SlideShare a Scribd company logo
1 of 22
Download to read offline
BRAD STULBURG
STEVE MAGNESS
คนเก่งพักเป็น
สูตรลับพัฒนาตัวเอง
ที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
PEAK PERFORMANCE
คนเก่งพักเป็น: สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
PEAK PERFORMANCE
Copyright © 2017 by Brad Stulberg and Steve Magness.
All rights reserved. Published by arrangement with RODALE INC., Emmaus, PA, U.S.A.
Thai language translation copyright © 2019 by Superposition Co., Ltd.
เลขมาตรฐานสากลประจ�าหนังสือ 978-616-8109-16-8
ผู้เขียน Brad Stulberg, Steve Magness
ผู้แปล สุกัญญา ไทเตชะวัฒน์
กองบรรณาธิการ จิรวรรณ วงค�าเสา, ปิยะพงษ์ ศิริสุทธานันท์,
ธีร์ มีนสุข, ธีพร บรรจงเปลี่ยน
จัดรูปเล่ม อรณัญช์ สุขเกษม
ราคา 225 บาท
จัดพิมพ์โดย ส�านักพิมพ์บิงโก
ภายในเครือ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด (Superposition Co., Ltd.)
18 ซอยดุลิยา ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 10170
อีเมล superposition.books@gmail.com
โทรศัพท์ 094-810-7272
เว็บไซต์ www.bingobook.co เฟซบุ๊ก www.facebook.com/bingobooks
จัดจ�าหน่ายโดย
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ากัด (มหาชน) SE-EDUCATION Public Company Limited
เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260
โทร. 0-2826-8000 โทรสาร 0-2826-8999
เว็บไซต์ www.se-ed.com
พิมพ์ที่ Pimdee โทรศัพท์ 02-401-9401
หากต้องการสั่งซื้อเป็นจ�านวนมาก กรุณาติดต่อรับส่วนลดได้ที่ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด
อีเมล superposition.books@gmail.com
คำ�นำ� 5
บทนำ� ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่		 13
ส่วนที่�1
ความตึงเครียด�+�การพัก�=�การพัฒนา
บทที่�1	 ความลับของความสำ	เร็จที่ยั่งยืน 33
บทที่�2	มองความตึงเครียดในมุมใหม่	 49
บทที่�3	สร้างความตึงเครียดให้ตัวเอง	 61
บทที่�4	ความย้อนแย้งของการพักผ่อน	 87
บทที่�5	คนเก่งพักกันแบบไหน?	 109
ส่วนที่�2
เตรียมตัวให้พร้อม
บทที่�6	ออกแบบกิจวัตรให้มีประสิทธิภาพ	 139
บทที่�7	ทำ	น้อยแต่ได้มาก 159
ส่วนที่�3
เป้าหมายของชีวิต
บทที่�8	ข้ามพ้นตัวเอง	 179
บทที่�9	ตั้งเป้าหมายของคุณ	 205
บทส่งท้าย	 218
ประวัตินักเขียน	 231
สารบัญ
5
ในฤดูร้อนปี 2003 เด็กหนุ่มอายุ 18 ปียืนตื่นเต้นอยู่บนสนามหญ้าระหว่างรอฟัง
เสียงเรียกครั้งสุดท้ายให้นักกรีฑาทุกคนไปเตรียมตัวที่จุดสตาร์ท การแข่งวิ่ง
ของเขาไม่ใช่การแข่งระดับมัธยมทั่วๆ ไป ไม่ใช่การแข่งขันระดับรัฐของอเมริกา
แต่เป็นการแข่งขันวิ่ง 1 ไมล์ในรายการ “พรีฟอนเทนคลาสสิค” สุดยอดรายการ
แข่งขันกรีฑาระดับประเทศ
ไม่กี่วันก่อนหน้าการแข่งขันเด็กหนุ่มคนนี้ยังมัวแต่นั่งคิดถึงอแมนด้าหญิง
สาวในฝันของเขาระหว่างเรียนวิชาฟิสิกส์แต่มาวันนี้เขาก�าลังอยู่ท่ามกลางนักวิ่ง
ระดับโลก เขาได้แต่คิดในใจว่า
“ฉันจะวิ่งทันคนอื่นในการแข่งรายการส�าคัญที่สุดแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
ขณะที่เขาเฝ้ามองนักกีฬาดาวเด่นเจ้าของเหรียญโอลิมปิกอย่าง
เบอร์นาร์ดลาแกตอบอุ่นร่างกายก่อนแข่งตามปกติเขาพยายามดึงความสนใจ
ของตัวเองออกจากการแข่งขันด้วยการเล่นเกม แต่นั่นท�าให้เขาดูโดดเด่นจาก
คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงเรียกสุดท้ายให้นักกีฬาทุกคน
ไปเตรียมพร้อมที่จุดสตาร์ทก็ดังขึ้น เกมซูเปอร์มาริโอไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจ
ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว
พอเขาเดินเข้าสู่สนาม ความพยายามที่จะสงบจิตสงบใจกลับเปล่า
ประโยชน์ เขาพูดวนไปวนมาในหัวว่า “อย่าเงยหน้า อย่าเงยหน้าเด็ดขาด”
เมื่อโฆษกประกาศชื่อของเขา จิตใจของเขาก็กระเจิง ร่างกายพุ่งพล่านด้วย
คำ�นำ�
คนเราสามารถรักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยม
โดยที่มีสุขภาพดีด้วยได้จริงไหม?
6 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ความวิตกกังวล อาหารน้อยนิดในกระเพาะขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ พอกรรมการ
ยกปืนขึ้นฟ้าเตรียมเริ่มการแข่งขัน เขาก็ได้แต่คิดว่า
“ถึงเวลาซวยแล้ว ขอให้ตอนแข่งอย่าอ้วกออกมาก็พอ”
4นาทีกับอีก1วินาทีต่อมาการแข่งวิ่งของเด็กหนุ่มคนนี้ก็จบลงเขากลาย
เป็นนักวิ่ง 1 ไมล์ระดับมัธยมปลายที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์
ของอเมริกา แถมยังเป็นนักวิ่งระดับเยาวชนที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
เขาวิ่งได้สูสีกับอลัน เว็บบ์ นักวิ่งดาวเด่นระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเป็น
ผู้ท�าลายสถิติวิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลา 3 นาที 46 วินาที เขาเข้าเส้นชัยตามหลังนักวิ่ง
โอลิมปิกอย่าง ไมเคิล สเตมเบอร์ ไม่ถึงช่วงแขน และวิ่งน�าหน้าแชมป์วิ่ง 1 ไมล์
ของอเมริกาคนปัจจุบันอย่างเซเนกา แลสสิเตอร์
เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนนี้ได้กลายเป็นนักวิ่งวัยรุ่นอัจฉริยะคนใหม่อย่าง
เป็นทางการ
เมื่อโฆษกประกาศเวลาอย่างเป็นทางการ ช่องโทรทัศน์ NBC แพร่ภาพ
เด็กหนุ่มคนนี้ในสภาพหมดแรงเขาเอามือกุมหน้าไว้ด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ท�าได้
แค่เกือบจะชนะรายการนี้แต่พออารมณ์ผิดหวังแวบแรกจางหายไปเขาก็ดีใจกับ
ผลงานที่ได้มาหลังจากพยายามอย่างหนัก เขาบอกกับตัวเองว่า
“ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี และได้วิ่งในการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดในประเทศ
อีกไม่นานฉันต้องท�าเวลาได้ต�่ากว่า 4 นาทีแน่นอน”
บรรดานักพากย์ของช่อง NBC ต่างพูดถึงผลงานอันยอดเยี่ยมของเด็ก
มัธยมคนนี้ นักพากย์คนหนึ่งพูดว่า “เราต้องชมเด็กที่มีวินัยสูงแบบนี้” วินัยของ
เด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าชื่นชม แต่พวกนักพากย์ไม่มีทางรู้เลยว่า เขามีวินัยมาก
ขนาดไหนกัน
ถ้าคุณจะวิ่งได้ผลงานสุดยอดระดับนี้แค่พรสวรรค์และความพยายามอาจ
ยังไม่มากพอ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณจ�าเป็นต้องมีคือ “ความหมกมุ่น”
นักวิ่งหนุ่มอัจฉริยะคนใหม่นี้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างหมกมุ่นเพื่อก้าวสู่
7
ความเป็นเลิศ เขาตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า วิ่งออกจากบ้านเป็นระยะทาง 9 ไมล์
ไปโรงเรียน และวิ่งอีก 9 ไมล์เพื่อกลับบ้านในตอนเย็น เขาเข้มงวดเรื่องอาหาร
การกินและเข้านอนก่อนเด็กวัยเดียวกันหลายชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บไข้และ
อาการบาดเจ็บ ทั้งชีวิตของเขาคือการฝึกความมุ่งมั่นและควบคุมตัวเอง
เด็กคนนี้ท�าตามแผนการฝึกซ้อมของตัวเองเสมอ แม้ในช่วงไปเที่ยว
พักผ่อนบนเรือส�าราญ1สัปดาห์เขาก็ไม่ลืมซ้อมวิ่ง100ไมล์ตามแผนเขาวิ่งบนลู่
ที่มีความยาวเพียง 160 เมตรบนดาดฟ้าของเรือจนกระทั่งเขาต้องหยุดเพราะ
เวียนหัว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่อย่างใด ครั้งหนึ่งเขาออกไปซ้อมวิ่งท่ามกลาง
พายุฤดูร้อนแม้จะมีค�าเตือนเรื่องอากาศร้อนจัด เขาไม่สนกระทั่งเรื่องฉุกเฉิน
ของครอบครัว ไม่เคยมีภัยใดๆ ไม่ว่าจากมนุษย์หรือธรรมชาติที่จะหยุดไม่ให้เขา
วิ่งได้เลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันว่าเขาหมกมุ่นกับการวิ่งก็คือ ชีวิตรัก
เขายังติดค้างค�าขอโทษต่อแฟนสาวที่ถูกเขาบอกเลิก ด้วยเหตุผลเพียง
เพราะสถิติการวิ่งของเขาแย่ลงระหว่างที่พวกเขาคบหากันแม้ว่าสาเหตุจะไม่ได้
มาจากเธอเลยก็ตาม
ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ความหมกมุ่นของเขาก็ยิ่งเห็นได้ชัดกว่า
ปกติ เขาเลือกเข้านอนตอน 4 ทุ่มแทนที่จะออกไปปาร์ตี้หรือหาโอกาสเจอกับ
สาวๆ เขาต่างจากเด็กหนุ่มมัธยมทั่วไปมาก แต่ก็เพราะแบบนี้เองเขาจึงกลาย
เป็นเด็กมัธยมที่วิ่ง 1 ไมล์ได้ภายใน 4 นาที สิ่งที่เขาทุ่มเทท�าไปทั้งหมดเริ่ม
เห็นผล เขาเป็นหนึ่งในคนอายุ 18 ปีที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้
เรียบร้อย
จากนั้นเขาได้รับจดหมายเชิญให้เข้าเรียนต่อจากมหาวิทยาลัยเกือบ
ทุกแห่งในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ด้านกีฬาอย่างมหาวิทยาลัยโอเรกอน
ไปจนถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิชาการอย่างฮาร์วาร์ด ความฝันที่จะก้าวสู่
อันดับ 1 ของโลกและได้ครองเหรียญโอลิมปิกก�าลังใกล้เข้ามา
8 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ไม่กี่ปีถัดมา ณ อีกมุมหนึ่งของอเมริกาในกรุงวอชิงตันดีซี ชายหนุ่มคนหนึ่ง
ก�าลังเตรียมตัวเริ่มงานที่ใหม่ในวันแรกเขารีบออกจากบ้านหลังจากท�ากิจวัตรใน
ตอนเช้าเสร็จ เขาแปรงฟัน โกนหนวด อาบน�้า แต่งตัว และออกจากบ้านภายใน
เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น!
เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องรีบมากเท่านี้ แต่หลังจากที่เขาได้เข้าท�างานที่
บริษัทที่ปรึกษาชั้นน�าอย่างแม็คคินซีย์เขาก็ติดนิสัยการท�างานให้มีประสิทธิภาพ
สูงสุดแบบห้ามเสียเวลา เนื่องจากเขาต้องท�างานด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนและเร็ว
เท่านั้น นิสัยเหล่านี้จึงติดมายังกิจวัตรประจ�าวันของเขาด้วย ข้อเสียของการ
