More Related Content
More from Tongsamut vorasan
More from Tongsamut vorasan (20)
Tri91 18+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
- 1. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 1 พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลมที่ ๑ ภาคที่ ๒ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนน ั้ สีหนาทวรรค ๑. จูฬสีหนาทสูตร [๑๕๓] ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวิหารเชตวัน อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผูมีพระ-ภาคเจาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแลว. ภิกษุเหลานั้นไดทูลรับสนองพระพุทธพจนแลว. สมณะ ๔ จําพวก [๑๕๔] พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นวาง
- 2. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 2เปลาจากพระสมณะผูรูทั่วถึง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงบันลือสีหนาทโดยชอบอยางนี้ ดวยประการฉะนี้ทีเดียว. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็เปนฐานะที่จะมีไดแล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถียในโลกนี้ พึงกลาวอยางนี้วา อะไรเปนความมั่นใจของพวกทาน อะไรเปนกําลังของพวกทาน พวกทานพิจารณาเห็นในตนดวยประการไร จึงกลาวอยางนี้วา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นวางเปลาจากพระสมณะผูรูทั่วถึง ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถียผูมวาทะอยางนี้ อันพวกเธอพึงกลาวตอบอยางนี้วา ทาน ีผูมีอายุทั้งหลายธรรม ๔ ประการ อันพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูรู ผูเห็นเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ตรัสแลว มีอยู ที่พวกเราเห็นธรรมเหลานี้ในตนจึงกลาวอยางนี้วา สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มีในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นวางเปลาจากพระสมณะผูรูทั่วถึง ธรรม ๔ อยางเปนไฉน ๔ อยาง คือ ความเลื่อมใสในพระศาสดาของพวกเรา มีอยู ความเลื่อมใสในพระธรรมมีอยู ความกระทําใหบริบูรณในศีล มีอยู ทั้งคฤหัสถและบรรพชิต ผูประพฤติธรรม รวมกัน เปนที่นารัก นาพอใจ มีอยู ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ประการเหลานั้นแล อันพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูรู ผูเห็น เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาตรัสแลว ที่พวกเราเล็งเห็นธรรมเหลานี้ในตนจึงกลาวอยางนี้ สมณะมีในพระศาสนานี้เทานั้น สมณะที่สองมีในพระศาสนานี้สมณะที่สามมีในพระศาสนานี้ สมณะที่สี่มในพระศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่น ีวางเปลาจากพระสมณะผูรูทั่วถึง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็เปนฐานะที่จะมีไดแล ที่พวกปริพาชกอัญญเดียรถียพึงกลาวอยางนี้วา ผูมีอายุ ผูใดเปนศาสดาของพวกเรา ความเลื่อมใสในศาสดาแมของพวกเราก็มีอยู คําสอนใดเปนธรรมของ
- 3. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 3พวกเรา ความเลื่อมใสในธรรมแมของพวกเราก็มีอยู ศีลเหลาใดเปนศีลของพวกเรา แมพวกเราก็กระทําใหบริบูรณในศีลทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถและบรรพชิตผูประพฤติธรรมรวมกัน แมของพวกเราก็เปนที่นารัก นาพอใจ. ผูมีอายุในขอเหลานี้อะไรเปนขอที่แปลกกัน อะไรเปนขอประสงค อะไรเปนขอที่การทําใหตางกัน ในระหวางของทานและของเราดังนี้. ดูกอนภิกษุทั้งหลายพวกปริพาชกอัญญเดียรถียผูมวาทะอยางนี้ อันพวกเธอพึงกลาวตอบอยางนี้วา ีผูมีอายุ ความสําเร็จมีอยางเดียวหรือมีมากอยาง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จมีอยางเดียวเทานั้น ไมมีมากอยาง. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ผูมีอายุก็ความสําเร็จนั้นเปนของผูมีราคะหรือของผูปราศจากราคะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลายพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วาความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากราคะมิใชของผูมีราคะ. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้น เปนของผูมีโทสะหรือของผูปราศจากโทสะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยา-กรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากโทสะ มิใชของผูมีโทสะ.พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูมีโมหะหรือของผูปราศจากโมหะ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย เมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากโมหะ มิใชของผูมีโมหะ. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูมีตัณหาหรือของผูปราศจากตัณหา. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถียเมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากตัณหา มิใชของผูมีตัณหา. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูมีอุปาทาน หรือของผูไมมีอุปาทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวก
- 4. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 4ปริพาชกอัญญเดียรถียเมือจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความ- ่สําเร็จนั้นเปนของผูไมมีอุปาทาน มิใชของผูมีอุปาทาน. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูรูแจงหรือของผูไมรูแจง. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถียเมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูรูแจง มิใชของผูไมรูแจง. พวกเธอพึง-กลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูยินดียินรายหรือของผูไมยินดียินราย.ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกอัญญเดียรถีย เมือจะพยากรณโดยชอบ พึง ่พยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูไมยินดียินราย มิใชของผูยินดียินราย. พวกเธอพึงกลาวอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูยินดีในความเนิ่นชา มีความเนิ่นชาเปนที่มายินดี หรือของผูยินดีในความไมเนิ่นชา มีความไมเนิ่นชาเปนที่มายินดี. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พวกปริพาชกอัญญเดียรถียเมื่อจะพยากรณโดยชอบ พึงพยากรณอยางนี้วา ความสําเร็จนั้นเปนของผูยินดีในความไมเนิ่นชา มีความไมเนิ่นชาเปนที่มายินดี มิใชของผูยินดีในความเนิ่นชา มีความเนิ่นชาเปนที่มายินดี. ทิฐิ ๒ [๑๕๕] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ทิฐิ ๒ อยางเหลานี้ คือ ภวทิฐิ และวิภวทิฐิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณเลาใดเหลาหนึ่งเปนผูแอบอิงภวทิฐิเขาถึงภวทิฐิ หยั่งลงสูภวทิฐิ สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ชื่อวาเปนผูยินรายตอวิภวทิฐิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่ง เปนผูแอบอิงวิภวทิฐิเขาถึงวิภวทิฐิ หยั่งลงสูวิภวทิฐิ สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ชื่อวาเปนผูยินรายตอภวทิฐิ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมไมรูทั่วถึงความเกิด ความดับ คุณ โทษ
