More Related Content
More from Piyapong Sirisutthanant (20)
ตัวอย่างหนังสือ คนเก่งพักเป็น
- 2. คนเก่งพักเป็น: สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
PEAK PERFORMANCE
Copyright © 2017 by Brad Stulberg and Steve Magness.
All rights reserved. Published by arrangement with RODALE INC., Emmaus, PA, U.S.A.
Thai language translation copyright © 2019 by Superposition Co., Ltd.
เลขมาตรฐานสากลประจ�าหนังสือ 978-616-8109-16-8
ผู้เขียน Brad Stulberg, Steve Magness
ผู้แปล สุกัญญา ไทเตชะวัฒน์
กองบรรณาธิการ จิรวรรณ วงค�าเสา, ปิยะพงษ์ ศิริสุทธานันท์,
ธีร์ มีนสุข, ธีพร บรรจงเปลี่ยน
จัดรูปเล่ม อรณัญช์ สุขเกษม
ราคา 225 บาท
จัดพิมพ์โดย ส�านักพิมพ์บิงโก
ภายในเครือ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด (Superposition Co., Ltd.)
18 ซอยดุลิยา ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. 10170
อีเมล superposition.books@gmail.com
โทรศัพท์ 094-810-7272
เว็บไซต์ www.bingobook.co เฟซบุ๊ก www.facebook.com/bingobooks
จัดจ�าหน่ายโดย
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ากัด (มหาชน) SE-EDUCATION Public Company Limited
เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260
โทร. 0-2826-8000 โทรสาร 0-2826-8999
เว็บไซต์ www.se-ed.com
พิมพ์ที่ Pimdee โทรศัพท์ 02-401-9401
หากต้องการสั่งซื้อเป็นจ�านวนมาก กรุณาติดต่อรับส่วนลดได้ที่ บริษัท ซุปเปอร์โพซิชั่น จ�ากัด
อีเมล superposition.books@gmail.com
- 3. คำ�นำ� 5
บทนำ� ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ 13
ส่วนที่�1
ความตึงเครียด�+�การพัก�=�การพัฒนา
บทที่�1 ความลับของความสำ เร็จที่ยั่งยืน 33
บทที่�2 มองความตึงเครียดในมุมใหม่ 49
บทที่�3 สร้างความตึงเครียดให้ตัวเอง 61
บทที่�4 ความย้อนแย้งของการพักผ่อน 87
บทที่�5 คนเก่งพักกันแบบไหน? 109
ส่วนที่�2
เตรียมตัวให้พร้อม
บทที่�6 ออกแบบกิจวัตรให้มีประสิทธิภาพ 139
บทที่�7 ทำ น้อยแต่ได้มาก 159
ส่วนที่�3
เป้าหมายของชีวิต
บทที่�8 ข้ามพ้นตัวเอง 179
บทที่�9 ตั้งเป้าหมายของคุณ 205
บทส่งท้าย 218
ประวัตินักเขียน 231
สารบัญ
- 5. 5
ในฤดูร้อนปี 2003 เด็กหนุ่มอายุ 18 ปียืนตื่นเต้นอยู่บนสนามหญ้าระหว่างรอฟัง
เสียงเรียกครั้งสุดท้ายให้นักกรีฑาทุกคนไปเตรียมตัวที่จุดสตาร์ท การแข่งวิ่ง
ของเขาไม่ใช่การแข่งระดับมัธยมทั่วๆ ไป ไม่ใช่การแข่งขันระดับรัฐของอเมริกา
แต่เป็นการแข่งขันวิ่ง 1 ไมล์ในรายการ “พรีฟอนเทนคลาสสิค” สุดยอดรายการ
แข่งขันกรีฑาระดับประเทศ
ไม่กี่วันก่อนหน้าการแข่งขันเด็กหนุ่มคนนี้ยังมัวแต่นั่งคิดถึงอแมนด้าหญิง
สาวในฝันของเขาระหว่างเรียนวิชาฟิสิกส์แต่มาวันนี้เขาก�าลังอยู่ท่ามกลางนักวิ่ง
ระดับโลก เขาได้แต่คิดในใจว่า
“ฉันจะวิ่งทันคนอื่นในการแข่งรายการส�าคัญที่สุดแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
ขณะที่เขาเฝ้ามองนักกีฬาดาวเด่นเจ้าของเหรียญโอลิมปิกอย่าง
เบอร์นาร์ดลาแกตอบอุ่นร่างกายก่อนแข่งตามปกติเขาพยายามดึงความสนใจ
ของตัวเองออกจากการแข่งขันด้วยการเล่นเกม แต่นั่นท�าให้เขาดูโดดเด่นจาก
คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงเรียกสุดท้ายให้นักกีฬาทุกคน
ไปเตรียมพร้อมที่จุดสตาร์ทก็ดังขึ้น เกมซูเปอร์มาริโอไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจ
ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว
พอเขาเดินเข้าสู่สนาม ความพยายามที่จะสงบจิตสงบใจกลับเปล่า
ประโยชน์ เขาพูดวนไปวนมาในหัวว่า “อย่าเงยหน้า อย่าเงยหน้าเด็ดขาด”
เมื่อโฆษกประกาศชื่อของเขา จิตใจของเขาก็กระเจิง ร่างกายพุ่งพล่านด้วย
คำ�นำ�
คนเราสามารถรักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยม
โดยที่มีสุขภาพดีด้วยได้จริงไหม?
