More Related Content
Similar to โครงการในพระราชดำริงานคอม (20)
More from Unchaya Suwan (20)
โครงการในพระราชดำริงานคอม
- 9. โครงการพระราชดําริ คือ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากพระดําริของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหา
ความเดือดร้อนของราษฎรเสมือนหนึ่งเป็นวามทุกข์ของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระราชดําริที่จะพัฒนา
ความเป็นอยู่ของราษฎรให้เกิดความ ”พออยู่ พอกิน” พระองค์ทรงใช้พระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ
พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เพื่อประโยชน์สุขแก่ทุกชีวิตในประเทศไทยตลอดมา
โครงการพระราชดําริเป็นโครงการที่ทรงวางแผนพัฒนา ทรงเสนอแนะให้รัฐบาลร่วมดําเนินการ
พระราชดําริ จึงก่อให้เกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริต่างๆมากมายกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค
ของประเทศไทย
ดังนั้นโครงการในพระราชดํารินั้นจึงมีความสําคัญกับประชาชนไทยเราทุกคน ซึ่งได้
ยกตัวอย่างของโครงการในพระราชดําริที่สําคัญมา 5 โครงการ คือ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง
โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการกังหันนํ้าชัยพัฒนา โครงการพระราชดําริฝนหลวง ซึ่งได้
เป็นการช่วยเหลือคนไทยในด้านต่างๆ เช่นโครงการเศรษฐกิจพอเพียงทําให้คนไทยได้มีกินมีใช้ได้ตลอดปี
ไม่ลําบาก และโครงการพระราชดําริฝนหลวง ได้ช่วยให้ประชาชนมีนํ้าใช้ในพื้นที่แห้งแล้ง เป็นต้น
- 18. โครงการเศรษฐกิจพอเพียง
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้
๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป
โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับ
พอประมาณ
๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น
จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงถึง
ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้นๆ อย่างรอบคอบ
๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ
เปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ
ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
- 19. โครงการเศรษฐกิจพอเพียง
เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒
ประการ ดังนี้
๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่
เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนําความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน
เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ
๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน
คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการ
ดําเนินชีวิต
- 22. แนวพระราชดําริในการดําเนินชีวิตแบบพอเพียง
๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่าง
รุนแรง
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หา
ความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้ าหมายสําคัญ
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา
- 27. โครงการแกมลิง
ทั้งนี้โครงการแก้มลิงแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ โครงการระบายนํ้าในพื้นที่ฝั่ง
ตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา โดยจะใช้คลองที่ตั้งอยู่ชายทะเลด้านจังหวัด
สมุทรปราการ ทําหน้าที่เป็นทางเดินของนํ้า ตั้งแต่จังหวัด สระบุรี พระนครศรีอยุธยา
ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
ส่วนที่สอง คือคลองในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยา ซึ่งจะใช้คลอง
มหาชัย คลองสนามชัย และแม่นํ้าท่าจีน ทําหน้าที่เป็นคลองรับนํ้าในพื้นที่ตั้งแต่จังหวัด
อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร แล้วระบายลงสู่ทะเลด้าน
จังหวัดสมุทรสาคร
- 30. โครงการแกมลิง
นอกจากนี้ยังมีโครงการแก้มลิง "แม่นํ้าท่าจีนตอนล่าง" เพื่อช่วยระบายนํ้าที่
ท่วมให้เร็วขึ้น โดยใช้หลักการควบคุมนํ้าในแม่นํ้าท่าจีน คือ เปิดการระบายนํ้าจํานวน
มากลงสู่อ่าวไทย เมื่อระดับนํ้าทะเลตํ่า ซึ่งโครงการนี้จะประกอบไปด้วย ๓ โครงการใน
ระบบคือ
๑.โครงการแก้มลิง "แม่นํ้าท่าจีนตอนล่าง
๒.โครงการแก้มลิง "คลองมหาชัย-คลองสนามชัย"
๓.โครงการแก้มลิง "คลองสุนัขหอน"
ด้วยพระปรีชาญาณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ "โครงการแก้มลิง" จึงเกิดขึ้น และช่วย
