Contenu connexe Similaire à ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Similaire à ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (20) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์2. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( COMPUTER NETWORK )
หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
เข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ใน
เครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลและใช้อุปกรณ์ต่างๆ
ในเครือข่ายร่วมกันได้
2
4. ประเภทของระบบเครือข่าย
1. LAN (Local Area Network)
2. MAN (Metropolitan Area Network)
3.WAN (Wide Area Network)
4
5. LAN (Local Area Network)
การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน เช่น การ
เชื่อมต่อในตึกเดียวกัน หรือห้องเดียวกัน การเชื่อมต่อในมหาวิทยาลัย การ
เชื่อมต่อในหน่วยงานต่างๆ โดยส่วนมากจะใช้สายเคเบิ้ลในการติดต่อสื่อสาร
กัน โดยคอมพิวเตอร์ที่ต่อกันอยู่นั้นสามารถที่จะแบ่งกันใช้ข้อมูล สามารถ
โอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ รวมทั้งยังสามารถใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกันได้
5
6. MAN (Metropolitan Area Network)
เป็นการนาระบบ LAN หลายๆ LAN ทีมพนทีอยูใกล้เคียงกันอาจตังอยู่
่ ี ้ื ่ ่ ้
ห่างไกลกันในช่วง 5 ถึง 50 กิโลเมตร มาเชื่อมต่อกัน มักจะเป็นบริษัทหรือ
หน่วยงานขนาดใหญ่ที่จาเป็นจะต้องติดต่อสื่อสารข้อมูลผ่านระบบ
คอมพิวเตอร์ด้วยความเร็วสูงมาก โดยที่การสื่อสารนั้นจากัดอยู่ภายในบริเวณ
เมือง หรือในจังหวัด เป็นต้น
6
7. WAN (Wide Area Network)
เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันแบบกว้างขวาง อาจจะเป็น
ภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ เป็นการใช้หลายๆ LAN หรือหลายๆ
MAN ซึ่งอยู่คนละพื้นที่เชื่อมต่อเข้าหากัน เช่น สานักงานที่ New York
เชื่อมต่อกับที่ Tokyo โดยการเชื่อมต่อสามารถทาได้โดยการใช้ ATM, DSL,
ISDN หรือ อื่นๆ แต่การเชื่อมต่อจะมีความเร็วในการเชื่อมต่อต่ากว่าการ
เชื่อมต่อแบบ LAN
7
8. อาจจะมีอีกประเภทหนึ่ง คือ SAN (Small Area Network)
เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันในพื้นที่ขนาดเล็กมาก อาจจะ
เป็นในบ้านหรือสานักงานขนาดเล็กที่มีจานวนของคอมพิวเตอร์ไม่ควร
จะเกิน 10 เครื่อง
8
9. ลักษณะการทางาน การทาหน้าที่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องของ
ระบบเน็ตเวิร์คเป็นสาคัญ อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Peer to Peer Network
เป็นลักษณะของกลุ่มคอมพิวเตอร์
ที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีสิทธิ์เท่าเทียม
กันหมด (Peer) ไม่มีเครื่องไหนทาหน้าที่
เป็นศูนย์กลางของเน็ตเวิร์คเครื่องทุกเครื่องเป็นทั้งผู้ใช้ และผู้ถูกใช้ สามารถเป็นได้
ทั้ง Client และ Server ไม่มีเครื่องไหนมีหน้าที่ดูแลจัดการระบบทั้งหมด เป็นต้น
ว่าการแชร์ทรัพยากรจะทาอย่างไร ใครเป็นผู้ดูแล ผู้ใช้งานแต่ละเครื่องจะเป็นผู้ดูแล
ข้อมูลและทรัพยากรของตัวเอง
9
10. 2. Client-Server
ในกรณีที่องค์กรของเรามีผู้ใช้เครื่อง มากกว่า 15-20 เครื่อง ระบบเน็ตเวิร์คแบบ
peer to peer จะไม่เหมาะสม เราควรเลือกใช้ระบบ client-server จะเหมาสมกว่า
เพราะมีความสามารถในการดูแลควบคุมการใช้งานของระบบเน็ตเวิร์คที่มีผู้ใช้จานวน
มากได้ดีกว่า ระบบเน็ตเวิร์คแบบนี้จะเป็นระบบที่มีศูนย์กลาง มีคอมพิวเตอร์ที่ทา
หน้าที่ดูแลระบบ อานวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล รักษาความปลอดภัยให้กับ