เตรียมตัวตอนเช้าที่แสนจะมีประสิทธิภาพของเขามีเพียงอย่างเดียวคือมันท�าให้
เขาเหงื่อท่วม แถมชุดสูทรัดติ้วและอากาศชื้นๆ ของฤดูร้อนในกรุงวอชิงตันดีซี
ยังเรียกเหงื่อยิ่งขึ้นไปอีก
ช่วง10นาทีแรกของการเดินไปท�างานเขาหวังเพียงอย่างเดียวว่าให้เหงื่อ
หยุดไหลเสียที เพราะเขายังไม่ชินกับสูทที่เพิ่งจะเริ่มหัดใส่ เขาต้องปรับเปลี่ยน
กิจวัตรในช่วงเช้า ไม่ตื่นให้เร็วขึ้นก็ต้องลดอุณหภูมิน�้าที่อาบ หรืออาจจะต้องท�า
ทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มคนนี้ถนัดเรื่องการคิดวิเคราะห์มากทีเดียว
ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน ชายหนุ่มคนนี้ได้สร้างโมเดลส�าหรับ
คาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพของ
อเมริกากฎหมายตัวนี้ซับซ้อนและส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบตามไปด้วย
คนใหญ่คนโตในรัฐบาลสนใจผลงานของเขา บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นด้วย
ว่า “มันเยี่ยมสุดๆ” นี่เป็นสาเหตุที่เขามาเริ่มงานใหม่ในวันนี้
เขาเดินเลี้ยวเข้าสู่ถนนเพนซิลเวเนียอเวนิว จากนั้นไม่นานเขาก็มาถึง
อาคารเลขที่1600สถานที่ท�างานใหม่ของเขาเขาต้องท�างานให้กับสภาเศรษฐกิจ
แห่งชาติหน้าที่ของเขาก็คือให้ค�าปรึกษาแก่ประธานาธิบดีเกี่ยวกับระบบบริการ
สุขภาพที่ท�าเนียบขาวแห่งนี้
ตอนนี้ในใจของเขาคิดแต่เพียงว่า“มันช่างสุดยอดจริงๆ” ทั้งที่ก่อนหน้านี้
9
เขายังมัวแต่คิดว่าจะเปลี่ยนกิจวิตรประจ�าวันในตอนเช้าอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
สูงขึ้น
คนเก่งๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาท�างานที่ท�าเนียบขาวมักมีพื้นฐานดีตั้งแต่เด็ก แต่
นั่นไม่ตรงกับคุณสมบัติของชายหนุ่มคนนี้เสียเท่าไหร่ เพราะตอนเด็กเขา
ท�าแบบทดสอบไอคิวส�าหรับเด็กเล็กได้สูงแต่ไม่ถึงกับสูงมาก ระดับความฉลาด
ด้านการใช้ค�าพูดของเขายอดเยี่ยม แต่ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขา
ไม่ได้ดีมากนักจนอาจถึงขั้นแย่เลยด้วยซ�้า
สมัยเรียนเขาเรียนหนักจนโงหัวไม่ขึ้นเขาเลือกหมกมุ่นอยู่กับวิชาปรัชญา
เศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยาแทนที่จะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ความจริงแล้วเขา
เล่นอเมริกันฟุตบอลเก่งพอที่จะเข้าทีมของมหาวิทยาลัยเล็กๆ ได้ แต่เขาเลือก
ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เพื่อมุ่งเรียนวิชาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผลการเรียนของเขาท�าให้ฝ่ายสรรหาบุคลากรของบริษัทที่ปรึกษาชั้นน�า
อย่างแม็คคินซีย์ต้องเหลียวมองเมื่อเขาเข้าท�างานที่นี่เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว
ในฐานะพนักงานยอดเยี่ยม ถ้าเขายังพอมีเวลาเหลือหลังจากท�างานสัปดาห์ละ
เจ็ดสิบกว่าชั่วโมงเขาจะฝึกฝนทักษะการน�าเสนองานและอ่านวารสารWallStreet
Journal, Harvard Business Review และหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์อีก
นับไม่ถ้วนจนเพื่อนๆ มักจะล้อว่า “ไอ้คนต่อต้านความสนุก” เขาดิ้นรนท�างาน
หนักกว่าใครๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สนุกไปกับมัน
ชายหนุ่มคนนี้ท�าผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆจนได้รับเลือกให้ท�างานในโปรเจกต์
ส�าคัญๆ อยู่เสมอ จากนั้นเขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่
ระดับพันล้านดอลลาร์
จนช่วงฤดูหนาวของปี 2010 เขาก็รับงานสร้างโมเดลเพื่อคาดการณ์
ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพซึ่งถือเป็นงานใหญ่
ระดับช้าง ถ้าคุณนึกความยากของมันไม่ออกให้ลองนึกภาพตัวแปร 50 ตัวซึ่ง
10 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
เกี่ยวข้องกันไปหมดบางตัวยังมีข้อมูลไม่แน่ไม่นอนซึ่งคุณต้องน�าตัวแปรทั้งหมด
มาแสดงผลให้เข้าใจง่ายในไฟล์เอ็กเซลเพียงหน้าเดียว
เขาเริ่มท�างานหนักที่สุดในชีวิต เขาต้องอดนอนเพื่อท�างานแต่บางครั้ง
เขากลับนอนไม่ได้เพราะมัวแต่กังวลว่างานจะไม่เสร็จมือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ
อยู่ตลอด เขาเล่าอาการเหล่านี้ให้หมอฟัง หมอบอกกับเขาว่ามันน่าจะเกิดจาก
ความเครียด แต่หมอเองก็ยังไม่แน่ใจนักเพราะเขาเลือกปรึกษาหมอผ่านทาง
โทรศัพท์ เขาไม่มีเวลาไปหาหมอด้วยซ�้าในช่วงที่ท�างานชิ้นนี้
ในที่สุดโมเดลของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ มันดูดีและมีประสิทธิภาพสูงมาก
จนบริษัทประกันและโรงพยาบาลทั่วประเทศน�าโมเดลของเขาไปใช้
วันหนึ่งมีสายจากท�าเนียบขาวโทรมาเพื่อถามว่าเขาจะช่วยเป็นที่ปรึกษา
ให้กับรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายนี้ได้ไหม เขาจะอยู่ใต้ประธานาธิบดีเพียง
ไม่กี่ล�าดับชั้นตามสายบังคับบัญชา!เพื่อนๆที่เคยล้อเขาว่า“ไอ้คนต่อต้านความ
สนุก” ก็เปลี่ยนมาล้อเขาว่า “อีกหน่อยแกต้องได้ขึ้นมาบริหารประเทศแล้วมั้ง”
ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในขณะที่เขายังอายุไม่ครบ 24 ปี
เลยด้วยซ�้า
เมื่อคุณอ่านมาถึงตอนนี้ คุณคงสงสัยว่าแล้ว “เด็กหนุ่มนักวิ่ง” กับ “ชายหนุ่ม
ที่ปรึกษา” สองคนนี้เป็นใคร? คุณต้องท�าอะไรบ้างถึงจะประสบความส�าเร็จได้
เร็วเหมือนพวกเขา
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราก�าลังจะเล่าให้คุณฟังหรอกครับ
เด็กหนุ่มนักวิ่งมัธยมปลายที่เป็นปรากฏการณ์ของวงการกรีฑาไม่เคยวิ่ง
ได้เร็วกว่าวันที่เขาลงแข่งวิ่งที่พรีฟอนเทนคลาสสิกอีกเลย
ส่วนชายหนุ่มที่ปรึกษาเจ้าของผลงานชั้นยอดก็ไม่เคยลงเล่นการเมือง
เขาไม่เคยเป็นผู้บริหารของบริษัทชั้นน�า แถมหลังจากที่เขาลาออกจากงานที่
ท�าเนียบขาว เขาก็ไม่เคยได้รับการเลื่อนต�าแหน่งใดๆ อีกเลย
11
พวกเขาทั้งคู่ต่างเคยเป็นดาวจรัสแสง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถ
พัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป สุขภาพและก�าลังใจของพวกเขาถดถอยลง
เรื่องราวท�านองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่และอาจจะ
เกิดกับใครก็ได้รวมไปถึงคุณด้วย
นักวิ่งคนนั้นก็คือ สตีฟ และที่ปรึกษาคนนั้นก็คือ แบรด เราคือผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้
เราเจอกันหลายปีหลังหมดไฟจากสิ่งที่เคยท�า พวกเรานั่งดื่มเบียร์พร้อมกับ
เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเราต่างพบว่าชีวิตของพวกเราคล้ายคลึงกันมากทีเดียว
ตอนเจอกันเราทั้งคู่ก�าลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอยู่สตีฟเป็นนักวิทยาศาสตร์
การกีฬาและโค้ชของนักกีฬาที่ก�าลังมาแรง ส่วนแบรดก็เป็นนักเขียนที่เริ่มจะมี
ชื่อเสียง พวกเราก�าลังเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
เราจะท�าผลงานได้ดีโดยไม่ล้มเหลวเหมือนเดิมได้ไหม?
จากค�าพูดให้ก�าลังใจกันในตอนแรก มันพัฒนากลายเป็นมิตรภาพที่ดี
ระหว่างกัน เราต่างสนใจวิทยาศาสตร์การกีฬาเหมือนกัน เราสงสัยว่าคนเราจะ
รักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยมเต็มขีดความสามารถโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพ
ได้ไหม? ถ้ามันเป็นไปได้ เราต้องท�าอะไรบ้าง? ความลับคืออะไร? มีหลักการ
ซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่? และเราทุกคนจะใช้หลักการเดียวกันนี้ได้ไหม?
การจะตอบค�าถามเหล่านี้ให้ได้ เราต้องท�าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์และ
นักข่าวท�ากัน เราเริ่มอ่านหนังสือและพูดคุยกับคนเก่งๆ หลายคนจากหลาย
วงการ ตั้งแต่นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และนักกีฬา หนังสือเล่มนี้
จึงเกิดขึ้นจากการนั่งจิบเหล้ากันไปพูดคุยกันไปนั่นเอง
เราไม่อาจรับประกันว่าถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะได้เหรียญทอง
โอลิมปิกวาดภาพระดับศิลปินเอกหรือคิดค้นทฤษฎีใหม่ทางคณิตศาสตร์ได้แต่สิ่ง
ที่เรารับประกันได้ก็คือหลังจากอ่านหนังสือจบคุณจะได้บ่มฟักความสามารถแล้วดึง
มันมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืนโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพของตัวเอง
13บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
บทนำ�
ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
เราขอเริ่มจากค�าถามง่ายๆ คือ คุณเคยรู้สึกกดดันที่จะต้องท�างานให้ดีหรือไม่?
ถ้าคุณตอบว่าไม่เคย หนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะส�าหรับคุณ แต่ถ้าคุณ
ตอบว่าเคย หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้
ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ออฟฟิศ สตูดิโอศิลปะ หรือสนามกีฬา เราทุกคน
คงเคยคิดอยากจะยกระดับผลงานของตัวเอง การตั้งเป้าหมายให้ยากกว่าสิ่งที่
เราคิดว่าเป็นไปได้เล็กน้อยและวางแผนเพื่อท�าให้ได้ตามเป้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่
มนุษย์ภูมิใจมากที่สุด เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้จะเน้น “พัฒนาความ
สามารถ” ของคุณ
แต่ก่อนอื่นเราอยากจะเล่าให้คุณฟังว่า“ท�าไมคนเราจึงจ�าเป็นต้องพัฒนา
ความสามารถอย่างเร่งด่วน?”
แรงกดดันที่หนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ปัจจุบัน ความสามารถของมนุษย์อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมี วงการกีฬาเกิด