- 6. 6 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ความวิตกกังวล อาหารน้อยนิดในกระเพาะขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ พอกรรมการ
ยกปืนขึ้นฟ้าเตรียมเริ่มการแข่งขัน เขาก็ได้แต่คิดว่า
“ถึงเวลาซวยแล้ว ขอให้ตอนแข่งอย่าอ้วกออกมาก็พอ”
4นาทีกับอีก1วินาทีต่อมาการแข่งวิ่งของเด็กหนุ่มคนนี้ก็จบลงเขากลาย
เป็นนักวิ่ง 1 ไมล์ระดับมัธยมปลายที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์
ของอเมริกา แถมยังเป็นนักวิ่งระดับเยาวชนที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
เขาวิ่งได้สูสีกับอลัน เว็บบ์ นักวิ่งดาวเด่นระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเป็น
ผู้ท�าลายสถิติวิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลา 3 นาที 46 วินาที เขาเข้าเส้นชัยตามหลังนักวิ่ง
โอลิมปิกอย่าง ไมเคิล สเตมเบอร์ ไม่ถึงช่วงแขน และวิ่งน�าหน้าแชมป์วิ่ง 1 ไมล์
ของอเมริกาคนปัจจุบันอย่างเซเนกา แลสสิเตอร์
เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนนี้ได้กลายเป็นนักวิ่งวัยรุ่นอัจฉริยะคนใหม่อย่าง
เป็นทางการ
เมื่อโฆษกประกาศเวลาอย่างเป็นทางการ ช่องโทรทัศน์ NBC แพร่ภาพ
เด็กหนุ่มคนนี้ในสภาพหมดแรงเขาเอามือกุมหน้าไว้ด้วยความรู้สึกผิดหวังที่ท�าได้
แค่เกือบจะชนะรายการนี้แต่พออารมณ์ผิดหวังแวบแรกจางหายไปเขาก็ดีใจกับ
ผลงานที่ได้มาหลังจากพยายามอย่างหนัก เขาบอกกับตัวเองว่า
“ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี และได้วิ่งในการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดในประเทศ
อีกไม่นานฉันต้องท�าเวลาได้ต�่ากว่า 4 นาทีแน่นอน”
บรรดานักพากย์ของช่อง NBC ต่างพูดถึงผลงานอันยอดเยี่ยมของเด็ก
มัธยมคนนี้ นักพากย์คนหนึ่งพูดว่า “เราต้องชมเด็กที่มีวินัยสูงแบบนี้” วินัยของ
เด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าชื่นชม แต่พวกนักพากย์ไม่มีทางรู้เลยว่า เขามีวินัยมาก
ขนาดไหนกัน
ถ้าคุณจะวิ่งได้ผลงานสุดยอดระดับนี้แค่พรสวรรค์และความพยายามอาจ
ยังไม่มากพอ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณจ�าเป็นต้องมีคือ “ความหมกมุ่น”
นักวิ่งหนุ่มอัจฉริยะคนใหม่นี้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างหมกมุ่นเพื่อก้าวสู่
- 7. 7
ความเป็นเลิศ เขาตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า วิ่งออกจากบ้านเป็นระยะทาง 9 ไมล์
ไปโรงเรียน และวิ่งอีก 9 ไมล์เพื่อกลับบ้านในตอนเย็น เขาเข้มงวดเรื่องอาหาร
การกินและเข้านอนก่อนเด็กวัยเดียวกันหลายชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บไข้และ
อาการบาดเจ็บ ทั้งชีวิตของเขาคือการฝึกความมุ่งมั่นและควบคุมตัวเอง
เด็กคนนี้ท�าตามแผนการฝึกซ้อมของตัวเองเสมอ แม้ในช่วงไปเที่ยว
พักผ่อนบนเรือส�าราญ1สัปดาห์เขาก็ไม่ลืมซ้อมวิ่ง100ไมล์ตามแผนเขาวิ่งบนลู่
ที่มีความยาวเพียง 160 เมตรบนดาดฟ้าของเรือจนกระทั่งเขาต้องหยุดเพราะ
เวียนหัว ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่อย่างใด ครั้งหนึ่งเขาออกไปซ้อมวิ่งท่ามกลาง
พายุฤดูร้อนแม้จะมีค�าเตือนเรื่องอากาศร้อนจัด เขาไม่สนกระทั่งเรื่องฉุกเฉิน
ของครอบครัว ไม่เคยมีภัยใดๆ ไม่ว่าจากมนุษย์หรือธรรมชาติที่จะหยุดไม่ให้เขา
วิ่งได้เลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันว่าเขาหมกมุ่นกับการวิ่งก็คือ ชีวิตรัก
เขายังติดค้างค�าขอโทษต่อแฟนสาวที่ถูกเขาบอกเลิก ด้วยเหตุผลเพียง
เพราะสถิติการวิ่งของเขาแย่ลงระหว่างที่พวกเขาคบหากันแม้ว่าสาเหตุจะไม่ได้
มาจากเธอเลยก็ตาม
ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ความหมกมุ่นของเขาก็ยิ่งเห็นได้ชัดกว่า
ปกติ เขาเลือกเข้านอนตอน 4 ทุ่มแทนที่จะออกไปปาร์ตี้หรือหาโอกาสเจอกับ
สาวๆ เขาต่างจากเด็กหนุ่มมัธยมทั่วไปมาก แต่ก็เพราะแบบนี้เองเขาจึงกลาย
เป็นเด็กมัธยมที่วิ่ง 1 ไมล์ได้ภายใน 4 นาที สิ่งที่เขาทุ่มเทท�าไปทั้งหมดเริ่ม
เห็นผล เขาเป็นหนึ่งในคนอายุ 18 ปีที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้
เรียบร้อย
จากนั้นเขาได้รับจดหมายเชิญให้เข้าเรียนต่อจากมหาวิทยาลัยเกือบ
ทุกแห่งในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ด้านกีฬาอย่างมหาวิทยาลัยโอเรกอน
ไปจนถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิชาการอย่างฮาร์วาร์ด ความฝันที่จะก้าวสู่
อันดับ 1 ของโลกและได้ครองเหรียญโอลิมปิกก�าลังใกล้เข้ามา
- 8. 8 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ไม่กี่ปีถัดมา ณ อีกมุมหนึ่งของอเมริกาในกรุงวอชิงตันดีซี ชายหนุ่มคนหนึ่ง
ก�าลังเตรียมตัวเริ่มงานที่ใหม่ในวันแรกเขารีบออกจากบ้านหลังจากท�ากิจวัตรใน
ตอนเช้าเสร็จ เขาแปรงฟัน โกนหนวด อาบน�้า แต่งตัว และออกจากบ้านภายใน
เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น!
เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องรีบมากเท่านี้ แต่หลังจากที่เขาได้เข้าท�างานที่
บริษัทที่ปรึกษาชั้นน�าอย่างแม็คคินซีย์เขาก็ติดนิสัยการท�างานให้มีประสิทธิภาพ
สูงสุดแบบห้ามเสียเวลา เนื่องจากเขาต้องท�างานด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนและเร็ว
เท่านั้น นิสัยเหล่านี้จึงติดมายังกิจวัตรประจ�าวันของเขาด้วย ข้อเสียของการ
เตรียมตัวตอนเช้าที่แสนจะมีประสิทธิภาพของเขามีเพียงอย่างเดียวคือมันท�าให้
เขาเหงื่อท่วม แถมชุดสูทรัดติ้วและอากาศชื้นๆ ของฤดูร้อนในกรุงวอชิงตันดีซี
ยังเรียกเหงื่อยิ่งขึ้นไปอีก
ช่วง10นาทีแรกของการเดินไปท�างานเขาหวังเพียงอย่างเดียวว่าให้เหงื่อ
หยุดไหลเสียที เพราะเขายังไม่ชินกับสูทที่เพิ่งจะเริ่มหัดใส่ เขาต้องปรับเปลี่ยน
กิจวัตรในช่วงเช้า ไม่ตื่นให้เร็วขึ้นก็ต้องลดอุณหภูมิน�้าที่อาบ หรืออาจจะต้องท�า
ทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มคนนี้ถนัดเรื่องการคิดวิเคราะห์มากทีเดียว
ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน ชายหนุ่มคนนี้ได้สร้างโมเดลส�าหรับ
คาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพของ
อเมริกากฎหมายตัวนี้ซับซ้อนและส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบตามไปด้วย
คนใหญ่คนโตในรัฐบาลสนใจผลงานของเขา บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นด้วย
ว่า “มันเยี่ยมสุดๆ” นี่เป็นสาเหตุที่เขามาเริ่มงานใหม่ในวันนี้
เขาเดินเลี้ยวเข้าสู่ถนนเพนซิลเวเนียอเวนิว จากนั้นไม่นานเขาก็มาถึง
อาคารเลขที่1600สถานที่ท�างานใหม่ของเขาเขาต้องท�างานให้กับสภาเศรษฐกิจ
แห่งชาติหน้าที่ของเขาก็คือให้ค�าปรึกษาแก่ประธานาธิบดีเกี่ยวกับระบบบริการ
สุขภาพที่ท�าเนียบขาวแห่งนี้
ตอนนี้ในใจของเขาคิดแต่เพียงว่า“มันช่างสุดยอดจริงๆ” ทั้งที่ก่อนหน้านี้
- 9. 9
เขายังมัวแต่คิดว่าจะเปลี่ยนกิจวิตรประจ�าวันในตอนเช้าอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
สูงขึ้น
คนเก่งๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาท�างานที่ท�าเนียบขาวมักมีพื้นฐานดีตั้งแต่เด็ก แต่
นั่นไม่ตรงกับคุณสมบัติของชายหนุ่มคนนี้เสียเท่าไหร่ เพราะตอนเด็กเขา
ท�าแบบทดสอบไอคิวส�าหรับเด็กเล็กได้สูงแต่ไม่ถึงกับสูงมาก ระดับความฉลาด
ด้านการใช้ค�าพูดของเขายอดเยี่ยม แต่ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขา
ไม่ได้ดีมากนักจนอาจถึงขั้นแย่เลยด้วยซ�้า
สมัยเรียนเขาเรียนหนักจนโงหัวไม่ขึ้นเขาเลือกหมกมุ่นอยู่กับวิชาปรัชญา
เศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยาแทนที่จะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ความจริงแล้วเขา
เล่นอเมริกันฟุตบอลเก่งพอที่จะเข้าทีมของมหาวิทยาลัยเล็กๆ ได้ แต่เขาเลือก
ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เพื่อมุ่งเรียนวิชาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผลการเรียนของเขาท�าให้ฝ่ายสรรหาบุคลากรของบริษัทที่ปรึกษาชั้นน�า
อย่างแม็คคินซีย์ต้องเหลียวมองเมื่อเขาเข้าท�างานที่นี่เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว
ในฐานะพนักงานยอดเยี่ยม ถ้าเขายังพอมีเวลาเหลือหลังจากท�างานสัปดาห์ละ
เจ็ดสิบกว่าชั่วโมงเขาจะฝึกฝนทักษะการน�าเสนองานและอ่านวารสารWallStreet
Journal, Harvard Business Review และหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์อีก
นับไม่ถ้วนจนเพื่อนๆ มักจะล้อว่า “ไอ้คนต่อต้านความสนุก” เขาดิ้นรนท�างาน
หนักกว่าใครๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สนุกไปกับมัน
ชายหนุ่มคนนี้ท�าผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆจนได้รับเลือกให้ท�างานในโปรเจกต์
ส�าคัญๆ อยู่เสมอ จากนั้นเขาก็ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่
ระดับพันล้านดอลลาร์
จนช่วงฤดูหนาวของปี 2010 เขาก็รับงานสร้างโมเดลเพื่อคาดการณ์
ผลกระทบทางเศรษฐกิจของกฎหมายปฏิรูประบบบริการสุขภาพซึ่งถือเป็นงานใหญ่
ระดับช้าง ถ้าคุณนึกความยากของมันไม่ออกให้ลองนึกภาพตัวแปร 50 ตัวซึ่ง
- 10. 10 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
เกี่ยวข้องกันไปหมดบางตัวยังมีข้อมูลไม่แน่ไม่นอนซึ่งคุณต้องน�าตัวแปรทั้งหมด
มาแสดงผลให้เข้าใจง่ายในไฟล์เอ็กเซลเพียงหน้าเดียว
เขาเริ่มท�างานหนักที่สุดในชีวิต เขาต้องอดนอนเพื่อท�างานแต่บางครั้ง
เขากลับนอนไม่ได้เพราะมัวแต่กังวลว่างานจะไม่เสร็จมือและเท้าของเขาเย็นเฉียบ
อยู่ตลอด เขาเล่าอาการเหล่านี้ให้หมอฟัง หมอบอกกับเขาว่ามันน่าจะเกิดจาก
ความเครียด แต่หมอเองก็ยังไม่แน่ใจนักเพราะเขาเลือกปรึกษาหมอผ่านทาง