- 5. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 5และการถายถอนแหงทิฐิ ๒ อยางเหลานี้ตามความเปนจริง สมณะหรือพราหมณเหลานั้น ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะ ยังมีตัณหา ยังมีอุปาทาน ไมใชผูรูแจง ยังยินดีและยินราย เปนผูยินดีในความเนิ่นชา มีความเนิ่นชาเปนที่มายินดี พวกเขายอมไมหลุดพนจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไรทุกขกาย ทุกขใจ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลาววา ยอมไมหลุดพนไปจากทุกข สมณะหรือพราหมณเหลาใดเหลาหนึ่งยอมรูทั่วถึงความเกิดความ-ดับ คุณ โทษ และการถายถอนแหงทิฐิ ๒ อยางเหลานี้ ตามความเปนจริงสมณะหรือพราหมณเหลานั้น เปนผูปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ปราศจากตัณหา ปราศจากอุปาทาน เปนผูรูแจง เปนผูไมยินดีและยินราย มีความยินดีในความไมเนิ่นชา มีความไมเนิ่นชาเปนที่มายินดี พวกเขายอมหลุดพนจากชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ําไร ทุกขกายทุกขใจ และความคับแคนทั้งหลาย เรากลาววา ยอนหลุดพนไปจากทุกข. อุปาทาน ๔ [๑๕๖] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อยางเหลานี้ ๔ อยางเปนไฉน คือ กามุปาทาน ทิฏุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน. ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณพวกหนึ่งปฏิญาณลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยางแตพวกเขายอมไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ คือ ยอมบัญญัติความรอบรูกามุปาทานไมบัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูสีลัพพตุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน ขอนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะสมณพราหมณเหลานั้นรูไมทั่วถึงฐานะ ๓ ประการเหลานี้ ตามความเปนจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ บัญญัติความรอบรูกามุปาทาน ไม
- 6. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 6บัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูสีลัพพตุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณพวกหนึ่งปฏิญาณลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ บัญญัติความรอบรูกามุปาทาน บัญญัติความรอบรูทิฏุปาทานไมบัญญัติความรอบรูสีลพพตุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน ัขอนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะสมณพราหมณเหลานั้นไมรูทั่วถึงฐานะ ๒ ประการเหลานี้ ตามความเปนจริง เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบคือ บัญญัติความรอบรูกามุปาทาน บัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูสีลัพพตุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน. ดูกอน ภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณพวกหนึ่ง ปฏิญาณลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยางแตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ คือ บัญญัติความรอบรูกามุปาทาน. บัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน บัญญัตดวามรอบรูสีลัพ- ิพตุปาทาน ไมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน ขอนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะสมณพราหมณเหลานั้นไมรูทั่วถึงฐานะอยางหนึ่งนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิวารอบรูอุปาทานทุกอยาง แตพวกเขาไมบัญญัติความรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ คือ บัญญัติความรอบรูกามุปาทาน บัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน บัญญัติความรอบรูสีลัพพตุปาทาน ไมบัญญัติความรูอัตตวาทุปาทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้นเราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ความกระทําใหบริบูรณในศีลใด ขอนั้นเราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ความเปนที่รักและนาพอใจในหมูสหธรรมิกใดขอนั้นเราไมกลาววาไปแลวโดยชอบ ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ขอนั้นเพราะ
- 7. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 7เหตุอะไร ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพราะขอนั้นเปนความเลื่อมใสในธรรมวินัยที่ศาสดากลาวชั่วแลว ประกาศชั่วแลว มิใชสภาพนําออกจากทุกข ไมเปนไปเพื่อความสงบ มิใชอันผูรูเองโดยชอบประกาศไว. [๑๕๗] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาเทานั้นแล เปนผูมีวาทะรอบรูอุปาทานทุกอยาง ปฏิญาณอยู ยอมบัญญัตความ ิรอบรูอุปาทานทุกอยางโดยชอบ คือ ยอมบัญญัติความรอบรูกามุปาทาน ยอมบัญญัติความรอบรูทิฏุปาทาน ยอมบัญญัติความรอบรูสีลัพพตุปาทาน ยอมบัญญัติความรอบรูอัตตวาทุปาทาน. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เรากลาววาไปแลวโดยชอบ ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้น เรากลาววาไปแลวโดยชอบ ความกระทําใหบริบูรณในศีลใด ขอนั้นเรากลาววาไปแลวโดยชอบ ความเปนที่รักและนาพอใจในหมูสหธรรมิกใด ขอนั้นเรากลาววาไปแลวโดยชอบ ในพระธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ขอนั้นเพราะเหตุอะไร ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เพราะขอนั้นเปนความเลื่อมใสในธรรมวินัยอันศาสดากลาวดีแลว ประกาศดีแลว เปนสภาพนําออกจากทุกข เปนไปเพื่อความสงบ อันทานผูรูเองโดยชอบ ประกาศแลว. ตัณหาเปนเหตุเกิดอุปาทาน [๑๕๘] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุปาทาน ๔ เหลานี้ มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. อุปาทาน๔ เหลานี้ มีตัณหาเปนตนเหตุ มีตัณหาเปนเหตุเกิด มีตัณหาเปนกําเนิด มีตัณหาเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มี อะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. ตัณหามีเวทนาเปนตนเหตุ มีเวทนาเปนเหตุเกิด มีเวทนาเปนกําเนิด มีเวทนาเปนแดนเกิด.
