More Related Content
Similar to การผงาดขึ้นของชาติมุสลิม (20)
More from Klangpanya (20)
การผงาดขึ้นของชาติมุสลิม
- 2. การผงาดขึ้นของชาติมุสลิม
(The Rise of Muslim Nations)
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ
วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.rsu-brain.com
ผู้เขียน : นาย อุสมาน วาจิ
ภาพปก : https://i.ytimg.com/vi/o84G0yPr6oE/maxresdefault.jpg
เผยแพร่ : 22 สิงหาคม 2560
ที่อยู่
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ อาคารพร้อมพันธุ์ 1 ชั้น 4 637/1 ถนนลาดพร้าว
เขตจตุจักร กทม. 10900 โทรศัพท์ 02-938-8826 โทรสาร 02-938-8864
- 5. 2
สิ่งที่ต้องคานึงคืออานาจภายในโลกมีอยู่อย่างจากัด เมื่อชาติใดชาติหนึ่งมีอานาจมากขึ้นย่อม
หมายถึงอานาจของชาติอื่น ๆ กาลังลดลง (zero-sum game) เช่น ในช่วงเวลาแห่งสงครามเย็นที่โลกอยู่
ภายใต้อานาจของมหาอานาจสาคัญคือสหรัฐฯ และรัสเซีย (Bipolar) ชาติอื่น ๆ จานวนมากจาต้องเลือก
ดาเนินนโยบายตามความต้องการของหนึ่งในสองชาติมหาอานาจดังกล่าว ภายหลังสงครามเย็นจบลง
การแข่งขันของสองมหาอานาจใหญ่ระหว่างสหรัฐฯ และ สหภาพโซเวียต ก็จบลงไปด้วย เข้าสู่ยุคใหม่ที่
สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าโลกเพียงหนึ่งเดียว (Unipolar) และประเทศอื่นค่อย ๆ อยู่ภายใต้ระบบที่สหรัฐฯ
และชาติตะวันตกซึ่งเป็นพันธมิตรสาคัญเป็นผู้กาหนด ส่วนในปัจจุบันด้วยกระแสของบูรพาภิวัตน์ทาให้
สหรัฐฯ และชาติตะวันตกมีความเข้มแข็งน้อยลง แต่หลายชาติในเอเชียกลับมีความเข้มแข็งและมี
บทบาทต่อระบบระหว่างประเทศมากขึ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าโลกของเราได้เริ่มเข้าใกล้ภาวะหลายขั้ว
(multipolar) มากขึ้นทุกที ซึ่งในภาวะเช่นนี้สะท้อนว่าความเจริญก้าวหน้านั้นจะไม่จากัดอยู่ที่สหรัฐฯ และ
ชาติตะวันตกเพียงไม่กี่ชาติอีกต่อไป แต่จะกระจายอยู่ในหลาย ๆ ชาติแทน ซึ่งรวมถึงชาติมุสลิมด้วย
เช่นกัน แต่เดิมศัพท์ Rising Power มักจะใช้เจาะจงแก่ชาติในกลุ่ม BRICS ที่มีการเจริญด้านเศรษฐกิจที่
สูง อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีชาติอื่น ๆ อีกที่มีพัฒนาการอย่างโดดเด่น เช่น
ตุรกี และ เม็กซิโก ทาให้เริ่มมีการกล่าวถึงหลายชาตินอกกลุ่ม BRICS ว่าเป็น Rising Power ด้วย
ภาพที่ 2 กราฟแสดงทิศทางและแนวโน้มของประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ซึ่งจะ
ครองสัดส่วน GDP โลกมากกว่าประเทศตลาดพัฒนาแล้ว (developed markets)2
- 6. 3
โดยมาตรซึ่งใช้ชี้วัดว่าชาติใดจะจัดเป็น Rising Power นั้นได้มีผู้แสดงทรรศนะไว้หลายประเด็น
ด้วยกัน ซึ่งประมวลได้ดังนี้
1.เศรษฐกิจ
10 ชาติที่มี GDP มากที่สุดซึ่งเป็นที่รับรู้ว่าเป็นประเทศที่มีบทบาทต่อโลกอย่างมาก3
อานาจทางเศรษฐกิจนั้นเป็นต้นทุนสาคัญในการดาเนินนโยบายระหว่างประเทศ โดยมีผลใน
หลายด้านด้วยกัน เช่น การช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจโดยตรง การพึ่งพาด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน และ
การใช้งบประมาณที่มีในการดาเนินนโยบายอื่น ๆ จนอาจกล่าวได้ว่าในบางมุมนั้นนโยบายต่างประเทศ
และนโยบายทางเศรษฐกิจคือเรื่องเดียวกันด้วยซ้าไป แม้นโยบายด้านเศรษฐกิจจะดูเป็นเป็นเรื่อง
ภายในประเทศมากกว่า เพราะทั้งต่างเอื้อประโยชน์ต่อกันอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่โลก
ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิดทุนนิยมทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผูกพันกับเศรษฐกิจมากขึ้น
ภาพที่ 3 รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถเพิ่มงบประมาณด้านการทหารอย่างมากในช่วงทศวรรษที่
ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง4
- 7. 4
เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าชาติที่มีอิทธิพลมากมักจะมีขนาดเศรษฐกิจ
ที่ใหญ่ และในทางกลับกันชาติใดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นก็จะมีอิทธิพลมากขึ้นโดยสัมพัทธ์ เช่น
สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอานาจของโลกอยู่ก็ด้วยงบประมาณมหาศาลที่ทาให้การให้ความช่วยเหลือชาติ
ต่าง ๆ เป็นไปได้ การมีตลาดที่ใหญ่ทาให้ชาติต่าง ๆ หวังที่จะได้รับมาตรการลดหย่อนภาษีนาเข้าและ
เลี่ยงการถูกกีดกันทางการค้า และการที่การทหารของสหรัฐฯ นั้นเข้มแข็งที่สุดในโลกก็ด้วยงบประมาณ
ทางทหารที่รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุน ในทางกลับกันประเทศที่มีอัตราการเติบของเศรษฐกิจที่สูงก็จะมี
บทบาทมากขึ้นด้วย เช่น ประเทศจีนจากเดิมที่เน้นแต่การดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของตนและเลี่ยง
การยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศอื่น ก็ต้องเปลี่ยนแนวโนบายสู่การเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการ
ภายในของชาติอื่น เนื่องจากผลประโยชน์แห่งชาติของจีนนั้นไปตั้งอยู่ในประเทศอื่นมากขึ้น เช่น การที่
จีนส่งกาลังทหารเข้าสู่อัฟกานิสถานเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เนื่องจากเกรงว่าความไม่สงบใน
อัฟกานิสถานจะกระทบกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในปากีสถานด้วย
2.อิทธิพลในระดับระหว่างประเทศ
นิยามหนึ่งของอานาจนั้นคือความสามารถที่จะทาให้เป้าหมายทาในสิ่งที่ผู้มีอานาจต้องการ
หรือไม่ทาในสิ่งที่ผู้มีอานาจไม่ต้องการ หรือผู้มีอานาจจะไม่ทาตามสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ไม่ว่าผู้มี
อานาจจะกระทาด้วยการบีบบังคับหรือการจูงใจก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองการจะชี้วัดว่าประเทศใดประเทศ
หนึ่งเป็นมหาอานาจหรือไม่ต้องพิจารณาจากอิทธิพลและบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ เช่น คณะมนตรี
ความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ประกอบด้วย 5 ชาติมหาอานาจ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราช
อาณาจักร และสหรัฐฯ ซึ่งมีอภิสิทธิ์ในการล้มมติ (veto) ของสหประชาชาติได้ หรือการที่ตุรกีพยายามที่
