Ce diaporama a bien été signalé.
Le téléchargement de votre SlideShare est en cours. ×

วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร

Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité
Publicité

Consultez-les par la suite

1 sur 35 Publicité

วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร

ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com

วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
โยคาจาร เป็นชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายอาจริยวาท หรือมหายาน มุ่งศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรม โดยวิธีปฎิบัติโยคะ สัจธรรมที่เป็นเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ การรู้แจ้งว่าสากลจักรวาลหาใช่อะไรอื่น ที่แยกออกไปต่างหากจากจิตไม่ ในสัจธรรมขั้นสูงสุดไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเกิด การตาย
ถือว่าสิ่งที่มีอยู่จริงคือ จิต สิ่งภายนอกจิตไม่ได้มีอยู่จริง จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิชญานวาท หรือ วิญญาณวาท ตรงกับปรัชญาตะวันตกคือ จิตนิยม

ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com

วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร
โยคาจาร เป็นชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายอาจริยวาท หรือมหายาน มุ่งศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรม โดยวิธีปฎิบัติโยคะ สัจธรรมที่เป็นเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ การรู้แจ้งว่าสากลจักรวาลหาใช่อะไรอื่น ที่แยกออกไปต่างหากจากจิตไม่ ในสัจธรรมขั้นสูงสุดไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเกิด การตาย
ถือว่าสิ่งที่มีอยู่จริงคือ จิต สิ่งภายนอกจิตไม่ได้มีอยู่จริง จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิชญานวาท หรือ วิญญาณวาท ตรงกับปรัชญาตะวันตกคือ จิตนิยม

Publicité
Publicité

Plus De Contenu Connexe

Diaporamas pour vous (20)

Similaire à วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร (20)

Publicité

Plus par Padvee Academy (20)

Plus récents (20)