- 8. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 8ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เวทนานี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิดมีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. เวทนามีผัสสะเปนตนเหตุ มีผัสสะเปนเหตุเกิด มีผัสสะเปนกําเนิด มีผัสสะเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลายผัสสะนี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. ผัสสะมีสฬายตนะเปนตนเหตุ มีสฬายตนะเปนเหตุเกิด มีสฬายตนะเปนกําเนิด มีสฬายตนะเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สฬาย-ตนะนี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. สฬายตนะมีนามรูปเปนตนเหตุ มีนามรูปเปนเหตุเกิดมีนามรูปเปนกําเนิด มีนามรูปเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลายนามรูปนี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. นามรูปมีวิญญาณเปนตนเหตุ มีวิญญาณเปนเหตุเกิดมีวิญญาณเปนกําเนิด มีวิญญาณเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ นี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิด. วิญญาณมีสังขารเปนตนเหตุ มีสังขารเปนเหตุเกิด มีสังขารเปนกําเนิด มีสังขารเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สังขารนี้เลา มีอะไรเปนตนเหตุ มีอะไรเปนเหตุเกิด มีอะไรเปนกําเนิด มีอะไรเปนแดนเกิดสังขารมีอวิชชาเปนตนเหตุ มีอวิชชาเปนเหตุเกิด มีอวิชชาเปนกําเนิด มีอวิชชาเปนแดนเกิด. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ภิกษุละอวิชชาไดแลว วิชชาเกิดขึ้นแลว เมื่อนั้น ภิกษุนั้น เพราะสํารอกอวิชชาเสียได เพราะวิชชาบังเกิดขึ้น ยอมไมถือมั่นกามุปาทาน ยอมไมถือมั่นทิฏุปาทาน. ยอมไมถือมั่นสีลัพพตุปาทาน ยอมไมถอมั่นอัตตวาทุปาทาน เมื่อไมถือมั่น ยอมไมสะดุง ืเมื่อไมสะดุง ยอมปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว เธอยอมรูชัดวา ชาติสิ้นแลว
- 9. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 9พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทํา ทําเสร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมี ดังนี้ พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระพุทธพจนนี้แลว ภิกษุเหลานั้นมีใจชื่นชมยินดี ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา แลวแล. จบ จูฬสีหนาทสูตร ที่ ๑
- 10. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 10 อรรถกถามัชฌิมนิกาย ชื่อ ปปญจสูทนี พรรณนามูลปณณาสก ภาคที่ ๒ พรรณนาสีหนาทวรรค อรรกถาจุลลสีหนาทสูตร ๑ จุลลสีหนาทสูตร มีคําเริ่มตนวา ขาพเจาไดสดับมาอยางนี้ :- ก็เพราะจุลลสีหนาทสูตรนั้น มีการสรุปถึงความอุบัติของเรื่อง เพราะฉะนั้น ขาพเจาแสดงการสรุปนั้นแลว จักทําการพรรณนาบทโดยไมตามลําดับแหงจุลลสีหนาทสูตรนั้น. ก็เรื่องนี้ไดยกขึ้นกลาวในความอุบัติของเรื่องอะไร.ในเรื่องที่เดียรถียคร่ําครวญ เพราะลาภสักการะเปนปจจัย. ไดยินวา ลาภ-สักการะใหญไดบังเกิดขึ้นแลวแกพระผูมีพระภาคเจา โดยนัยที่กลาวแลวในธัม-มทายาทสูตร. ก็โลกสันนิวาสนี้มีประมาณ ๔ ดํารงอยูแลวโดย ๔ อยาง ดวยอํานาจแหงบุคคลเหลานี้คือ บุคคลผูมีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง มีประมาณในความเศราหมอง เลื่อมใสในความเศรา-หมอง มีประมาณในธรรม เสื่อมใสในธรรม. ขอการทําใหตางกันของบุคคลเหลานั้นดังนี้. ก็บุคคลผูมีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูปเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นความเจริญขึ้น หรือเห็นความเจริญเต็มที่ เห็นความบริบูรณหรือเห็นทรวดทรง ถือประมาณในรูปนั้นแลว ยังความเลื่อมใสใหเกิดขึ้นบาลี. จูฬสีหนาทสุตฺต
- 11. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 11นี้เรียกวาบุคคลผูมีประมาณในรูป เลือมใสในรูป. ก็บุคคลผูมประมาณในเสียง ่ ีเลื่อมใสในเสียงเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนีถือประมาณในเสียงนั้น ดวย ้การพรรณนาของคนอื่น ดวยการชมเชยของคนอื่น ดวยการสรรเสริญของคนอื่น ดวยคนผูนําคุณของคนอื่นแลวยังความเสื่อมใสใหเกิดขึ้น นี้เรียกวาบุคคลผูมีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง. ก็บุคคลผูมีประมาณในความเศราหมอง เลื่อมใสในความเศราหมองเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นความเศราหมองในจีวร หรือเห็นความเศราหมองในบาตร หรือเห็นความเศราหมองในเสนาสนะ หรือเห็นการบําเพ็ญทุกกรกิริยาตาง ๆ แลว ถือประ-มาณในความเศราหมองนั้น ยังความเลื่อมใสใหเกิดขึ้น นี้เรียกวา บุคคลผูมีประมาณในความเศราหมอง เลื่อมใสในความเศราหมอง. ก็บุคคลผูมีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรมเปนไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นศีล หรือเห็นสมาธิ หรือเห็นปญญาแลว ถือประมาณในธรรมนั้น ยังความเลื่อมใสใหเกิดขึ้น นี้เรียกวา บุคคลผูมีประมาณในธรรม เลือมใสในธรรม. ่ ในบุคคล ๔ พวกนี้ ฝายบุคคลมีประมาณในรูปเห็นความเจริญขึ้นและความเจริญเต็มที่ ทรวดทรง ความบริบูรณของพระผูมีพระภาคเจา ทรงมีพระฉวีวรรณสวยงาม ดุจวิจิตรดวยรัตนะตาง ๆ เพราะประดับประดาดวยอนุ-พยัญชนะ ๘๐ อยาง ดุจแผนใหญแหงทองคําอันรุงเรืองดวยหมูดาว เพราะเกลื่อนกลนดวยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และดุจทองฟาอันแจมจํารัสโดยประการทั้งปวงฉะนั้น มีพระสรีระหาที่เปรียบมิได มีปาริฉัตรสูงรอยโยชนมีพระสิริแวดลอมดวยรัศมีประมาณหนึ่งวา สูงสิบแปดศอกแลว เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. ฝายบุคคลมีประมาณในเสียง ไดฟงเสียงที่เปนไปแลวแหงพระผูมีพระ-ภาคเจา โดยนัยเปนตนวา ตลอดสีอสงไขย ยิงดวยแสนกัป พระองคทรง ่ ่
- 12. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 12บําเพ็ญบารมีสิบ อุปปารมีสิบ ปรมัตถปารมีสิบ ทรงกระทําอังคบริจาค บุตรทารบริจาค รัชชบริจาค ธนบริจาค และนัยนบริจาคแลวเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. ฝายบุคคลมีประมาณในความเศราหมอง เห็นความเศราหมองในจีวรของพระผูมีพระภาคเจาแลว คิดวา ถาพระผูมีพระภาคเจาอยูครองสมบัติ ก็จักทรงแตผาที่ทําจากเมืองกาลีเทานั้น แตพระองคครั้นทรงผนวชแลว ทรงยินดีดวยจีวรบังสุกุลอันทําดวยปาน ทรงกระทําการหนัก ดังนี้ ยอมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. เห็นแมความเศราหมองในบาตรแลว คิดวาพระผูมีพระภาคเจาพระองคนี้ เมื่อทรงครองเรือนไดเสวยโภชนะแหงขาวสาลีอันมีกลิ่นหอม สมควรแกโภชนะของพระเจาจักรพรรดิ ในภาชนะทองคําอันประเสริฐสีแดง แตครั้นทรงผนวชแลวทรงถือบาตรหิน เสด็จบิณฑบาตตามตรอกในประตูของตระกูลสูง ทรงยินดีดวยกอนขาวที่ไดแลว กระทํากิจหนักดังนี้ ยอมเลือมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. แมไดเห็นความเศราหมอง ่ในเสนาสนะแลว คิดวา พระผูมีพระภาคเจาพระองคนี้ เมื่อทรงครองเรือนมีนางฟอน ๓ พวกเปนบริวาร เสวยราชสิริ ดุจสมบัติทิพในปราสาททั้ง ๓อันสมควรแกฤดูทั้ง ๓ บัดนี้ ทรงผนวชแลว ทรงยินดีดวยวัตถุ มีกระดานไมแผนศิลาและเตียงไมไผ เปนตน ในรุกขมูลและเสนาสนะเปนตน ทรงกระทําการหนัก ดังนี้ ยอมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. แมไดเห็นการบําเพ็ญทุกกรกิริยาของพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นแลว คิดวา พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงยังชีพใหเปนไปดวยวัตถุ มี น้ําตมถั่วเขียว น้ําตมถั่วพู และน้ํา-ตมหเรณุ เปนตน เพียงฟายมือ ๆ จักเจริญฌานอันไมมีประมาณ ไมทรงหวงใยในสรีระและชีวิตอยูตลอดหกป โอ พระผูมีพระภาคเจาทรงกระทํากิจที่ทําไดยาก ดังนี้ ยอมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว.