จะเข้าเป็นสมาชิก EU เพื่อต้องการมีส่วนกาหนดทิศทางของ EU อีกทั้งต้องการการยอมรับจาก
ประชาคมโลก และการพยายามเป็นตัวกลางในการเจรจาประเด็นความขัดแย้งของประเทศในภูมิภาค
ตะวันออกกลาง เช่น กรณีสงครามกลางเมืองในซีเรียและความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียและกาต้าร์
3.Soft Power ที่น่าดึงดูด
ภาพที่ 4 อันดับประเทศที่มี Soft Power มากที่สุด 10 อันดับแรก
จัดอันดับโดยสถาบัน Portland Communications5
- 8. 5
ในปัจจุบันโลกได้ก้าวสู่ยุคสมัยที่การทาสงครามกลายเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากบทเรียนจากอดีต
ที่ผ่านมานั้นทาให้รัฐต่าง ๆ ตระหนักว่าการสร้างสงครามมักจะนามาสู่ความสูญเสียที่มากกว่าประโยชน์
ที่ได้รับ ด้วยเหตุนี้จึงมีมาตรการร่วมกันที่จะเลี่ยงมิให้สงครามเกิดขึ้น เช่นนี้แล้วหากชาติใดชาติหนึ่ง
ต้องการยกระดับอานาจของตัวเองจึงต้องพึ่งพาวิธีการที่มิใช่การใช้ความรุนแรง และเน้นไปที่การจูงใจ
มากกว่าการบีบบังคับ
นโยบายต่างประเทศที่ในแบบ Soft Power ที่เน้นการจูงใจนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธีและมี
ความซับซ้อนพอสมควร เช่น ด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม มนุษยธรรม โดยเฉพาะในโลกยุค
ปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัวยิ่งทาให้ต้องคิดอย่าง
รอบคอบก่อนที่จะดาเนินนโยบายใด ๆ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ เช่น การ
ที่ตุรกีเน้นการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในแอฟริกาและโลกมุสลิม รวมถึงการให้งบประมาณ
สนับสนุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมทั่วโลก ทาให้มุสลิมจานวนมากมองว่าตุรกีคือรัฐมุสลิมต้นแบบที่
รัฐมุสลิมอื่น ๆ สมควรถือเป็นต้นแบบ ซึ่งจากการจัดอันดับประเทศทีมี Soft Power มากที่สุด 30 อันดับ
แรก ปรากฎว่ามีเพียงตุรกีประเทศเดียวเท่านั้นที่เป็นประเทศมุสลิมที่ติดอันดับ
4.กาลังทหารที่เข้มแข็ง
ภาพที่ 5 อันดับประเทศที่มีกองทัพเข้มแข็งมากที่สุด 10 อันดับแรก จัดโดยสถาบัน Global Firepower6
แม้ในปัจจุบันสงครามที่มีคู่ขัดแย้งระหว่างรัฐกับรัฐนั้นลดน้อยลงมากนับแต่สงครามเย็นจบลง
และโลกเข้าสู่ยุคที่แข่งขันกันในสนามการค้ามากกว่าการรบ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งตลอดจนการสู้รบ
กับกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐกลับมีจานวนเพิ่มมากขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างมีนัยยะสาคัญ กระทั่ง
กลุ่มติดอาวุธบางกลุ่ม เช่น ขบวนการรัฐอิสลาม มีศักยภาพใกล้เคียงกับรัฐบางรัฐด้วยซ้าไป ด้วยเหตุนี้รัฐ
ยังจาเป็นที่ต้องรักษากาลังทางทหารไว้เพื่อการประกันความปลอดภัยมั่นคงของชาติ อีกทั้งในโลก
ปัจจุบันที่มีความขัดแย้งในหลายพื้นที่ซึ่งสามารถถูกยกระดับกลายเป็นสงครามระหว่างชาติได้โดยง่าย
เช่น สงครามกลางเมืองซีเรีย ความขัดแย้งในแคว้นแคชเมียร์ เป็นต้น โดยเฉพาะประเทศมหาอานาจที่
มักถูกคาดหวังให้เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งขนาดใหญ่เหล่านี้เสมอ จึงจาเป็นต้องมีกาลังทหารที่
สามารถส่งไปประจาการตามที่ต่าง ๆ ได้มิใช่เฉพาะปกป้องมาตุภูมิเท่านั้น
- 9. 6
และในยุคโลกาภิวัตน์ที่ผลประโยชน์ของชาติหนึ่ง ๆ สามารถไปตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ได้ของโลก
แม้จะเป็นพื้นที่ซึ่งมีความขัดแย้งอยู่ก็ตาม ในบางกรณีจึงจาเป็นที่ต้องมีกาลังทหารที่ส่งเข้าประกบเพื่อ
ดูแลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะมหาอานาจที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ ที่มีผลประโยชน์ด้าน
พลังงานในตะวันออกกลางอย่างมาก หรือการที่จีนต้องส่งกาลังเข้าไปยังเอเชียกลางเพื่อรักษาความสงบ
เรียบร้อยในภูมิภาคซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความสาเร็จของโครงการ Belt & Road
5.การรับผิดชอบต่อประชาคมโลก
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มนุษยชาติได้รับบทเรียนว่าการปล่อยให้ความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศมีลักษณะเป็นอนาธิปไตยตามโดยแต่ละชาติสนใจเฉพาะผลประโยชน์แห่งชาติของตน
เท่านั้น จะนามาซึ่งวิกฤติการณ์ระหว่างประเทศที่ลุกลามขยายตัวจนยากจะยุติ และส่งผลกระทบต่อ
ประชาคมโลกโดยรวม เช่น การที่อังกฤษและฝรั่งเศสเลี่ยงที่จะทาสงครามกับนาซีเยอรมัน จนในที่สุดฮิต
เลอร์สามารถขยายอานาจของนาซีได้สาเร็จอันทาให้ยุโรปไร้เสถียรภาพ ทั้งที่ในตอนแรกนั้นเยอรมันมิได้
มีกาลังเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะฝ่ายสัมพันธมิตรได้ ฉะนั้นจึงต้องมีการสร้างองค์กรระหว่างประเทศขึ้นใน
ภายหลังคือองค์กรสหประชาชาติที่มีหน้าที่คอยรักษาระเบียบโลกไว้ โดยคาดหวังว่าชาติที่เป็น
มหาอานาจนั้นต้องสนใจในผลประโยชน์ของประชาคมโลกโดยรวมมากกว่าการสนใจเฉพาะผลประโยชน์
แห่งชาติตน ด้วยการเป็นผู้รักษาระเบียบระหว่างประเทศไว้มิใช่เป็นสมาชิกเพียงอย่างเดียว นอกจาก
ปัญหาสงครามแล้วยังมีปัญหาอื่น ๆ อีก เช่น ผู้ลี้ภัยจากสงคราม ภาวะโลกร้อน การแพร่ระบาดของโลก
ทานองเดียวกัน ชาติที่เริ่มมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น แม้จะไม่มีบทบาทในการดูแลระเบียบโลก
เทียบเท่าชาติมหาอานาจ แต่จะเห็นบทบาทในระดับภูมิภาคที่มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นจากการชาตินั้น ๆ
ต้องการได้รับการยอมรับจากนานาชาติ หรือเกิดจากการเรียกร้องของนานาชาติก็เป็นไปได้เช่นกัน
จากทั้ง 5 ประเด็นข้างต้น พอจะใช้ชี้ให้เห็นได้ว่าชาติใดบ้างที่กาลังมีอิทธิพลมากขึ้นซึ่งจะ
กลายเป็นอานาจใหม่ของโลกในไม่ช้า โดยพิจารณาจากการดาเนินนโยบายของแต่ละชาติทั้งที่เป็น Hard
Power และ Soft Power ว่ามีความสอดคล้องกับ 5 ประเด็นดังกล่าวมากน้อยเพียงใด เช่น ความเจริญ
ด้านเศรษฐกิจ บทบาทในเวทีระหว่างประเทศต่อตัวแสดงทั้งที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐ อานาจทางการทหาร
- 10. 7
บทที่ 1
การผงาดของชาติมุสลิม
โลกมุสลิมอยู่ที่ไหน ?
