More Related Content
Similar to พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
Similar to พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ (20)
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
- 1. ั
พระสงคิณี
กุสะลา ธัมมา, พระธรรมทังหลายทีเป็ นกุศล, ให ้ผลเป็ นความสุข
้ ่
อะกุสะลา ธัมมา, ธรรมทังหลายทีเป็ นอกุศล, ให ้ผลเป็ นความทุกข์,
้ ่
อัพ๎ยากะตา ธัมมา, ธรรมทังหลายทีเป็ นอัพยากฤต, เป็ นจิตกลาง ๆ อยู,
้ ่ ่
กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่าใดเป็ นกุศล
ยัส๎ะมิง สะมะเย, ในสมัยใด,
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปั นนัง โหติโสมะนั สสะสะหะคะตัง ญาณะสมปะยุตตัง, ั
กามาวจรกุศลจิตทีรวมด ้วยโสมนั ส, คือความยินดี, ประกอบด ้วยญาน คือ ปั ญญาเกิดขึน ปรารภ
่ ่ ้
อารมณ์ใด ๆ,
รูปารัมมะนัง วา, จะเป็ นรูปารมณ์, คือยินดีในรูปเป็ นอารมณ์ก็ด, ี
ั ั ี
สททารัมมะนั ง วา, จะเป็ นสททารมณ์, คือยินดีในเสยงเป็ นอารมณ์ก็ด, ี
คันธารัมมะนั ง วา, จะเป็ นคันธารมณ์, คือยินดีในกลินเป็ นอารมณ์ก็ด,
่ ี
ระสารัมมะนั ง วา, จะเป็ นรสารมณ์, คือยินดีในรสเป็ นอารมณ์ก็ด, ี
ิ่ ่
โผฏฐัพพารัมมะนั ง วา, จะเป็ นโผฏฐัพพารมณ์, คือยินดีในสงทีกระทบถูกต ้องกายเป็ นอารมณ์ก็ด, ี
ธัมมารัมมะนั ง วา ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ, จะเป็ นธรรมารมณ์, คือยินดีในธรรมเป็ นอารมณ์ก็ด, ี
ตัส๎ะมิง สะมะเย ผัสโส โหติ, อะวิกเขโป โหติ, เย วา ปะนะ ตัส๎ะมิง สะมะเย, อัญเญปิ
ุ้ ่
อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปั นนา อะรูปิโน ธัมมา, ในสมัยนั นผัสสะและความไม่ฟงซานย่อมมี, อีก
้
อย่างหนึง ในสมัยนั น ธรรมเหล่าใด, แม ้อืนมีอยูเป็ นธรรมทีไม่มรป, อาศัยกันและกันเกิดขึน,
่ ้ ่ ่ ่ ี ู ้
อิเม ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่านี้เป็ นกุศล, ให ้ผลเป็ นความสุข
พระวิภ ังค์
่ ี ิ
ปั ญจักขันธา, ขันธ์ห ้าคือสวนประกอบหน ้าอย่างทีรวมเข ้าเป็ นชวต ได ้แก่,
่
ื ่
รูปักขันโธ, รูปขันธ์คอสวนทีเป็ นรูปภายนอกและภายในคือร่างกายนี, ประกอบด ้วยธาตุ ๔,
่ ้
ื ึ
เวทะนากขันโธ, เวทนาขันธ์คอความรู ้สกเสวยอารมณ์ ทีเป็ นสุข เป็ นทุกข์ หรือเฉย ๆ,
่
ั ั
สญญากขันโธ, สญญาขันธ์คอความจาได ้หมายรู ้ในอารมณ์ ๖,
ื
ั ั ั่
สงขารักขันโธ, สงขารขันธ์คอความคิดทีปรุงแต่งจิตให ้ดีหรือชวหรือเป็ นกลาง ๆ,
ื ่
วิญญาณั กขันโธ, วิญญาณขันธ์คอความรู ้แจ ้งในอารมณ์ ทางอายตนะทัง ๖,
ื ้
ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ, บรรดาขันธ์ทงหมดรูปขันธ์เป็ นอย่างไร,
ั้
ยังกิญจิ รูปัง, รูปอย่างใดอย่างหนึง, ่
อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนั ง, ทีเป็ นอดีต อนาคต และปั จจุบัน,
่
อัชฌัตตัง วา, ภายในก็ตาม,
พะหิทธา วา, ภายนอกก็ตาม,
โอฬาริกง วา สุขมัง วา, หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
ั ุ
หีนัง วา ปะณีตัง วา, เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
ั
ยัง ทูเร วา สนติเก วา, อยูไกลก็ตาม อยูใกล ้ก็ตาม,
่ ่
ั ั