บรรเทาวิกฤต และความเดือดร้อนจากนํ้าท่วมรอบกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลให้
เบาบางลงไปได้ โดยอาศัยเพียงแค่วิธีการทางธรรมชาติ
- 34. โครงการแกลงดิน
ที่มาและความสําคัญในพระราชดําริ
แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย
เดช เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังนํ้าไว้ในพื้นที่
จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทําให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายนํ้าออกและ
ปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัด
นราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักนํ้าออก เพื่อจะนํา
ที่ดินมาใช้ทําการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมี
พระราชดําริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีนํ้า
แช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คํานึงถึงผลกระทบต่อ
ระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด
- 35. โครงการแกลงดิน
ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรด
กํามะถันออกมา ทําให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการ
พัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จึงได้ดําเนินการสนองพระราชดําริ
โครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจาก
วิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทําให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยา
ทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ
ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุด
ขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุง
ดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนว
พระราชดําริ คือควบคุมระดับนํ้าใต้ดิน เพื่อป้ องกันการเกิดกรดกํามะถัน จึงต้อง
ควบคุมนํ้าใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยา
กับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์
- 36. โครงการแกลงดิน
วิธีการดําเนินงานของโครงการพระราชดําริ
-การแกล้งดิน
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ได้ทําการศึกษาวิจัยและ
ปรับปรุงดิน โดยวิธีการ "แกล้งดิน" คือ ทําให้ดินเปรี้ยว เป็นกรดจัดรุนแรงที่สุด
กล่าวคือ การทําให้ดินแห้ง และเปียกโดยนํานํ้าเข้าแปลงทดลองระยะหนึ่ง และระบายนํ้า
ออกให้ดินแห้งระยะหนึ่งสลับกัน จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกรดมากยิ่งขึ้น ด้วยหลักการ
นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้เลียนแบบสภาพธรรมชาติ ซึ่งมีฤดูแล้งและ
ฤดูฝนเป็นปกติในแต่ละปี แต่ให้ใช้วิธีการร่นระยะเวลาช่วงแล้ง และช่วงฝนในรอบปีให้
สั้นลง โดยปล่อยให้ดินแห้ง 1 เดือน และขังนํ้าให้ดินเปียกนาน 2 เดือน สลับกันไป เกิด
ภาวะดินแห้ง และดินเปียก 4 รอบ ต่อ 1 ปี เสมือนกับมีฤดูแล้งและฤดูฝน 4 ครั้ง ใน 1
ปี หลังจากนั้นจึงให้หาวิธีการปรับปรุงดิน ดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้
- 37. โครงการแกลงดิน
-การปรับปรุงดิน
วิธีการปรับปรุงดินอันเนื่องมาจากพระราชดําริ "แกล้งดิน" สามารถเลือกใช้
ได้ 3 วิธีการตามแต่สภาพของดินและความเหมาะสม คือ
การใช้นํ้าชะล้างความเป็นกรด : เป็นการใช้นํ้าชะล้างดินเพื่อล้างกรดทําให้ค่า
pH เพิ่มขึ้นโดยวิธีการปล่อยนํ้าให้ท่วมขังแปลง แล้วระบายออกประมาณ 2-3 ครั้ง
โดยทิ้งช่วงการระบายนํ้าประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง ดินจะเปรี้ยวจัดในช่วงดินแห้ง
หรือฤดูแล้ง ดังนั้นการชะล้างควรเริ่มในฤดูฝนเพื่อลดปริมาณการใช้นํ้าในชลประทาน
การใช้นํ้าชะล้างความเป็นกรดต้องกระทําต่อเนื่องและต้องหวังผลในระยะยาวมิใช่
กระทําเพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดแต่จําเป็นต้องมีนํ้ามาก
พอที่จะใช้ชะล้างดินควบคู่ไปกับการควบคุมระดับนํ้าใต้ดินให้อยู่เหนือดินเลนที่มีไพไรท์
มากเมื่อล้างดินเปรี้ยวให้คลายลงแล้วดินจะมีค่า pH เพิ่มขึ้นอีกทั้งสารละลายเหล็กและ
อลูมิเนียมที่เป็นพิษเจือจางลงจนทําให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี
- 40. จากการพัฒนาบ้านโคกอิฐ และบ้านโคกใน ปรากฏว่าราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว
สามารถปลูกข้าวให้ได้ผล ผลิตเพิ่มมากขึ้นจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย ถึงกับมีรับสั่งว่า