โทรศัพท์ เขาไม่มีเวลาไปหาหมอด้วยซ�้าในช่วงที่ท�างานชิ้นนี้
ในที่สุดโมเดลของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ มันดูดีและมีประสิทธิภาพสูงมาก
จนบริษัทประกันและโรงพยาบาลทั่วประเทศน�าโมเดลของเขาไปใช้
วันหนึ่งมีสายจากท�าเนียบขาวโทรมาเพื่อถามว่าเขาจะช่วยเป็นที่ปรึกษา
ให้กับรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายนี้ได้ไหม เขาจะอยู่ใต้ประธานาธิบดีเพียง
ไม่กี่ล�าดับชั้นตามสายบังคับบัญชา!เพื่อนๆที่เคยล้อเขาว่า“ไอ้คนต่อต้านความ
สนุก” ก็เปลี่ยนมาล้อเขาว่า “อีกหน่อยแกต้องได้ขึ้นมาบริหารประเทศแล้วมั้ง”
ชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในขณะที่เขายังอายุไม่ครบ 24 ปี
เลยด้วยซ�้า
เมื่อคุณอ่านมาถึงตอนนี้ คุณคงสงสัยว่าแล้ว “เด็กหนุ่มนักวิ่ง” กับ “ชายหนุ่ม
ที่ปรึกษา” สองคนนี้เป็นใคร? คุณต้องท�าอะไรบ้างถึงจะประสบความส�าเร็จได้
เร็วเหมือนพวกเขา
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราก�าลังจะเล่าให้คุณฟังหรอกครับ
เด็กหนุ่มนักวิ่งมัธยมปลายที่เป็นปรากฏการณ์ของวงการกรีฑาไม่เคยวิ่ง
ได้เร็วกว่าวันที่เขาลงแข่งวิ่งที่พรีฟอนเทนคลาสสิกอีกเลย
ส่วนชายหนุ่มที่ปรึกษาเจ้าของผลงานชั้นยอดก็ไม่เคยลงเล่นการเมือง
เขาไม่เคยเป็นผู้บริหารของบริษัทชั้นน�า แถมหลังจากที่เขาลาออกจากงานที่
ท�าเนียบขาว เขาก็ไม่เคยได้รับการเลื่อนต�าแหน่งใดๆ อีกเลย
- 11. 11
พวกเขาทั้งคู่ต่างเคยเป็นดาวจรัสแสง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถ
พัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป สุขภาพและก�าลังใจของพวกเขาถดถอยลง
เรื่องราวท�านองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่และอาจจะ
เกิดกับใครก็ได้รวมไปถึงคุณด้วย
นักวิ่งคนนั้นก็คือ สตีฟ และที่ปรึกษาคนนั้นก็คือ แบรด เราคือผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้
เราเจอกันหลายปีหลังหมดไฟจากสิ่งที่เคยท�า พวกเรานั่งดื่มเบียร์พร้อมกับ
เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองเราต่างพบว่าชีวิตของพวกเราคล้ายคลึงกันมากทีเดียว
ตอนเจอกันเราทั้งคู่ก�าลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอยู่สตีฟเป็นนักวิทยาศาสตร์
การกีฬาและโค้ชของนักกีฬาที่ก�าลังมาแรง ส่วนแบรดก็เป็นนักเขียนที่เริ่มจะมี
ชื่อเสียง พวกเราก�าลังเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
เราจะท�าผลงานได้ดีโดยไม่ล้มเหลวเหมือนเดิมได้ไหม?
จากค�าพูดให้ก�าลังใจกันในตอนแรก มันพัฒนากลายเป็นมิตรภาพที่ดี
ระหว่างกัน เราต่างสนใจวิทยาศาสตร์การกีฬาเหมือนกัน เราสงสัยว่าคนเราจะ
รักษาระดับผลงานที่ยอดเยี่ยมเต็มขีดความสามารถโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพ
ได้ไหม? ถ้ามันเป็นไปได้ เราต้องท�าอะไรบ้าง? ความลับคืออะไร? มีหลักการ
ซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือไม่? และเราทุกคนจะใช้หลักการเดียวกันนี้ได้ไหม?
การจะตอบค�าถามเหล่านี้ให้ได้ เราต้องท�าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์และ
นักข่าวท�ากัน เราเริ่มอ่านหนังสือและพูดคุยกับคนเก่งๆ หลายคนจากหลาย
วงการ ตั้งแต่นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และนักกีฬา หนังสือเล่มนี้
จึงเกิดขึ้นจากการนั่งจิบเหล้ากันไปพูดคุยกันไปนั่นเอง
เราไม่อาจรับประกันว่าถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะได้เหรียญทอง
โอลิมปิกวาดภาพระดับศิลปินเอกหรือคิดค้นทฤษฎีใหม่ทางคณิตศาสตร์ได้แต่สิ่ง
ที่เรารับประกันได้ก็คือหลังจากอ่านหนังสือจบคุณจะได้บ่มฟักความสามารถแล้วดึง
มันมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยั่งยืนโดยไม่ท�าร้ายสุขภาพของตัวเอง
- 13. 13บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
บทนำ�
ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
เราขอเริ่มจากค�าถามง่ายๆ คือ คุณเคยรู้สึกกดดันที่จะต้องท�างานให้ดีหรือไม่?
ถ้าคุณตอบว่าไม่เคย หนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะส�าหรับคุณ แต่ถ้าคุณ
ตอบว่าเคย หนังสือเล่มนี้ช่วยคุณได้
ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ออฟฟิศ สตูดิโอศิลปะ หรือสนามกีฬา เราทุกคน
คงเคยคิดอยากจะยกระดับผลงานของตัวเอง การตั้งเป้าหมายให้ยากกว่าสิ่งที่
เราคิดว่าเป็นไปได้เล็กน้อยและวางแผนเพื่อท�าให้ได้ตามเป้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่
มนุษย์ภูมิใจมากที่สุด เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้จะเน้น “พัฒนาความ
สามารถ” ของคุณ
แต่ก่อนอื่นเราอยากจะเล่าให้คุณฟังว่า“ท�าไมคนเราจึงจ�าเป็นต้องพัฒนา
ความสามารถอย่างเร่งด่วน?”