ภาพที่ 6 แผนที่แสดงประเทศที่มีมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจานวนมาก7
ในความเข้าใจของคนทั่วไปภูมิภาคที่มีมุสลิมอาศัยอยู่มากคือภูมิภาคตะวันออกกลาง
หรือโลกอาหรับ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีมุสลิมอาศัยอยู่จานวนมากเช่นกัน เพราะ
เป็นเวลากว่า 1,400 ปีแล้วที่อิสลามได้ถูกเผยแพร่จากมหานครมักกะฮและมาดีนะฮไปยังภูมิภาคต่าง ๆ
ทั่วโลก โดยเฉพาะแอฟริกา เอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติ
พันธุ์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งรวมแล้วมีมุสลิมกว่า 1.7 พันล้านคนหรือราว 1 ใน 4 ของประชากร
โลกทีเดียว ฉะนั้นหากโลกมุสลิมเจริญก้าวหน้าขึ้นแล้วจะมีบทบาทต่อโลกมากและสมควรอย่างยิ่งที่ไทย
ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปรากฏการณ์นี้เพื่อให้เราสามารถวางบทบาทของชาติไทยอย่างเหมาะสม
ประเทศ จานวนประชากร
ที่เป็นมุสลิม
สัดส่วนต่อประชากร
ทั้งหมดในประเทศ
สัดส่วนต่อประชากร
มุสลิมทั้งหมดในโลก
ภาพที่ 7 ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุด 4 ประเทศแรก ซึ่งไม่ใช่ประเทศอาหรับ
- 11. 8
หากไม่มองจากกรอบของรัฐชาติ แต่มองโดยใช้กรอบ “ประชาชาติเดียวกัน” (Ummah)
ของมุสลิมแล้ว ประเด็นหนึ่งที่ชี้วัดถึงการขยายตัวของประชาชาติมุสลิมคืออัตราการเพิ่มขึ้นของ
ประชากร เนื่องจากตามความเชื่อของชาวมุสลิมนั้นการมีลูกถือเป็นความดีที่ศาสนาส่งเสริม แม้จะเผชิญ
ความกดดันทางเศรษฐกิจอย่างไรเสียก็ยังคงอัตราการเจริญพันธุ์ไว้ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของสังคม
นั้น ๆ ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจนในทวีปยุโรปที่สัดส่วนประชากรมุสลิมเมื่อเทียบกับประชากรยุโรป
ทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นที่อัตราร้อยละ 1 ในทุก ๆ 10 ปี จากสถิติในปี ค.ศ.1990 ที่มีประชากรมุสลิมร้อยละ 4
ได้เพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 6 ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งในภาพรวมระดับโลกก็สะท้อนการเพิ่มของประชากรในอัตราที่
ใกล้เคียงกัน ถ้ามองโดยใช้กรอบนี้จะเห็นถึงบทบาทของโลกมุสลิมที่จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นตามลาดับใน
หลายพื้นที่ทั่วโลกและยากที่จะหยุดยั้งแนวโน้มนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่ออัตราการเจริญพันธุ์ทั่วโลกกาลัง
ลดลงทาให้ทรัพยากรแรงงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประเทศมุสลิมทุกประเทศแล้วแน่นอนว่าย่อมมีประเทศที่อยู่
ในช่วงตัวหรือถดถอยด้วยซ้าไป อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างกันอีกด้วย ดังที่เราเห็นได้จากสงคราม
กลางเมืองทั้งในซีเรียและเยเมน แต่ในอีกด้านหนึ่งเมื่อมองไปยังบางประเทศแล้วจะเห็นว่ามีแนวโน้มการ
พัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ อย่างโดดเด่น และมีความพยายามที่จะสร้างเป็นหนึ่งเดียวให้
เกิดขึ้นอีกด้วย อันจะจะทาให้โลกมุสลิมโดยรวมมีบทบาทสาคัญต่อโลกมากขึ้นอย่างแน่นอน
การผงาดของชาติมุสลิม
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าลักษณะของประเทศที่กาลังมีบทบาทและอานาจมากขึ้นสามารถ
สังเกตได้จากตัวชี้วัดข้างต้น ซึ่งรายงานฉบับนี้จะใช้ตัวชี้วัด 2 ด้านคือ เศรษฐกิจ และ Soft Power เพื่อ
วิเคราะห์การผงาดขึ้นของโลกมุสลิม เนื่องจากใน 2 ด้านนี้นั้นเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถเข้าไปมีส่วน
ร่วมเพื่อนาผลประโยชน์สู่ชาติได้มาก ซึ่งจะเน้นไปยังประเทศซึ่งมีการผงาดอย่างโดดเด่นเป็นอันดับต้น
ๆ ของโลกมุสลิม คือ ซาอุดิอาระเบีย ตุรกี และอินโดนีเซีย
1.เศรษฐกิจ
ขนาดของเศรษฐกิจมีความสาคัญต่อรัฐมาก เนื่องจากเป็นปัจจัยสาคัญในการดาเนิน
นโยบายของรัฐ หากไม่มีงบประมาณเพียงพอก็ยากที่จะดาเนินนโยบายต่าง ๆ ได้สาเร็จ ทั้งนี้เมื่อเรียง
ตามลาดับประเทศตามขนาดเศรษฐกิจโดยธนาคารโลกแล้ว พบว่าใน 20 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ
ใหญ่ที่สุดมีประเทศมุสลิมอยู่ด้วยกัน 3 ประเทศ คือ ซาอุดิอาระเบีย ตุรกี และ อินโดนีเซีย
- 12. 9
ภาพที่ 8 ประเทศที่มี GDP มากที่สุดเป็นอันดับ 11 – 208
1.1 ซาอุดิอาระเบีย : เมื่อโลกกาลังก้าวพ้นยุคแห่งน้ามัน
ในอดีตนั้นผู้คนในดินแดนซาอุฯมิได้ร่ารวยแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงชนเผ่าอาหรับเร่ร่อน
ยากจนที่ทามาหาเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์และค้าขาย เนื่องด้วยความแห้งแล้งของทะเลทรายทาให้
ชีวิตความเป็นอยู่ไม่อาจศิวิไลซ์ได้เท่าใดนัก แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อมีการค้นพบแหล่ง
น้ามันดิบปริมาณมหาศาลทางภาคภูมิภาคตะวันออกของประเทศในปี ค.ศ. 1938 และเริ่มผลิตเพื่อ
ส่งออกอย่างเต็มกาลังใน ค.ศ. 1941 ภายใต้การดาเนินการของบริษัท Aramco (Arabian American Oil
Company) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและซาอุดิอาระเบียผู้เป็น
เจ้าของน้ามัน นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของซาอุดิอาระเบียยุคใหม่ที่ร่ารวยขึ้นอย่างมหาศาลและใช้ความร่ารวย
นี้เป็นบันไดที่ปีนป่ายไปสู่การสร้างชาติและการผันตัวเป็นมหาอานาจในภูมิภาคได้สาเร็จ
ราคาน้ามันกาลังตกต่า
ภาพที่ 9 กราฟเส้นแสดงแนวโน้มราคาน้ามันที่ตกต่าลงอย่างต่อเนื่อง9
ความมั่นคงของเศรษฐกิจ การเมือง และการต่างประเทศ ของซาอุดิอาระเบียนั้นผูกอยู่กับรายได้
จากการขายน้ามันดิบเป็นหลัก โดยกว่า 92.5 % ของรายได้ของรัฐบาลมาจากธุรกิจภาคปิโตรเลียม และ
กว่า 95 % ของการผลิตน้ามันนั้นมาจากบริษัท Aramco ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ด้วยความร่ารวย