Publicité

วิชาพระพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายโยคาจาร

  1. 1. นิกายโยคาจาร (MIND-ONLY SCHOOL) โดย อ. สรณีย์ สายศร วิชาพระพุทธศาสนามหายานเทอม 1/2557
  2. 2. เกริ่นนา  โยคาจาร เป็นชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายอาจริยวาท หรือ มหายาน มุ่งศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรม โดยวิธีปฎิบัติโยคะ สัจธรรมที่เป็นเป้ าหมายดังกล่าว ได้แก่ การรู้แจ้งว่า สากลจักรวาลหาใช่อะไรอื่น ที่แยกออกไปต่างหากจาก จิตไม่ ในสัจธรรมขั้นสูงสุดไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเกิด การตาย  ถือว่าสิ่งที่มีอยู่จริงคือ จิต สิ่งภายนอกจิตไม่ได้มีอยู่จริง จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิชญานวาท หรือ วิญญาณ วาท ตรงกับปรัชญาตะวันตกคือ จิตนิยม
  3. 3. ความหมาย  โยคาจาร หมายถึง การมุ่งศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรมขั้นสูงสุดโดยวิธี ปฏิบัติโยคะ  ยังมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า  วิชญานวาท หมายถึง จิตเท่านั้นที่เป็นจริงเพียงสิ่งเดียว
  4. 4. ความหมายและแนวคิดสาคัญ  โยคาจาระ (Yogacara) มาจากคาว่า  โยคะ >> แปลว่า มีลักษณะกระตือรือร้นที่จะไต่สวน  อาจาระ >> แปลว่า ความประพฤติที่ดีงาม  โยคาจาระ หมายถึง ความกระตือรือร้นที่จะประพฤติข้อปฏิบัติที่ดีงาม  เรียก “โยคาจาระ” เพราะว่า >> สอนให้บาเพ็ญโยคะ หรือฝึกจิตเพื่อบรรลุ ความหลุดพ้น และให้มีความประพฤติที่ดี คือ เข้าสู่ภูมิธรรมทั้ง ๑๐ ของพระ โพธิสัตว์ จนหยั่งถึงพุทธจิต  อีกชื่อหนึ่ง คือ “วิชญาณวาท” >> เพราะเน้นสอนว่าจิตเท่านั้นที่เป็นจริง เพียงส่วนเดียว
  5. 5. ประวัติการก่อตั้งนิกาย  นิกายโยคาจารเป็นนิกายสาคัญที่ เป็นคู่ปรับของนิกายมาธยมิกะ  ท่านไมเตรยนาถ (เกิดหลังท่าน นาคารชุน 100 ปี) เป็นผู้ก่อตั้งสานัก โยคาจาร ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๘  นิกายโยคาจารเจริญที่สุดในสมัย ของท่านอสังคะ และท่านวสุพันธุ  อสังคะเรียกชื่อนิกายฝ่ายตนว่า นิกายโยคาจาร  วสุพันธุเรียกชื่อนิกายฝ่ายตนว่า นิกายวิชญาณวาท
  6. 6. แนวคิดที่สาคัญของนิกายโยคาจาร  “จิตเท่านั้นที่เป็นจริง สิ่งอื่นนอกเหนือจาก จิตเป็นเพียงมายา ไม่ใช่สิ่งจริงแท้ เป็น เพียงภาพสะท้อนหรืออาการ กิริยาของจิต เท่านั้น วัตถุภายนอกไม่อาจจะพิสูจน์ได้ เพราะวัตถุภายนอกเป็นเพียงมายาจาก ดวงจิต มีอยู่เป็นอยู่เพราะการคิดของจิต เท่านั้น >> จิตจึงเป็นสารัตถะของสรรพสิ่ง”  Yogācāra discourse explains how our human experience is constructed by mind.
  7. 7.  พวกโยคาจารเป็นพวกกลุ่มผู้ใช้สมาธิ (ฌายิน) หรือโยคี การทา สมาธิคือการจากัดแดนแห่งความใส่ใจให้แคบลงในลักษณะหนึ่ง และช่วงเวลาหนึ่ง โดยอาศัยเจตนารมณ์เป็นเครื่องมือ เพื่อการ หยั่งรู้ตนเอง โยคาจารถือว่า “ ปรมัตถ์คือจิตเท่านั้น” ความคิด และสิ่งทั้งมวลคือจิต “จิตภายในสร้างโลกภายนอก”  คล้ายกับ จิตนิยมของตะวันตก (Idealism) “ To be is to be percieved” (ยอร์ช เบร์คเลย์ 1685 – 1753 ) >> โลกภายนอกเป็น โลกที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั้น ไม่ได้มีอยู่ด้วยตัวมันเอง แต่มีอยู่ในฐานะที่เป็นความคิด ความมีอยู่ของวัตถุหรือสสาร ขึ้นอยู่กับการถูกรับรู้ หรือ ถูกรับรู้โดยจิต
  8. 8.  โยคาจาร บางครั้งก็เรียกว่า วิญญาณวาท / วิชญาณวาท >> จิต เท่านั้นเป็นจริง สิ่งอื่นนอกเหนือจากจิตเป็นเพียงมายา หรือภาพ สะท้อนของจิต  หรือ เรียกว่า “จิตนิยม แบบอัตวิสัย” >> วัตถุภายนอกเป็นเพียง การรับรู้ของจิต ไม่มีจิต วัตถุภายนอกก็ไม่มี วัตถุภายนอกมีได้ก็ เพราะจิตมี  หรือ เรียกว่า “อัสตวาทิน” >> เพราะถือว่า สิ่งทั้งปวงมีจิตเป็นแก่น สาร ตรงข้ามกับนิกายมาธยมิกะ หรือ ศูนยตวาทิน ที่ถือว่า >> สิ่ง ทั้งปวงเป็นของว่างเปล่า*****