แรงกดดันที่หนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ปัจจุบัน ความสามารถของมนุษย์อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมี วงการกีฬาเกิด
สถิติใหม่ๆขึ้นทุกวันเกณฑ์การรับเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็สูงกว่าสมัย
ก่อน และแวดวงธุรกิจต้องแข่งขันกันแบบหายใจรดต้นคอตลอดเวลา
จิม คลิฟตัน ผู้เขียนหนังสือ The Coming Jobs War เขียนไว้ว่า
- 14. 14 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
“เราอยู่ในสภาวะล่อแหลมต่อสงครามโลกที่ทุกคนต่อสู้แย่งชิงงานดีๆกัน”
ถ้านี่เป็นค�าพูดของพนักงานบริษัทที่ไม่มีความสุขกับการท�างานและเขียน
บ่นระบายความในใจบนโซเชียลมีเดียก็คงไม่มีใครสนใจอะไรมาก แต่คลิฟตัน
คือ CEO ของบริษัท Gallup ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยข้ามชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ในเรื่องการท�าโพลที่แม่นย�า
คลิฟตันอธิบายว่า การแข่งขันทั่วโลกท�าให้คนเก่งหางานดีๆ ได้ยาก
ขึ้นเรื่อยๆ คนที่รู้สึกล�าบาก สิ้นหวัง ทุกข์ทรมาน และเริ่มจะไม่มีความสุขจน
น่าเป็นห่วงจึงมีจ�านวนมากขึ้น
สิ่งที่คลิฟตันเล่าอาจดูน่ากลัว แต่โชคร้ายที่เขาพูดถูก!
จากข้อมูลสถิติพบว่าคนอเมริกันใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นถึง400%
ใน10ปีที่ผ่านมาและเป็นโรควิตกกังวลสูงสุดเป็นประวัติการณ์แม้ว่าโรคเหล่านี้
อาจเกิดขึ้นเองจากพันธุกรรมมนุษย์ แต่สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็เป็นตัวกระตุ้น
ที่ละเลยไม่ได้
เทคโนโลยีดิจิทัลที่ย่อโลกทั้งใบมาไว้ในมือท�าให้คนเราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ
ได้ด้วยการจิ้มหรือปัดหน้าจอเพียงไม่กี่ครั้ง มันช่วยให้คนเรามีความรู้มากขึ้น
และเก่งขึ้น เมื่อจ�านวนคนเก่งมีมากขึ้น เราจึงต้องแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อที่จะได้
งานสักชิ้น
แดน ชอว์เบล ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลและผู้เขียนหนังสือขายดี
ติดอันดับของนิวยอร์กไทม์ส ชื่อ Promote Yourself อธิบายไว้ว่า
“การท�างานสมัยนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกที่ท�างานมีแรงกดดัน
และการแข่งขันสูง เพราะใครๆ ในโลกนี้ก็สามารถท�างานของคุณโดยเรียกเงิน
น้อยกว่าคุณได้ คุณจึงต้องท�างานให้หนักขึ้น”
ข่าวร้ายกว่านั้นก็คือตอนนี้คุณไม่ได้แข่งขันแค่กับคนอื่นเท่านั้นแต่อีกไม่
เกิน 10 ปีจากนี้ คุณยังต้องแข่งกับหุ่นยนต์เหนือมนุษย์ที่ไม่มีวันเหนื่อยและไม่
จ�าเป็นต้องดูแลอะไรมากด้วย
- 15. 15บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
แข่งขันกับหุ่นยนต์
คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์เข้ามากดดันการท�างานของคนเรา
มากขึ้นเรื่อยๆ มันเข้ามาอย่างแนบเนียนจนเราแทบไม่สังเกต
อะเมซอน(Amazon)คือตัวอย่างของบริษัทชั้นน�าที่น�าเทคโนโลยีมาช่วย
ลดต้นทุนของบริษัทเทคโนโลยีช่วยให้พวกเขาประหยัดพื้นที่โกดังและลดจ�านวน
พนักงานฝ่ายขาย อะเมซอนจึงลดราคาสินค้าที่ใครๆ ก็อยากได้ลงไปอีก แต่ใน
แง่มุมที่ดีก็มีด้านมืดรออยู่นั่นคือต�าแหน่งงานจ�านวนมากต้องหายไปยิ่งอะเมซอน
เจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ บริษัทคู่แข่งก็ยิ่งเข้าสู่กลียุคและต้องล้มละลายไป
ในที่สุด
คู่แข่งของอะเมซอนที่ได้รับผลกระทบอย่างแรงก็คือ ร้านหนังสือที่อยู่
คู่บ้านคู่เมืองมายาวนานอย่างบอร์เดอร์ส (Borders) สมัยยุครุ่งเรือง บอร์เดอร์ส
เคยจ้างพนักงานมากถึง 35,000 คน พอบอร์เดอร์สเริ่มเข้าสู่กลียุค จ�านวนคนที่
ต้องตกงานก็มีเยอะจนน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องนี้คือ ปัจจุบัน
อะเมซอนไม่ได้ขายแค่หนังสือ พวกเขาก�าลังเริ่มใช้โดรนส่งของทุกอย่างแทนคน
อย่าชะล่าใจไปเชียวครับ
หุ่นยนต์ไม่ได้เข้ามาแย่งงานในธุรกิจค้าปลีกและงานขายเท่านั้น
ดร.เซย์เน็ป ทูเฟชชี่ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้ศึกษา
ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมและพบว่า “หุ่นยนต์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และ
พวกมันก�าลังจะมาแย่งงานมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ” ใน 10 ปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์
ได้เรียนรู้ภาษาพูด จดจ�าใบหน้า อ่านสีหน้า จนสามารถแบ่งประเภทนิสัยและ