สถิติใหม่ๆขึ้นทุกวันเกณฑ์การรับเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็สูงกว่าสมัย
ก่อน และแวดวงธุรกิจต้องแข่งขันกันแบบหายใจรดต้นคอตลอดเวลา
จิม คลิฟตัน ผู้เขียนหนังสือ The Coming Jobs War เขียนไว้ว่า
14 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
“เราอยู่ในสภาวะล่อแหลมต่อสงครามโลกที่ทุกคนต่อสู้แย่งชิงงานดีๆกัน”
ถ้านี่เป็นค�าพูดของพนักงานบริษัทที่ไม่มีความสุขกับการท�างานและเขียน
บ่นระบายความในใจบนโซเชียลมีเดียก็คงไม่มีใครสนใจอะไรมาก แต่คลิฟตัน
คือ CEO ของบริษัท Gallup ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยข้ามชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ในเรื่องการท�าโพลที่แม่นย�า
คลิฟตันอธิบายว่า การแข่งขันทั่วโลกท�าให้คนเก่งหางานดีๆ ได้ยาก
ขึ้นเรื่อยๆ คนที่รู้สึกล�าบาก สิ้นหวัง ทุกข์ทรมาน และเริ่มจะไม่มีความสุขจน
น่าเป็นห่วงจึงมีจ�านวนมากขึ้น
สิ่งที่คลิฟตันเล่าอาจดูน่ากลัว แต่โชคร้ายที่เขาพูดถูก!
จากข้อมูลสถิติพบว่าคนอเมริกันใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นถึง400%
ใน10ปีที่ผ่านมาและเป็นโรควิตกกังวลสูงสุดเป็นประวัติการณ์แม้ว่าโรคเหล่านี้
อาจเกิดขึ้นเองจากพันธุกรรมมนุษย์ แต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็เป็นตัวกระตุ้น
ที่ละเลยไม่ได้
เทคโนโลยีดิจิทัลที่ย่อโลกทั้งใบมาไว้ในมือท�าให้คนเราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ
ได้ด้วยการจิ้มหรือปัดหน้าจอเพียงไม่กี่ครั้ง มันช่วยให้คนเรามีความรู้มากขึ้น
และเก่งขึ้น เมื่อจ�านวนคนเก่งมีมากขึ้น เราจึงต้องแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อที่จะได้
งานสักชิ้น
แดน ชอว์เบล ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลและผู้เขียนหนังสือขายดี
ติดอันดับของนิวยอร์กไทม์ส ชื่อ Promote Yourself อธิบายไว้ว่า
“การท�างานสมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกที่ท�างานมีแรงกดดัน
และการแข่งขันสูง เพราะใครๆ ในโลกนี้ก็สามารถท�างานของคุณโดยเรียกเงิน
น้อยกว่าคุณได้ คุณจึงต้องท�างานให้หนักขึ้น”
ข่าวร้ายกว่านั้นก็คือตอนนี้คุณไม่ได้แข่งขันแค่กับคนอื่นเท่านั้นแต่อีกไม่
เกิน 10 ปีจากนี้ คุณยังต้องแข่งกับหุ่นยนต์เหนือมนุษย์ที่ไม่มีวันเหนื่อยและไม่
จ�าเป็นต้องดูแลอะไรมากด้วย
15บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
แข่งขันกับหุ่นยนต์
คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์เข้ามากดดันการท�างานของคนเรา
มากขึ้นเรื่อยๆ มันเข้ามาอย่างแนบเนียนจนเราแทบไม่สังเกต
อะเมซอน(Amazon)คือตัวอย่างของบริษัทชั้นน�าที่น�าเทคโนโลยีมาช่วย
ลดต้นทุนของบริษัทเทคโนโลยีช่วยให้พวกเขาประหยัดพื้นที่โกดังและลดจ�านวน
พนักงานฝ่ายขาย อะเมซอนจึงลดราคาสินค้าที่ใครๆ ก็อยากได้ลงไปอีก แต่ใน
แง่มุมที่ดีก็มีด้านมืดรออยู่นั่นคือต�าแหน่งงานจ�านวนมากต้องหายไปยิ่งอะเมซอน
เจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ บริษัทคู่แข่งก็ยิ่งเข้าสู่กลียุคและต้องล้มละลายไป
ในที่สุด
คู่แข่งของอะเมซอนที่ได้รับผลกระทบอย่างแรงก็คือ ร้านหนังสือที่อยู่
คู่บ้านคู่เมืองมายาวนานอย่างบอร์เดอร์ส (Borders) สมัยยุครุ่งเรือง บอร์เดอร์ส
เคยจ้างพนักงานมากถึง 35,000 คน พอบอร์เดอร์สเริ่มเข้าสู่กลียุค จ�านวนคนที่
ต้องตกงานก็มีเยอะจนน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องนี้คือ ปัจจุบัน
อะเมซอนไม่ได้ขายแค่หนังสือ พวกเขาก�าลังเริ่มใช้โดรนส่งของทุกอย่างแทนคน
อย่าชะล่าใจไปเชียวครับ
หุ่นยนต์ไม่ได้เข้ามาแย่งงานในธุรกิจค้าปลีกและงานขายเท่านั้น
ดร.เซย์เน็ป ทูเฟชชี่ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้ศึกษา
ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมและพบว่า “หุ่นยนต์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และ
พวกมันก�าลังจะมาแย่งงานมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ” ใน 10 ปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์
ได้เรียนรู้ภาษาพูด จดจ�าใบหน้า อ่านสีหน้า จนสามารถแบ่งประเภทนิสัยและ
สนทนากับคนได้
ทูเฟชชี่ไม่ใช่คนเดียวที่กังวลเรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์
ที่สาหัสขึ้นเรื่อยๆ อัจฉริยะของโลกหลายคนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ สตีเฟน ฮอว์คิง
นักฟิสิกส์,อีลอนมัสก์นักประดิษฐ์,ปีเตอร์นอร์วิกนักวิจัยของกูเกิลและคนอื่นๆ
ได้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้นักวิจัยระมัดระวังเป็นพิเศษ
16 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมา
ฮอว์คิงให้สัมภาษณ์กับส�านักข่าว BBC ว่า “ปัญญาประดิษฐ์แบบง่ายๆ
ไม่ซับซ้อนนั้นมีประโยชน์มาก แต่ผมคิดว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เต็ม
รูปแบบอาจน�าไปสู่จุดจบของมนุษยชาติ”
หนังสือเล่มนี้จะไม่พูดถึงวันสิ้นโลกที่มนุษย์ต้องท�าสงครามกับหุ่นยนต์
แต่ในบางมุมเราทุกคนต่างอยู่ในสงครามนั้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราอยากจะตาม
หุ่นยนต์ให้ทัน เราต้องรู้จักพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
แข่งกับคนด้วยกัน
ในปี 1954 เซอร์โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ วิ่งระยะทาง 1 ไมล์ในเวลาต�่ากว่า 4 นาที
ได้เป็นคนแรกของโลก ตอนนั้นผู้คนต่างพากันคิดว่านี่คือขีดสุดที่มนุษย์จะท�าได้
แล้ว
หลังจากเข้าเส้นชัยได้ไม่นาน แบนนิสเตอร์กล่าวว่า “พวกหมอและ
นักวิทยาศาสตร์บอกว่าการวิ่งให้เร็วกว่า 4 นาทีมันเป็นไปไม่ได้ แค่พยายามท�า
เช่นนั้นก็อาจตายได้แล้ว ดังนั้นตอนที่ผมลุกขึ้นยืนหลังจากที่ล้มลงไปนอน
กับพื้นตรงเส้นชัย ผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว”
ทุกวันนี้มีนักวิ่งอเมริกันที่วิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลาต�่ากว่า 4 นาทีปีละมากกว่า
20 คน เมื่อนับรวมนักวิ่งจากประเทศเจ้าลมกรดอย่างเคนย่า เอธิโอเปียและ
ประเทศอื่นๆ แล้ว น่าจะมีมากกว่า 100 คน
สถิติโลกส�าหรับการวิ่ง1ไมล์ในปัจจุบันเป็นของฮีแชมเอลกูรูจด้วยเวลา
3 นาที 43 วินาที ซึ่งเขาท�าไว้เมื่อปี 1999 ถ้าเราน�าการวิ่งอันแสนเหลือเชื่อของ
แบนนิสเตอร์เมื่อปี1954มาเทียบกับสถิติของเอลกูรูจนั่นหมายความว่าขณะที่
เอล กูรูจเข้าเส้นชัย แบนนิสเตอร์ยังวิ่งไม่ถึงโค้งสุดท้ายเลยด้วยซ�้าไป
17บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
สถิติโลกเมื่อ50ปีก่อนของกีฬาที่แข่งขันกันด้วยความเร็วแทบทุกประเภท
กลายเป็นสิ่งที่เด็กมัธยมสมัยนี้ก็ท�าได้ไปเสียแล้ว กีฬาที่เล่นเป็นทีมก็แข่งขันกัน
เข้มข้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในปี 1947 ความสูงเฉลี่ยของนักกีฬาบาสเก็ตบอล
อาชีพอยู่ที่193เซนติเมตรแต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็น200.6เซนติเมตร
แล้ว
นอกจากลักษณะทางพันธุกรรมอย่างค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ทักษะของนักกีฬา
ยังพัฒนาขึ้นด้วยถ้าคุณย้อนดูเทปการแข่งขันในช่วงยุค1950คุณจะพบว่าผู้เล่น
ต�าแหน่งที่เลี้ยงลูกบาสเก่งๆ ในสมัยนั้นจะเลี้ยงลูกด้วยมือข้างถนัดเพียงอย่าง
เดียว แต่ทุกวันนี้ผู้เล่นเกือบทุกคนในสนามเลี้ยงลูกได้คล่องทั้งสองมือ
การสรรหานักกีฬาหน้าใหม่จากทั่วโลกท�าให้มีผู้เล่นที่มีพันธุกรรมชั้นยอด
ส�าหรับกีฬานั้นๆ มากขึ้น และมีนักกีฬาจ�านวนมากที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง
เพื่อก้าวไปเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย ความทะเยอทะยานนี้
เมื่อบวกรวมกับการฝึกซ้อม โภชนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา ช่วยให้เรา
เข้าใจว่าเวลา 16 วินาทีที่เอล กูรูจ วิ่งเร็วกว่าแบนนิสเตอร์นั้นมีที่มาจากอะไร
(การโด้ปหรือการใช้ยาเพิ่มพลังที่ผิดกฎหมายยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้าม
ไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าบางครั้งการโด้ปช่วยให้นักกีฬาท�าลายสถิติได้จริงๆ ซึ่ง
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ในภายหลัง)
มนุษย์ถูกกดดันให้ท�างานให้ดีในทุกแวดวง แรงกดดันนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนเรามองแทบไม่เห็นเลยว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ถ้าสิ่งที่ฮอว์คิงพูดไว้
เป็นจริง นั่นหมายความว่าจุดจบมนุษยชาติก�าลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
18 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ทุ่มสุดตัว
คุณเคยสังเกตร้านขายอาหารเสริมบ้างไหมครับ?
เราเคยสงสัยกันว่าใครกันแน่ที่เดินเข้าไปแล้วซื้ออาหารเสริมจากรายงาน
สถิติการแพทย์พบว่าคนที่ขาดวิตามินจริงๆ มีจ�านวนน้อยมาก แต่จ�านวนร้าน
ขายอาหารเสริมกลับมีเยอะเป็นดอกเห็ด และยอดขายต่อปีของอุตสาหกรรมนี้
จากทั่วโลกก็มักจะทะลุหลักล้านล้านดอลลาร์เสียด้วย
สิ่งที่น่าทึ่งกว่าตัวเลขยอดขายก็คือค�ากล่าวอ้างสรรพคุณอันแสนอลังการ
ของผู้ผลิตอาหารเสริม เช่น เครื่องดื่มยี่ห้อนูโรบลิสอ้างว่ามีสรรพคุณลดความ
เครียดและเสริมสมรรถภาพการท�างานของสมองและร่างกาย เครื่องดื่มนี้ราคา
ขวดละสองเหรียญกว่าๆ บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทมีข้อความขึ้นไว้ว่า “ในโลก
