
Hall, 2001.
Lewin, K. Model for Organization Change. Frontier in Group Dynamics. New York: Harper &
Row, 1985.
Leucke, R. Managing Change and Transition. Boston: Harvard Business School Press, 2003.