- 13. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 13 ฝายบุคคลมีประมาณในธรรม เห็นศีลคุณ สมาธิคุณ ปญญาคุณฌานวิโมกข สมาธิสมบัติ สัมปทา ความบริบูรณแหงอภิญญา ยมกปาฏิหาริยเทโวโรหณะ และความอัศจรรยหลายประการ มีการทรมานปาฏิกบุตรเปนตนของพระผูมีพระภาคเจาแลว ยอมเลือมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจานั้นเทียว. ่ บุคคลเหลานั้น เลื่อมใสอยางนี้แลว ยอมนําลาภสักการะใหญถวายแดพระผูมีพระภาคเจา แตลาภสักการะของเดียรถียทั้งหลายก็เสื่อมไป ดุจกาในพาเวรุชาดก. เหมือนอยางทานกลาววา นางนกยูงรองเสียงไพเราะ เพราะ ไมเห็นนกยูง จึงบูชากาในพาเวรุนั้น ดวยเนื้อและผลไม ก็ในกาลใด นกยูงที่ ถึงพรอมดวยเสียงสูพาเวรุ ในกาลนั้น ลาภและสักการะของกาก็เสื่อมไป ในกาล ใด พระพุทธเจาผูธรรมราชา ทรงกระทํา แสงสวางยังไมอุบัติขึ้น ในกาลนั้น ชนอืน่ เปนอันมาก ไดบูชาสมณพราหมณทั้ง หลาย แตในกาลใด พระพุทธเจาทรงถึง พรอมดวยเสียง ทรงแสดงธรรม ในกาล นั้น ลาภและสักการะของเดียรถียทั้งหลาย ก็เสื่อมไป. เดียรถียเหลานั้น เสื่อมจากลาภและสักการะอยางนี้แลว แมจะยังราตรีใหสวางเพียงหนึ่งนิ้ว สองนิ้ว ก็เปนผูเสื่อมจากรัศมี ดุจหิงหอยทั้งหลายในเวลาพระอาทิตยขึ้นฉะนั้น.
- 14. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 14 หิงหอยทั้งหลายยอมแสดงออกซึ่ง แสงในราตรีขางแรม ก็นนเปนนิสัยของ ั้ หิงหอยเหลานัน ในเวลาใด พระอาทิตย ้ ที่ถงพรอมดวยรัศมีขึ้นอยู ในเวลานั้น ึ แสงของหมูหิงหอยทั้งหลายก็หายไปฉันใด แมเดียรถียทั้งหลายในโลกนี้ สวนมาก เปนเชนกับหิงหอยฉันนั้น ยอมแสดงคุณ ตนในโลกที่เปรียบเหมือนขางแรม แตใน เวลาใด พระพุทธเจามีรัศมีหาที่เปรียบ มิได อุบัติขึ้นในโลก ในเวลานั้น เดียรถีย ทั้งหลายก็หมดรัศมี ดุจหิงหอยทั้งหลาย ในพระอาทิตย ฉะนั้น.เดียรถียเหลานั้น เปนผูปราศจากรัศมีอยางนี้ สรีระเกลื่อนกลนดวยหิด และตอมเล็ก ๆ เปนตน ถึงความเสื่อมอยางยิ่ง ไปหาพระพุทธเจา พระธรรมพระสงฆ และที่ประชุมของมหาชนแลว ยืนคร่ําครวญในระหวางถนนบางในตรอกบาง ในทางสี่แพรงบาง ในสภาบาง รองประการตาง ๆ อยางนี้วาดูกอนผูเจริญ สมณโคดมเทานั้นหรือเปนสมณะ พวกเราไมเปนสมณะ สาวกของพระสมณโคดมเทานั้นเปนสมณะ สาวกแมของพวกเราก็ไมเปนสมณะ ทานที่ใหสมณโคดมและสาวกของสมณโคดมนั้น มีผลมาก ทานที่ใหแกพวกเราไมมีผลมาก สมณโคดมก็เปนสมณะดวย พวกเราก็เปนสมณะดวย สาวกของสมโคดมก็เปนสมณะดวย สาวกของพวกเราก็เปนสมณะดวย ทานที่ใหแกสมโคดมและแกสาวกของสมณโคดมนั้นก็มีผลมากดวย ทานที่ใหแกพวกเราและแกสาวกของพวกเรา ก็มีผลมากดวย มิใชหรือ ทานทั้งหลายจงใหจงทํา
- 15. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 15แกสมณโคดมแกสาวกของสมณโคดมนั้นดวย จงใหจงทําแกพวกเราและแกสาวกของพวกเราดวย สมณโคดมอุบัติแลวตลอดวันกอน ๆ มิใชหรือ แตพวกเราเมื่อเกิดขึ้นในโลกเทียว ก็ไดเกิดแลวดังนี้. ลําดับนั้น บริษัทสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไดฟงเสียงของเดียรถียเหลานันแลว กราบ ้ทูลแดพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผูเจริญ เดียรถียทั้งหลาย กลาวคํา นี้และคํานี้ ดังนี้. พระผูมีพระภาคเจาทรงสดับคํานั้นแลว ตรัสวา ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย พวกเธออยาสําคัญวา สมณะมีในที่อื่น ตามคําพวกเดียรถีย เมื่อจะทรงปฏิเสธความเปนสมณะในอัญญเดียรถียทั้งหลาย และเมื่อจะทรงอนุญาตความเปนสมณะในศาสนานี้เทานั้น จึงตรัสพระสูตรแหงความเกิดขึ้นของเรื่องนี้อยางนี้วา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เทานั้น. ในบทนั้น บทวา อิเธว คือ ในศาสนานี้เทานั้น. ก็ความจํากัดนี้พึงทราบแมในบทที่เหลือ. ก็สมณะทั้งหลายแมมีสมณะที่ ๒ เปนตน ก็มีในศาสนานี้เทานั้น ไมมีในที่อื่น. บทวา สมโณ ไดแก พระโสดาบัน. ดวยเหตุนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเปนไฉนดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะสิ้นไปแหงสังโยชนสาม เปนโสดาบัน มีอันไมตกต่ําเปนธรรมดา