  9. 9. ทะเลสวยๆๆนี้มีอยู่จริงรึเปล่า^__^
  10. 10. ข้อปฏิบัติทางจิต  คือการฝึกฝนจิตเพื่อให้รู้แจ้งแห่งสัจธรรมขั้นสูงสุดแล้วจะพบว่า  (1) สากลจักรวาลหาใช่อื่นที่แยกออกไปจากจิตไม่  (2) ในสัจธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดและการตาย  (3) ไม่มีสิ่งหรือวัตถุภายนอกจิตที่มีอยู่จริง ๆ
  11. 11. จุดยืนของนิกายโยคาจาร  ปฏิเสธลักษณะภาพทางวัตถุวิสัยของ โลกภายนอก ยอมรับว่ามีวิญญาณ จานวนนับไม่ถ้วน แต่ละดวงเป็น ขณิกะ มีปัจจัยปรุงแต่ง (เจตสิก) ของตนเอง และแสวงหาความรู้เพื่อ อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่ประสบ
  12. 12. หลักคาสอนสาคัญ - ทัศนะเรื่องจิต  ๑. ทัศนะเรื่องจิตเท่านั้น เป็นความจริงแท้ (จิตตมาตร >> จิตหนึ่ง หรือ จิตเดียว)  จิตเท่านั้นที่เป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียว และเป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ จริง  หลักการสาคัญ >> ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดมาจากจิต จิตเป็นตัวสร้างปรากฏการณ์ทั้งหลาย >> ความรู้ ความจริง ความ หลุดพ้น ล้วนเกิดขึ้น ดาเนินไป และจบสิ้นที่กระบวนการการ ทางานของจิต  ไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ปรากฏภายนอกมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ เพราะ สิ่งนั้นๆ ไม่ได้มีตัวตนอยู่ต่างหากจากจิต จิตคือผู้สร้างสรรพสิ่ง
  13. 13.  โยคาจาร เชื่อว่า >> โลกภายนอกที่เราสัมผัสได้อยู่ทุกวันนี้มีได้ เพราะมีจิต หากไม่มีจิต สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่มี >> เพราะสิ่งที่มีอยู่ จริง คือ กระบวนการรับรู้ของจิต  จักรวาลมีเพียงจิต และผลผลิตของจิตเท่านั้น  การที่นิกายโยคาจารปฏิเสธว่า สรรพสิ่งไม่ได้มีอยู่จริง หมายถึง >> สรรพสิ่งไม่ได้ปรากฏแก่การรับรู้ของจิต
  14. 14. หลักคาสอนสาคัญ - ทัศนะเรื่องวิญญาณ  ๒. ทัศนะเรื่องวิญญาณ  วิญญาณ หมายถึง หน่วยของ ความรู้สึก มีหน้าที่รับรู้ แยกแยะ ความแตกต่าง ไตร่ตรอง และตัดสิน  จิต คือ ระบบของความรู้สานึก ทั้งหมด >> เป็นระบบการทางาน ของวิญญาณ  นิกายโยคาจาร แบ่งวิญญาณ ออกเป็น ๓ กลุ่ม มีจานวนวิญญาณ ๘ ดวง  ประเภทของวิญญาณ  ๑. ประพฤติวิญญาณ >> ทาหน้าที่ ในการรับรู้โลกภายนอก (๖ ดวง)  ๒. กลิษฏมโนวิญญาณ >> ทา หน้าที่ในการรับรู้โลกภายใน (๑ ดวง)  ๓. อาลยวิญญาณ >> วิญญาณที่ เป็นจุดรวมของทุกวิญญาณ (๑ ดวง)
  15. 15. หน้าที่ของวิญญาณ  ๑. ประพฤติวิญญาณ >> มี ๖ ดวง คือ จักขุวิญญาณ / โสตวิญญาณ / ฆานวิญญาณ / ชิวหาวิญญาณ / กายวิญญาณ (ทั้ง ๕ วิญญาณนี้ เรียกว่า “ปัญจวิญญาณ”) / และ มโนวิญญาณ >> การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ  เมื่อเกิด “ปัญจวิญญาณ” แล้ว มโนวิญญาณ จะทาหน้าที่คิด และ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ต่อสิ่งที่รับรู้ หรือโลกภายนอก
  16. 16. หน้าที่ของวิญญาณ  ๒. กลิษฏมโนวิญญาณ >> หรือ “มนัส”  อยู่เหนือระดับความคิด ไม่รับรู้อารมณ์ >> ทาหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง “มโนวิญญาณ” กับ “อาลยวิญญาณ”  จะรับรู้และพิจารณาเฉพาะอารมณ์ภายในเท่านั้น >> ยึดเฉพาะ อายลวิญญาณ ทาให้เกิดความคิดเรื่องตัวตน  มนัส เกิดจาก “ความไม่รู้ในความเป็นธรรมชาติอันเดียวกันของจิต” จึงแยกตัวออกมาจาก “อาลยวิญญาณ” และสะท้อนอาลยวิญญาณว่า เป็นตัวตน  เพราะมีการยึดถือว่าเป็นตัวตน จึงเกิดความรู้สึกยึดถือว่าสิ่งต่างๆ เป็นของๆตน