ที่หมุนอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มเสริมสมรรถภาพสมองจะช่วยให้คุณตามคนอื่น
ได้ทัน”เรายังไม่เคยเห็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆที่สนับสนุนค�ากล่าวอ้างนี้
แต่นูโรบลิสก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง
มนุษย์อาจก�าลังรู้สึกสิ้นหวังจนต้องไขว่คว้าข้อได้เปรียบอะไรก็ได้แม้
ไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มารับรองเลยก็ตาม โชคร้ายที่ความสิ้นหวัง
แบบนี้มักเป็นก้าวแรกในการน�ายาควบคุมมาใช้ในทางที่ผิดและอันตราย โดย
น�ามาใช้เพิ่มสมรรถภาพในการท�างานนั่นเอง
เรารู้จักนักศึกษาคนหนึ่งที่ชื่อว่าซาร่าขณะนั้นเธออยู่ในช่วงสอบของมหาวิทยาลัย
ใหญ่แห่งหนึ่ง เธอสังเกตเห็นเพื่อนบางคนเริ่มใช้ยาแอดเดอรอลมากขึ้นเรื่อยๆ
ยาชนิดนี้คิดค้นมาเพื่อรักษาโรคสมาธิสั้นหรือช่วยรักษาอาการขาดสมาธิ
ยาแอดเดอรอลมีส่วนผสมของสารกระตุ้นเลโวแอมเฟตามีนและเด็กซ์โตรแอมเฟตามีน
ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมันก็คือ ยาบ้าดีๆ นี่เอง
19บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อว่าคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นตามธรรมชาติมีประมาณ
5-6 เปอร์เซนต์ของประชากร แต่ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของ
สหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่ามีคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้มีมากกว่า
ที่ประเมินไว้ถึง 2 เท่า คือประมาณ 11% แต่ในมุมของซาร่าแล้วเพื่อนที่
มหาวิทยาลัยแทบทุกคนใช้ยาแอดเดอรอลโดยไม่สนว่าตัวเองเป็นโรคสมาธิสั้น
หรือไม่
ท�าไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ในหมู่นักศึกษาได้ล่ะ?
เว็บไซต์ WebMD ซึ่งเป็นแหล่งที่นักศึกษาน่าจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ
ยาต่างๆ เขียนบอกไว้ว่า “ยาแอดเดอรอลท�าให้มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
มากขึ้นและช่วยให้หยุดกระวนกระวาย”พวกนักศึกษาไม่สนใจเลยว่าผลข้างเคียง
ของยามีทั้งอาการไม่อยากอาหารปวดท้องคลื่นไส้ปวดศีรษะนอนไม่หลับและ
เห็นภาพหลอน
นักศึกษาที่ไม่เป็นโรคสมาธิสั้นต่างพากันใช้ยาแอดเดอรอล ซึ่งเปรียบได้
กับการฉีดสเตียรอยด์เข้าสมอง เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบด้านจิตใจการใช้ยา
แบบผิดๆ ของนักศึกษาเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรจากการใช้สเตียรอยด์ ในการ
แข่งขันกีฬาที่คนแข็งแรงดีใช้ยาส�าหรับเพิ่มความแข็งแรงแบบผิดๆ เพื่อให้มี
ข้อได้เปรียบทางสภาพร่างกาย
นักวิจัยบางคนคาดว่ามีนักศึกษาประมาณ 30% ใช้สารกระตุ้นอย่าง
ยาแอดเดอรอลโดยไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค การใช้ยาแอดเดอรอลในทาง
ที่ผิดพบเห็นได้มากที่สุดในช่วงที่เครียดและกดดันอย่างช่วงสอบ นักศึกษา
หลายคนบอกว่ายาตัวนี้ช่วยลดความเหนื่อยล้า ท�าให้อ่านหนังสือแล้วเข้าใจ
มากขึ้น สนใจเรียนมากขึ้น การรับรู้ดีขึ้น และความจ�าดีขึ้น
รายงานเชิงสืบสวนของช่อง CNN เมื่อไม่นานมานี้ได้สอบถามนักศึกษา
ที่ใช้ยาแอดเดอรอลเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อใช้ยา ค�าตอบที่ได้ฟังดูเหมือน
20 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
โฆษณาชวนเชื่อ เช่น
“ฉันแทบลืมไปเลยว่ามันผิดกฎหมาย แต่ฉันไม่กังวลเรื่องนี้เลยเพราะ
คนใช้กันเยอะแยะและมันก็ใช้ง่าย”
“ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาสดชื่นและพร้อมส�าหรับความท้าทายที่ฉันจะต้องเจอ”
“ผมเขียนรายงานได้ตั้ง 15 หน้าในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แถมผมยังรู้สึก
มั่นใจสุดๆ”
ซาร่าบอกเราว่า “ฉันไม่อยากใช้ยานี้เพราะฉันคิดว่ามันเป็นการโกง
แต่ใครๆ ก็ใช้กันจนควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ” เราไม่แปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึก
กดดันกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ข่าวการใช้ยาอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ได้เปรียบในรั้วมหาวิทยาลัยก็แย่พอแล้ว
แต่ค่านิยมแบบผิดๆ นี้ยังลามไปสู่สังคมวัยท�างานด้วยเช่นกัน
พญ.คิมเบอร์ลี เดนนิส ผู้อ�านวยการแพทย์ของศูนย์วิชาการสารเสพติด
ใกล้เมืองชิคาโกกล่าวว่า เธอเห็นคนท�างานอายุ 25-45 ปี ใช้ยาแอดเดอรอล
เพิ่มขึ้นมาก พวกเขาก็เหมือนกับนักศึกษา พวกเขาพยายามไขว่คว้าหา
ข้อได้เปรียบให้ได้แม้สักนิดก็ยังดี
อลิซาเบธคือหนึ่งในคนที่ใช้ยาชนิดนี้เธอให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารนิวยอร์ก
ไทม์สว่า
“ฉันจ�าเป็นต้องใช้ยามันจ�าเป็นส�าหรับการอยู่รอดของคนที่เก่งที่สุดฉลาด
ที่สุด และประสบความส�าเร็จที่สุด”
ในช่วงที่เธอก�าลังก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ เอลิซาเบธรู้สึกว่า
การท�างานหนักเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เธอจะต้องท�างานให้ได้นานกว่านี้
ซึ่งการนอนเป็นสิ่งที่ขวางไม่ให้เธอท�างาน เธอเลยหันไปพึ่งยาแอดเดอรอล
เธอเล่าต่อว่า “เพื่อนๆ ของฉันหลายคนท�างานในแวดวงการเงินและ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พวกเขาต้องเริ่มงานตั้งแต่ตี 5 และต้องท�าผลงานให้ดี
21บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
ตลอดเวลาพวกเขาส่วนใหญ่จึงใช้ยาแอดเดอรอลกันทั้งนั้นคุณจะเฉื่อยชาไม่ได้
ฉันคิดว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่มีคนหนุ่มสาวไฟแรงก็เป็นแบบนี้ มันมีความคาดหวัง
ในผลงานอยู่ระดับหนึ่งเสมอ”
นพ.อันยัน ชัทเทอร์จี หัวหน้าแผนกประสาทวิทยาของโรงพยาบาล
เพนซิลเวเนียและผู้เขียนหนังสือเรื่องTheAestheticBrainท�านายไว้ว่าการใช้ยา
เพิ่มประสิทธิภาพในการท�างานจะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตคนเราจะยังคงท�างาน
ต่อเนื่องยาวนานมากขึ้นและหยุดพักผ่อนน้อยลง
นพ.ชัทเทอร์จีกล่าวว่า“ท�าไมเราไม่ใช้ยาเพื่อท�าให้รู้สึกสดชื่นมีสมาธิและ
ก�าจัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการท�ากิจกรรมน่าร�าคาญอย่างการนอนด้วยล่ะ?”
นพ. ชัทเทอร์จีไม่ใช่คนเดียวที่ท�านายเรื่องเลวร้ายท�านองนี้ ผู้เชี่ยวชาญ
อีกคนที่เห็นพ้องกับเขาก็คือเอริก พาเรนส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรม
พาเรนส์กล่าวว่าการแพร่ระบาดของการใช้สารกระตุ้นในอเมริกาเป็นเพียงอาการ
หนึ่งของวิถีชีวิตยุคใหม่ที่จะต้องท�าผลงานให้ดีตลอดเวลา ต้องเช็คอีเมลตลอด
และต้องท�างานวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานเสมอ
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวิถีชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องดีไม่นานมนุษย์เราก็จะ
เรียนรู้ว่า ถ้าเรายังท�างานต่อไปโดยไม่หยุดพักผ่อนให้เพียงพอไม่ว่าจะใช้ยา
หรือไม่ใช้ยาช่วย คนที่โชคดีหน่อยก็แค่ท�างานได้ต�่ากว่ามาตรฐาน แต่คนที่
โชคร้ายอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้”
พาเรนส์สรุปว่า ค่านิยมที่บีบให้คนต้องท�าผิดกฎหมายและโกงเพื่อให้
ตัวเองทัดเทียมหรือแซงหน้าคู่แข่งนั้นไม่ใช่เรื่องดี และไม่ยั่งยืน
เมื่อชัทเทอร์จีและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ พูดถึงการใช้ยาแบบผิดๆ ใน
ที่ท�างาน พวกเขามักเปรียบเทียบกับวงการกีฬาที่แข่งขันกันสูง ถ้านักกีฬามีข้อ
ได้เปรียบเล็กๆ ก็อาจเป็นต่อคู่แข่งหลายก้าว
เมื่อใดก็ตามที่สังคมการท�างานต้องใช้ยาเหมือนวงการกีฬา มันคงเป็น
ข่าวร้ายส�าหรับทุกคน
22 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ใหญ่ขึ้น�เร็วขึ้น�และแข็งแรงขึ้น
เราต้องแลกด้วยอะไร?
สถิติโฮมรัน เสื้อสีเหลืองของผู้น�าในการแข่งจักรยานตูร์เดอฟรองซ์ และเหรียญ
โอลิมปิกเป็นสัญลักษณ์ของสมรรถภาพระดับเหนือมนุษย์แต่โชคร้ายที่บางครั้ง
มันก็เกิดจากยาและเทคโนโลยีการแพทย์
นักกีฬาที่ถูกจับได้ว่าโด๊ปยามีไม่ถึง 2% ของนักกีฬาทั้งหมด แต่งานวิจัย
ชี้ให้เห็นว่าความจริงแล้วอาจมีนักกีฬามากถึง 40% ที่ใช้สารต้องห้ามเพื่อเสริม
สมรรถภาพ นั่นหมายความว่าเหล่านักกีฬาที่เราเห็นในโทรทัศน์มีมากกว่า
1 ใน 3 ที่เล่นสกปรก
คุณอาจคิดว่าการโด๊ปยาเกิดขึ้นเฉพาะในการแข่งขันกีฬาระดับมืออาชีพ
แต่ความจริงแล้วการโด๊ปยาก็เป็นปัญหาในวงการกีฬาระดับมหาวิทยาลัย
มัธยม และการแข่งกีฬาสมัครเล่นเช่นเดียวกัน
องค์กรไม่แสวงหาผลก�าไร Partnership for Drug-Free Kids ท�าการ
ส�ารวจเมื่อปี 2013 พบว่าเด็กมัธยมปลาย 11% ใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์
(สารเคมีที่เลียนแบบฮอร์โมนที่ทรงพลังที่สุดในร่างกาย) อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องน่ากังวลที่ตามมาก็คือ พวกเขาอาจจะเห็นตัวอย่าง
การใช้ยาจากพ่อแม่ก็เป็นได้
การแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือไตรกีฬาของกลุ่มนักกีฬาสมัครเล่นทั้ง
ชายหญิงก็พบปัญหาการใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้ใหญ่
โตขึ้นจนหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจหาสารต้องห้ามในหมู่คนที่แข่งกีฬา
เป็นงานอดิเรกด้วย
เดวิด เอปสไตน์ นักข่าวสืบสวนเล่นข่าวเรื่องการโด๊ปและขุดคุ้ยเรื่อง
การใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพของบรรดาคนที่แข่งกีฬาเป็นงานอดิเรกแบบเจาะลึก
เขาพบว่าชายวัยกลางคนหมดเงินไปกับยาสเตียรอยด์เพื่อชะลอวัยมากกว่า