เปนผูเที่ยง มีการตรัสรูเปนเบื้องหนาดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะ. สกทาคามี ชื่อวา สมณะที่ ๒. ดวยเหตุนั้นแลพระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒เปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้เปนสกทาคามี เพราะสังโยชนสามสิ้นไปเพราะความที่ราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางกลับมาสูโลกนี้ ครั้งเดียวเทานั้นก็จะทําที่สุคแหงทุกขได ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๒ ดังนี้. พระอนาคามีชื่อวา สมณะที่ ๓. ดวยเหตุนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะ
- 16. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 16ความสิ้นไปแหงสังโยชนเบื้องต่ํา ๕ อยาง เปนอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น ไมเวียนกลับมาจากโลกนั้น ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๓. พระอรหันตชื่อวา สมณะที่ ๔ ดวยเหตุนั้นเเล พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เปนไฉน ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ กระทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได เพราะความสิ้นไปแหงอาสวะทั้งหลายดวยอภิญญาของตนเอง เขาถึงอยูในทิฏฐธรรมเทียว ดูกอนภิกษุทั้งหลาย นีสมณะที่ ๔. ทานประสงคเอาสมณะที่ตั้งอยูในผลสี่ในที่นี้เทียว ้ดวยประการฉะนี้. บทวา สฺุา ไดเเก วาง คือ เปลา. บทวา ปรปฺปวาทาความวา วาทะวาเที่ยง ๔ วาทะ.วาเที่ยงเปนบางสวน ๔ วาทะวามีที่สุดและไมมีที่สุด ๔ วาทะที่หามความไมตาย ๔ วาทะที่เกิดขึ้นเฉพาะ ๒ สัญญีวาทะ ๑๖อสัญญีวาทะ ๘ เนวสญัญีนาสัญญีวาทะ ๘ อุจเฉทวาทะ ๗ ทิฏฐธัมนนิพพานวาทะ ๕ แมทั้งหมดดังกลาวมานี้ มาแลวในพรหมชาลสูตร วาทะของเหลาพาเหียรอื่นจากนี้ ๖๒ ชือวา ปรัปปวาทะ. วาทะเหลานั้น แมทั้งหมด วางเปลา ่จากสมณะผูตั้งอยูในผลสี่เหลานี้. ก็วาทะเหลานั้น ไมมีในสมณะนั้น. ก็วาทะเหลานั้นไมมีอยางเดียวก็หาไม แตสูญจากสมณะเหลานั้นนั่นเทียว. อนึง สูญ ่จากสมณะแมสิบสองนั่นเทียว คือ จากสมณผูตั้งอยูในมรรคสีบาง จากสมณะ ่ผูวิปสสกซึ่งปรารภเพื่อประโยชนแกมรรคสี่บาง. พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถึงเนื้อความนี้นั้นเอง จึงตรัสไวในมหาปรินิพพานสูตรวา ดูกอนสุภัททะเรามีวัยได ๒๙ ป บวช แลวตามแสวงหาอะไรเปนกุศล ดูกอน สุภททะตั้งแตเราบวชแลวได ๕๐ ปเศษ ั แมสมณะผูเปนไปในประเทศแหงธรรม
- 17. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 17 เปนเครื่องนําออก ไมมในภายนอกแต ี ธรรมวินัยนี้.สมณะแมที่ ๒ ก็ไมมี สมณะแมที่ ๔ ก็ไมมี ลัทธิของศาสดาอื่นวางเปลาจากสมณะผูรูทั่วถึง. ก็ทานประสงคเอาผูปรารภวิปสสนาวา ปเทสวตฺตี ในมหาปรินิพพานสูตรนั้น. เพราะฉะนั้น พระองคทรงกระทําผูปรารภวิปสสนาเพื่อโสดาปตติมรรคผูตั้งอยูในมรรค ผูตั้งอยูในผล แมทั้ง ๓ ดังกลาวเขาดวยกันแลว ตรัสวา แมสมณะก็ไมมีดังนี้. ทรงกระทําผูปรารภวิปสสนาเพื่อสกทา-คามิมรรคผูตั้งอยูในมรรค ผูตั้งอยูในผล แมทั้ง ๓ ดังกลาวเขาดวยกันตรัสวา สมณะแมที่ ๒ ก็ไมมี. ในบททัง ๒ แมนี้ ก็นัยนี้เชนเดียวกัน. ก็สมณะ ้เหลานั้น ไมมีในลัทธิอื่น เพราะเหตุไร. เพราะลัทธิอื่นนั้นไมมีเขต.ก็เมล็ดผักกาดยอมไมตั้งอยูในปลายเหล็กแหลม ไฟไมลุกโพลงในหลังน้ํา พืชทั้งหลายยอมไมงอกในแผนหิน ฉันใด สมณะเหลานี้ยอมไมเกิดในลัทธิเดียรถียภายนอก ฉันนั้นเหมือนกัน. ในศาสนานี้เทานั้น. เพราะเหตุไร. เพราะศาสนานี้มีเขตดี. ก็ความที่ลัทธิเดียรถียไมมีเขต และความที่ศาสนานี้มีเขตนี้นั้นพึงทราบโดยความไมมี และความมีอริยมรรค. ดวยเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ดูกอนสุภัททะ มรรคมีองคแปดอันประเสริฐอันบุคคลไมไดในธรรมวินัยใดแล แมสมณะก็ไมไดในธรรมวินัยนั้น สมณะแมที่ ๒ ก็ไมไดในธรรมวินัยนัน สมณะแมที่ ๓ ก็ไมไดในธรรมวินัยนั้น สมณะแมที่ ๔ ก็ไมไดใน ้ธรรมวินัยนัน ดูกอนสุภัททะ มรรคมีองคแปดอันประเสริฐยอมไดในธรรม ้วินัยใดแล แมสมณะยอมไดในธรรมวินัยนั้น สมณะแมที่ ๒ ก็ยอมไดในธรรมวินัยนัน ฯลฯ สมณะแมที่ ๔ ก็ยอมไดในธรรมวินัยนัน ดูกอนสุภัททะ ้ ้มรรคมีองคแปดอันประเสริฐยอมไดในธรรมวินัยนั้นแล ดูกอนสุภัททะ สมณะมีในศาสนานี้เทานั้น สมณะที่ ๒ ก็มในศาสนานี้ สมณะที่ ๓ ก็มีใน ี