คอมพิวเตอร์ทั้งระบบ มีหน้าที่คล้ายๆเป็นหัวหน้ากลุ่ม เราจะเรียกคอมพิวเตอร์ที่ทา
หน้าที่นี้ ว่า server ส่วนเครื่องที่เหลือในระบบที่ไม่ได้ทาหน้าที่นี้เราเรียกว่าclient
หรือ workstation เป็นกลุ่มคอมพิวเตอร์ในระบบ ที่ทาหน้าที่รับบริการจากเครื่อง
server ซึ่งจะทาหน้าที่ควบคุมการใช้งานทุกอย่างของเน็ตเวิร์ค เช่นของมูลเครื่องพิมพ์
จะถูกดูแล และ แชร์โดยเครื่อง server อุปกรณ์ทุกอย่างจะถูกเชื่อมต่อโดยตรง เครื่อง
client ทุกเครื่องจะใช้งานทรัพยากรต่างๆ ผ่านทาง server
10
12. Ethernet / Fast Ethernet / Gigabit Ethernet LAN
การเชื่อมต่อที่ใช้ในการเชื่อมต่อระบบ LAN ในปัจจุบน โดยมีอัตรารับส่งข้อมูล
ั
สูงสุดถึง 10 Gbps โดยเชื่อมต่อผ่านสาย UTP หรือ สาย Fiber optic
ระยะทางและความเร็วในการเชื่อมต่อแบบ Ethernet
ชนิด ระยะทางสูงสุด ชนิดของสาย ความเร็ว
10BaseT 100 m UTP 10 Mbps
100BaseTX 100 m UTP 100 Mbps
100BaseFX 400 m (half duplex) Fiber Optic 100 Mbps
2000 m (full duplex)
1000BaseSX 220 m Fiber Optic 1000 Mbps
(MMF)
1000BaseLX 3-10 Km Fiber Optic 1000 Mbps
(SMF)
12
14. Wireless LAN
รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายผ่านคลื่นวิทยุ โดยใช้คลื่นความถี่ที่จัดไว้
มาตรฐานการใช้งาน Wireless ในประเทศไทย
IEEE 802.11 ความถี่ 2.4~2.5GHz ความเร็วโดยรวม 2Mbps
IEEE 802.11b ความถี่ 2.4~2.5GHz ความเร็วโดยรวม 11Mbps /
22Mbps
IEEE 802.11a ความถี่ 5.15~5.35GHz, 5.47~5.725GHz ความเร็ว
โดยรวม มากที่สุด 54Mbps
IEEE 802.11g ความถี่ 2.4~2.5GHz ความเร็วโดยรวม 54Mbps
IEEE 802.11n ความถี่ 2.4GHz / 5GHz ความเร็วโดยรวม 300Mbps
14
16. การเชื่อมต่อแบบเป็นโครงสร้าง คือ การติดต่อสื่อสารโดยมี
สถานีฐาน (Access Point) เป็นศูนย์กลาง โดยแต่ละเครื่อง
สามารถเชื่อมต่อสู่เครือข่ายภายนอกได้ผ่านทาง Access Point
16
17. รูปแบบของระบบเครือข่าย
หมายถึงรูปแบบในการจัดวางตาแหน่งของคอมพิวเตอร์ สาย
เคเบิ้ล และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อที่จะให้ข้อมูลได้ทางานตามทิศทางที่
เราได้กาหนดไว้ โครงสร้างเน็ตเวิร์คที่ต่างกันมีความต้องการด้าน
อุปกรณ์ต่างๆ เช่นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ แตกต่างกันไปด้วย
โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
17
20. ระบบเครือข่ายรูปแบบ MESH
ข้อดี
ในกรณีสายเคเบิ้ลบางสายชารุด เครือข่ายทั้งหมดยังสามารถใช้ได้ ทาให้
ระบบมีเสถียรภาพสูง นิยมใช้กับเครือข่ายที่ต้องการเสถียรภาพสูง และ
เครือข่ายที่มีความสาคัญ
ข้อเสีย
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และสายเคเบิ้ลมากกว่าการต่อแบบอื่นๆ
ยากต่อการติดตั้ง เดินสาย เคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยน และบารุงรักษาระบบ
เครือข่าย
20
22. ระบบเครือข่ายรูปแบบ BUS
เป็นเน็ตเวิร์คที่ง่ายที่สุด และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ด้วยการใช้สายเคเบิ้ลเป็นสายหลัก เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องโดยมีเน็ตเวิร์คการ์ดเป็น
ตัวเชื่อมระหว่างสายเคเบิ้ลกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจะถูกส่งออกไปตามสาย ไปยังคอมพิวเตอร์
ทุกๆเครื่อง ไม่สนใจว่าเครื่องไหนคือผู้รับ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะตรวจสอบเอง ว่าข้อมูลที่
ส่งออกมานั้นเป็นของเครื่องตนเองหรือไม่ ถ้าไม่ จะปล่อยข้อมูลผ่านไป แต่ถ้าใช่ ก็จะนาข้อมูล
เหล่านั้นไปใช้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ ในระบบ
นี้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถส่งข้อมูลได้พร้อมกันหลายเครื่องในเวลาเดียวกันเป็นสาเหตุให้