ตะเทกัชฌัง อะภิสญญูหต๎วา อะภิสงขิปิต๎วา, ย่นกล่าวร่วมกัน,
ิ
อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ, เรียกว่ารูปขันธ์
- 2. พระธาตุกถา
ั ั
สงคะโห อะสงคะโห, การสงเคราะห์ การไม่สงเคราะห์ คือ,
ั ั ิ่ ่
สงคะหิเตนะ อะสงคะหิตัง, สงทีไม่สงเคราะห์เข ้ากับสงทีสงเคราะห์แล ้ว,ิ่ ่
ั ั ิ่ ่ ิ่ ่
อะสงคะหิเตนะ สงคะหิตัง, สงทีสงเคราะห์เข ้ากับสงทีสงเคราะห์ไม่ได ้,
ั ั ิ่ ่
สงคะหิเตนะ สงคะหิตง, สงทีสงเคราะห์เข ้ากับสงทีสงเคราะห์ได ้,
ั ิ่ ่
ั ั ิ่ ่ ิ่ ่
อะสงคะหิเตนะ อะสงคะหิตัง, สงทีไม่สงเคราะห์เข ้ากับสงทีสงเคราะห์ไม่ได ้,
ั
สมปะโยโค วิปปะโยโค, การอยูด ้วยกัน การพลัดพรากกัน คือ,
่
ั
สมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง, การพลัดพรากจากสงทีอยูด ้วยกัน ิ่ ่ ่
ั
วิปปะยุตเตนะ สมปะยุตตัง, การอยูรวมกับสงทีพลัดพรากไป
่ ่ ิ่ ่
ั ิ่ ่
อะสงคะหิตัง, จัดเป็ นสงทีสงเคราะห์ไม่ได ้
พระปุคคลปัญญ ัตติ
ฉะปั ญญัตติโย, บัญญัต ิ ๖ ประการ, อันบัณฑิตผู ้รู ้พึงบัญญัตขน คือ, ิ ึ้
ขันธะปั ญญัตติ, การบัญญัตธรรมทีเป็ นหมวดหมูกันเรียกว่าขันธ์ มี ๕,
ิ ่ ่
อายะตะนะปั ญญัตติ, การบัญญัตธรรมอันเป็ นบ่อเกิด (แห่งทุกข์และไม่ทกข์), เรียกว่าอายตนะ มี
ิ ุ
๑๒,
ธาตุปัญญัตติ, การบัญญัตธรรมทีทรงตัวอยูเรียกว่าธาตุ มี ๑๘,
ิ ่ ่
ั ั
สจจะปั ญญัตติ, การบัญญัตธรรมทีเป็ นของจริงเรียกว่าสจจะ มี ๔, คือ อริยสจจ์ ๔,
ิ ่ ั
อินท๎ รยะปั ญญัตติ, การบัญญัตธรรมทีเป็ นใหญ่เรียกว่าอินทรีย ์ มี ๒๒,
ิ ิ ่
ปุคคะละปั ญญัตติ, การบัญญัตจาพวกบุคคลของบุคคลทังหลาย,
ิ ้
กิตตาวะตา ปุคคะลานั ง ปุคคะละปั ญญัตติ, บุคคลบัญญัตของบุคคลมีเท่าไร, ิ
สะมะยะวิมตโต อะสะมะยะวิมตโต, ผู ้พ ้นในกาลบางคราว, ผู ้พ ้นอย่างเด็ดขาด,
ุ ุ
กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม, ผู ้มีธรรมทีกาเริบได ้, ผู ้มีธรรมทีกาเริบไม่ได ้,
่ ่
่ ื่
ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม, ผู ้มีธรรมทีเสอมได ้, ผู ้มีธรรมทีเสอมไม่ได ้, ่ ื่
เจตะนาภัพโพ อะนุรักขะนาภัพโพ, ผู ้มีธรรมทีควรแก่เจตนา, ผู ้มีธรรมทีควรแก่การรักษา,
่ ่
ปุถชชะโน โคต๎ ระภู, ผู ้เป็ นปุถชน, ผู ้คร่อมโคตร,
ุ ุ
ั่
ภะยูปะระโต อะภะยูปะระโต, ผู ้เว ้นชวเพราะกลัว, ผู ้เว ้นชวไม่ใชเพราะกลัว, ั่ ่
ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน, ผู ้ควรแก่มรรคผลนิพพาน, ผู ้ไม่ควรแก่มรรคผลนิพพาน,
นิยะโต อะนิยะโต, ผู ้เทียง, ผู ้ไม่เทียง,
่ ่
ปะฏิปันนะโก ผะเลฏฐิโต, ผู ้ปฏิบัตอริยมรรค, ผู ้ตังอยูในอริยผล,
ิ ้ ่
อะระหา อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน, ผู ้เป็ นพระอรหันต์, ผู ้ปฏิบัตเพือเป็ นพระอรหันต์ ิ ่
- 3. พระกถาว ัตถุ
ั
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สจฉิกตถะปะระมัตเถนาติ, ค ้นหาบุคคลไม่ได ้โดยปรมัตถ์, คือ
ั
ความหมายอันแท ้จริงหรือ ?,
อามันตา, ถูกแล ้ว,
ั ั
โย สจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ,
ปรมัตถ์ คือความหมายอันแท ้จริงอันใดมีอยู, ค ้นหาบุคคลนั นไม่ได ้โดยปรมัตถ์, คือความหมายอัน
่ ้
แท ้จริงอันนั นหรือ ?