  17. 17. หน้าที่ของวิญญาณ  มนัส หรือ กลิษฏมโนวิญญาณ >> สร้างตัวตน หรือ ตัวฉัน (ME) ขึ้น มโนวิญญาณ และปัญจวิญญาณ ก็สร้างสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นของของตนขึ้น (MINE)
  18. 18. หน้าที่ของวิญญาณ  ๓. อาลยวิญญาณ >> หมายถึง >> ธาตุรู้ / ความรู้สึกสานึกที่เป็นแหล่ง รวบรวมเมล็ดพันธุ์แห่งกรรม มีฐานะเป็นจิตไร้สานึก เป็นรากฐานของ วิญญาณอื่นๆ มีหน้าที่ คือ  ๑) หน้าที่เก็บ เก็บรอยประทับต่างๆ ของกรรม (พีชะ – กุศลพีชะ / อกุศลพี ชะ / อัพยากตพีชะ)  ๒) หน้าที่ก่อ (ความยึดถือว่าเป็นตัวตน) >> จิตจะคิดสร้างอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา เกิดการยึดถือ เกิดเป็นผู้รับรู้ และสิ่งที่ถูกรับรู้  ๓) หน้าที่ปรุงแต่ง >> เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ตามพีชะ ซึ่งเป็นวิญญาณที่ทาหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ ทาหน้าที่สร้างโลก และความรู้ต่างๆ >> จิตจะเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏจนกว่าจะสิ้นอาสวะ
  19. 19.  การที่จิตทาหน้าที่ ๓ ประการ คือ รู้เก็บ รู้ก่อ และรู้ปรุง >> จิตจึง เป็นใหญ่ และเป็นสารัตถะของสรรพสิ่ง >> โลกวัตถุจึงเป็นเพียง มโนภาพ หรือ มายา ที่ปรุงแต่งออกไปจากพีชะในจิต >> เมื่อไม่ มีจิต สิ่งทั้งปวงก็ไม่มี / สิ่งทั้งปวงมีได้ ก็เพราะมีจิต
  20. 20. หลักคาสอนสาคัญ - ทัศนะเรื่องความจริง  โยคาจาร อธิบายว่า ความจริง มี ๒ อย่าง คือ  ๑) ความจริงสมมติ >> สมมติสัจจะ เป็นสิ่งที่ปรากฏในฐานะสิ่งที่ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ (ทวิภาวะ) ไม่มีความ เป็นจริง >> เป็นมายา  ๒) ความจริงสูงสุด >> จิตที่ไม่มีทวิภาวะ ความจริงสูงสุดจะถูก ปกปิดโดยสิ่งที่ปรากฏ
  21. 21. ความจริง ๓ ระดับ ของโยคาจาร  ๑. ปริกัลปิตะ >> สิ่งที่เกิดจาก จินตนาการ ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงมายา หรือ ภาพลวงตา  ปริกัลปิตัชญาณ คือ ความรู้ที่ไม่ตรงกับ ความเป็นจริง เช่น กรณีการจุ่มท่อนไม้ลงใน น้า เพราะความหักเหของแสงทาให้เห็นไม้คด ข้อเท็จจริงมีเพียงท่อนไม้ น้าและภาพไม้คดที่ ปรากฏต่อหน้าเรา ปริกัลปิตัชญาณเป็น จิตนาการบริสุทธิ์ (Pure Imagination)
  22. 22. ความจริง ๓ ระดับ ของโยคาจาร  ๒. ปรตันตระ >> สิ่งที่ปรากฏในฐานะความสัมพันธ์ (ทวิภาวะ) ระหว่างผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ >> หมายถึง จิตที่ปรุงแต่ง (ผู้รู้) (constructive consciousness) เป็นความจริงที่เกิดจากเหตุ ปัจจัย  ปรตันตรัชญาณ คือความรู้ที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มี อยู่จริงว่ามีอยู่จริง เป็นเรื่องของจิตและกับวัตถุ หรืออีกแง่หนึ่งก็คือ ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ เกิดจากการที่ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ กระทบกับ อารมณ์ภายนอก
  23. 23. ความจริง ๓ ระดับ ของโยคาจาร  ๓. ปรินิษปันนะ >> ความจริงสูงสุด มีฐานะเท่ากับสิ่งสัมบูรณ์ เป็น สภาวะที่ไม่มีทวิภาวะ เป็นจิตที่ไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งที่ถูกรู้ทุกอย่าง  ปรินิษปันนัชญาณ หมายถึงความรู้แท้ที่เป็นองค์รวมหรือเป็น ฐานแห่งโลกและชีวิต >> เป็นความหายไปแห่งลักษณะที่ จินตนาการล้วนๆ ในปรตันตรลักษณะ >> ปราศจากความคิด แบ่งแยก >> อยู่ในจุดที่ทวิภาวะถูกกาจัดทิ้งไป  ฝ่ายเทวนิยมเรียกว่า พระเจ้า (God) เป็นที่รวมของผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