ประสิทธิภาพของเน็ตเวิร์คจะน้อยลงเมื่อมีจานวนคอมพิวเตอร์มากขึ้น สายเคเบิ้ลที่เป็นสายกลาง
ที่ต้องใช้รับและส่งข้อมูล เรียกว่า backbone สายที่ใช้ส่วนมากจะเป็นสาย coaxial มีลักษณะ
คล้ายๆกับสายเคเบิ้ลทีวี การใช้จะต้องมีอุปกรณ์ที่ปิดหัวและท้ายของสายเคเบิ้ลด้วย เรียกว่า
terminatorคอยรับสัญญาณไม่ให้สะท้อนกลับไป ซึ่งอาจจะเป็นการรบกวนสัญญาณได้ บัส เป็น
วิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุดในการติดตั้งเน็ตเวิร์ค ไม่ต้องมีฮาร์ดแวร์มากมาย มีเพียงแค่สายเคเบิ้ล
เน็ตเวิร์ค-การ์ด และเทอร์มิเนเตอร์ ก็พอแล้ว มักใช้กับเน็ตเวิร์คขนาดเล็กที่มีจานวนเครื่องไม่22 มาก
นัก
23. ระบบเครือข่ายรูปแบบ BUS
ข้อดี
ประหยัด สะดวก ง่ายต่อการนาอุปกรณ์เชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย
ใช้สายเคเบิลน้อยกว่าการต่อแบบ Star
ข้อเสีย
ระบบเครือข่ายทั้งหมดจะไม่สามารถใช้การได้ ถ้าสายหลักชารุด
จาเป็นต้องมี Terminator ที่ปลายทั้ง 2 ข้างของสายหลัก เพื่อป้องกัน
สัญญาณสะท้อนกลับไปมาภายในสาย
ค้นหาจุดที่เกิดปัญหาได้ยาก ถ้าระบบเครือข่ายทั้งหมดไม่สามารถใช้การได้
จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ มีผลกับประสิทธิภาพของเน็ตเวิรค ์
มีการชนกันของข้อมูลทีส่งออกไปมากจนทาให้เกิดปัญหา
่
23
25. ระบบเครือข่ายรูปแบบ STAR
เป็นลักษณะการเชื่อมต่อโดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าสู่อุปกรณ์ส่วนกลางที่
เรียกว่า ฮับ (HUB) ข้อมูลหรือสัญญาณจะเดินทางจากเครื่องส่งไปสู่ผู้รับโดยผ่านฮับ
ข้อดี
ง่ายต่อการต่ออุปกรณ์และการเดินสาย
สามารถเพิ่มเติมอุปกรณ์ หรือถอดอุปกรณ์ออกได้ง่าย และไม่รบกวนส่วนอื่น
ง่ายต่อการตรวจสอบจุดที่เกิดปัญหา และการแยกอุปกรณ์บางส่วนออกจากระบบ
ข้อเสีย
เปลืองสายเคเบิ้ลมากกว่าการต่อแบบ Bus
ถ้า hub หรือ switch ที่เชื่อมอยู่ตรงกลางมีปัญหา จะทาให้ระบบเครือข่ายทั้งหมด
มีปัญหาไปด้วย
ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการต่อแบบ Bus เนื่องจากจาเป็นต้องมี Hub หรือ Switch เชื่อม
25
ตรงกลาง
27. ระบบเครือข่ายรูปแบบ TREE
เป็นการผสมผสานกันระหว่างการต่อแบบ Bus และ Star หรือเป็นการต่อ Star ซ้อน
กันหลายชั้น
ข้อดี
ในแต่ละส่วนย่อยๆ จะต่อถึงกันแบบ Star ทาได้รับข้อดีของการต่อแบบ Star
มาด้วย
ข้อเสีย
ระยะทางในแต่ละส่วนย่อยๆ จะถูกจากัดโดยชนิดของสาย
ถ้าสายหลักหรือ Hub ตัวกลางหลักเสีย ระบบเครือข่ายทั้งหมดจะไม่สามารถ
ใช้การได้
ยากต่อการติดตั้งและเดินสาย 27
29. ระบบเครือข่ายรูปแบบ RING
เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ในลักษณะของรูปวงแหวนโดยใช้สาย
เคเบิ้ล การต่อลักษณะนี้จะไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสุดท้าย การส่งข้อมูลจะวิ่งผ่าน
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเป็นรูปวงแหวนในทิศทางเดียวกัน เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่อง
หนึ่งต้องการส่งข้อมูล มันจะทาการใส่ข้อมูลตาแหน่งของเครื่องที่มันต้องการจะ
ส่งไปให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะนาสัญญาณมาเช็คว่าเป็นของตนเองหรือเปล่า ถ้า
ไม่ใช่ ก็จะส่งไปให้เครื่องต่อไป สัญญาณจะวิ่งไปจนกระทั่งเจอคอมพิวเตอร์เครื่อง
นั้น และรับข้อมูลนาไปใช้เนื่องจากสัญญาณจะวิ่งไปเรื่อยๆ เป็นวงกลม จึงไม่
ต้องการอุปกรณ์ปิดหัวท้าย มักจะใช้กับเน็ตเวิร์คที่มีคอมพิวเตอร์อยู่ไม่ไกลกันมาก
นัก ใช้โทเค็นเป็นสือในการส่งสัญญาณ โทเค็นจะถูกวิ่งผ่านไปทุกเครื่องเรื่อยๆ
จนกว่าเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลจะดึงโทเค็นไปใช้และส่งสัญญาณออกมา เครื่องที่มี