้
นะ เหวัง วัตตัพเพ, ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนั น, ้
ั
อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ วะตะ เร
ั ั
วัตตัพเพ, โย สจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สจฉิกัตถะปะระมัตเถนา
ติ มิจฉา, ท่านจงรู ้นิคหะ (การข่ม ปราม) เถิด, ถ ้าท่านค ้นหาบุคคลไม่ได ้โดยปรมัตถ์, คือโดย
ความหมายอันแท ้จริงแล ้ว, ท่านก็ควรกล่าวด ้วยเหตุนันว่าปรมัตถ์, คือความหมายอันแท ้จริงอันใด
้
มีอยู, เราค ้นหาบุคคลนั นไม่ได ้โดยปรมัตถ์, คือโดยความหมายอันแท ้จริงนัน, คาตอบของท่าน
่ ้ ้
ทีวาปรมัตถ์ คือความหมายอันแท ้จริงอันใดมีอยู, เราค ้นหาบุคคลนั นไม่ได ้โดยปรมัตถ์, คือโดย
่ ่ ่ ้
ความหมายอันแท ้จริงอันนันจึงผิด,
้
พระยมก
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเป็ นกุศล,
ั
สพเพ เต กุสะละมูลา, ธรรมเหล่านั นทังหมดมีกศลเป็ นมูล,
้ ้ ุ
เย วา ปะนะ กุสะละมูลา, อีกอย่างหนึงธรรมเหล่าใด มีกศลเป็ นมูล,
่ ุ
ั
สพเพ เต ธัมมา กุสะลา, ธรรมเหล่านั นทังหมดก็เป็ นกุศล,
้ ้
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ธรรมบางเหล่าเป็ นกุศล,
ั
สพเพ เต กะสุละมูเลนะ เอกะมูลา, ธรรมเหล่านั น ทังหมดมีมลอันเดียวกับธรรมทีมกศลเป็ นมูล
้ ้ ู ่ ี ุ
,
เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, อีกอย่างหนึงธรรมเหล่าใดมีมลอันเดียวกับธรรมทีมกศล
่ ู ่ ี ุ
เป็ นมูล,
ั
สพเพ เต ธัมมากุสะลา, ธรรมเหล่านันทังหมดเป็ นกุศล
้ ้
- 4. พระมหาปัฏฐาน
เหตุปัจจะโย, ธรรมทีมเหตุเป็ นปั จจัย,
่ ี
อารัมมะณะปั จจะโย, ธรรมทีมอารมณ์เป็ นปั จจัย,
่ ี
อะธิปะติปัจจะโย, ธรรมทีมอธิบดีเป็ นปั จจัย,
่ ี
อะนั นตะระปั จจะโย, ธรรมทีมปัจจัยไม่มอะไรคั่นในระหว่าง,
่ ี ี
สะมะนั นตะระปั จจะโย, ธรรมทีมปัจจัยมีทสดเสมอกัน, ่ ี ี่ ุ
สะหะชาตะปั จจะโย, ธรรมทีเกิดพร ้อมกับปั จจัย,
่
อัญญะมัญญะปั จจะโย, ธรรมทีเป็ นปั จจัยของกันและกัน, ่
่ ี ิ ั
นิสสะยะปั จจะโย, ธรรมทีมนสยเป็ นปั จจัย,
อุปะนิสสะยะปั จจะโย, ธรรมทีมอปนิสยเป็ นปั จจัย, ่ ี ุ ั
ปุเรชาตะปั จจะโย, ธรรมทีมการเกิดก่อนเป็ นปั จจัย,
่ ี
ปั จฉาชาตะปั จจะโย, ธรรมทีมการเกิดภายหลังเป็ นปั จจัย,
่ ี
อาเสวะนะปั จจะโย, ธรรมทีมการเสพเป็ นปั จจัย,
่ ี
กัมมะปั จจะโย, ธรรมทีมกรรมเป็ นปั จจัย,
่ ี
วิปากะปั จจะโย, ธรรมทีมวบากเป็ นปั จจัย,
่ ี ิ
อาหาระปั จจะโย, ธรรมทีมอาหารเป็ นปั จจัย,
่ ี
อินท๎ รยะปั จจะโย, ธรรมทีมอนทรียเป็ นปั จจัย,
ิ ่ ี ิ ์
ฌานะปั จจะโย, ธรรมทีมฌานเป็ นปั จจัย,
่ ี
มัคคะปั จจะโย, ธรรมทีมมรรคเป็ นปั จจัย,
่ ี
ั
สมปะยุตตะปั จจะโย, ธรรมทีมการประกอบเป็ นปั จจัย,่ ี
วิปปะยุตตะปั จจะโย, ธรรมทีไม่มการประกอบเป็ นปั จจัย,
่ ี
อัตถิปัจจะโย, ธรรมทีมปัจจัย,
่ ี
นั ตถิปัจจะโย, ธรรมทีไม่มปัจจัย,
่ ี
วิคะตะปั จจะโย, ธรรมทีมการอยูปราศจากเป็ นปั จจัย,
่ ี ่
อะวิคะตะปั จจะโย, ธรรมทีมการอยูไม่ปราศจากเป็ นปั จจัย
่ ี ่