"...เราเคยมาโคกอิฐ โคกใน มาดูเขาชี้ตรงนั้นๆ เขาทํา แต่ว่าเขาได้เพียง 5 ถึง 10 ถัง
แต่ตอนนี้ได้ขึ้นไปถึง 40-50 ถัง ก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าทําให้เปรี้ยวเต็มที่แล้ว โดยที่ขุด
อะไรๆ ทําให้เปรี้ยวแล้วก็ระบาย รู้สึกว่านับวันเขาจะดีขึ้น... อันนี้สิเป็นชัยชนะที่ดีใจมาก
ที่ใช้งานได้แล้ว ชาวบ้านเขาก็ดีขึ้น ...แต่ก่อนชาวบ้านเขาต้องซื้อ ข้าว เดี๋ยวนี้เขามีข้าว
อาจจะขายได้"
- 41. อย่างไรก็ตาม " โครงการแกล้งดิน " มิได้หยุดลงเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง แต่จะต้อง
ดําเนินการต่อไป "...งานปรับปรุงดินเปรี้ยวควรดําเนินการต่อไป ทั้งในแง่การศึกษา
ทดลองและการขยายผล..." ซึ่งปัจจุบันได้นําผลการศึกษาทดลอง ไปขยายผลแก่
ราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนี้จะมีการนํา
ผลของการ "แกล้งดิน" นําไปใช้ในพื้นที่จังหวัดนครนายก
และจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกด้วย
ดังนั้น " โครงการแกล้งดิน " จึงเป็นโครงการที่ก่อให้เกิด
ประโยชน์กับราษฎรทั่ว ทั้งประเทศ สร้างความปลื้มปิติ
แก่เหล่าพสกนิกรเป็นล้นพ้นที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง ยอมตรากตรําพระ
วรกายลงมา "แกล้งดิน" เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ พ้นจากความยากจนกลับ มา
เบิกบานแจ่มใสกันทั่วหน้า
- 44. กังหันนํ้าชัยพัฒนาเป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวนํ้าหมุนช้าแบบทุ่นลอย
(Chaipattana Low Speed Surface Aerator) ซึ่งเป็น Model RX-2 หมายถึง Royal
Experiment แบบที่ 2 มีคุณสมบัติในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 1.2 กิโลกรัมของ
ออกซิเจน/แรงม้า/ชั่วโมง สามารถนําไปใช้ในกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพนํ้าได้อย่าง
อเนกประสงค์ ติดตั้งง่าย เหมาะสําหรับใช้ในแหล่งนํ้าธรรมชาติ ได้แก่ สระนํ้า หนองนํ้า
คลอง บึง ลําห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า
3.00 เมตร
- 45. วิธีการดําเนินงานของโครงการพระราชดําริ
โครงกังหันนํ้า 12 เหลี่ยมๆ ละ 6 ซอง โดยแต่ละซองที่พื้นจะมีรูพรุน
เพื่อที่จะได้วิดนํ้าขึ้นไปสัมผัสกับอากาศและตกลงมากระทบกับผิวนํ้า ก็จะเกิด
ฟองอากาศขึ้นมา ทําให้มีออกซิเจนในนํ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ละซองสามารถวิดนํ้าได้ลึก
0.50 เมตรและวิดนํ้าขึ้นไปแตกกระจายในอากาศได้ถึง 1 เมตรและในขณะที่ซองนํ้า
กําลังเคลื่อนที่ลงสู่ผิวนํ้าแล้วกดลงไปใต้ผิวนํ้านั้น จะเกิดการอัดอากาศภายในซองนํ้า
จนกระทั่งซองนํ้าจมนํ้าเต็มที่ทําให้เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงขึ้น
- 46. กังหันนํ้าชัยพัฒนาได้นํามาติดตั้งใช้งานกับระบบบําบัดนํ้าเสียตามสถานที่
ต่างๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2532 และได้มีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่
ตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุเป้ าหมายที่จะให้มีการบําบัดนํ้าเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
สะดวกในการใช้งานประหยัดค่าใช้จ่าย และบํารุงรักษาได้ง่ายตลอดจนมีอายุการใช้งาน
ที่ยาวนาน
การบําบัดมลพิษในนํ้าด้วยการใช้เครื่องกลเติมอากาศ '''กังหันนํ้าชัยพัฒนา'''
ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจทําให้นํ้าใสสะอาดขึ้น ลดกลิ่นเหม็นลงได้มากและมีปริมาณ
ออกซิเจนในนํ้าเพิ่มขึ้น สัตว์นํ้าสามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย และสามารถบําบัด
ความสกปรกในรูปของมวลสารต่างๆ ให้ลดตํ่าลง ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนด
- 47. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 เครื่องกลเติมอากาศ '''กังหันนํ้าชัย
พัฒนา''' ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย นับเป็น
สิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรก
ที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์ด้วย จึงนับได้ว่าเป็น
'''สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติ
ไทยและเป็นครั้งแรกของโลก'''
นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้
ประกาศให้กังหันนํ้าชัยพัฒนาได้รับรางวัลที่ 1 ประเภท
รางวัลผลงานคิดค้นหรือสิ่งประดิษฐ์ซึ่งเป็นประโยชน์แก่
ประเทศชาติ ประจําปี 2536 และทูลเกล้า ฯ ถวายรางวัล
นี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกวาระหนึ่ง