โทเค็นเท่านั้นที่จะส่งข้อมูลได้ 29
30. ระบบเครือข่ายรูปแบบ RING
ข้อดีของระบบเครือข่ายรูปแบบ Ring
การเพิ่มเติมขนาดของระบบเครือข่าย ส่งผลต่อประสิทธิภาพไม่มาก
ลดจานวนตัวรับและส่งสัญญาณลงครึ่งหนึ่ง (ในกรณี Ring ทางเดียว)
ทุกๆ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อจะช่วยขยายสัญญาณ ทาให้สามารถต่อเป็นวงใหญ่
ได้
ข้อเสียของระบบเครือข่ายรูปแบบ Ring
ประสิทธิภาพต่ากว่าแบบอื่น เนื่องจากต้องผ่านอุปกรณ์หลายตัว
ถ้าอุปกรณ์บางตัวหรือสายเคเบิ้ลชารุด จะทาให้เครือข่ายทั้งหมดไม่
สามารถใช้การได้ (ในกรณี Ring ทางเดียว)
30
33. โปรโตคอล (PROTOCOL)
โปรโตคอล (Protocol) คือ มาตรฐานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการ
สื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่าย ซึ่งครอบคลุมถึงวิธีการและรูปแบบ
การส่งข้อมูล จังหวะเวลาในการส่งข้อมูล ลาดับการรับส่งข้อมูล
และวิธีจัดการป้องกันความผิดพลาดต่าง ๆ โปรโตคอล
เปรียบเสมือนภาษาที่ใช้สื่อสารในระบบเครือข่าย ดังนั้นถ้าใช้
โปรโตคอลที่ต่างกันก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง
๑ภ฿ @& g) นายพูด
อะไร ไม่รู้
เรื่อง
33
34. NETBEUI (NETWORK BASIC END USE INTERFACE)
เป็น Protocol ที่เหมาะสมสาหรับเครือข่ายขนาดเล็กไม่เหมาะสมกับเครือข่ายขนาด
ใหญ่ เนื่องจาก Protocol นี้ไม่สามารถค้นหาเส้นทางการส่งข้อมูล (Routable) ที่
เหมาะสมได้ ข้อดีของ Protocol นี้คือใช้งานง่ายไม่ต้องปรับแต่งอะไรมาก
TCP/IP (TRANSMISSION CONTROL PROTOCOL/INTERNET PROTOCOL)
เป็นที่นิยมใช้กับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น ถูกใช้ในอินเทอร์เน็ต เพราะสามารถ
ค้นหาเส้นทางการส่งข้อมูล และสามารถใช้กับระบบปฏิบัติการได้อย่างกว้างขวาง
แต่การติดตั้งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร
34
36. Router
• ใช้ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
ที่มีการเชื่อมต่อภายในแตกต่างกัน
หรือเชื่อมระหว่าง LAN และ WAN
36
37. Switch
•ใช้ในการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เข้า
เป็นระบบเครือข่ายเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้
• Bandwidth 10/100/1000 Mbps
• แต่ละพอร์ตไม่มีการใช้งานร่วมกัน
37
38. Hub
• ใช้ในการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์
ให้เป็นระบบเครือข่ายเดียวกัน
• Bandwidth 10/100/1000 Mbps
• แต่ละพอร์ตใช้งานร่วมกัน(เชื่อมกันหมด)
38
39. ความแตกต่างระหว่าง Hub และ Switch
Hub จะส่งข้อมูลที่เข้ามาไปยังทุกๆ พอร์ตของ Hub ยกเว้นพอร์ตที่ข้อมูล
ดังกล่าวเข้ามายัง Hub ในขณะที่ Switch จะทาการเรียนรู้อุปกรณ์ที่ต่อกับ
พอร์ตต่างๆ ทาให้ Switch ส่งข้อมูลไปยังพอร์ตที่มีเครื่องปลายทางอยู่
เท่านั้น ไม่ส่งไปทุกๆ พอร์ตเหมือนกับ Hub ซึ่งส่งผลให้ปริมาณข้อมูลภายใน
ระบบเครือข่ายไม่มากเกินความจาเป็น
Hub เป็นเพียงตัวขยายสัญญาณข้อมูล (Repeater) เท่านั้น ในขณะที่
Switch จะมีการทางานที่ซับซ้อนกว่า, มีการเรียนรู้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ, การ
ตัดสินใจส่งข้อมูลออกไปพอร์ตใด
39
40. Ethernet Card
• ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้
สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย
ผ่านทาง Switch หรือ Hub
• Bandwidth 10/100/1000 Mbps
40
42. ไฟสถานะของEthernet Card
LINK ถ้าสว่างแสดงว่า มีการเสียบ
สายแลนเข้ากับการ์ด และสามารถ
ใช้งานได้
10 ถ้าสว่างแสดงว่า อุปกรณ์นี้เชื่อมต่อด้วยความเร็ว 10 MB/s เช่นเดียวกับไฟ
100 ถ้าสว่างแสดงว่าเชื่อมด้วยความเร็ว 100 MB/s