- 18. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 18ศาสนานี้ สมณะที่ ๔ ก็มีในศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่น สูญจากสมณะผูรูทั่วถึง ดังนี้. เพราะลัทธิเดียรถียไมมีเขต ศาสนามีเขตอยางนี้ เพราะฉะนั้นไกสรสีหะมีแสงสวางพราวแพรว เปนพระยาเนื้อ ซึ่งมีเทาหนาและเทาหลังแดงจัด ยอมไมอาศัยอยูในปาชา หรือกองหยากเยื่อ แตเขาไปสูหิมวันตซึ่งกวางสามพันโยชน อยูในถ้ําแกวมณีฉันใด. พระยาชางฉัททันต ยอมไมเกิดในตระกูลชาง ๙ มีตระกูลชางโคจริยะเปนตน แตเกิดในตระกูลชางฉัททันตเทานั้นฉันใด. พระยามาวลาหกไมเกิดในตระกูลลา หรือในตระกูลอูฐ แตเกิดในตระกูลมาสินธพที่ฝงแมน้ําสินธุเทานั้น ฉันใด. มณีรัตนะอันนําความพอใจใหสิ่งของที่ประสงคทุกอยาง ยอมไมเกิดในกองหยากเยื่อ หรือในภูเขา มีภูเขาดินเปนตน ยอมเกิดในระหวางภูเขาวิบุลบรรพตเทานั้นฉันใด. พระยาปลาติมิรมิงคละ ยอมไมเกิดในบอและสระโบกขรณีเล็ก ๆ ยอมเกิดในมหา-สมุทรที่ลึกได ๘๔,๐๐๐ โยชนเทานั้นฉันใด. พระยาครุฑใหญ ๑๕๐ โยชนยอมไมอาศัยอยูในปามีปาละหุงเปนตน ที่ใกลประตูบาน แตบินขามมหาสมุทรแลว อาศัยอยูในสิมพลิทหวันเทานั้นฉันใด. พระยาหงสทองธตรัฏฐะ ไมอาศัยอยูในที่ทั้งหลาย มีบอน้ําเปนตนที่ใกลประตูบาน แตมีหงส ๙๐,๐๐๐ ตัวเปนบริวาร อาศัยอยูในภูเขาจิตตกูฏบรรพตเทานั้นฉันใด. และพระเจาจักร-พรรดิผูเปนใหญในทวีปทั้งสี่ ยอมไมเกิดในตระกูลต่ํา แตยอมเกิดในตระกูลกษัตริยที่ไมเจือปนเทานั้นฉันใด. ในสมณะเหลานี้ แมสมณะหนึ่ง ก็ไมเกิดในลัทธิของอัญญเดียรถีย แตยอมเกิดในพระพุทธศาสนา ซึ่งแวดลอมดวยอริยมรรคเทานั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึง ตรัสวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เทานั้น ฯลฯ ลัทธิของศาสดาอื่นวางเปลา จากสมณะทั้งหลาย ผูรูทวถึง ดังนี้. ั่
- 19. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 19 บทวา สมฺมา ในบทวา สมฺมา สีหนาท นทถ นั้น ไดแกโดยเหตุ โดยนัย โดยการณ. บทวา สีหนาท คือ การบันลือที่ประเสริฐที่สุด คือ การบันลือที่ไมนากลัว การบันลือที่ไมติดขัด. ก็เพราะความที่สมณะสี่เหลานี้มีอยูในศาสนานี้เทานั้น การบันลือนี้เปนการบันลือสูงสุด ชื่อวาการบันลือที่ประเสริฐที่สุด. การบันลือของภิกษุผูกลาววา สมณะเหลานี้มีในศาสนานี้เทานั้น ชื่อวา การบันลือที่ไมนากลัว เพราะภัยหรือความหวาดระแวงจากที่อื่นไมมี. การบันลือนี้วาสมณะเหลานี้มีอยูในศาสนาแมของพวกเรา ชื่อวาการบันลือไมติดขัด เพราะความที่บรรดาเจาลัทธิทั้งหลายมีปูรณะเปนตน แมคนหนึ่งก็ไมสามารถเพื่อจะลุกขึ้นกลาวได. ดวยเหตุนั้นทานจึงกลาววา บทวาสีหนาท คือ การบันลือทีประเสริฐที่สุด คือ การบันลือที่ไมนากลัว การ ่บันลือที่ไมติดขัด ดังนี้. บทวา าน โข ปเนต วิชฺชติ ความวา ก็การณนี้แลมีอยู. บทวา ย อฺติตฺถิยา คือ พวกอัญญเดียรถีย โดยการณใด. อนึ่ง. พึงทราบติดถะ พึงทราบติตถกร พึงทราบเดียรถีย พึงทราบติดถิยสาวกในที่นี้. ทิฏฐิ ๖๒ อยาง ชื่อวา ติตถะ. ก็สัตวทั้งหลายยอมขามยอมลอยไป ยอมกระทําการผุดขึ้น ดําลงในทานั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกวาติตถะ แปลวา เปนที่ขามของสัตวทั้งหลาย. ความที่ใหทิฏฐิเหลานั้น เกิดขึ้นชื่อวา ติตถกร แปลวา เจาลัทธิ. ผูถือลัทธิของเจาลัทธินั้นแลว บวช ชื่อวาเดียรถีย. ผูใหปจจัยแกเดียรถียเหลานั้น พึงทราบวา ติตถิยสาวก แปลวาสาวกของเดียรถีย. ผูที่ละความผูกพันทางฆราวาสแลว ถึงการบวชชือวา ่ปริพาชก. ทีพึ่ง การดํารง การบํารุง ชื่อวา อัสสาสะ เรี่ยวแรง ชื่อวา ่พละ. บทวา เยน ตุมเฺ ห ความวา พวกเธอจงกลาวอยางนี้ดวยอัสสาสะหรือพละใด. ในบทนี้วา ทานผูมีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ อันพระ- ผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูรู ผูเห็น เปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