  24. 24.  เมื่อ “ปรตันตระ” (ผู้รู้) บริสุทธิ์จากความเป็นทวิภาวะ ซึ่งถูกกาหนด โดย “ปริกัลปิตะ” (สิ่งที่ถูกรู้) หรือ การจินตนาการ >> จิตที่ถูกทาให้ หลงผิดก็จะมีสภาวะบริสุทธิ์ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริง หรือ “ปรินิษปันนะ” >> ไม่ตกอยู่ใต้อานาจการเปลี่ยนแปลงของ จินตนาการ เป็นสภาวะที่ทุกสิ่งเป็นเช่นเดียวกัน  สภาวะปรินิษปันนะของจิต คือ การรู้แจ้งความเป็นสิ่งสัมบูรณ์ของจิต ความจริงแท้ คือ ภาวะการรู้แจ้งความเป็นสิ่งสัมบูรณ์ของจิต
  25. 25. แนวความคิดหลักมาจากลังกาวตารสูตร  เนื้ อหาสาคัญ 2 เรื่องในพระสูตร  1.ทรงแสดงว่าสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่เราไม่สามรถสรุปได้ว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่ -สิ่งทั้งปวงมี (อัตถิกะ) เป็นทัศนะที่ผิด -สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่(นัตถิกะ) เป็นทัศนะที่ผิด  2.ทรงแสดงว่าเหตุที่เราไม่สามารถสรุปได้เช่นนั้นเพราะ สรรพสิ่งที่เรา สัมผัสอยู่ในชีวิตประจาวันนี้ มิได้มีตัวตนอยู่ต่างหากจากจิต จิตคือผู้สร้าง สิ่งเหล่านี้ (ประเด็นนี้ เองที่เกิดของโยคาจาร) สรรพสิ่งคือจิต
  26. 26. ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างมาธยมิกะ กับโยคาจาร  ประเด็นขัดแย้ง >> ลักษณะของสรรพสิ่ง (สวลักษณะ / สวภาวะ)  มาธยมิกะ >> สมมติสัจจะ ไม่มีอยู่จริง เป็นมายา / ปรมัตถ สัจจะ สิ่งทั้งหลายเป็นสุญญตา  โยคาจาร >> สมมติสัจจะ ไม่ได้เป็นมายาทั้งหมด >> พีชะที่มา จากอาลยวิญญาณที่เป็นบ่อเกิดของสมมติสัจจะ มีสวลักษณะอยู่ ด้วย
  27. 27. ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างมาธยมิกะ กับโยคาจาร  โยคาจาร >> มีจิตอยู่จริง และเป็นความ จริงเพียงหนึ่งเดียว >> นาพาตนเองให้ หลุดพ้นโดยการดูที่จิตของตนและบังคับ ควบคุม  มาธยมิกะ >> ที่สุดแล้วไม่มีอะไรดารง อยู่เป็นแก่นสารเลย สรรพสิ่งล้วนว่าง เปล่า เป็นสุญญตา >> นาพาตนเองให้ หลุดพ้นโดยการละความยึดมั่นถือมั่น
  28. 28. คุณสมบัติพระโพธิสัตว์ของโยคาจาร  1.จะตระหนักรู้ว่า สรรพสิ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์ของความสานึกรู้(จิต)อัน บริสุทธิ์ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นดาเนินไปเพราะจิต (จิตเดิมแท้)  2.จะเป็นอิสระเหนือมโนทัศน์ผิด ๆ ที่เห็นว่าวัตถุภายนอกมีอยู่จริง ไม่ยึดติด จิตอยู่เหนือการแบ่งแยก (อทวิภาวะ)  3.จะเข้าใจว่าทุกอย่างภายนอกไม่มีอยู่จริง ความรู้ทั้งหมดอยู่ในสภาพที่ เรียกว่า ตถตา มีอยู่เป็นเช่นนั้นเอง (ศูนยตา)  4.จะมีความรู้ชัดว่า ปัญญาและการรู้แจ้งจะเป็นไปได้ภายในจิตที่บริสุทธิ์ เรียกว่าธรรมกายหรือพุทธภาวะ
  29. 29. สรุป จุดยืนแห่งโยคาจาร  นิกายโยคาจาร เห็นด้วยกับมาธยมิกะ เฉพาะเรื่องความไม่มีอยู่ จริงของวัตถุ หรือ อารมณ์ภายนอก // แต่เรื่องที่เห็นว่าจิตไม่มีอยู่ จริง โยคาจารไม่เห็นด้วย  โยคาจาร เชื่อว่า อย่างน้อยที่สุด >> เราต้องยอมรับว่า จิตเป็นสิ่ง ที่มีอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ความคิดที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ >> จิต ซึ่งประกอบด้วยกระแสแห่งความคิดต่างๆ เป็นสิ่งแท้จริงเพียง ประการเดียว
  30. 30.  หลักการเรื่องจิต ของโยคาจาร ใกล้เคียงกับคาสอนของเถรวาท ที่ว่า  “โลกอันจิตนำไป โลกอันจิตย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมด เป็นไปตำมอำนำจธรรมอย่ำงเดียว คือ จิต” (สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อันธวรรคที่ ๗ จิตตสูตรที่ ๒)
  31. 31. ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com สนุกกับการเรียนรู้ปรัชญาและศาสนาแบบชิคๆ เคียงคู่รอยยิ้ม