ACT (Activity) ถ้ากระพริบแสดงว่ามีการส่งข้อมูลเข้า-ออกการ์ด (เนื่องมาจาก
กิจกรรมการใช้เครือข่ายต่างๆ เช่น การใช้อินเตอร์เน็ต, การแชร์ไฟล์ ฯลฯ ถ้ามี
การส่งข้อมูลจานวนมากจะเปลี่ยนจากกระพริบมาเป็นสว่างค้างตลอดเวลา
42
43. Modem
• ใช้ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายผ่าน
ทางสายโทรศัพท์
• Bandwidth 56 Kbps
Internal Modem
External Modem
43
44. Access Point
• ใช้ในการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์กับ
ระบบเครือข่ายแบบไร้สาย (wireless)
• Bandwidth 11/54 Mbps
44
45. Wireless Card
• ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อ
เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายแบบไร้สาย
PCMCIA • Bandwidth 11/54 Mbps
USB PCI for PC
45
46. สาย UTP (Unshielded Twisted Pair)
• ใช้ในการเชื่อมระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
และ Ethernet Switch หรือ Hub
• Bandwidth 10/100/1000 Mbps
• ความเร็วในการเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับการเข้าหัว
สาย และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ
•ระยะทางในการเชื่อมต่อ < 100m
46
47. สาย UTP และหัว RJ-45
สาย UTP ที่ใช้ใน Ethernet Lan จะเข้าหัวแบบ RJ-45
ภายในสาย UTP จะมีสายทองแดงย่อยอีก 8 เส้น โดยถูกจัดกลุ่มเป็นคู่ๆ
ทั้งหมด 4 คู่
UTP RJ-45
47
48. การเข้าหัว RJ-45 มีได้ 2 แบบ คือ
แบบ A (Standard 568A) มีการเรียงสายจากซ้ายไปขวา ดังนี้
ขาว/เขียว
เขียว
ขาว/ส้ม
น้าเงิน
ขาว/น้าเงิน
ส้ม
ขาว/น้าตาล
น้าตาล
48
49. แบบ B (Standard 568B) เป็นแบบที่นิยมใช้กันมาก มีการเรียงสายจากซ้าย
ไปขวา ดังนี้
ขาว/ส้ม
ส้ม
ขาวเขียว
น้าเงิน
ขาว/น้าเงิน
เขียว
ขาว/น้าตาล
น้าตาล
49
50. สาย UTP มี 2 แบบ ตามการเข้าหัว RJ-45 ดังนี้
สายตรง (UTP Straight Cable) เป็นสายที่ใช้ทั่วไป และพบมาก โดยใช้ในการ
เชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์เครือข่ายจาพวก Hub และ Switch
โดยการเข้าหัวทั้ง 2 ปลายจะเป็นแบบเดียวกัน (A หรือ B ก็ได้)
สายครอส (UTP Cross-over Cable) ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่อง
คอมพิวเตอร์ 2 เครื่องโดยตรง ไม่ผ่านอุปกรณ์ประเภท Hub และ Switch
นอกจากนี้ยังใช้เชื่อมระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และ Router (ซึ่งถือว่าเป็น
คอมพิว เตอร์อี กรู ปแบบหนึ่ง ) โดยการเข้า หัว ที่ป ลายทั้ง 2 จะไม่ เหมือ นกั น
กล่าวคือ ปลายข้างหนึ่งเข้าหัวแบบ A อีกปลายจะเข้าหัวแบบ B
50
54. สาย STP (Shielded Twisted Pair)
• คล้ายกับสาย UTP แต่มีชนวน และ
ตัวนาหุ้ม จึงป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดี
นิยมใช้แทนสาย UTP ในที่ๆ มีสัญญาณ
รบกวนมาก เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ
• มีราคาแพงกว่าสาย UTP
54
55. สาย Fiber Optic
• ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เครือข่าย
• Bandwidth 10/100/1000 Mbps
• ระยะทางในการเชื่อมต่อ 500m – 2Km
แล้วแต่ชนิดของสาย
55
56. รูปแบบการส่งข้อมูลภายในเครือข่าย
Duplex หมายความถึง ความสามารถรับและส่งข้อมูลด้วยอุปกรณ์ชิ้น
เดียวกัน ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท คือ
Half Duplex จะรับและส่งข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถทาพร้อมกันได้ กล่าวคือ
ถ้าฝ่ายหนึ่งส่งข้อมูล อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นฝ่ายรับ ไม่สามารถส่งได้จนกว่า
อีกฝ่ายจะเลิกส่งข้อมูล และเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรับ เหมือนการใช้วิทยุสื่อสาร