สนทนากับคนได้
ทูเฟชชี่ไม่ใช่คนเดียวที่กังวลเรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์
ที่สาหัสขึ้นเรื่อยๆ อัจฉริยะของโลกหลายคนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ สตีเฟน ฮอว์คิง
นักฟิสิกส์,อีลอนมัสก์นักประดิษฐ์,ปีเตอร์นอร์วิกนักวิจัยของกูเกิลและคนอื่นๆ
ได้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้นักวิจัยระมัดระวังเป็นพิเศษ
- 16. 16 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมา
ฮอว์คิงให้สัมภาษณ์กับส�านักข่าว BBC ว่า “ปัญญาประดิษฐ์แบบง่ายๆ
ไม่ซับซ้อนนั้นมีประโยชน์มาก แต่ผมคิดว่าการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เต็ม
รูปแบบอาจน�าไปสู่จุดจบของมนุษยชาติ”
หนังสือเล่มนี้จะไม่พูดถึงวันสิ้นโลกที่มนุษย์ต้องท�าสงครามกับหุ่นยนต์
แต่ในบางมุมเราทุกคนต่างอยู่ในสงครามนั้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราอยากจะตาม
หุ่นยนต์ให้ทัน เราต้องรู้จักพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
แข่งกับคนด้วยกัน
ในปี 1954 เซอร์โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ วิ่งระยะทาง 1 ไมล์ในเวลาต�่ากว่า 4 นาที
ได้เป็นคนแรกของโลก ตอนนั้นผู้คนต่างพากันคิดว่านี่คือขีดสุดที่มนุษย์จะท�าได้
แล้ว
หลังจากเข้าเส้นชัยได้ไม่นาน แบนนิสเตอร์กล่าวว่า “พวกหมอและ
นักวิทยาศาสตร์บอกว่าการวิ่งให้เร็วกว่า 4 นาทีมันเป็นไปไม่ได้ แค่พยายามท�า
เช่นนั้นก็อาจตายได้แล้ว ดังนั้นตอนที่ผมลุกขึ้นยืนหลังจากที่ล้มลงไปนอน
กับพื้นตรงเส้นชัย ผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว”
ทุกวันนี้มีนักวิ่งอเมริกันที่วิ่ง 1 ไมล์ด้วยเวลาต�่ากว่า 4 นาทีปีละมากกว่า
20 คน เมื่อนับรวมนักวิ่งจากประเทศเจ้าลมกรดอย่างเคนย่า เอธิโอเปียและ
ประเทศอื่นๆ แล้ว น่าจะมีมากกว่า 100 คน
สถิติโลกส�าหรับการวิ่ง1ไมล์ในปัจจุบันเป็นของฮีแชมเอลกูรูจด้วยเวลา
3 นาที 43 วินาที ซึ่งเขาท�าไว้เมื่อปี 1999 ถ้าเราน�าการวิ่งอันแสนเหลือเชื่อของ
แบนนิสเตอร์เมื่อปี1954มาเทียบกับสถิติของเอลกูรูจนั่นหมายความว่าขณะที่
เอล กูรูจเข้าเส้นชัย แบนนิสเตอร์ยังวิ่งไม่ถึงโค้งสุดท้ายเลยด้วยซ�้าไป
- 17. 17บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
สถิติโลกเมื่อ50ปีก่อนของกีฬาที่แข่งขันกันด้วยความเร็วแทบทุกประเภท
กลายเป็นสิ่งที่เด็กมัธยมสมัยนี้ก็ท�าได้ไปเสียแล้ว กีฬาที่เล่นเป็นทีมก็แข่งขันกัน
เข้มข้นมากขึ้นเช่นเดียวกัน ในปี 1947 ความสูงเฉลี่ยของนักกีฬาบาสเก็ตบอล
อาชีพอยู่ที่193เซนติเมตรแต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็น200.6เซนติเมตร
แล้ว
นอกจากลักษณะทางพันธุกรรมอย่างค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ทักษะของนักกีฬา
ยังพัฒนาขึ้นด้วยถ้าคุณย้อนดูเทปการแข่งขันในช่วงยุค1950คุณจะพบว่าผู้เล่น
ต�าแหน่งที่เลี้ยงลูกบาสเก่งๆ ในสมัยนั้นจะเลี้ยงลูกด้วยมือข้างถนัดเพียงอย่าง
เดียว แต่ทุกวันนี้ผู้เล่นเกือบทุกคนในสนามเลี้ยงลูกได้คล่องทั้งสองมือ
การสรรหานักกีฬาหน้าใหม่จากทั่วโลกท�าให้มีผู้เล่นที่มีพันธุกรรมชั้นยอด
ส�าหรับกีฬานั้นๆ มากขึ้น และมีนักกีฬาจ�านวนมากที่พร้อมจะทุ่มเททุกอย่าง
เพื่อก้าวไปเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย ความทะเยอทะยานนี้
เมื่อบวกรวมกับการฝึกซ้อม โภชนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา ช่วยให้เรา
เข้าใจว่าเวลา 16 วินาทีที่เอล กูรูจ วิ่งเร็วกว่าแบนนิสเตอร์นั้นมีที่มาจากอะไร
(การโด้ปหรือการใช้ยาเพิ่มพลังที่ผิดกฎหมายยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้าม
ไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าบางครั้งการโด้ปช่วยให้นักกีฬาท�าลายสถิติได้จริงๆ ซึ่ง
เราจะลงรายละเอียดเรื่องนี้ในภายหลัง)
มนุษย์ถูกกดดันให้ท�างานให้ดีในทุกแวดวง แรงกดดันนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนเรามองแทบไม่เห็นเลยว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ถ้าสิ่งที่ฮอว์คิงพูดไว้
เป็นจริง นั่นหมายความว่าจุดจบมนุษยชาติก�าลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
- 18. 18 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ทุ่มสุดตัว
คุณเคยสังเกตร้านขายอาหารเสริมบ้างไหมครับ?