- 13. 10
อย่างมหาศาลที่ได้มาอย่างไม่ยากเย็นนักทาให้พลเมืองซาอุดิอาระเบียได้รับสวัสดิการที่ดีจากรัฐแทบทุก
ด้านโดยที่ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐเลย กระแสต่อต้านรัฐบาลจึงมีน้อยมาก กระทั่งกระแสอาหรับสปริงส์ก็
แทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อรัฐบาล ในส่วนการต่างประเทศนั้นซาอุดิอาระเบียได้แปลงงบประมาณที่มี
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดาเนินนโยบายทั้งในรูป Hard Power และ Soft Power เช่น การทาสงคราม
กับกลุ่มกบฏชีอะห์ฮูซี่ในเยเมนซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง การให้เงินทุนช่วยเหลือแก่ประเทศ
อาหรับที่ไม่ใช่ประเทศร่ารวย เช่น อียิปย์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ นอกจากการใช้ความร่ารวยจาก
น้ามันเพื่อดาเนินนโยบายแล้ว ยังมีการใช้น้ามันในฐานะยุทธวิธีหนึ่งในการดาเนินนโยบายโดยตรง เช่น
เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน บริษัท Saudi Aramco ได้ยุติการส่งน้ามันแก่อียิปย์ตามข้อตกลงความ
ช่วยเหลือที่ซาอุดิอาระเบียสัญญาว่าจะส่งน้ามันให้กว่าปีละ 700,000 ตันต่อปี ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าเป็น
ผลจากการที่อียิปย์นั้นไม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านอิทธิพลของอิหร่านและรัฐบาลซีเรียตามความ
คาดหวังของซาอุดิอาระเบีย
เมื่อพิจารณาจากข้อเขียนข้างต้น จะเห็นว่าการดาเนินการทางการเมืองทั้งภายในและภายนอก
ประเทศนั้นล้วนมีฐานมาจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ได้เกิดจากการค้าน้ามันทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบัน
ราคาน้ามันได้ลดลงอย่างมีนัยยะสาคัญและมีแนวโน้มว่าจะลดลงไปมากกว่านี้ เนื่องจากสหรัฐฯ ที่เป็นผู้
นาเข้าน้ามันรายใหญ่ของโลกสามารถใช้เทคนิคใหม่เพื่อผลิตน้ามันได้เองกว่า 9 ล้านบาเรลต่อวัน (shell
gas) ซึ่งเท่ากับความต้องการใช้น้ามันกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ อีกทั้งเทคโนโลยีใหม่ที่ทาให้โลกพึ่งพา
น้ามันน้อยลง เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทาให้ราคาน้ามันที่เคยสูงมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ
บาเรล ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 2014 จึงค่อย ๆ ลดต่าลงจนในปัจจุบันอยู่ในระดับราคาที่ต่ากว่า 50 เหรียญ
สหรัฐฯ ต่อบาเรล ไปแล้ว แต่สิ่งที่พยุงมิให้เศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียไม่กระทบมากนักคือความ
ต้องการน้ามันจากจีนซึ่งเป็นผู้ใช้น้ามันมากที่สุด
ภาพที่ 10 กราฟเทียบปริมาณการนาเข้าน้ามันจากประเทศต่าง ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ซึ่งจีนนาเข้ามากกว่านับแต่ปี 2013 เป็นต้นมา10
- 14. 11
ภาพที่ 11 กราฟแสดงปริมาณน้ามันดิบที่ซาอุฯส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีจานวนลดลง แต่กลับส่งออก
ยังจีนมากขึ้น จนมีปริมาณที่ใกล้เคียงกันนับแต่ปี 2009 เป็นต้นมา11
ภาพที่ 12 ตลอดมาราวร้อยละ 80-90 ของรายได้ภาครัฐซาอุฯมาจากกิจการที่เกี่ยวข้องกับน้ามัน12
ผลของราคาน้ามันที่ตกต่า ความท้าทายที่ต้องรับมือ
โดยปกติแล้วรัฐต่าง ๆ นั้นล้วนมีปัญหาหรือความท้าทายบางประการที่คอยบั่นทอนความมั่นคง
ของรัฐทั้งสิ้น หากรัฐใดสามารถเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้ก็จะสามารถดารงความเป็นรัฐได้ต่อไป หรือ
อาจจะยกระดับสถานะของรัฐให้มั่นคงมากขึ้นทั้งในระดับภายในของรัฐเองรวมถึงระดับระหว่างประเทศ
ซึ่งแต่ละรัฐนั้นมีความท้าทายที่ต้องเผชิญแตกต่างกันไปตามบริบทที่ไม่เหมือนกัน และมีวิธีจัดการปัญหา
ไม่เหมือนกันด้วย
สาหรับความท้าทายที่ซาอุดิอาระเบียต้องพบนั้นสามารถแบ่งออกอย่างคร่าวได้เป็นสองระดับ
ด้วยกัน คือ ระดับภายในประเทศและระดับระหว่างประเทศ
- 15. 12
ความท้าทายระดับระหว่างประเทศ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าซาอุดิอาระเบียใช้ความร่ารวยที่ได้จากการขายน้ามันมาแปลเป็นเครื่องมือใน
การดาเนินนโยบายต่างประเทศจนสามารถยกระดับตัวเองให้กลายเป็นมหาอานาจในภูมิภาคได้สาเร็จ
แน่นอนว่าการขึ้นมาเป็นมหาอานานนั้นย่อมต้องมีคู่แข่งที่คอยท้าทาย ซึ่งคู่แข่งที่สาคัญที่สุดคืออิหร่าน
เนื่องจากความแตกต่างอย่างมากในสองประเด็นด้วยกัน คือความเชื่อทางศาสนาและระบอบการ
ปกครอง ซึ่งความเข้มข้นของความขัดแย้งนั้นได้ทวีมากขึ้นจากความไม่ลงรอยในหลายประการ
โดยเฉพาะสงครามกลางเมืองในซีเรียและเยเมนที่เป็นสงครามตัวแทนที่ซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน
ประชันกาลังทางทหารในสมรภูมินี้ ยิ่งไปกว่านั้นอิหร่านกาลังอยู่ในช่วงที่ขยายอิทธิพลของตนมายัง
ภายนอกประเทศ เนื่องจากการคว่าบาตรจากโลกตะวันตกนั้นถูกยกเลิก และจีนกาลังสนใจที่จะลงทุนใน
อิหร่านเป็นจานวนเงินมหาศาลจากการที่ภูมิศาสตร์ของอิหร่านนั้นอยู่ในเส้นทางสาคัญของโครงการ Belt
& Road ในทางกลับกันซาอุดิอาระเบียกาลังสูญเสียความร่ารวยที่เป็นฐานสาคัญของการดาเนินนโยบาย
ระหว่างประเทศ และสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรหลักมาโดยตลอดเริ่มเอนเอียงไปทางอิหร่าน นับวันอิหร่าน
จึงกลายเป็นภัยที่นับวันยิ่งมีอันตรายต่อเสถียรภาพของซาอุดิอาระเบียมากขึ้น
นอกจากความท้าทายที่เป็นรัฐแล้วก็ยังมีความท้าทายที่ไม่ใช่รัฐอีกด้วย นั่นคือกลุ่มก่อการร้าย
ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในแนวทางซุนนีและชีอะห์ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่รายล้อมซาอุดิอาระเบีย สาหรับ
กลุ่มที่เป็นซุนนีนั้นหมายมั่นที่จะโค่นราชวงศ์อัซซาอูดลงเนื่องจากมองว่าหมดความชอบธรรมที่จะเป็น