ได้แก่ Ethernet ประเภท 10 BaseT (10Mbps) เป็นต้น
Full Duplex สามารถรับและส่งข้อมูลไปพร้อมๆ กันได้ เหมือนกันการ
พูดคุยผ่านโทรศัพท์ ได้แก่ Fast Ethernet (100Mbps) หรือ Gigabit
Ethernet (1000Mbps) เป็นต้น
56
60. การสื่อสารข้อมูลไร้สาย
ตัวกลางที่ถูกนามาทดแทนสายสัญญาณที่นิยมใช้กันชนิดแรกก็คือ แสงอินฟราเรด
การส่งผ่านข้อมูลผ่านแสงอินฟราเรดถูกนามาใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะ
สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วค่อนข้างสูง มีความสะดวกในการใช้งาน เช่น รีโมท
คอนโทรล
ข้อด้อยของการใช้งานอินฟาเรด คือ ความจากัดด้านระยะทาง และตาแหน่ง
ระหว่างอุปกรณ์ทั้งสองต้องเป็นเส้นตรงอยู่ในแนวเดียวกัน และจะต้องไม่มีอะไรมา
ตัดขวางลาแสง
จากข้อด้อยทาให้เกิดความคิดที่จะนาคลื่นวิทยุมาใช้ส่งข้อมูลแทน เพราะสามารถ
รับส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูง สามารถทะลุวัสดุต่างๆ ได้ และไม่จาเป็นต้องให้ตัวส่ง
และตัวรับอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน 60
62. โฮมอาร์เอฟ (HOMERF)
HomeRF = Home Radio Frequency
คือ เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อใช้ควบคุม สั่งการ และเชื่อมต่อ
เครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ทุกชนิดที่อยู่ภายในบ้าน
ใช้คลื่นความถี่ที่ 2.4 GHz ในการรับส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็ว 1.6 Mbps ระยะ
ทาการ 150 เมตร
เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้าน ระบบตรวจสอบและแจ้งการ
ซ่อมแซมบ้านโดยอัตโนมัติ ระบบสุขอนามัย ฯลฯ
สามารถใช้คอมฯ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ตู้เย็น โทรทัศน์
เครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ เตาไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า ชุดสุขภัณฑ์
อัจฉริยะ โทรทัศน์วงจรปิด ฯลฯ ภายในบ้านเพื่อควบคุม สั่งการและใช้ข้อมูล 62
ต่างๆ ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเดินสายสัญญาณ
63. บลูทูธ (BLUETOOTH)
เป็นมาตรฐานที่กาหนดขึ้นเพื่อทดแทนการใช้สายเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ใน
ระยะใกล้
ใช้คลื่นความถี่ในย่าน ISM(Industrail, Scientific, Medical) 2.4 กิกะเฮิรตซ์
พื้นที่การใช้งานไม่เกิน 10 เมตร
บลูทูธสามารถจัดการให้อุปกรณ์หลายชนิดสามารถติดต่อสื่อสารได้พร้อมกัน
ใช้พลังงานต่า เชื่อมต่อสะดวก
เช่น เชื่อมต่อ Notebook เข้าอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือ, แบ่งข้อมูลกันระหว่าง
มือถือกับ Notebook, Headset
ปัญหา : อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีบลูทูธมีราคาสูงกว่าแบบใช้สาย
63
64. แนวคิดที่นาไปใช้งาน
- คอมพิวเตอร์ไร้สาย
- คอมพิวเตอร์สวมใส่ (BWC : Body Wearable Computer) คือเป็นคอมฯ
ขนาดเล็ก น้าหนักเบา ทางานด้วยแบตเตอร์รี่ สามารถประกบหรือสวมใส่
ติดร่างกาย
- ชุดหูฟัง
- เมาส์ คีย์บอร์ด
- อินเตอร์เน็ตบริดจ์
64
65. ไวไฟ (WIRELESS FIDELITY : WI-FI)
เป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมคอมฯ
เข้ากับเครือข่ายแลน (LAN : Local
Area Network) มักถูกเรียกว่า Wireless LAN
ครอบคลุมพื้นที่ทาการ 50-100 เมตร
65
66. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สาย (WIRELESS LAN)
ปัจจุบันการใช้งานคอมพิวเตอร์เปลี่ยนรูปมาเป็นงานที่ต้องเชื่อมโดยกับ
เครือข่าย ทั้งเครือข่ายภายในองค์กร ระหว่างองค์กร และอินเตอร์เน็ต
ระบบแลนไร้สาย (Wireless LAN หรือ WLAN) เป็นการนาเอาคอมพิวเตอร์