More Related Content

More from Piyapong Sirisutthanant

ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdfตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
Piyapong Sirisutthanant
 
AI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่างAI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่าง
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่องตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stickตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวยตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
Piyapong Sirisutthanant
 
You canlearnanything sample
You canlearnanything sampleYou canlearnanything sample
You canlearnanything sample
Piyapong Sirisutthanant
 
Successful peopleact sample
Successful peopleact sampleSuccessful peopleact sample
Successful peopleact sample
Piyapong Sirisutthanant
 
AI SUPERPOWERS_Sample
AI SUPERPOWERS_SampleAI SUPERPOWERS_Sample
AI SUPERPOWERS_Sample
Piyapong Sirisutthanant
 
How to be better at (almost) everything sample
How to be better at (almost) everything sampleHow to be better at (almost) everything sample
How to be better at (almost) everything sample
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่นตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อยตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัดตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
Piyapong Sirisutthanant
 
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKRตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
Piyapong Sirisutthanant
 
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมงตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
Piyapong Sirisutthanant
 

More from Piyapong Sirisutthanant (20)

ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdfตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คู่มือทำธุรกิจฉบับคนคิดสร้างสรรค์.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdfตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_คิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง.pdf
 
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdfตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
ตัวอย่างหนังสือ_Blitzscaling.pdf
 
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdfฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
ฉันหมด Passion หรือแค่ยังหามันไม่เจอ_Sample.pdf
 
AI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่างAI 2041 ตัวอย่าง
AI 2041 ตัวอย่าง
 
LHTL_Sample.pdf
LHTL_Sample.pdfLHTL_Sample.pdf
LHTL_Sample.pdf
 
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่องตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
ตัวอย่าง หนังสือ คนเก่งคิดแบบนี้ไง พูดอะไรก็รู้เรื่อง
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stickตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
ตัวอย่างหนังสือ อยากขายดี สตอรี่ต้องโดน Stories that stick
 
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
ตัวอย่างหนังสือ The Compound Effect
 
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวยตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
ตัวอย่างหนังสือ Everything is f*cked คู่มือแห่งความหวัง ในโลกสุดเฮงซวย
 
You canlearnanything sample
You canlearnanything sampleYou canlearnanything sample
You canlearnanything sample
 
Successful peopleact sample
Successful peopleact sampleSuccessful peopleact sample
Successful peopleact sample
 
AI SUPERPOWERS_Sample
AI SUPERPOWERS_SampleAI SUPERPOWERS_Sample
AI SUPERPOWERS_Sample
 
How to be better at (almost) everything sample
How to be better at (almost) everything sampleHow to be better at (almost) everything sample
How to be better at (almost) everything sample
 
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่นตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
ตัวอย่างหนังสือ Productivity คิดแบบเยอรมัน ลงมือทำแบบญี่ปุ่น
 
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อยตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
ตัวอย่างหนังสือ ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
 
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัดตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
ตัวอย่างหนังสือ ใช้ข้อจำกัด สร้างชีวิตไร้ขีดจำกัด
 
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
5 ทักษะการคิดฉบับญี่ปุ่น
 
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKRตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
ตัวอย่างหนังสือ อยากสำเร็จต้องโฟกัส ด้วยแนวคิด OKR
 
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมงตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
ตัวอย่างหนังสือ เปลี่ยนคนธรรมดาให้มี หัวผู้นำ ใน 3 ชั่วโมง
 