ผู้ดูแลสองมหานครศักดิ์สิทธิอีกต่อไป เนื่องจากกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้มีมุมมองที่ค่านข้องอุดมคติว่าการ
ที่ซาอุดิอาระเบียร่วมมือกับรัฐตะวันตกนั้นนับแต่ยุคสงครามเย็นนั้นเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์อิสลาม
อันสูงส่ง ส่วนกลุ่มที่อยู่ในแนวทางชีอะห์นั้นไม่พอใจที่ราชวงศ์ซุนนีกลายเป็นผู้ปกครองสองมหานครศักดิ์
สิทธิแทนที่จะเป็นคนในนิกายชีอะห์ ฉะนั้นซาอุดิอาระเบียจึงต้องคงหรือเพิ่มงบประมาณทางทหารอย่าง
เลี่ยงไม่ได้
ระดับภายในประเทศ
ภายหลังที่ซาอุดิอาระเบียสามารถส่งออกน้ามันดิบได้สาเร็จในปี ประเทศนี้ก็เกิดการ
พัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยสวัสดิการชั้นเยี่ยมที่รัฐมอบให้กับประชาชน ทาให้
เกิดเป็นความลักลั่นประการหนึ่งคือประเทศที่อยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่ถือว่าเป็นระบอบที่มักถูกมองว่าล้าหลัง กลับมีการพัฒนาด้านวัตถุที่เป็นสมัยใหม่อย่างชัดเจน ความลัก
ลั่นนี้มักไม่เกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากความเจริญก้าวหน้านั้นมาจากภาษีที่พลเมืองเสียให้กับรัฐ
ทาให้ในที่สุดพลเมืองจะเรียกร้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจบริหารประเทศ เช่น การก่อหวอด
Boston Tea party ที่ชาวอเมริกันเรียกร้องการมีตัวแทนของตนในการปกครองของอังกฤษ แต่ใน
ประเทศอ่าวอาหรับที่ร่ารวยจากน้ามันกลับมีความสัมพันธ์ที่ตรงกันข้าม เพราะนอกจากประชาชนจะไม่
ต้องเสียภาษีให้รัฐแล้ว รัฐยังมีงบประมาณมหาศาลที่จะมอบ“ชีวิตที่ดี”แก่ประชาชน ทาให้พลเมืองนั้นไม่
คิดล้มล้างบรรดาเจ้าผู้ปกครองที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของการเมืองเสียสิ้น หรือจะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ที่เรียกร้องให้เจ้าผู้ปกครองถอดห่างจากการเมือง ซึ่งในทางวิชาการสามารถเรียกได้ว่า A Rentier
Social Contract หรือสัญญาประชาคมแบบสวัสดิการ
- 16. 13
แต่แล้วความพิเศษดังกล่าวนั้นกาลังถูกท้าทายเนื่องจากราคาน้ามันที่ดิ่งลงมาโดยตลอด
และซาอุดิอาระเบียนั้นพึ่งพารายได้จากน้ามันมากกว่า 90 % ของงบประมาณแผ่นดิน หากเมื่อใดที่
แหล่งรายได้ก้อนหลักนี้ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไปแล้วก็มีความเสี่ยงสูงว่าสัญญาประชาคมแบบพิเศษ
ดังกล่าวอาจถูกฉีกลงได้ทุกเมื่อเช่นที่เกิดความเสี่ยงขึ้นในปรากฏการณ์อาหรับสปริงส์ ฉะนั้นแล้วการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องจาเป็นที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
แผนพัฒนาเศรษฐกิจใหม่เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากน้ามัน
“กษัตริย์อับดุลอาซิสและผู้ร่วมสร้างชาติซาอุดิอารเบียนั้นไม่ได้ครอบครองน้ามัน และสร้างชาติ
จนสาเร็จโดยไม่มีน้ามัน และพวกเราขับเคลื่อนชาติโดยไม่มีน้ามัน และพวกเขามีชีวิตอยู่ในอาณาจักรนี้
โดยไม่มีน้ามัน” มกุฎราชกุมาร มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน ได้กล่าวไว้ในการแถลงข่าวเกี่ยวเนื่องกับโครงการ
“วิสัยทัศน์ 2030” ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะยกระดับเศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียเพื่อลดการพึ่งพา
รายได้จากน้ามันให้น้อยลง โดยตามแผนที่ได้แถลงไว้ซาอุดิอาระเบียจะสามารถเริ่มลดการพึ่งพาน้ามัน
ได้อย่างมีนัยยะสาคัญภายในปี ค.ศ. 2020 และเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2030
โดยลักษณะสาคัญของแผนนี้คือการนาเงินทุนสารองของชาติที่มีอยู่มหาศาลนั้นมาลงทุนพัฒนาในภาค
ส่วนอื่น ๆ อย่างบูรณาการและเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีรายละเอียดบางส่วนดังต่อไปนี้
ภาพที่ 13 มกุฎราชกุมาร มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน ประธานผู้ดูแลโครงการ Vision 2030
- 17. 14
ภาพที่ 14 เป้าหมายของ Vision 2030 คือการเน้นการลดการพึ่งพาน้ามันและเพิ่มศักยภาพของเอกชน
- การศึกษาและการวิจัย
ภาพที่ 15 มหาวิทยาลัย “KAUST” (King Abdullah University of Science and Technology)
- 18. 15
King Abdullah University of Science and Technology หรือ KAUST นั้น เป็น
มหาวิทยาลัยที่เน้นด้านการวิจัยซึ่งตั้งอยู่ในเมืองญิดดะห์ซึ่งเป็นเมืองสาคัญที่อยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของ
ประเทศ มีพื้นที่กว้างกว่า 36 ตารางกิโลกเมตร KAUST ถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2009 เพื่อยกระดับการวิจัย
และการศึกษาของซาอุฯ เป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเพื่อดึงดูดนักวิจัยจากทั่ว
โลก โดยเปิดทาการสอนเฉพาะในระดับปริญญาโทและเอก ในปี 2016 KAUST ได้รับการยอมรับจาก
นิตยสาร Nature ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่พัฒนาด้านการวิจัยที่มีคุณภาพได้เร็วเป็นอันดับที่ 19 ของโลก
และในปี 2015 -2017 ยังได้รับการยอมรับจากสถาบัน QS Ranking ว่าเป็นมหาลัยหนึ่งที่ผลิตงานวิจัย
ซึ่งได้รับการอ้างอิงมากที่สุดเมื่อเทียบต่อจานวนบุคลากร
KAUST นั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่าใช้ระบบและแนวคิดของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็น
รากฐาน ทั้งในแง่กฎระเบียบ สถาปัตยกรรม หลักสูตร และวัฒนธรรม ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ของ
ซาอุฯ มาก เนื่องจากหวังว่ามหาวิทยาลัยนี้จะเป็นกลไกสาคัญที่สร้างนวัตกรรมและวิจัยเพื่อยกระดับให้
ซาอุฯ กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งสามารถยกระดับให้ทัดเทียมกับมหาวิทยาลัยชั้นนาของโลกได้
อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีงบประมาณมหาศาลที่ใช้ดึงดูดบุคลากรชั้นนา นอกจากสวัสดิการพื้นฐานอย่างที่
อยู่อาศัยหรือสาธารณสุขในระดับดีมากแล้ว ยังมีทุนให้นักศึกษาระดับปริญญาโททุกคนขั้นต่าอยู่ที่
20,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องมอบให้นักศึกษาระดับปริญญาเอก นักวิจัย และผู้สอน
มากกว่ามาก และพัฒนาระบบต่าง ๆ เพื่อรองรับการวิจัยซึ่งไม่แพ้มหาลัยชั้นนาของโลก ดังจะเห็นได้ว่า
ปัจจุบันราวร้อยละ 70 ของนักศึกษานั้นเป็นนักศึกษาต่างชาติจาก 60 ชาติทั่วโลก ทาให้ KAUST เป็น
มหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด ทั้งนี้ในอดีตมีสัดส่วนนักศึกษาต่างชาติมากกว่านี้มาก
แต่ภายหลังรัฐบาลกาหนดสัดส่วนให้มีนักศึกษาภายในชาติมากขึ้นเพื่อหวังพัฒนาคนในชาติ ซึ่งหลังจาก
สาเร็จการศึกษาไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งประกอบอาชีพเป็นนักวิจัยหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนาทั่วโลก
KAUST เป็นหนึ่งในความพยายามของซาอุดีอาระเบียที่จะส่งเสริมความหลากหลายทาง
เศรษฐกิจในราชอาณาจักร และช่วยเปลี่ยนผ่านประเทศที่พึ่งพาเพียงรายได้จากอุตสาหกรรมน้ามัน ไปสู่
ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) โดยมหาวิทยาลัยจะทางานร่วมกับทุกภาค
ส่วน ตั้งแต่บริษัท หน่วยงานเอกชน องค์กรไม่แสวงผลกาไร และหน่วยงานรัฐ เพื่อช่วยกันส่งเสริมและ
ผลักดันให้ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ที่คิดค้นในมหาวิทยาลัย ได้ถูกส่งต่อสู่สังคมและสร้าง
แรงขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีกองทุนนวัตกรรม KAUST Innovation Fund ที่ให้ความช่วยเหลือบริษัทสตาร์ท
อัพด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่การให้เงินทุนขั้นต้นไปจนถึงช่วงเริ่มต้นของการทาธุรกิจ ตลอดจนลงทุนใน
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนาจากต่างประเทศที่ต้องการดาเนินธุรกิจในซาอุดีอาระเบียและรับประโยชน์จาก
การวิจัยของ KAUST อีกด้วย
- วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากน้ามันสู่แสงอาทิตย์และลม
- 19. 16
ภาพที่ 16 NOMADD อุปกรณ์ขจัดฝุ่นให้แผงโซล่าเซล
ในปัจจุบันซาอุดิอาระเบียพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนน้อยมากเนื่องจากสามารถใช้น้ามันได้ในต้นทุนที่ถูก
แต่ด้วย Vision 2030 ที่ต้องการลดการพึ่งพาน้ามันนั้นทาให้รัฐบาลมองเห็นความสาคัญของแหล่ง
พลังงานอื่น ๆ โดยคาดว่าในปี 2023 จะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 10 ของการใช้พลังงาน
ทั้งหมดจากการผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์และลม ซึ่งประมาณว่าต้องใช้เงินลงทุนราว 3 – 5 หมื่นล้าน
เหรียญสหรัฐฯ นอกจากจะช่วยในเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นการสร้างงานหลายพันตาแหน่งด้วย
เนื่องจากรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนเองมากขึ้น ซึ่งมีหลายสิบบริษัททั้งในประเทศ
และต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน ที่น่าจับตามองคือบริษัท Saudi Aramco ที่รัฐบาลซาอุฯเป็นเจ้าของซึ่งเป็น
บริษัทผลิตน้ามันที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกจะเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัทให้สูงขึ้นเนื่องจากธุรกิจน้ามันค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว
ตัวอย่างหนึ่งของนวัตกรรมด้านพลังงานที่ได้รับการจับตามองอย่างมากคือ NOMADD13
ซึ่งเป็น
ระบบที่แก้ไขปัญหาสาคัญของ Solar Cells ในพื้นที่ทะเลทรายที่แม้จะมีปริมาณแดดมากแต่กลับผลิต
พลังงานได้น้อยเนื่องจากถูกฝุ่นทรายบดบังแสงอยู่เสมอ บางครั้งอาจจะผลิตได้น้อยลงถึงร้อยละ 60 หาก
มีพายุทะเลทราบ และระบบขจัดฝุ่นนั้นใช้พลังงานมากจนไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ซึ่งการทางานของ
NOMADD นั้นคือการขจัดฝุ่นออกจากแผงรับแสงอาทิตย์ในพลังงานที่ต่านั่นเอง ความสาเร็จของ
NOMADD มีส่วนสาคัญจาก KAUST Innovation Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่อยู่ใต้มหาวิทยาลัย KAUST ที่มี
จุดมุ่งหมายในการสนับสนุนธุรกิจซึ่งสร้างนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ซาอุฯ ได้ โดยกองทุนนี้ได้
ลงทุนใน NOMADD ไปแล้วกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- 20. 17
- การท่องเทียว
แม้ในอดีตซาอุดิอาระเบียจะเป็นประเทศหนึ่งที่การขอวีซ่านั้นมีขั้นตอนยุ่งยากและล่าช้า
เนื่องจากระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังเป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมาก
เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคตะวันออกกลางเนื่องจากเป็นจุดหมายในการทาพิธีฮัจย์ซึ่งเป็นการจาริกแสวง
บุญของชาวมุสลิมทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมีผู้แสวงบุญราว 1.5 ล้านคน และมีผู้ทาอุมเราะฮหรือการจาริก
อาสาอีก 3 ล้านคน แม้ทางการซาอุดิอาระเบียจะพยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับผู้
แสวงบุญให้มากขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอจนจาเป็นต้องจากัดจานวนวีซ่า ภายหลังที่ราคาน้ามันลดต่าลง
อย่างมีนัยยะสาคัญทาให้รัฐบาลซาอุดิอาระเบียเล็งเห็นช่องทางที่จะเปิดให้ผู้แสวงบุญเดินทางท่องเที่ยว
ไปในประเทศต่อภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้ว อย่างน้อยที่สุดด้วยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อม
ระหว่างสองมหานครศักดิ์สิทธิมักกะฮและมาดีนะฮ เมือง KAEC และเมืองเจดดาห์ จะทาให้นักท่องเที่ยว
เดินทางไปมาระหว่างเมืองเหล่านี้ด้วยความสะดวก
นอกจากนั้นซาอุฯ ยังมีแผนสร้างแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกด้วย แม้ภูมิประเทศส่วนมาก