หลายเครื่องมาเชื่อมเข้าด้วยกัน ให้รับส่งข้อมูลถึงกันได้โดยไม่ต้องใช้สาย 66
67. จุดเด่นของแลนไร้สาย
1) ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
2) การนาติดตัว (Mobility)
3) การขยายเครือข่ายได้ง่าย
4) ให้ผลคุ้มค่า
5) การมีมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไป
67
68. พัฒนาการของแลนไร้สาย
ความต้องการใช้ระบบแลนไร้สายมีลักษณะเช่นเดียวกับระบบเซลลูลาร์โฟน
หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่
ค.ศ. 1997 สถาบัน IEEE ได้กาหนดมาตรฐานแลนไร้สาย โดยให้ชื่อว่า IEEE
802.11 รับส่งสัญญาณด้วยขนาดความเร็ว 2 เมกะบิต/วินาที
ค.ศ. 1999 IEEE ได้พัฒนามาตรฐานใหม่ ให้ชื่อว่า IEEE 802.11b ความเร็ว
ในการรับส่ง 11 เมกะบิต/วินาที บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายขนาดใหญ่ให้
ความสนใจและเร่งการพัฒนาเป็นอย่างมาก
การพัฒนาแลนไร้สายมิได้หยุดอยู่เฉพาะการทาให้เชื่อมต่อถึงกันได้ ยังมี
ระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของสัญญาณข้อมูลที่แพร่กระจายใน
อากาศด้วย 68
69. อุปกรณ์ของเครือข่ายแลนไร้สาย
1) เครื่องคอมพิวเตอร์ : เครื่อง PC หรือ Notebook หรือ Pocket PC
และมีสล็อต PCMCIA
2) ไวร์เลสการ์ด : มาตรฐาน 802.11 ซึ่งมีผู้ผลิต ได้แก่ Cisco, Orinoco,
Toshiba, 3Com, Linksys เป็นต้น
3) แอกเซสพอยต์ (Access Point) : เป็นอุปกรณ์รับส่งไร้สาย สาหรับระบบ
LAN ทาหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบเครือข่ายไร้สาย หรือเป็นจุด
เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายมีสาย
4) ไดรฟ์เวอร์ : ซอฟต์แวร์สาหรับความคุมการทางาน
69
70. การเชื่อมต่อเครือข่ายแลนไร้สาย
แบ่งเป็น 2 ประเภท
1) การรวมตัวแบบแอดฮอค (Ad-Hoc) คือ การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานี
เคลื่อนที่ (โน๊ตบุ๊ค พีดีเอ) ตั้งแต่ 2 สถานีขึ้นไป โดยไม่ต้องใช้สถานีฐาน
(Access point)
2) การรวมตัวแบบเป็นโครงสร้าง (Infrastructure) คือ การติดต่อสื่อสาร
โดยมีสถานีฐาน (Access point) เป็นศูนย์กลาง ทุกสถานีต้องอยู่ภายใน
รัศมีการใช้งานของแอกเซสพอยต์
70
71. ประเภทของเครือข่ายแลนไร้สาย
1) WPAN (Wireless Personal Area Network) เป็นระบบเครือข่ายไร้สายส่วน
บุคคล ปัจจุบันมีอยู่ 2 ระบบ คือ IR (Infra-Red) และ Bluetooth การ
ทางานจะครอบคลุมบริเวณการสื่อสารที่ค่อนข้างจากัด เช่น อินฟาเรด ระยะ
ประมาณไม่เกิน 3 เมตร และบลูทูธ ระยะประมาณไม่เกิน 10 เมตร
2) WLAN (Wireless Local Area Network) เป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่นที่ใช้งาน
ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในระยะใกล้ ภายในหน่วยงานหรืออาคารเดียวกัน เช่น
สานักงาน สถานที่จัดนิทรรศการ
3) WMAN (Wireless Metropolitan Area Network) เป็นระบบเครือข่าย
สาหรับเมืองใหญ่ๆ เชื่อมติดต่อกันระหว่างอาคารต่างๆ ภายในเมือง
4) WWAN (Wireless Wide Area Network) เป็นระบบเครือข่ายไร้สายขนาด 71
ใหญ่สาหรับเมืองหรือประเทศซึ่งมักมีการใช้งานผ่านดาวเทียมข้ามประเทศ
72. ความปลอดภัยของเครือข่ายแลนไร้สาย
1) การใช้กาแพงไฟ (FireWall) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สาหรับป้องกันผู้อื่นรุกล้าเข้ามาใน
ระบบ นิยมใช้ในบริษัท ธนาคาร หน่วยงานต่างๆ เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง
2) การแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์ ควรจากัดการแชร์ไว้เฉพาะข้อมูลที่ต้องการใช้ร่วมกัน
เท่านั้น
3) การกาหนดบัญชีสมาชิกและรหัสผ่าน (User Name and Password) นิยมใช้
ป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาในระบบ ผู้ใช้ต้องป้อนชื่อที่ได้รับอนุญาตและ