Notes de l'éditeur

  • ทศกัณฐ์สรุปว่า “นี่คือธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง สรรพสิ่งมีอยู่ในอาณาเขตของจิต ความจริงข้อนี้คนเขลามิอาจหยั่งเห็นได้เลย คนเขลาเหล่านี้คิดฝันไปต่าง ๆ นานา จึงสับสนไม่รู้ซึ้งถึงสัจธรรมดังกล่าวนี้ แท้ที่จริง ไม่มีผู้เห็น ไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น ไม่มีผู้พูด ไม่มีสิ่งที่ถูกพูด พระพุทธเจ้าและพระธรรมก็หาใช่อะไรไม่ หากคือมายาภาพที่เกิดจากความเข้าใจผิดนั้นเอง บุคคลใดมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามปกติ บุคคลนั้นย่อมไม่เห็นพระพุทธเจ้า แต่เมื่อความเข้าใจผิดถูกขจัดออกไป บุคคลย่อมมองไม่เห็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน บุคคลจะเห็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต่อเมื่อ เขาเข้าถึงสถานที่ที่โลกดับแล้วอย่างสิ้นเชิง”...แท้จริงโลกหาใช่อะไรไม่ หากแต่คือใจของท้าวเธอเอง
  • สิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งมีอยู่แล้ว มีตั้งแต่ยังไม่มีใครทราบ เป็นจิตใหญ่หรือจิตสากล ส่วนจิตที่มีอยู่ในมนุษย์และสรรพสัตว์คือจิตย่อย จิตสากลมีคุณสมบัติ บริสุทธิ์ ผ่องใส เจิดจ้าอย่างไร จิตย่อยก็มีคุณสมบัติอย่างนั้น
    คัมภีร์คำสอนของฮวงโป(หน้า 22-25)กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง (One Mind) นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ปราศจากการตั้งต้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่ของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูปไม่มีทั้งการปรากฏ มันไม่ถูกนับรวมอยู่ในสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่และไม่มการตั้งอยู่ มันไม่อาจถูกลงความเห็นว่าเป็นของใหม่หรือเป็นของเก่า มันไม่ใช่ของยาว ของสั้น ของใหญ่ ของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น จิตหนึ่งนั้นแหละคือพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือมันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใด ๆเลย การใช้จิตของเธอให้ปรุงความคิดมันไปต่าง ๆนั้นเท่ากับเธอละทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสียแล้ว ไปผูกพันตัวเองกับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือ

×