- 51. ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่ง
สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทําความเสียหายแก่
เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระ
ราชดําเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณ
มากปกคลุมท้องฟ้ า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะ
ฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคํานึงว่า น่าจะมีมาตรการทาง
วิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า
ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใน
ภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุม
ตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจําปีของประเทศไทย จะ
สามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ อย่างแน่นอน
- 52. การทดลองในท้องฟ้ าเป็นครั้งแรก จนถึงปี พ.ศ.2512กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน
ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นําความขึ้นกราบบังคมทูล
พระกรุณาทรงทราบว่า พร้อมที่จะดําเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปี
เดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทําการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้ า
เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อํานวยการโครงการ และหัวหน้าคณะ
ปฏิบัติการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็น
แห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนนํ้าแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่
เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่
เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทําให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทาง
ฟิสิกส์ของเมฆ
- 54. วิธีการดําเนินงานของโครงการพระราชดําริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกําหนดขั้นตอนของกรรมวิธีการทําฝน
หลวงขึ้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ตามลําดับ ดังนี้
ขั้นตอนที่หนึ่ง : "ก่อกวน"
เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติ เริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบัติการฝนหลวง ใน
ขั้นตอนนี้ จะมุ่งใช้สารเคมีไปกระตุ้น ให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่ เบื้องบน เพื่อให้
เกิดกระบวนการชักนําไอนํ้า หรือ ความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิด เมฆ ระยะเวลาที่จะ
ปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน โดยการใช้ สารเคมีที่สามารถ
ดูดซับไอนํ้าจากมวล อากาศได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ ตํ่า (มี ค่า Critical
relative humidity ตํ่า)เพื่อกระตุ้น กลไกของกระบวนการกลั่นตัวไอนํ้าในมวล อากาศ ใน
บริเวณ ปฏิบัติการสําหรับใช้เป็นศูนย์กลาง ที่ จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป
- 55. ขั้นตอน ที่ สอง :
"เลี้ยง ให้ อ้วน" เป็นขั้นตอนที่เมฆกําลัง ก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสําคัญ
มาก ในการปฏิบัติการฝนหลวง เพราะจะต้องไป เพิ่มพลังงานให้แก่ updraft ให้ยาวนาน
ออกไป ต้อง ใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์หรือศิลปะแห่ง การทําฝนควบคู่ไปพร้อมๆ
กัน เพื่อตัดสินใจ โปรยสารเคมีฝนหลวงชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่ม ก้อนเมฆ และในอัตรา
ใดจึงเหมาะสม เพราะ ต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุล กับความแรงของ
updraft มิฉะนั้นจะทําให้เมฆ สลาย
- 56. ขั้นตอน ที่ สาม :
"โจมตี" เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธี ปฏิบัติการฝนหลวง เมฆ หรือ กลุ่ม
เมฆฝนมี ความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็น ฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดนํ้า
ขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดนํ้าเกาะตามปีก
และกระจังหน้า ของเครื่องบิน เป็นขั้นตอนที่สําคัญ และอาศัย ประสบการณ์มาก
เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อ ลดความรุนแรงของ updraft หรือทําให้อายุของ updraft
หมดไป สําหรับการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทําฝน
หลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และเพื่อให้
เกิดการกระจายการตกของฝน (Rain redistribution)