รหัสผ่านที่ถูกต้องจึงจะสามารถเข้าสู่ระบบได้
4) การใช้โพรโทคอล WEP (wired equivalency privacy key) เป็นการเข้ารหัส
ข้อมูลที่มีความปลอดภัยระดับกลางและระดับสูง
5) Wi-Fi Protected Access (WPA) เป็นโพรโทคอลรักษาความปลอดภัยสูงกว่า
WEP โดยอุปกรณ์ต่างๆ สามารถตรวจจับ Network Adapter เถื่อน และ 72
ปรับเปลี่ยนกุญแจเพื่อเข้ารหัสข้อมูลแก่ทุกอุปกรณ์เป็นระยะๆ โดยอัตโนมัติ
74. การตรวจสอบ IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์
ดับเบิลคลิ๊กที่ จะเกิดหน้าต่างดังรูป
74
75. การตรวจสอบ IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์
คลิ๊กที่ “Support”
75
77. การตรวจสอบระบบเครือข่ายด้วยคาสั่งต่างๆ
• ipconfig ->ใช้ตรวจสอบหมายเลขไอพีแอรดเดรสของเครื่อง
• Ping -> ใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างโฮสต์
• Nslookup -> ใช้ในการตรวจสอบชื่อโดเมน
• Traceroute -> ใช้ในการตรวจสอบเส้นทางในการเชื่อมต่อ
77
81. Ping
Ping IP address ที่ต้องการทดสอบ Ex ping 158.108.1.1
81
82. Traceroute
Tracert IP Address ที่ต้องการ Ex tracert 158.108.50.5
82
83. Nslookup
Nslookup ชื่อที่ต้องการตรวจสอบ Ex nslookup www.google.com
83
86. การตั้งค่า IP ADDRESS
IP Address คือ หมายเลขประจาเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย
ตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด เช่น 192.168.100.1
หรือ 172.16.10.1 เป็นต้น มาตรฐานของ IP Address ปัจจุบันเป็น
มาตรฐาน version 4 หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า IPv4 วึ่งกาหนดให้ ip
address มีทั้งหมด 32 bit หรือ 4 byte แต่ล่ะ byte จะถูกคั่นด้วย
จุด (.)
86
88. เลือกไปที่ Change Adapter Settings > Local area connection
88
89. คลิกปุ่ม Properties > ดับเบิ้ลคลิก Internet Protocol Version 4 (TCP/IPv4)
89
90. หากเลือก Obtain an IP address automatically แสดงว่ารับจาก DHCP
แต่ถ้าเลือก Use the following IP address ตัวอย่างเช่น 192.168.1.22 เป็นการตั้งค่า IP แบบ
Static
หรือ เป็นการตั้งค่าแบบกาหนดเอง
90
91. ขั้นตอนในการแชร์ไฟล์
1. Windows 7 Start > Control Panel >
เลือก Choose homegroup and sharing options
95. และในส่วนของ Password protected sharing ก็ให้ปรับเป็น
Turn Off และทาการกด Save ในการปิดนี้เป็นการปิด Password
ในการแชร์ ซึ่งตัว Defualt ของ Windows 7 จะมี Security เพื่อ
ป้องกันการเข้ามา Access ในไฟล์หรือ Folder นั้น
96. 1. ให้คลิกขวา ที่ Folder Share windows7 แล้วเลือก Properties
2. ให้เลือก Tab Sharing
3. เลือก Advanced Setting
4. ให้เลือก (√) Share this folder
จากนั้นให้ใส่ Share
name ขอใส่ share
windows7
5. กด Permissions
เพื่อกาหนดสิทธิ์
6. ให้สิทธิ์ Everyone
เป็น Full Control
110. ในหน้า SYSTEM PROPERTISE ให้เราเลือกแทบ REMOTE
ในส่วนของ REMOTE DESKTOP ให้เราเลือก ALLOW CONNECTIONS
FOR COMPUTERS RUNNING ANY VERSION OF REMOTE DESKTOP
และให้เราเลือก SELECT USER
110
116. - คลิกเลือก I ACCEPT THE TERMS IN THE LICENSE AGREEMENT
- คลิกเลือก I AGREE THAT I WILL ONLY USE TEAMVIEWER FOR
NON-COMMERCIAL AND PRIVATE USE
จากนั้นคลิกปุ่ม NEXT
116
120. - การเข้าใช้งานของฝั่งผู้ควบคุม ต้องมี USER ID กับ PASSWORD ของเครื่อง
ที่เราต้องการคุมด้วย
- กาหนดรหัสผ่านเข้าไปที่ EXTRAS > OPTIONS > SECURITY จะเป็นการ
ตั้ง PASSWORD ไว้เพื่อไม่ให้ PASSWORD เปลี่ยนไปทุกครั้งที่เข้าใช้งาน
เหมาะสาหรับเข้าใช้งานเครื่องตัวเองจากที่บ้านมาที่ทางาน
120