ตัวอย่างหนังสือ คนเก่งพักเป็น

  • 2. คนเก่งพักเป็น: สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน PEAK PERFORMANCE Copyright © 2017 by Brad Stulberg and Steve Magness. All rights reserved. Published by arrangement with RODALE INC., Emmaus, PA, U.S.A. Thai language translation copyright © 2019 by Superposition Co., Ltd. เลขมาตรฐานสากลประจ�าหนังสือ 978-616-8109-16-8 ผู้เขียน Brad Stulberg, Steve Magness ผู้แปล สุกัญญา ไทเตชะวัฒน์ กองบรรณาธิการ จิรวรรณ วงค�าเสา, ปิยะพงษ์ ศิริสุทธานันท์, ธีร์ มีนสุข, ธีพร บรรจงเปลี่ยน จัดรูปเล่ม อรณัญช์ สุขเกษม ราคา 225 บาท จัดพิมพ์โดย ส�านักพิมพ์บิงโก ภายในเครือ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด (Superposition Co., Ltd.) 18 ซอยดุลิยา ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 10170 อีเมล superposition.books@gmail.com โทรศัพท์ 094-810-7272 เว็บไซต์ www.bingobook.co เฟซบุ๊ก www.facebook.com/bingobooks จัดจ�าหน่ายโดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ากัด (มหาชน) SE-EDUCATION Public Company Limited เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทร. 0-2826-8000 โทรสาร 0-2826-8999 เว็บไซต์ www.se-ed.com พิมพ์ที่ Pimdee โทรศัพท์ 02-401-9401 หากต้องการสั่งซื้อเป็นจ�านวนมาก กรุณาติดต่อรับส่วนลดได้ที่ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด อีเมล superposition.books@gmail.com
  • 3. คำ�นำ� 5 บทนำ� ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ 13 ส่วนที่�1 ความตึงเครียด�+�การพัก�=�การพัฒนา บทที่�1 ความลับของความสำ เร็จที่ยั่งยืน 33 บทที่�2 มองความตึงเครียดในมุมใหม่ 49 บทที่�3 สร้างความตึงเครียดให้ตัวเอง 61 บทที่�4 ความย้อนแย้งของการพักผ่อน 87 บทที่�5 คนเก่งพักกันแบบไหน? 109 ส่วนที่�2 เตรียมตัวให้พร้อม บทที่�6 ออกแบบกิจวัตรให้มีประสิทธิภาพ 139 บทที่�7 ทำ น้อยแต่ได้มาก 159 ส่วนที่�3 เป้าหมายของชีวิต บทที่�8 ข้ามพ้นตัวเอง 179 บทที่�9 ตั้งเป้าหมายของคุณ 205 บทส่งท้าย 218 ประวัตินักเขียน 231 สารบัญ
  • 4.
  • 5. 5 ในฤดูร้อนปี 2003 เด็กหนุ่มอายุ 18 ปียืนตื่นเต้นอยู่บนสนามหญ้าระหว่างรอฟัง เสียงเรียกครั้งสุดท้ายให้นักกรีฑาทุกคนไปเตรียมตัวที่จุดสตาร์ท การแข่งวิ่ง ของเขาไม่ใช่การแข่งระดับมัธยมทั่วๆ ไป ไม่ใช่การแข่งขันระดับรัฐของอเมริกา แต่เป็นการแข่งขันวิ่ง 1 ไมล์ในรายการ “พรีฟอนเทนคลาสสิค” สุดยอดรายการ แข่งขันกรีฑาระดับประเทศ ไม่กี่วันก่อนหน้าการแข่งขันเด็กหนุ่มคนนี้ยังมัวแต่นั่งคิดถึงอแมนด้าหญิง สาวในฝันของเขาระหว่างเรียนวิชาฟิสิกส์แต่มาวันนี้เขาก�าลังอยู่ท่ามกลางนักวิ่ง ระดับโลก เขาได้แต่คิดในใจว่า “ฉันจะวิ่งทันคนอื่นในการแข่งรายการส�าคัญที่สุดแบบนี้ได้ยังไงกัน?” ขณะที่เขาเฝ้ามองนักกีฬาดาวเด่นเจ้าของเหรียญโอลิมปิกอย่าง เบอร์นาร์ดลาแกตอบอุ่นร่างกายก่อนแข่งตามปกติเขาพยายามดึงความสนใจ ของตัวเองออกจากการแข่งขันด้วยการเล่นเกม แต่นั่นท�าให้เขาดูโดดเด่นจาก คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงเรียกสุดท้ายให้นักกีฬาทุกคน ไปเตรียมพร้อมที่จุดสตาร์ทก็ดังขึ้น เกมซูเปอร์มาริโอไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจ ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว พอเขาเดินเข้าสู่สนาม ความพยายามที่จะสงบจิตสงบใจกลับเปล่า ประโยชน์ เขาพูดวนไปวนมาในหัวว่า “อย่าเงยหน้า อย่าเงยหน้าเด็ดขาด” เมื่อโฆษกประกาศชื่อของเขา จิตใจของเขาก็กระเจิง ร่างกายพุ่งพล่านด้วย คำ�นำ� คนเราสามารถรักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยม โดยที่มีสุขภาพดีด้วยได้จริงไหม?
  • 6. 6 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน ความวิตกกังวล อาหารน้อยนิดในกระเพาะขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ พอกรรมการ ยกปืนขึ้นฟ้าเตรียมเริ่มการแข่งขัน เขาก็ได้แต่คิดว่า “ถึงเวลาซวยแล้ว ขอให้ตอนแข่งอย่าอ้วกออกมาก็พอ” 4นาทีกับอีก1วินาทีต่อมาการแข่งวิ่งของเด็กหนุ่มคนนี้ก็จบลงเขากลาย เป็นนักวิ่ง 1 ไมล์ระดับมัธยมปลายที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์ ของอเมริกา แถมยังเป็นนักวิ่งระดับเยาวชนที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก เขาวิ่งได้สูสีกับอลัน เว็บบ์ นักวิ่งดาวเด่นระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเป็น ผู้ท�าลายสถิติวิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลา 3 นาที 46 วินาที เขาเข้าเส้นชัยตามหลังนักวิ่ง โอลิมปิกอย่าง ไมเคิล สเตมเบอร์ ไม่ถึงช่วงแขน และวิ่งน�าหน้าแชมป์วิ่ง 1 ไมล์ ของอเมริกาคนปัจจุบันอย่างเซเนกา แลสสิเตอร์ เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนนี้ได้กลายเป็นนักวิ่งวัยรุ่นอัจฉริยะคนใหม่อย่าง เป็นทางการ เมื่อโฆษกประกาศเวลาอย่างเป็นทางการ ช่องโทรทัศน์ NBC แพร่ภาพ เด็กหนุ่มคนนี้ในสภาพหมดแรงเขาเอามือกุมหน้าไว้ด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ท�าได้ แค่เกือบจะชนะรายการนี้แต่พออารมณ์ผิดหวังแวบแรกจางหายไปเขาก็ดีใจกับ ผลงานที่ได้มาหลังจากพยายามอย่างหนัก เขาบอกกับตัวเองว่า “ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี และได้วิ่งในการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดในประเทศ อีกไม่นานฉันต้องท�าเวลาได้ต�่ากว่า 4 นาทีแน่นอน” บรรดานักพากย์ของช่อง NBC ต่างพูดถึงผลงานอันยอดเยี่ยมของเด็ก มัธยมคนนี้ นักพากย์คนหนึ่งพูดว่า “เราต้องชมเด็กที่มีวินัยสูงแบบนี้” วินัยของ เด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าชื่นชม แต่พวกนักพากย์ไม่มีทางรู้เลยว่า เขามีวินัยมาก ขนาดไหนกัน ถ้าคุณจะวิ่งได้ผลงานสุดยอดระดับนี้แค่พรสวรรค์และความพยายามอาจ ยังไม่มากพอ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณจ�าเป็นต้องมีคือ “ความหมกมุ่น” นักวิ่งหนุ่มอัจฉริยะคนใหม่นี้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างหมกมุ่นเพื่อก้าวสู่
  • 7. 7 ความเป็นเลิศ เขาตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า วิ่งออกจากบ้านเป็นระยะทาง 9 ไมล์ ไปโรงเรียน และวิ่งอีก 9 ไมล์เพื่อกลับบ้านในตอนเย็น เขาเข้มงวดเรื่องอาหาร การกินและเข้านอนก่อนเด็กวัยเดียวกันหลายชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บไข้และ อาการบาดเจ็บ ทั้งชีวิตของเขาคือการฝึกความมุ่งมั่นและควบคุมตัวเอง เด็กคนนี้ท�าตามแผนการฝึกซ้อมของตัวเองเสมอ แม้ในช่วงไปเที่ยว พักผ่อนบนเรือส�าราญ1สัปดาห์เขาก็ไม่ลืมซ้อมวิ่ง100ไมล์ตามแผนเขาวิ่งบนลู่ ที่มีความยาวเพียง 160 เมตรบนดาดฟ้าของเรือจนกระทั่งเขาต้องหยุดเพราะ เวียนหัว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่อย่างใด ครั้งหนึ่งเขาออกไปซ้อมวิ่งท่ามกลาง พายุฤดูร้อนแม้จะมีค�าเตือนเรื่องอากาศร้อนจัด เขาไม่สนกระทั่งเรื่องฉุกเฉิน ของครอบครัว ไม่เคยมีภัยใดๆ ไม่ว่าจากมนุษย์หรือธรรมชาติที่จะหยุดไม่ให้เขา วิ่งได้เลย อีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันว่าเขาหมกมุ่นกับการวิ่งก็คือ ชีวิตรัก เขายังติดค้างค�าขอโทษต่อแฟนสาวที่ถูกเขาบอกเลิก ด้วยเหตุผลเพียง เพราะสถิติการวิ่งของเขาแย่ลงระหว่างที่พวกเขาคบหากันแม้ว่าสาเหตุจะไม่ได้ มาจากเธอเลยก็ตาม ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ความหมกมุ่นของเขาก็ยิ่งเห็นได้ชัดกว่า ปกติ เขาเลือกเข้านอนตอน 4 ทุ่มแทนที่จะออกไปปาร์ตี้หรือหาโอกาสเจอกับ สาวๆ เขาต่างจากเด็กหนุ่มมัธยมทั่วไปมาก แต่ก็เพราะแบบนี้เองเขาจึงกลาย เป็นเด็กมัธยมที่วิ่ง 1 ไมล์ได้ภายใน 4 นาที สิ่งที่เขาทุ่มเทท�าไปทั้งหมดเริ่ม เห็นผล เขาเป็นหนึ่งในคนอายุ 18 ปีที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เรียบร้อย จากนั้นเขาได้รับจดหมายเชิญให้เข้าเรียนต่อจากมหาวิทยาลัยเกือบ ทุกแห่งในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ด้านกีฬาอย่างมหาวิทยาลัยโอเรกอน ไปจนถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิชาการอย่างฮาร์วาร์ด ความฝันที่จะก้าวสู่ อันดับ 1 ของโลกและได้ครองเหรียญโอลิมปิกก�าลังใกล้เข้ามา
  • 8. 8 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน ไม่กี่ปีถัดมา ณ อีกมุมหนึ่งของอเมริกาในกรุงวอชิงตันดีซี ชายหนุ่มคนหนึ่ง ก�าลังเตรียมตัวเริ่มงานที่ใหม่ในวันแรกเขารีบออกจากบ้านหลังจากท�ากิจวัตรใน ตอนเช้าเสร็จ เขาแปรงฟัน โกนหนวด อาบน�้า แต่งตัว และออกจากบ้านภายใน เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น! เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องรีบมากเท่านี้ แต่หลังจากที่เขาได้เข้าท�างานที่ บริษัทที่ปรึกษาชั้นน�าอย่างแม็คคินซีย์เขาก็ติดนิสัยการท�างานให้มีประสิทธิภาพ สูงสุดแบบห้ามเสียเวลา เนื่องจากเขาต้องท�างานด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนและเร็ว เท่านั้น นิสัยเหล่านี้จึงติดมายังกิจวัตรประจ�าวันของเขาด้วย ข้อเสียของการ เตรียมตัวตอนเช้าที่แสนจะมีประสิทธิภาพของเขามีเพียงอย่างเดียวคือมันท�าให้ เขาเหงื่อท่วม แถมชุดสูทรัดติ้วและอากาศชื้นๆ ของฤดูร้อนในกรุงวอชิงตันดีซี ยังเรียกเหงื่อยิ่งขึ้นไปอีก ช่วง10นาทีแรกของการเดินไปท�างานเขาหวังเพียงอย่างเดียวว่าให้เหงื่อ หยุดไหลเสียที เพราะเขายังไม่ชินกับสูทที่เพิ่งจะเริ่มหัดใส่ เขาต้องปรับเปลี่ยน กิจวัตรในช่วงเช้า ไม่ตื่นให้เร็วขึ้นก็ต้องลดอุณหภูมิน�้าที่อาบ หรืออาจจะต้องท�า ทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มคนนี้ถนัดเรื่องการคิดวิเคราะห์มากทีเดียว ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน ชายหนุ่มคนนี้ได้สร้างโมเดลส�าหรับ คาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพของ อเมริกากฎหมายตัวนี้ซับซ้อนและส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบตามไปด้วย คนใหญ่คนโตในรัฐบาลสนใจผลงานของเขา บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นด้วย ว่า “มันเยี่ยมสุดๆ” นี่เป็นสาเหตุที่เขามาเริ่มงานใหม่ในวันนี้ เขาเดินเลี้ยวเข้าสู่ถนนเพนซิลเวเนียอเวนิว จากนั้นไม่นานเขาก็มาถึง อาคารเลขที่1600สถานที่ท�างานใหม่ของเขาเขาต้องท�างานให้กับสภาเศรษฐกิจ แห่งชาติหน้าที่ของเขาก็คือให้ค�าปรึกษาแก่ประธานาธิบดีเกี่ยวกับระบบบริการ สุขภาพที่ท�าเนียบขาวแห่งนี้ ตอนนี้ในใจของเขาคิดแต่เพียงว่า“มันช่างสุดยอดจริงๆ” ทั้งที่ก่อนหน้านี้
  • 9. 9 เขายังมัวแต่คิดว่าจะเปลี่ยนกิจวิตรประจ�าวันในตอนเช้าอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ สูงขึ้น คนเก่งๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาท�างานที่ท�าเนียบขาวมักมีพื้นฐานดีตั้งแต่เด็ก แต่ นั่นไม่ตรงกับคุณสมบัติของชายหนุ่มคนนี้เสียเท่าไหร่ เพราะตอนเด็กเขา ท�าแบบทดสอบไอคิวส�าหรับเด็กเล็กได้สูงแต่ไม่ถึงกับสูงมาก ระดับความฉลาด ด้านการใช้ค�าพูดของเขายอดเยี่ยม แต่ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขา ไม่ได้ดีมากนักจนอาจถึงขั้นแย่เลยด้วยซ�้า สมัยเรียนเขาเรียนหนักจนโงหัวไม่ขึ้นเขาเลือกหมกมุ่นอยู่กับวิชาปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยาแทนที่จะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ความจริงแล้วเขา เล่นอเมริกันฟุตบอลเก่งพอที่จะเข้าทีมของมหาวิทยาลัยเล็กๆ ได้ แต่เขาเลือก ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เพื่อมุ่งเรียนวิชาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผลการเรียนของเขาท�าให้ฝ่ายสรรหาบุคลากรของบริษัทที่ปรึกษาชั้นน�า อย่างแม็คคินซีย์ต้องเหลียวมองเมื่อเขาเข้าท�างานที่นี่เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ในฐานะพนักงานยอดเยี่ยม ถ้าเขายังพอมีเวลาเหลือหลังจากท�างานสัปดาห์ละ เจ็ดสิบกว่าชั่วโมงเขาจะฝึกฝนทักษะการน�าเสนองานและอ่านวารสารWallStreet Journal, Harvard Business Review และหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์อีก นับไม่ถ้วนจนเพื่อนๆ มักจะล้อว่า “ไอ้คนต่อต้านความสนุก” เขาดิ้นรนท�างาน หนักกว่าใครๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สนุกไปกับมัน ชายหนุ่มคนนี้ท�าผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆจนได้รับเลือกให้ท�างานในโปรเจกต์ ส�าคัญๆ อยู่เสมอ จากนั้นเขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ระดับพันล้านดอลลาร์ จนช่วงฤดูหนาวของปี 2010 เขาก็รับงานสร้างโมเดลเพื่อคาดการณ์ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพซึ่งถือเป็นงานใหญ่ ระดับช้าง ถ้าคุณนึกความยากของมันไม่ออกให้ลองนึกภาพตัวแปร 50 ตัวซึ่ง