- 20. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 20ตรัสแลวมีอยู ดังนี้ มีเนื้อความโดยยอดังนี้. พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นใด บําเพ็ญบารมี ๓๐ ทัด กําจัดกิเลสทั้งปวง ตรัสรูโดยชอบยิ่ง ซึ่งสัมมา-สัมโพธิอันยวดยิ่ง พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูรูอาสยานุสัยของสัตวเหลานั้น ๆ ผูเห็นธรรมที่ควรรูทั้งหมด เหมือนมะขามปอมที่วางไวบนฝามือฉะนั้น. อนึง ทรงรูดวยญาณทั้งหลายมีปุพเพนิวาสญาณเปนตน ทรงเห็น ่ดวยทิพยจักษุ. อนึ่ง ทรงรูดวยวิชชา ๓ หรือ อภิญญา ๖ ทรงเห็นดวยสมันต-จักษุ อันไมติดขัดในที่ทั้งปวง. ทรงรูดวยปญญาอันสามารถที่จะรูธรรมทั้งปวง ทรงเห็นรูปทั้งหลายที่ลวงจักษุวิสัยของสัตวทั้งปวง หรือที่อยูในกําแพงเปนตนดวยมังสจักษุอันหมดจดยิ่ง ทรงรูดวยปฏิเวธปญญาอันเปนปทัฏฐานแหงสมาธิ อันยิ่งประโยชนตนใหสําเร็จ ทรงเห็นดวยเทศนาปญญา อันเปนปทัฏฐานแหงกรุณา อันยังประโยชนคนอื่นใหสําเร็จ. ชื่อวา เปนพระอรหันต เพราะความที่กิเลสอันเปนขาศึกทั้งหลายทรงละไดแลว และเพราะความที่พระองคเปนผูสมควรแกปจจัยเปนตน. ชื่อวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่สัจจะทั้งหลายอันพระองคตรัสรูแลวโดยชอบ และดวยพระองคเอง. อนึ่ง ทรงรูธรรมอันประกอบดวยอันตรายทั้งหลาย ทรงเห็นธรรมอันเปนเครื่องนําสัตวออกจากทุกขทั้งหลาย ชื่อวา เปนพระอรหันต เพราะความที่ขาศึกคือกิเลศทั้งหลายอันพระองคละไดแลว ชื่อวา สัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่ธรรมทั้งปวงอันพระองคตรัสรูแลว ดวยพระองคเอง อันมหาชนชมเชยแลวดวยอาการ ๔ดวยสามารถแหงเวสารัชชะ ๔ ไดตรัสธรรม ๔ ดวยประการฉะนี้. พวกเราใด เห็นธรรมเหลานี้ในตน จงกลาวอยางนี้ จงอยากลาวถึงการบํารุงชวยเหลือหรือกําลังกายของพระราชาและราชมหาอํามาตยเปนตน. บทวา สตฺถริปสาโท ไดแกความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแกผูระลึกถึงพุทธคุณโดยนัยมีอาทิวาแมเพราะเหตุนี้ พระผูมพระภาคเจาพระองคนั้น. บทวา ธมฺเม ปสาโท ี
- 21. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 21ไดแก ความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแกผูระลึกถึง โดยนัยมีอาทิวา พระธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดีแลว. บทวา สีเลสุ ปริปูรการิตา คือ ความเปนผูกระทําบริบูรณในศีลทังหลายอันพระอริยเจาใครแลว. ศีลหา ชื่อวา อริย- ้กันตศีล จริงอยู พระอริยสาวก แมอยูในระหวางภพ แมเมื่อไมรูความที่ตนเปนพระอริยเจา ก็ไมลวงละเมิดศีลหาเหลานั้น ถาจะมีใครพึงกลาวกะอริยสาวกนั้นวา ขอใหทานรับเอาราชสมบัติของพระเจาจักรพรรดิ ทังสิ้นนี้แลว จง ้ปลงแมลงวันตัวเล็กจากชีวิต ดังนี้. ขอที่พระอริยสาวกจะพึงทําตามคําของผูนั้นนั้นไมเปนฐานะจะมีได. ศีลทั้งหลาย เปนที่ใคร คือ เปนที่รัก เปนที่ชอบใจของพระอริยเจาทั้งหลายดวยประการฉะนี้. ทรงหมายถึงศีลเหลานั้น จึงตรัสวาความเปนผูทําบริบูรณในศีลทั้งหลาย ดังนี้. บทวา สหธมฺมิกา โข ปนไดแก ผูมปกติประพฤติธรรมรวมกัน ๗ พวก นัน คือ ภิกษุ ภิกษุณี ี ่สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา. จริงอยู ในสหธรรมจารีเหลานั้น ภิกษุ ชื่อวา ประพฤติธรรมรวมกับภิกษุทั้งหลาย เพราะความเปนผูมีสิกขาเสมอกัน ภิกษุณี ก็ประพฤติธรรมรวมกับภิกษุณีทั้งหลายเชนเดียวกันฯลฯ อุบาสิกา ก็ประพฤติธรรมรวมกับอุบาสิกาทั้งหลาย พระโสดาบันก็ประพฤติธรรมรวมกับพระโสดาบันทั้งหลาย พระสกทาคามีฯลฯ พระอนาคามีก็พระพฤติธรรมรวมกับพระอนาคามีทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สหธรรมจารีเหลานั้นทั้งหมดแล เรียกวา สหธัมมิก. อนึ่ง ในที่นี้ ทานประสงคพระ-อริยสาวกอยางเดียว. เพราะพระอริยสาวกเหลานั้น ไมมีความวิวาทในการเห็นมรรคแมในระหวางแหงภพ เพราะฉะนั้น พระอริยสาวกเหลานั้น จึงชื่อวาสหธัมมิก. เพราะมีปกติพระพฤติธรรมอันเดียวกันโดยแท. ทานแสดงความเลื่อมใสที่เกิดแกผูระลึกถึงพระสงฆโดยนัยมีอาทิวา พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เปนผูปฏิบัติดี ดวยบทนี้. องคทั้งหลายแหงพระโสดาบันสี่เปน