เราเคยสงสัยกันว่าใครกันแน่ที่เดินเข้าไปแล้วซื้ออาหารเสริมจากรายงาน
สถิติการแพทย์พบว่าคนที่ขาดวิตามินจริงๆ มีจ�านวนน้อยมาก แต่จ�านวนร้าน
ขายอาหารเสริมกลับมีเยอะเป็นดอกเห็ด และยอดขายต่อปีของอุตสาหกรรมนี้
จากทั่วโลกก็มักจะทะลุหลักล้านล้านดอลลาร์เสียด้วย
สิ่งที่น่าทึ่งกว่าตัวเลขยอดขายก็คือค�ากล่าวอ้างสรรพคุณอันแสนอลังการ
ของผู้ผลิตอาหารเสริม เช่น เครื่องดื่มยี่ห้อนูโรบลิสอ้างว่ามีสรรพคุณลดความ
เครียดและเสริมสมรรถภาพการท�างานของสมองและร่างกาย เครื่องดื่มนี้ราคา
ขวดละสองเหรียญกว่าๆ บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทมีข้อความขึ้นไว้ว่า “ในโลก
ที่หมุนอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มเสริมสมรรถภาพสมองจะช่วยให้คุณตามคนอื่น
ได้ทัน”เรายังไม่เคยเห็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆที่สนับสนุนค�ากล่าวอ้างนี้
แต่นูโรบลิสก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง
มนุษย์อาจก�าลังรู้สึกสิ้นหวังจนต้องไขว่คว้าข้อได้เปรียบอะไรก็ได้แม้
ไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มารับรองเลยก็ตาม โชคร้ายที่ความสิ้นหวัง
แบบนี้มักเป็นก้าวแรกในการน�ายาควบคุมมาใช้ในทางที่ผิดและอันตราย โดย
น�ามาใช้เพิ่มสมรรถภาพในการท�างานนั่นเอง
เรารู้จักนักศึกษาคนหนึ่งที่ชื่อว่าซาร่าขณะนั้นเธออยู่ในช่วงสอบของมหาวิทยาลัย
ใหญ่แห่งหนึ่ง เธอสังเกตเห็นเพื่อนบางคนเริ่มใช้ยาแอดเดอรอลมากขึ้นเรื่อยๆ
ยาชนิดนี้คิดค้นมาเพื่อรักษาโรคสมาธิสั้นหรือช่วยรักษาอาการขาดสมาธิ
ยาแอดเดอรอลมีส่วนผสมของสารกระตุ้นเลโวแอมเฟตามีนและเด็กซ์โตรแอมเฟตามีน
ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมันก็คือ ยาบ้าดีๆ นี่เอง
- 19. 19บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อว่าคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นตามธรรมชาติมีประมาณ
5-6 เปอร์เซนต์ของประชากร แต่ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของ
สหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่ามีคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้มีมากกว่า
ที่ประเมินไว้ถึง 2 เท่า คือประมาณ 11% แต่ในมุมของซาร่าแล้วเพื่อนที่
มหาวิทยาลัยแทบทุกคนใช้ยาแอดเดอรอลโดยไม่สนว่าตัวเองเป็นโรคสมาธิสั้น
หรือไม่
ท�าไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ในหมู่นักศึกษาได้ล่ะ?
เว็บไซต์ WebMD ซึ่งเป็นแหล่งที่นักศึกษาน่าจะไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ
ยาต่างๆ เขียนบอกไว้ว่า “ยาแอดเดอรอลท�าให้มีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
มากขึ้นและช่วยให้หยุดกระวนกระวาย”พวกนักศึกษาไม่สนใจเลยว่าผลข้างเคียง
ของยามีทั้งอาการไม่อยากอาหารปวดท้องคลื่นไส้ปวดศีรษะนอนไม่หลับและ
เห็นภาพหลอน
นักศึกษาที่ไม่เป็นโรคสมาธิสั้นต่างพากันใช้ยาแอดเดอรอล ซึ่งเปรียบได้
กับการฉีดสเตียรอยด์เข้าสมอง เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบด้านจิตใจการใช้ยา
แบบผิดๆ ของนักศึกษาเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรจากการใช้สเตียรอยด์ ในการ
แข่งขันกีฬาที่คนแข็งแรงดีใช้ยาส�าหรับเพิ่มความแข็งแรงแบบผิดๆ เพื่อให้มี
ข้อได้เปรียบทางสภาพร่างกาย
นักวิจัยบางคนคาดว่ามีนักศึกษาประมาณ 30% ใช้สารกระตุ้นอย่าง
ยาแอดเดอรอลโดยไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค การใช้ยาแอดเดอรอลในทาง
ที่ผิดพบเห็นได้มากที่สุดในช่วงที่เครียดและกดดันอย่างช่วงสอบ นักศึกษา
หลายคนบอกว่ายาตัวนี้ช่วยลดความเหนื่อยล้า ท�าให้อ่านหนังสือแล้วเข้าใจ
มากขึ้น สนใจเรียนมากขึ้น การรับรู้ดีขึ้น และความจ�าดีขึ้น
รายงานเชิงสืบสวนของช่อง CNN เมื่อไม่นานมานี้ได้สอบถามนักศึกษา
ที่ใช้ยาแอดเดอรอลเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อใช้ยา ค�าตอบที่ได้ฟังดูเหมือน
- 20. 20 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
โฆษณาชวนเชื่อ เช่น
“ฉันแทบลืมไปเลยว่ามันผิดกฎหมาย แต่ฉันไม่กังวลเรื่องนี้เลยเพราะ
คนใช้กันเยอะแยะและมันก็ใช้ง่าย”
“ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวาสดชื่นและพร้อมส�าหรับความท้าทายที่ฉันจะต้องเจอ”
“ผมเขียนรายงานได้ตั้ง 15 หน้าในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แถมผมยังรู้สึก
มั่นใจสุดๆ”
ซาร่าบอกเราว่า “ฉันไม่อยากใช้ยานี้เพราะฉันคิดว่ามันเป็นการโกง
แต่ใครๆ ก็ใช้กันจนควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ” เราไม่แปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึก
กดดันกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ข่าวการใช้ยาอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ได้เปรียบในรั้วมหาวิทยาลัยก็แย่พอแล้ว
แต่ค่านิยมแบบผิดๆ นี้ยังลามไปสู่สังคมวัยท�างานด้วยเช่นกัน
พญ.คิมเบอร์ลี เดนนิส ผู้อ�านวยการแพทย์ของศูนย์วิชาการสารเสพติด
ใกล้เมืองชิคาโกกล่าวว่า เธอเห็นคนท�างานอายุ 25-45 ปี ใช้ยาแอดเดอรอล
เพิ่มขึ้นมาก พวกเขาก็เหมือนกับนักศึกษา พวกเขาพยายามไขว่คว้าหา
ข้อได้เปรียบให้ได้แม้สักนิดก็ยังดี
อลิซาเบธคือหนึ่งในคนที่ใช้ยาชนิดนี้เธอให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารนิวยอร์ก
ไทม์สว่า
“ฉันจ�าเป็นต้องใช้ยามันจ�าเป็นส�าหรับการอยู่รอดของคนที่เก่งที่สุดฉลาด
ที่สุด และประสบความส�าเร็จที่สุด”
ในช่วงที่เธอก�าลังก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ เอลิซาเบธรู้สึกว่า
การท�างานหนักเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เธอจะต้องท�างานให้ได้นานกว่านี้
ซึ่งการนอนเป็นสิ่งที่ขวางไม่ให้เธอท�างาน เธอเลยหันไปพึ่งยาแอดเดอรอล
เธอเล่าต่อว่า “เพื่อนๆ ของฉันหลายคนท�างานในแวดวงการเงินและ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พวกเขาต้องเริ่มงานตั้งแต่ตี 5 และต้องท�าผลงานให้ดี
- 21. 21บทนำ��ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่
ตลอดเวลาพวกเขาส่วนใหญ่จึงใช้ยาแอดเดอรอลกันทั้งนั้นคุณจะเฉื่อยชาไม่ได้
ฉันคิดว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่มีคนหนุ่มสาวไฟแรงก็เป็นแบบนี้ มันมีความคาดหวัง
ในผลงานอยู่ระดับหนึ่งเสมอ”
นพ.อันยัน ชัทเทอร์จี หัวหน้าแผนกประสาทวิทยาของโรงพยาบาล
เพนซิลเวเนียและผู้เขียนหนังสือเรื่องTheAestheticBrainท�านายไว้ว่าการใช้ยา
เพิ่มประสิทธิภาพในการท�างานจะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตคนเราจะยังคงท�างาน
ต่อเนื่องยาวนานมากขึ้นและหยุดพักผ่อนน้อยลง
นพ.ชัทเทอร์จีกล่าวว่า“ท�าไมเราไม่ใช้ยาเพื่อท�าให้รู้สึกสดชื่นมีสมาธิและ
ก�าจัดเวลาที่ต้องเสียไปกับการท�ากิจกรรมน่าร�าคาญอย่างการนอนด้วยล่ะ?”