จะเป็นทะเลยทรายที่มีอากาศร้อน แต่บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกที่ติดกับทะเลแดงนั้นมีความสวยงาม
พอที่จะยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะการดาน้าเนื่องจากอุณหภูมิของน้าทะเลที่อุ่นทาให้
ปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ซึ่งซาอุฯ หวังว่าชายฝั่งทะเลแดงนี้จะ
กลายเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวระดับสูงจากทั่วโลก และคาดว่าเมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จจะสามารถ
สร้างรายได้กว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และตาแหน่งงานกว่า 35,000 ตาแหน่ง
- 22. 19
- เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่
ภาพที่ 18 “เมืองเศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลลอฮ” (King Abdullah Economic City) หรือ “เค้ก” (KAEC)
ภาพที่ 19 แผนผังของเมือง KAEC ที่ครอบคลุมทั้งท่าเรือขนาดใหญ่(A) เขตอุตสาหกรรม(B)
ศูนย์กลางธุรกิจ(C) สถานศึกษา(D) สถานที่ท่องเที่ยว(E) และที่พักอาศัย(F)15
ในปี ค.ศ. 2005 ซาอุดิอาระเบียได้เปิดเผยถึงแผนการที่จะสร้างเมืองใหม่ภายใต้ชื่อ “เมือง
เศรษฐกิจกษัตริย์อับดุลลอห์” (King Abdullah Economic City) หรือ “เค้ก” (KAEC) ซึ่งจะเป็นเมือง
เศรษฐกิจพิเศษที่รองรับการค้าการลงทุนหลากหลายประเภท เพื่อเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะสามารถเข้า
มาเสริมและทดแทนรายได้จากน้ามันในที่สุด โดยหวังว่าเมืองนี้จะสามารถดึงดูดภาคการผลิตจาก
ประเทศจีนและนวัตกรรมจากโลกตะวันตกมารวมตัวกันในอภิเมืองแห่งนี้ ด้วยงบประมาณกว่า 3 ล้าน
ล้านบาทที่มาจากภาคเอกชนทั้งหมดเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตลอดจนทุกสิ่งที่จาเป็นเพื่อให้ที่นี่
เปรียบดั่งสวรรค์ของการลงทุน เช่น ท่าเรือขนาดยักษ์ ณ ชายฝั่งทะเลแดงที่รองรับตู้คอนเทนเนอร์กว่า 3
ล้านตู้พร้อมระบบจัดการที่ทันสมัยที่สุดซึ่งตั้งเป้าจะเป็นคู่แข่งกับท่าเรือของดูไบที่เป็นศูนย์กลางของ
- 23. 20
ภูมิภาคในปัจจุบัน เขตอุตสาหกรรมพิเศษที่มีทุกอย่างที่นักลงทุนต้องการ และเขตที่อยู่อาศัยซึ่ง
เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอานวยความสะดวก เช่น สถานศึกษา สถานพยาบาล และระบบขนส่งมวลชน
นอกจากการลงทุนที่จะเป็นหัวใจหลักของเมืองนี้แล้ว ก็ยังหวังด้วยว่างานจานวนมหาศาลที่เกิดขึ้นใน
เมืองนี้จะทาให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตด้วยเช่น ทางการหวังว่าจะมีผู้เข้าพักอาศัยไม่ต่ากว่า 2
ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่ 180 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่กว้างทัดเทียมกับกรุงวอชังตัน ดีซี และยังหวัง
ด้วยว่าเมืองนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสาคัญ
ภาพที่ 20 แผนที่แสดงความหนาแน่นของประชากร ซึ่งชี้ให้เห็นว่ายังมีพื้นที่ว่างเปล่าอีกมาก
ที่สามารถรองรับชาวต่างชาติได้หากพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ16
นอกจากการพัฒนาในด้านวัตถุแล้วทางผู้บริหารโครงการยังเตรียมความพร้อมในเรื่อง
ทรัพยากรบุคคลด้วย ทางหนึ่งคือบรรดาคนหนุ่มสาวที่ออกไปร่าเรียนอย่างต่างประเทศจะมีตลาดงาน
รองรับที่เหมาะสมแทนที่จะต้องทางานในต่างประเทศ และอีกทางคือการอานวยความสะดวกในการเข้า
มาของแรงงานต่างชาติเพื่อทางานในตาแหน่งที่ขาดแคลน
- 24. 21
ภาพที่ 21 เส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างเมืองสาคัญ เช่น มักกะฮ มาดีนะ ริยาด และ KAEC17
- ข้อวิจารณ์ต่อแผนปฏิรูป
แม้ Vision 2030 จะมีการวางแผนไว้ดีเพียงใด แต่อาจจะไม่ประสบผลสาเร็จตามแผนเนื่องจากมี
ความท้าทายหลายประการที่ซาอุฯ ต้องเผชิญ
1. ซาอุดิอาระเบียกาลังเผชิญกับความขัดแย้งที่อยู่รายล้อมประเทศ ทั้งคู่ขัดแย้งที่เป็นรัฐ เช่น
อิหร่าน เยเมน กาต้า และมิใช่รัฐ เช่น IS ซึ่งการจัดการความขัดแย้งต่าง ๆ นั้นต้องใช้งบประมาณ
มหาศาล อีกทั้งหากภายในประเทศเกิดความไม่สงบเรียบร้อยจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศอย่าง
มาก
2. แม้จะมีประชากรในวัยแรงงานอยู่มากเนื่องจากมีอัตราการเกิดของประชากรมาก แต่กลับขาด
แคลนแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ เช่น แพทย์ วิศวกร ฯลฯ รวมถึงแรงงานไร้ทักษะที่ค่าแรงต่าอีกด้วย ทา
ให้บรรษัทข้ามชาตินิยมจ้างชาวต่างชาติเข้ามาทางานแม้จะต้องจ่ายค่าวีซ่ามากขึ้นก็ตาม ทาให้ปัจจุบันมี
ชาวต่างชาติที่อยู่ในซาอุดิอาระเบียอย่างถูกกฎหมายไม่ต่ากว่า 10 ล้านคน และที่อยู่อย่างไม่ถูกกฎหมาย
อีกจานวนหนึ่ง จากพลเมืองซาอุฯที่มี 20 ล้านคน
3. Mckinsey ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนชื่อดังผู้วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียมิได้
คานึงถึงความพร้อมของกาลังคนที่จะทาหน้าที่บริหารแผนงานให้เกิดผลสาเร็จ และชนชั้นปกครอง
ซาอุดิอาระเบียขาดประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่เศรษฐกิจน้ามันมาก่อน แผนนี้
จึงเป็นแผนที่เสี่ยงจะเกิดปัญหาในการปฏิบัติพอสมควร
4. แม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรจะสูงและสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐนั้นดีมาก แต่ปัญหาความ
เหลื่อมล้ายังมีอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับสิทธิอาศัยแต่ไม่ได้รับสัญชาติซาอุฯ เช่น ชาวมุสลิม
จาก 3 จังหวัดภาคใต้ที่เข้าไปอาศัยเมื่อนานมาแล้ว จะได้รับสวัสดิการและโอกาสการทางานที่น้อยกว่า
พลเมืองซาอุฯ มาก
- 25. 22
5.ระบบราชการที่ยุ่งยากและเชื่องช้า ระบบราชการของซาอุฯนั้นขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพที่ไม่
เพียงพอและยังขาดความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อแผนพัฒนา 2030 เป็นอย่างมากเพราะ
ระบบราชการเปรียบได้ดั่งกระดูกสันหลังของการพัฒนาประเทศ หากยังไม่มีการปฏิรูประบบราชการ
เสียก่อนก็ยากที่จะเกิดการปฏิรูปในภาคเอกชนที่เป็นผล
อย่างไรก็ตามยังมีแนวโน้มที่ดีว่าซาอุฯ จะสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้ หากเปิดกว้าง
ให้ชาวต่างชาติที่มีความสามารถเข้ามาร่วมเป็นผู้ผลักดัน vision 2030 มากขึ้น เนื่องจากงบประมาณที่
ทางการมีอยู่นั้นมากเพียงพอที่จะดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกได้ไม่ยากนัก
1.2 ตุรกี : จากคนป่วยแห่งยุโรปสู่มหาอานาจใหม่
ความสาเร็จในการยกระดับเศรษฐกิจของตุรกีนั้นถือว่าโดดเด่นมาก ในปี 2003 ที่อัรโดกันก้าว
ขึ้นเป็นประธานาธิบดีนั้น GDP ของประเทศอยู่ที่ราว 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ในปัจจุบันได้ขึ้น
มากกว่า 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับเศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลีย
เมื่อนับตามอานาจซื้อที่เป็นจริง อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ถึงความสาเร็จของตุรกีคือรายได้เฉลี่ยของประชากร
ตุรกีกว่า 77 ล้านคนนั้นเคยอยู่ที่ราว 20% ของรายได้เฉลี่ยประชากรในสหภาพยุโรป แต่ในปัจจุบันได้
เพิ่มขึ้นจนใกล้ระดับ 70% แล้ว ซึ่งหากเศรษฐกิจของตุรกียังมีการเติบโตที่ดีเช่นนี้คาดว่ารายได้ของ
ประชากรตุรกีจะทัดเทียมกับประชากรในสหภาพยุโรปภายในปี 2030 และกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
อย่างแท้จริง อันเป็นการลบคาสบประมาทว่าตุรกีเป็น “ผู้ป่วยของยุโรป”ลงอย่างสิ้นเชิง และจากการ
คาดการณ์ของธนาคาร HSBC ชี้ว่าภายในปี 2050 ตุรกีจะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็น
อันดับ 12 ของโลก จากปัจจุบันซึ่งอยู่อันดับ 18 เมื่อเศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้นแล้วก็ทาให้บรรษัท
สัญชาติตุรกีมีความมั่นใจและความพร้อมที่จะขยายกิจการออกไปยังต่างประเทศ ทาให้ปัจจุบันมีบริษัท
มากกว่า 15,000 บริษัทที่กาการลงทุนในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอเกอร์และปรากฏการณ์อาหรับสปริง
ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่รายล้อมตุรกีและเศรษฐกิจโลกพอสมควร แต่นั่นกลับไม่ส่งผล
กระทบต่อเศรษฐกิจของตุรกีมากนัก ซึ่งนี่คือสิ่งสะท้อนความเข้มแข็งของเศรษฐกิจตุรกีได้อย่างดี
- 26. 23
ภาพที่ 22 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของตุรกีจะเติบโตมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD
จับตลาดยุโรป
สินค้าที่ผลิตขึ้นจากตุรกีแม้จะมีราคาสูงกว่าสินค้าที่ผลิตจากจีนแต่ก็ได้รับการยอมรับถึงคุณภาพ
ที่ดี สินค้าเกษตรก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกันเนื่องจากสภาพภูมิอากาศและพื้นที่เหมาะกับการทา
เกษตร ส่วนในภาคท่องเที่ยวนั้นตุรกีติดอันดับ 1 ใน 10 จุดหมายการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดใน
โลก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตุรกีมีที่ตั้งติดกับทวีปยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่มีกาลังซื้อสูง ทาให้ลดระยะเวลา
ค่าเดินทางและค่าขนส่งได้มาก ซึ่งการติดต่อค้าขายกับยุโรปนั้นมิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหากแต่เป็นความ
พยายามของรัฐบาลตุรกีที่เดินหน้าเจรจาการค้ากับชาติต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทาให้ตุรกีมีภาพลักษณ์ที่ดี
และน่าลงทุนสาหรับนักลงทุนจากยุโรปอีกด้วย
ภาพที่ 23 กราฟแสดงมูลค่าการค้าระหว่าง EU และ ตุรกีซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ส่วนตะวันออกกลาง
และแอฟริกาคือตลาดที่ได้ดุลการค้ามากที่สุด18
- 27. 24
ส่งเสริม SMEs
นับแต่พรรค AKP ได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาล นโยบายหนึ่งซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจาก
ประชาชนคือการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ที่ทาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยในปีที่ผ่านมา
สัดส่วนของผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนกับรัฐบาลนั้นกว่า 99.8% เป็นธุรกิจในกลุ่ม SMEs ซึ่งการมี
ผู้ประกอบการใหม่มากขึ้นนอกจากจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้าได้แล้วยังกระตุ้นการส่งออกได้อีกด้วย
เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์หลากหลายตอบสนองต่อตลาดต่างประเทศ เพราะตลาดหลักของตุรกีนั้นคือยุโรป
ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีความต้องการต่างกัน ทาให้ในปีที่ผ่านมาสินค้าจากกลุ่มธุรกิจ SMEs
สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก19
ลดต้นทุนด้านพลังงาน
ต้นทุนด้านพลังงานนั้นเป็นต้นทุนที่แทบจะกระทบกับธุรกิจทุกประเภท หากลดค่าใช้จ่ายด้าน
พลังงานได้ก็จะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกาลังเติบโตจะยิ่ง
ต้องการพลังงานมาก จึงเป็นโจทย์สาคัญที่รัฐบาลตุรกีต้องหาทางลดต้นทุนด้านพลังงานให้ได้ ซึ่งไม่ใช้
เรื่องง่ายเพราะมากกว่าร้อย 70 ของพลังงานในตุรกีนั้นมาจากการนาเข้า รัฐบาลจึงมีมาตรการ เช่น การ
สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สร้างท่อส่งก๊าซทั่วประเทศเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง นาเข้าก๊าซจากแหล่งใหม่ ๆ
ที่มีราคาต่ากว่า พึ่งพาถ่านหินที่ผลิตจากในประเทศ
ภาพที่ 24 ท่อส่งก๊าซจากอาณาเขตของชาวเคิร์ดในอิรักซึ่งตุรกีได้ลงทุนสร้างเพื่อนาเข้าก๊าซในราคาถูก20