- 22. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 22อันทานแสดงแลว ดวยประการเพียงนี้. บทวา อิเม โข โน อาวุโสความวา ดูกอนผูมีอายุ ธรรมสี่เหลานี้อันพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้นตรัสวา เปนความมั่นใจ และเปนกําลังของพวกเรา. พวกเราใด เล็งเห็นธรรมเหลานี้ในตน จงกลาวอยางนี้. ปริพาชกแสดงอางศาสดาทั้งหก มีปูรณกัสสป เปนตน ดวยบทนี้วา ผูใด เปนศาสดาของพวกเรา. ก็บัดนี้มีความรักอันอาศัยเรือนวา อาจารยของพวกเรา อุปชฌายของพวกเรา ในบุคคลทั้งหลายมีอาจารยและอุปชฌายเปนตนในศาสนา โดยประการใด ปริพาชกกลาววา ความเลื่อมใสในศาสดา หมายถึงความรัก เห็นปานนั้น. ก็พระเถระกลาววา เพราะพระศาสดาไมใชเปนของคนเดียว ไมใชเปนของสองคน แตเปนพระศาสดาพระองคเดียวเทานั้น ของโลก พรอมกับเทวโลก เพราะฉะนั้นเดียรถียทั้งหลายไดแบงศาสดาออกเปนแผนก ดวยบทเดียวเทานั้นวา ศาสดาของพวกเรา เปนอันพลาดแลว แพแลวดวยบทนี้เทียว ดังนี้. ก็ในบทวาธมฺเม ปสาโท นี้ ปริพาชกทั้งหลายสําคัญวา ทีฆนิกายของพวกเรามัชฌิมนิกายของพวกเราในศาสนาในบัดนี้ ฉันใด ยอมกลาวหมายถึงความรักอันอาศัยเรือนในปริยัติธรรมของตน ๆ ฉันนั้น. บทวา สีเลสุ คือ ในศีลทั้งหลาย มีศลแพะ ศีลโค ศีลแกะ และศีลสุนัขเปนตน. ปริพาชกทั้งหลาย ีกลาวหมายถึงความเลื่อมใสวา อิธ ในบทนี้วา อิธ โน อาวุโส ดังนี้.บทวา โก อธิปฺปาโย ไดแก การประกอบขอประสงคอะไร. บทวา ยทิทความวา ปริพาชกทั้งหลายเปนผูมีธุระเสมอกันดํารงอยูดวยถอยคําวา ทานพึงกลาวขอที่กระทําใหตางกันระหวางของพวกทานและของพวกเรานี้ใด ขอนั้นเปนความเลื่อมใสในฐานสี่แมของพวกทาน ชื่อไร ก็เปนความเลื่อมใสในฐานเดียวกันกับของพวกเราดวยมิใชหรือ พวกทานและพวกเราเปนเชนกับพวกเดียวกัน ดุจทองคําที่แตกออกเปน ๒ สวนแลว ฉะนั้น. ลําดับนั้น พระผูมี
- 23. พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 23พระภาคเจา เมื่อจะทรงทําลายความเปนผูมีธุระเสมอกันนั้นของปริพาชกเหลานั้น จึงตรัสวา เอว วาทิโน ดังนี้เปนตน. บรรดาบทเหลานั้น บทวาเอกา นิฏา ความวา พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา พวกเธอจงถามอยางนี้วาความสําเร็จอันเปนที่สุดแหงความเลื่อมใสนั้นใด ความสําเร็จนั้นมีอยางเดียวหรือมีมากอยาง. ก็เพราะชื่อผูบัญญัติความสําเร็จในลัทธินั้น ๆไมมี อสัญญีภพจึงถูกกําหนดอยางนี้วา ก็พรหมโลกเปนของพวกพราหมณ ความสําเร็จ คือความดับมีอยางเดียว อาภัสสราเปนของพวกดาบส สุภกิณหาเปนของพวกปริ-พาชก โดยที่สุดเปนของพวกอาชีวก. ก็อรหัต คือ ความสําเร็จในศาสนานี้.ก็พวกปริพาชกเหลานั้นทั้งหมดยอมกลาววา อรหัตเทานั้น คือความสําเร็จ.อนึ่ง ยอมบัญญัติโลกทั้งหลายมีพรหมโลกเปนตน ดวยอํานาจทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงบัญญัติความสําเร็จมีอยางเดียวเทานั้นดวยอํานาจแหงลัทธิของตน ๆ.พระผูมีพระภาคเจาเพื่อทรงแสดงความสําเร็จนั้น จึงตรัสวา เมื่อจะพยากรณโดยชอบ ดังนี้เปนตน. บัดนี้ ครั้นเมื่อความสําเร็จ ๒ อยาง คือ ความสําเร็จมีอยางเดียวในศาสนานี้สําหรับภิกษุทั้งหลายดวย ความสําเร็จมีอยางเดียวสําหรับเดียรถียทั้งหลายดวย ดํารงอยูเหมือนลูกความทั้งหลายฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจาเมื่อทรงแสดงวัตรแหงการประกอบเนืองๆ จึงตรัสวา ดูกอนผูมีอายุทั้งหลาย ก็ความสําเร็จนั้นเปนของผูมีราคะ หรือของผูปราศจากราคะ ดังนี้เปนตน. ในทีนี้ ่เพราะธรรมดาความสําเร็จของผูมีกิเลสทั้งหลายมีผูอันราคะยอมเปนตนไมมีเพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพยากรณโดยนัยมีอาทิวา ดูกอนผูมีอายุทั้งหลาย ความสําเร็จนั้นเปนของผูปราศจากราคะแกเดียรถียทั้งหลาย ผูเห็นโทษนี้วา ผิวาแมสุนัขบานและสุนัขจิ้งจอกเปนตนจะพึงมีไซร ก็จะพึงมี ดังนี้. บรรดาบทเหลานั้น บทวา วิทฺทสุโน ไดแก บัณฑิต. บทวา อนุรุทฺธปฏิวิรทฺธสฺส ได ุ