  • 10. 10 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน เกี่ยวข้องกันไปหมดบางตัวยังมีข้อมูลไม่แน่ไม่นอนซึ่งคุณต้องน�าตัวแปรทั้งหมด มาแสดงผลให้เข้าใจง่ายในไฟล์เอ็กเซลเพียงหน้าเดียว เขาเริ่มท�างานหนักที่สุดในชีวิต เขาต้องอดนอนเพื่อท�างานแต่บางครั้ง เขากลับนอนไม่ได้เพราะมัวแต่กังวลว่างานจะไม่เสร็จมือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ อยู่ตลอด เขาเล่าอาการเหล่านี้ให้หมอฟัง หมอบอกกับเขาว่ามันน่าจะเกิดจาก ความเครียด แต่หมอเองก็ยังไม่แน่ใจนักเพราะเขาเลือกปรึกษาหมอผ่านทาง โทรศัพท์ เขาไม่มีเวลาไปหาหมอด้วยซ�้าในช่วงที่ท�างานชิ้นนี้ ในที่สุดโมเดลของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ มันดูดีและมีประสิทธิภาพสูงมาก จนบริษัทประกันและโรงพยาบาลทั่วประเทศน�าโมเดลของเขาไปใช้ วันหนึ่งมีสายจากท�าเนียบขาวโทรมาเพื่อถามว่าเขาจะช่วยเป็นที่ปรึกษา ให้กับรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายนี้ได้ไหม เขาจะอยู่ใต้ประธานาธิบดีเพียง ไม่กี่ล�าดับชั้นตามสายบังคับบัญชา!เพื่อนๆที่เคยล้อเขาว่า“ไอ้คนต่อต้านความ สนุก” ก็เปลี่ยนมาล้อเขาว่า “อีกหน่อยแกต้องได้ขึ้นมาบริหารประเทศแล้วมั้ง” ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในขณะที่เขายังอายุไม่ครบ 24 ปี เลยด้วยซ�้า เมื่อคุณอ่านมาถึงตอนนี้ คุณคงสงสัยว่าแล้ว “เด็กหนุ่มนักวิ่ง” กับ “ชายหนุ่ม ที่ปรึกษา” สองคนนี้เป็นใคร? คุณต้องท�าอะไรบ้างถึงจะประสบความส�าเร็จได้ เร็วเหมือนพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราก�าลังจะเล่าให้คุณฟังหรอกครับ เด็กหนุ่มนักวิ่งมัธยมปลายที่เป็นปรากฏการณ์ของวงการกรีฑาไม่เคยวิ่ง ได้เร็วกว่าวันที่เขาลงแข่งวิ่งที่พรีฟอนเทนคลาสสิกอีกเลย ส่วนชายหนุ่มที่ปรึกษาเจ้าของผลงานชั้นยอดก็ไม่เคยลงเล่นการเมือง เขาไม่เคยเป็นผู้บริหารของบริษัทชั้นน�า แถมหลังจากที่เขาลาออกจากงานที่ ท�าเนียบขาว เขาก็ไม่เคยได้รับการเลื่อนต�าแหน่งใดๆ อีกเลย
  • 11. 11 พวกเขาทั้งคู่ต่างเคยเป็นดาวจรัสแสง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถ พัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป สุขภาพและก�าลังใจของพวกเขาถดถอยลง เรื่องราวท�านองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่และอาจจะ เกิดกับใครก็ได้รวมไปถึงคุณด้วย นักวิ่งคนนั้นก็คือ สตีฟ และที่ปรึกษาคนนั้นก็คือ แบรด เราคือผู้เขียน หนังสือเล่มนี้ เราเจอกันหลายปีหลังหมดไฟจากสิ่งที่เคยท�า พวกเรานั่งดื่มเบียร์พร้อมกับ เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเราต่างพบว่าชีวิตของพวกเราคล้ายคลึงกันมากทีเดียว ตอนเจอกันเราทั้งคู่ก�าลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอยู่สตีฟเป็นนักวิทยาศาสตร์ การกีฬาและโค้ชของนักกีฬาที่ก�าลังมาแรง ส่วนแบรดก็เป็นนักเขียนที่เริ่มจะมี ชื่อเสียง พวกเราก�าลังเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เราจะท�าผลงานได้ดีโดยไม่ล้มเหลวเหมือนเดิมได้ไหม? จากค�าพูดให้ก�าลังใจกันในตอนแรก มันพัฒนากลายเป็นมิตรภาพที่ดี ระหว่างกัน เราต่างสนใจวิทยาศาสตร์การกีฬาเหมือนกัน เราสงสัยว่าคนเราจะ รักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยมเต็มขีดความสามารถโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพ ได้ไหม? ถ้ามันเป็นไปได้ เราต้องท�าอะไรบ้าง? ความลับคืออะไร? มีหลักการ ซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่? และเราทุกคนจะใช้หลักการเดียวกันนี้ได้ไหม? การจะตอบค�าถามเหล่านี้ให้ได้ เราต้องท�าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์และ นักข่าวท�ากัน เราเริ่มอ่านหนังสือและพูดคุยกับคนเก่งๆ หลายคนจากหลาย วงการ ตั้งแต่นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และนักกีฬา หนังสือเล่มนี้ จึงเกิดขึ้นจากการนั่งจิบเหล้ากันไปพูดคุยกันไปนั่นเอง เราไม่อาจรับประกันว่าถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะได้เหรียญทอง โอลิมปิกวาดภาพระดับศิลปินเอกหรือคิดค้นทฤษฎีใหม่ทางคณิตศาสตร์ได้แต่สิ่ง ที่เรารับประกันได้ก็คือหลังจากอ่านหนังสือจบคุณจะได้บ่มฟักความสามารถแล้วดึง มันมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืนโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพของตัวเอง
  • 12.
  • 13. 13บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ บทนำ� ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ เราขอเริ่มจากค�าถามง่ายๆ คือ คุณเคยรู้สึกกดดันที่จะต้องท�างานให้ดีหรือไม่? ถ้าคุณตอบว่าไม่เคย หนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะส�าหรับคุณ แต่ถ้าคุณ ตอบว่าเคย หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ออฟฟิศ สตูดิโอศิลปะ หรือสนามกีฬา เราทุกคน คงเคยคิดอยากจะยกระดับผลงานของตัวเอง การตั้งเป้าหมายให้ยากกว่าสิ่งที่ เราคิดว่าเป็นไปได้เล็กน้อยและวางแผนเพื่อท�าให้ได้ตามเป้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ มนุษย์ภูมิใจมากที่สุด เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้จะเน้น “พัฒนาความ สามารถ” ของคุณ แต่ก่อนอื่นเราอยากจะเล่าให้คุณฟังว่า“ท�าไมคนเราจึงจ�าเป็นต้องพัฒนา ความสามารถอย่างเร่งด่วน?” แรงกดดันที่หนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน ความสามารถของมนุษย์อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมี วงการกีฬาเกิด สถิติใหม่ๆขึ้นทุกวันเกณฑ์การรับเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็สูงกว่าสมัย ก่อน และแวดวงธุรกิจต้องแข่งขันกันแบบหายใจรดต้นคอตลอดเวลา จิม คลิฟตัน ผู้เขียนหนังสือ The Coming Jobs War เขียนไว้ว่า
  • 14. 14 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน “เราอยู่ในสภาวะล่อแหลมต่อสงครามโลกที่ทุกคนต่อสู้แย่งชิงงานดีๆกัน” ถ้านี่เป็นค�าพูดของพนักงานบริษัทที่ไม่มีความสุขกับการท�างานและเขียน บ่นระบายความในใจบนโซเชียลมีเดียก็คงไม่มีใครสนใจอะไรมาก แต่คลิฟตัน คือ CEO ของบริษัท Gallup ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยข้ามชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในเรื่องการท�าโพลที่แม่นย�า คลิฟตันอธิบายว่า การแข่งขันทั่วโลกท�าให้คนเก่งหางานดีๆ ได้ยาก ขึ้นเรื่อยๆ คนที่รู้สึกล�าบาก สิ้นหวัง ทุกข์ทรมาน และเริ่มจะไม่มีความสุขจน น่าเป็นห่วงจึงมีจ�านวนมากขึ้น สิ่งที่คลิฟตันเล่าอาจดูน่ากลัว แต่โชคร้ายที่เขาพูดถูก! จากข้อมูลสถิติพบว่าคนอเมริกันใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นถึง400% ใน10ปีที่ผ่านมาและเป็นโรควิตกกังวลสูงสุดเป็นประวัติการณ์แม้ว่าโรคเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นเองจากพันธุกรรมมนุษย์ แต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็เป็นตัวกระตุ้น ที่ละเลยไม่ได้ เทคโนโลยีดิจิทัลที่ย่อโลกทั้งใบมาไว้ในมือท�าให้คนเราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ด้วยการจิ้มหรือปัดหน้าจอเพียงไม่กี่ครั้ง มันช่วยให้คนเรามีความรู้มากขึ้น และเก่งขึ้น เมื่อจ�านวนคนเก่งมีมากขึ้น เราจึงต้องแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อที่จะได้ งานสักชิ้น แดน ชอว์เบล ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลและผู้เขียนหนังสือขายดี ติดอันดับของนิวยอร์กไทม์ส ชื่อ Promote Yourself อธิบายไว้ว่า “การท�างานสมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกที่ท�างานมีแรงกดดัน และการแข่งขันสูง เพราะใครๆ ในโลกนี้ก็สามารถท�างานของคุณโดยเรียกเงิน น้อยกว่าคุณได้ คุณจึงต้องท�างานให้หนักขึ้น” ข่าวร้ายกว่านั้นก็คือตอนนี้คุณไม่ได้แข่งขันแค่กับคนอื่นเท่านั้นแต่อีกไม่ เกิน 10 ปีจากนี้ คุณยังต้องแข่งกับหุ่นยนต์เหนือมนุษย์ที่ไม่มีวันเหนื่อยและไม่ จ�าเป็นต้องดูแลอะไรมากด้วย
  • 15. 15บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ แข่งขันกับหุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์เข้ามากดดันการท�างานของคนเรา มากขึ้นเรื่อยๆ มันเข้ามาอย่างแนบเนียนจนเราแทบไม่สังเกต อะเมซอน(Amazon)คือตัวอย่างของบริษัทชั้นน�าที่น�าเทคโนโลยีมาช่วย ลดต้นทุนของบริษัทเทคโนโลยีช่วยให้พวกเขาประหยัดพื้นที่โกดังและลดจ�านวน พนักงานฝ่ายขาย อะเมซอนจึงลดราคาสินค้าที่ใครๆ ก็อยากได้ลงไปอีก แต่ใน แง่มุมที่ดีก็มีด้านมืดรออยู่นั่นคือต�าแหน่งงานจ�านวนมากต้องหายไปยิ่งอะเมซอน เจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ บริษัทคู่แข่งก็ยิ่งเข้าสู่กลียุคและต้องล้มละลายไป ในที่สุด คู่แข่งของอะเมซอนที่ได้รับผลกระทบอย่างแรงก็คือ ร้านหนังสือที่อยู่ คู่บ้านคู่เมืองมายาวนานอย่างบอร์เดอร์ส (Borders) สมัยยุครุ่งเรือง บอร์เดอร์ส เคยจ้างพนักงานมากถึง 35,000 คน พอบอร์เดอร์สเริ่มเข้าสู่กลียุค จ�านวนคนที่ ต้องตกงานก็มีเยอะจนน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องนี้คือ ปัจจุบัน อะเมซอนไม่ได้ขายแค่หนังสือ พวกเขาก�าลังเริ่มใช้โดรนส่งของทุกอย่างแทนคน อย่าชะล่าใจไปเชียวครับ หุ่นยนต์ไม่ได้เข้ามาแย่งงานในธุรกิจค้าปลีกและงานขายเท่านั้น ดร.เซย์เน็ป ทูเฟชชี่ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้ศึกษา ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมและพบว่า “หุ่นยนต์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และ พวกมันก�าลังจะมาแย่งงานมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ” ใน 10 ปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์ ได้เรียนรู้ภาษาพูด จดจ�าใบหน้า อ่านสีหน้า จนสามารถแบ่งประเภทนิสัยและ สนทนากับคนได้ ทูเฟชชี่ไม่ใช่คนเดียวที่กังวลเรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์ ที่สาหัสขึ้นเรื่อยๆ อัจฉริยะของโลกหลายคนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์,อีลอนมัสก์นักประดิษฐ์,ปีเตอร์นอร์วิกนักวิจัยของกูเกิลและคนอื่นๆ ได้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้นักวิจัยระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • 16. 16 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมา ฮอว์คิงให้สัมภาษณ์กับส�านักข่าว BBC ว่า “ปัญญาประดิษฐ์แบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนนั้นมีประโยชน์มาก แต่ผมคิดว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เต็ม รูปแบบอาจน�าไปสู่จุดจบของมนุษยชาติ” หนังสือเล่มนี้จะไม่พูดถึงวันสิ้นโลกที่มนุษย์ต้องท�าสงครามกับหุ่นยนต์ แต่ในบางมุมเราทุกคนต่างอยู่ในสงครามนั้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราอยากจะตาม หุ่นยนต์ให้ทัน เราต้องรู้จักพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แข่งกับคนด้วยกัน ในปี 1954 เซอร์โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ วิ่งระยะทาง 1 ไมล์ในเวลาต�่ากว่า 4 นาที ได้เป็นคนแรกของโลก ตอนนั้นผู้คนต่างพากันคิดว่านี่คือขีดสุดที่มนุษย์จะท�าได้ แล้ว หลังจากเข้าเส้นชัยได้ไม่นาน แบนนิสเตอร์กล่าวว่า “พวกหมอและ นักวิทยาศาสตร์บอกว่าการวิ่งให้เร็วกว่า 4 นาทีมันเป็นไปไม่ได้ แค่พยายามท�า เช่นนั้นก็อาจตายได้แล้ว ดังนั้นตอนที่ผมลุกขึ้นยืนหลังจากที่ล้มลงไปนอน กับพื้นตรงเส้นชัย ผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว” ทุกวันนี้มีนักวิ่งอเมริกันที่วิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลาต�่ากว่า 4 นาทีปีละมากกว่า 20 คน เมื่อนับรวมนักวิ่งจากประเทศเจ้าลมกรดอย่างเคนย่า เอธิโอเปียและ ประเทศอื่นๆ แล้ว น่าจะมีมากกว่า 100 คน สถิติโลกส�าหรับการวิ่ง1ไมล์ในปัจจุบันเป็นของฮีแชมเอลกูรูจด้วยเวลา 3 นาที 43 วินาที ซึ่งเขาท�าไว้เมื่อปี 1999 ถ้าเราน�าการวิ่งอันแสนเหลือเชื่อของ แบนนิสเตอร์เมื่อปี1954มาเทียบกับสถิติของเอลกูรูจนั่นหมายความว่าขณะที่ เอล กูรูจเข้าเส้นชัย แบนนิสเตอร์ยังวิ่งไม่ถึงโค้งสุดท้ายเลยด้วยซ�้าไป