นพ. ชัทเทอร์จีไม่ใช่คนเดียวที่ท�านายเรื่องเลวร้ายท�านองนี้ ผู้เชี่ยวชาญ
อีกคนที่เห็นพ้องกับเขาก็คือเอริก พาเรนส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรม
พาเรนส์กล่าวว่าการแพร่ระบาดของการใช้สารกระตุ้นในอเมริกาเป็นเพียงอาการ
หนึ่งของวิถีชีวิตยุคใหม่ที่จะต้องท�าผลงานให้ดีตลอดเวลา ต้องเช็คอีเมลตลอด
และต้องท�างานวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานเสมอ
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวิถีชีวิตแบบนี้เป็นเรื่องดีไม่นานมนุษย์เราก็จะ
เรียนรู้ว่า ถ้าเรายังท�างานต่อไปโดยไม่หยุดพักผ่อนให้เพียงพอไม่ว่าจะใช้ยา
หรือไม่ใช้ยาช่วย คนที่โชคดีหน่อยก็แค่ท�างานได้ต�่ากว่ามาตรฐาน แต่คนที่
โชคร้ายอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้”
พาเรนส์สรุปว่า ค่านิยมที่บีบให้คนต้องท�าผิดกฎหมายและโกงเพื่อให้
ตัวเองทัดเทียมหรือแซงหน้าคู่แข่งนั้นไม่ใช่เรื่องดี และไม่ยั่งยืน
เมื่อชัทเทอร์จีและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ พูดถึงการใช้ยาแบบผิดๆ ใน
ที่ท�างาน พวกเขามักเปรียบเทียบกับวงการกีฬาที่แข่งขันกันสูง ถ้านักกีฬามีข้อ
ได้เปรียบเล็กๆ ก็อาจเป็นต่อคู่แข่งหลายก้าว
เมื่อใดก็ตามที่สังคมการท�างานต้องใช้ยาเหมือนวงการกีฬา มันคงเป็น
ข่าวร้ายส�าหรับทุกคน
- 22. 22 คนเก่งพักเป็น �สูตรลับพัฒนาตัวเองที่อัจฉริยะระดับโลกใช้กัน
ใหญ่ขึ้น�เร็วขึ้น�และแข็งแรงขึ้น
เราต้องแลกด้วยอะไร?
สถิติโฮมรัน เสื้อสีเหลืองของผู้น�าในการแข่งจักรยานตูร์เดอฟรองซ์ และเหรียญ
โอลิมปิกเป็นสัญลักษณ์ของสมรรถภาพระดับเหนือมนุษย์แต่โชคร้ายที่บางครั้ง
มันก็เกิดจากยาและเทคโนโลยีการแพทย์
นักกีฬาที่ถูกจับได้ว่าโด๊ปยามีไม่ถึง 2% ของนักกีฬาทั้งหมด แต่งานวิจัย
ชี้ให้เห็นว่าความจริงแล้วอาจมีนักกีฬามากถึง 40% ที่ใช้สารต้องห้ามเพื่อเสริม
สมรรถภาพ นั่นหมายความว่าเหล่านักกีฬาที่เราเห็นในโทรทัศน์มีมากกว่า
1 ใน 3 ที่เล่นสกปรก
คุณอาจคิดว่าการโด๊ปยาเกิดขึ้นเฉพาะในการแข่งขันกีฬาระดับมืออาชีพ
แต่ความจริงแล้วการโด๊ปยาก็เป็นปัญหาในวงการกีฬาระดับมหาวิทยาลัย
มัธยม และการแข่งกีฬาสมัครเล่นเช่นเดียวกัน
องค์กรไม่แสวงหาผลก�าไร Partnership for Drug-Free Kids ท�าการ
ส�ารวจเมื่อปี 2013 พบว่าเด็กมัธยมปลาย 11% ใช้โกรทฮอร์โมนสังเคราะห์
(สารเคมีที่เลียนแบบฮอร์โมนที่ทรงพลังที่สุดในร่างกาย) อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องน่ากังวลที่ตามมาก็คือ พวกเขาอาจจะเห็นตัวอย่าง
การใช้ยาจากพ่อแม่ก็เป็นได้
การแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือไตรกีฬาของกลุ่มนักกีฬาสมัครเล่นทั้ง
ชายหญิงก็พบปัญหาการใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้ใหญ่
โตขึ้นจนหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจหาสารต้องห้ามในหมู่คนที่แข่งกีฬา
เป็นงานอดิเรกด้วย
เดวิด เอปสไตน์ นักข่าวสืบสวนเล่นข่าวเรื่องการโด๊ปและขุดคุ้ยเรื่อง
การใช้ยาเพิ่มสมรรถภาพของบรรดาคนที่แข่งกีฬาเป็นงานอดิเรกแบบเจาะลึก
เขาพบว่าชายวัยกลางคนหมดเงินไปกับยาสเตียรอยด์เพื่อชะลอวัยมากกว่า