  • 17. 17บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ สถิติโลกเมื่อ50ปีก่อนของกีฬาที่แข่งขันกันด้วยความเร็วแทบทุกประเภท กลายเป็นสิ่งที่เด็กมัธยมสมัยนี้ก็ท�าได้ไปเสียแล้ว กีฬาที่เล่นเป็นทีมก็แข่งขันกัน เข้มข้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในปี 1947 ความสูงเฉลี่ยของนักกีฬาบาสเก็ตบอล อาชีพอยู่ที่193เซนติเมตรแต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็น200.6เซนติเมตร แล้ว นอกจากลักษณะทางพันธุกรรมอย่างค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ทักษะของนักกีฬา ยังพัฒนาขึ้นด้วยถ้าคุณย้อนดูเทปการแข่งขันในช่วงยุค1950คุณจะพบว่าผู้เล่น ต�าแหน่งที่เลี้ยงลูกบาสเก่งๆ ในสมัยนั้นจะเลี้ยงลูกด้วยมือข้างถนัดเพียงอย่าง เดียว แต่ทุกวันนี้ผู้เล่นเกือบทุกคนในสนามเลี้ยงลูกได้คล่องทั้งสองมือ การสรรหานักกีฬาหน้าใหม่จากทั่วโลกท�าให้มีผู้เล่นที่มีพันธุกรรมชั้นยอด ส�าหรับกีฬานั้นๆ มากขึ้น และมีนักกีฬาจ�านวนมากที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง เพื่อก้าวไปเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย ความทะเยอทะยานนี้ เมื่อบวกรวมกับการฝึกซ้อม โภชนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา ช่วยให้เรา เข้าใจว่าเวลา 16 วินาทีที่เอล กูรูจ วิ่งเร็วกว่าแบนนิสเตอร์นั้นมีที่มาจากอะไร (การโด้ปหรือการใช้ยาเพิ่มพลังที่ผิดกฎหมายยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้าม ไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าบางครั้งการโด้ปช่วยให้นักกีฬาท�าลายสถิติได้จริงๆ ซึ่ง เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ในภายหลัง) มนุษย์ถูกกดดันให้ท�างานให้ดีในทุกแวดวง แรงกดดันนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเรามองแทบไม่เห็นเลยว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ถ้าสิ่งที่ฮอว์คิงพูดไว้ เป็นจริง นั่นหมายความว่าจุดจบมนุษยชาติก�าลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
  • 18. 18 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน ทุ่มสุดตัว คุณเคยสังเกตร้านขายอาหารเสริมบ้างไหมครับ? เราเคยสงสัยกันว่าใครกันแน่ที่เดินเข้าไปแล้วซื้ออาหารเสริมจากรายงาน สถิติการแพทย์พบว่าคนที่ขาดวิตามินจริงๆ มีจ�านวนน้อยมาก แต่จ�านวนร้าน ขายอาหารเสริมกลับมีเยอะเป็นดอกเห็ด และยอดขายต่อปีของอุตสาหกรรมนี้ จากทั่วโลกก็มักจะทะลุหลักล้านล้านดอลลาร์เสียด้วย สิ่งที่น่าทึ่งกว่าตัวเลขยอดขายก็คือค�ากล่าวอ้างสรรพคุณอันแสนอลังการ ของผู้ผลิตอาหารเสริม เช่น เครื่องดื่มยี่ห้อนูโรบลิสอ้างว่ามีสรรพคุณลดความ เครียดและเสริมสมรรถภาพการท�างานของสมองและร่างกาย เครื่องดื่มนี้ราคา ขวดละสองเหรียญกว่าๆ บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทมีข้อความขึ้นไว้ว่า “ในโลก ที่หมุนอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มเสริมสมรรถภาพสมองจะช่วยให้คุณตามคนอื่น ได้ทัน”เรายังไม่เคยเห็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆที่สนับสนุนค�ากล่าวอ้างนี้ แต่นูโรบลิสก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง มนุษย์อาจก�าลังรู้สึกสิ้นหวังจนต้องไขว่คว้าข้อได้เปรียบอะไรก็ได้แม้ ไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มารับรองเลยก็ตาม โชคร้ายที่ความสิ้นหวัง แบบนี้มักเป็นก้าวแรกในการน�ายาควบคุมมาใช้ในทางที่ผิดและอันตราย โดย น�ามาใช้เพิ่มสมรรถภาพในการท�างานนั่นเอง เรารู้จักนักศึกษาคนหนึ่งที่ชื่อว่าซาร่าขณะนั้นเธออยู่ในช่วงสอบของมหาวิทยาลัย ใหญ่แห่งหนึ่ง เธอสังเกตเห็นเพื่อนบางคนเริ่มใช้ยาแอดเดอรอลมากขึ้นเรื่อยๆ ยาชนิดนี้คิดค้นมาเพื่อรักษาโรคสมาธิสั้นหรือช่วยรักษาอาการขาดสมาธิ ยาแอดเดอรอลมีส่วนผสมของสารกระตุ้นเลโวแอมเฟตามีนและเด็กซ์โตรแอมเฟตามีน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมันก็คือ ยาบ้าดีๆ นี่เอง
  • 19. 19บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อว่าคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นตามธรรมชาติมีประมาณ 5-6 เปอร์เซนต์ของประชากร แต่ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของ สหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่ามีคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้มีมากกว่า ที่ประเมินไว้ถึง 2 เท่า คือประมาณ 11% แต่ในมุมของซาร่าแล้วเพื่อนที่ มหาวิทยาลัยแทบทุกคนใช้ยาแอดเดอรอลโดยไม่สนว่าตัวเองเป็นโรคสมาธิสั้น หรือไม่ ท�าไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ในหมู่นักศึกษาได้ล่ะ? เว็บไซต์ WebMD ซึ่งเป็นแหล่งที่นักศึกษาน่าจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ ยาต่างๆ เขียนบอกไว้ว่า “ยาแอดเดอรอลท�าให้มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มากขึ้นและช่วยให้หยุดกระวนกระวาย”พวกนักศึกษาไม่สนใจเลยว่าผลข้างเคียง ของยามีทั้งอาการไม่อยากอาหารปวดท้องคลื่นไส้ปวดศีรษะนอนไม่หลับและ เห็นภาพหลอน นักศึกษาที่ไม่เป็นโรคสมาธิสั้นต่างพากันใช้ยาแอดเดอรอล ซึ่งเปรียบได้ กับการฉีดสเตียรอยด์เข้าสมอง เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบด้านจิตใจการใช้ยา แบบผิดๆ ของนักศึกษาเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรจากการใช้สเตียรอยด์ ในการ แข่งขันกีฬาที่คนแข็งแรงดีใช้ยาส�าหรับเพิ่มความแข็งแรงแบบผิดๆ เพื่อให้มี ข้อได้เปรียบทางสภาพร่างกาย นักวิจัยบางคนคาดว่ามีนักศึกษาประมาณ 30% ใช้สารกระตุ้นอย่าง ยาแอดเดอรอลโดยไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค การใช้ยาแอดเดอรอลในทาง ที่ผิดพบเห็นได้มากที่สุดในช่วงที่เครียดและกดดันอย่างช่วงสอบ นักศึกษา หลายคนบอกว่ายาตัวนี้ช่วยลดความเหนื่อยล้า ท�าให้อ่านหนังสือแล้วเข้าใจ มากขึ้น สนใจเรียนมากขึ้น การรับรู้ดีขึ้น และความจ�าดีขึ้น รายงานเชิงสืบสวนของช่อง CNN เมื่อไม่นานมานี้ได้สอบถามนักศึกษา ที่ใช้ยาแอดเดอรอลเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อใช้ยา ค�าตอบที่ได้ฟังดูเหมือน
  • 20. 20 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน โฆษณาชวนเชื่อ เช่น “ฉันแทบลืมไปเลยว่ามันผิดกฎหมาย แต่ฉันไม่กังวลเรื่องนี้เลยเพราะ คนใช้กันเยอะแยะและมันก็ใช้ง่าย” “ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาสดชื่นและพร้อมส�าหรับความท้าทายที่ฉันจะต้องเจอ” “ผมเขียนรายงานได้ตั้ง 15 หน้าในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แถมผมยังรู้สึก มั่นใจสุดๆ” ซาร่าบอกเราว่า “ฉันไม่อยากใช้ยานี้เพราะฉันคิดว่ามันเป็นการโกง แต่ใครๆ ก็ใช้กันจนควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ” เราไม่แปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึก กดดันกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ข่าวการใช้ยาอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ได้เปรียบในรั้วมหาวิทยาลัยก็แย่พอแล้ว แต่ค่านิยมแบบผิดๆ นี้ยังลามไปสู่สังคมวัยท�างานด้วยเช่นกัน พญ.คิมเบอร์ลี เดนนิส ผู้อ�านวยการแพทย์ของศูนย์วิชาการสารเสพติด ใกล้เมืองชิคาโกกล่าวว่า เธอเห็นคนท�างานอายุ 25-45 ปี ใช้ยาแอดเดอรอล เพิ่มขึ้นมาก พวกเขาก็เหมือนกับนักศึกษา พวกเขาพยายามไขว่คว้าหา ข้อได้เปรียบให้ได้แม้สักนิดก็ยังดี อลิซาเบธคือหนึ่งในคนที่ใช้ยาชนิดนี้เธอให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารนิวยอร์ก ไทม์สว่า “ฉันจ�าเป็นต้องใช้ยามันจ�าเป็นส�าหรับการอยู่รอดของคนที่เก่งที่สุดฉลาด ที่สุด และประสบความส�าเร็จที่สุด” ในช่วงที่เธอก�าลังก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ เอลิซาเบธรู้สึกว่า การท�างานหนักเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เธอจะต้องท�างานให้ได้นานกว่านี้ ซึ่งการนอนเป็นสิ่งที่ขวางไม่ให้เธอท�างาน เธอเลยหันไปพึ่งยาแอดเดอรอล เธอเล่าต่อว่า “เพื่อนๆ ของฉันหลายคนท�างานในแวดวงการเงินและ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พวกเขาต้องเริ่มงานตั้งแต่ตี 5 และต้องท�าผลงานให้ดี
  • 21. 21บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ ตลอดเวลาพวกเขาส่วนใหญ่จึงใช้ยาแอดเดอรอลกันทั้งนั้นคุณจะเฉื่อยชาไม่ได้ ฉันคิดว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่มีคนหนุ่มสาวไฟแรงก็เป็นแบบนี้ มันมีความคาดหวัง ในผลงานอยู่ระดับหนึ่งเสมอ” นพ.อันยัน ชัทเทอร์จี หัวหน้าแผนกประสาทวิทยาของโรงพยาบาล เพนซิลเวเนียและผู้เขียนหนังสือเรื่องTheAestheticBrainท�านายไว้ว่าการใช้ยา เพิ่มประสิทธิภาพในการท�างานจะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตคนเราจะยังคงท�างาน ต่อเนื่องยาวนานมากขึ้นและหยุดพักผ่อนน้อยลง นพ.ชัทเทอร์จีกล่าวว่า“ท�าไมเราไม่ใช้ยาเพื่อท�าให้รู้สึกสดชื่นมีสมาธิและ ก�าจัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการท�ากิจกรรมน่าร�าคาญอย่างการนอนด้วยล่ะ?” นพ. ชัทเทอร์จีไม่ใช่คนเดียวที่ท�านายเรื่องเลวร้ายท�านองนี้ ผู้เชี่ยวชาญ อีกคนที่เห็นพ้องกับเขาก็คือเอริก พาเรนส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรม พาเรนส์กล่าวว่าการแพร่ระบาดของการใช้สารกระตุ้นในอเมริกาเป็นเพียงอาการ หนึ่งของวิถีชีวิตยุคใหม่ที่จะต้องท�าผลงานให้ดีตลอดเวลา ต้องเช็คอีเมลตลอด และต้องท�างานวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานเสมอ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวิถีชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องดีไม่นานมนุษย์เราก็จะ เรียนรู้ว่า ถ้าเรายังท�างานต่อไปโดยไม่หยุดพักผ่อนให้เพียงพอไม่ว่าจะใช้ยา หรือไม่ใช้ยาช่วย คนที่โชคดีหน่อยก็แค่ท�างานได้ต�่ากว่ามาตรฐาน แต่คนที่ โชคร้ายอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้” พาเรนส์สรุปว่า ค่านิยมที่บีบให้คนต้องท�าผิดกฎหมายและโกงเพื่อให้ ตัวเองทัดเทียมหรือแซงหน้าคู่แข่งนั้นไม่ใช่เรื่องดี และไม่ยั่งยืน เมื่อชัทเทอร์จีและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ พูดถึงการใช้ยาแบบผิดๆ ใน ที่ท�างาน พวกเขามักเปรียบเทียบกับวงการกีฬาที่แข่งขันกันสูง ถ้านักกีฬามีข้อ ได้เปรียบเล็กๆ ก็อาจเป็นต่อคู่แข่งหลายก้าว เมื่อใดก็ตามที่สังคมการท�างานต้องใช้ยาเหมือนวงการกีฬา มันคงเป็น ข่าวร้ายส�าหรับทุกคน
  • 22. 22 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน ใหญ่ขึ้น�เร็วขึ้น�และแข็งแรงขึ้น เราต้องแลกด้วยอะไร? สถิติโฮมรัน เสื้อสีเหลืองของผู้น�าในการแข่งจักรยานตูร์เดอฟรองซ์ และเหรียญ โอลิมปิกเป็นสัญลักษณ์ของสมรรถภาพระดับเหนือมนุษย์แต่โชคร้ายที่บางครั้ง มันก็เกิดจากยาและเทคโนโลยีการแพทย์ นักกีฬาที่ถูกจับได้ว่าโด๊ปยามีไม่ถึง 2% ของนักกีฬาทั้งหมด แต่งานวิจัย ชี้ให้เห็นว่าความจริงแล้วอาจมีนักกีฬามากถึง 40% ที่ใช้สารต้องห้ามเพื่อเสริม สมรรถภาพ นั่นหมายความว่าเหล่านักกีฬาที่เราเห็นในโทรทัศน์มีมากกว่า 1 ใน 3 ที่เล่นสกปรก คุณอาจคิดว่าการโด๊ปยาเกิดขึ้นเฉพาะในการแข่งขันกีฬาระดับมืออาชีพ แต่ความจริงแล้วการโด๊ปยาก็เป็นปัญหาในวงการกีฬาระดับมหาวิทยาลัย มัธยม และการแข่งกีฬาสมัครเล่นเช่นเดียวกัน องค์กรไม่แสวงหาผลก�าไร Partnership for Drug-Free Kids ท�าการ ส�ารวจเมื่อปี 2013 พบว่าเด็กมัธยมปลาย 11% ใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์ (สารเคมีที่เลียนแบบฮอร์โมนที่ทรงพลังที่สุดในร่างกาย) อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องน่ากังวลที่ตามมาก็คือ พวกเขาอาจจะเห็นตัวอย่าง การใช้ยาจากพ่อแม่ก็เป็นได้ การแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือไตรกีฬาของกลุ่มนักกีฬาสมัครเล่นทั้ง ชายหญิงก็พบปัญหาการใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้ใหญ่ โตขึ้นจนหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจหาสารต้องห้ามในหมู่คนที่แข่งกีฬา เป็นงานอดิเรกด้วย เดวิด เอปสไตน์ นักข่าวสืบสวนเล่นข่าวเรื่องการโด๊ปและขุดคุ้ยเรื่อง การใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพของบรรดาคนที่แข่งกีฬาเป็นงานอดิเรกแบบเจาะลึก เขาพบว่าชายวัยกลางคนหมดเงินไปกับยาสเตียรอยด์เพื่อชะลอวัยมากกว่า