More Related Content
Similar to Wish eruuengelaaephuuekhwaamhwangaelaphlangaicch chud_wisdom
Similar to Wish eruuengelaaephuuekhwaamhwangaelaphlangaicch chud_wisdom (20)
Wish eruuengelaaephuuekhwaamhwangaelaphlangaicch chud_wisdom
- 2. WISH เรื่องเล่าเพื่อความหวังและพลังใจ ชุด WISDOM
บรรณาธิการ : ทวีศักดิ์ อุชุคตานนท์
สัมภาษณ์และเรียบเรียง : ประพัฒน์ สกุณา
ปก, รูปเล่มและภาพประกอบ : ไตรรงค์ ประสิทธิผล
พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2555
พิมพ์ที่ : บริษัท แปลนพริ้นท์ติ้ง จ�ำกัด ( มหาชน)
ด�ำเนินการผลิตโดย
ส�ำนักพิมพ์บ้านภายใน
บริษัทบ้านภายใน จ�ำกัด 123/1182 หมู่ 3
ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10540
โทรศัพท์ / โทรสาร : 0-2750-7384, 08-1402-0103
e-mail : suwanna.chok@gmail.com
ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
99 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซอยงามดูพลี แขวงทุ่งมหาเมฆ
เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทรศัพท์ 0-2343-1500 โทรสาร 0-2343-1501
www.thaihealth.or.th, www.thaihealthcenter.org
จัดท�ำโดย
“ทัศนะความคิดเห็นจากบทสัมภาษณ์ซึ่งปรากฏในหนังสือนี้
ไม่จ�ำเป็นที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ต้องเห็นด้วยเสมอไป”
- 6. 6
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล 9
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต 18
ภิกษุณีธัมมนันทา 26
รศ.ประภาภัทร นิยม 34
พระพรพล ปสันโน 40
ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม 48
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก 58
ฐิตินาถ ณ พัทลุง 66
สุวรรณา โชคประจักษ์ชัด 74
โชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ 82
จิระนันท์ พิตรปรีชา 90
ศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ 98
ส า ร บั ญ
- 7. 7
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 106
ประมวล เพ็งจันทร์ 112
วิจักขณ พานิช 124
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ 130
ปราโมทย์ ไม้กลัด 138
ศ.ดร.สมิทธ ธรรมสโรช 145
ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ 153
อาจารย์ณรงค์ เพชรประเสริฐ 161
อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบล 166
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ 174
วรัตดา ภัทโรดม 182
หมอเขียว ใจเพชร กล้าจน 190
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล 198
- 10. 10
ธรรมดาของโลก และสิ่งส�ำคัญที่สุดที่จะท�ำให้ทุกคนมีความสุขได้ ไม่
ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจตนเอง
ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม เราสามารถหาความสุข
สงบได้
“ที่จริงในบ้านของตัวเองมันก็เป็นที่สงบสุขได้ ในห้องนอน
ของเราก็ได้ ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ห้องนอนก็เป็นที่ที่สงบได้
แต่อาตมาพบว่าหลายคนแม้จะอยู่ในห้องคนเดียวก็ไม่สงบ เพราะ
เดี๋ยวก็มีเสียงโทรทัศน์เข้ามา มีอีเมล์ มีเฟซบุ๊ก มีแบล็กเบอร์รี่ดัง มี
เอสเอ็มเอสเข้ามา มันไม่สงบแม้จะอยู่คนเดียว เพราะว่าคุณปล่อย
ให้ข้อมูลข่าวสารมันหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตจิตใจ ทางออกที่ดีคือคุณ
ควรปิดโทรทัศน์บ้าง ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ปิดมือถือ อย่าเปิดตลอด
เวลา บางครั้งมันวุ่นวายมาก วันเสาร์อาทิตย์ก็ปิดบ้าง อาตมารู้จัก
คนหลายคน บางทีเขามีอาชีพการงานที่ต้องรับผิดชอบ เป็นนักข่าว
นักหนังสือพิมพ์ เป็นฝรั่ง เย็นวันศุกร์จนถึงเช้าวันอาทิตย์ปิดโทรศัพท์
อยู่กับครอบครัวและตัวเอง ออกไปจ๊อกกิ้ง อาตมาคิดว่าเราไม่ต้อง
ไปไหนหรอก แค่อยู่บ้าน หาโอกาสที่จะอยู่คนเดียวจริงๆ แล้วปิด
เครื่องมือสื่อสารทั้งหลาย ต่อมาก็หันมามองตน หันมาดูจิตใจบ้าง
ถ้าหากว่าคนเราว้าวุ่นเพราะใจ ไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก แม้อยู่คน
เดียวในป่าคุณก็จะว้าวุ่น ถ้าใจคุณเตลิดเปิดเปิงไป บางคนอยู่ในป่า
อยู่ในห้องคนเดียวบางทีอยู่ไม่ได้ เพราะว่าใจมันว้าวุ่น ปรุงแต่งไป
ต่างๆแล้วคนเรานี่ชอบหนีตัวเองทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ก็เลยหนีไปหา
เพื่อน หนีไปคุย ไปเที่ยว ไปเล่นเฟซบุ๊ก เสร็จแล้วก็บ่นว่าไม่มีเวลาให้
กับตัวเอง แต่ครั้นเวลาอยู่คนเดียวจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมัน
- 11. 11
ว้าวุ่น แล้วเราควรท�ำอย่างไร วิธีแก้คือมีสติรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด
ที่ปรุงแต่ง พอรู้ปุ๊บแล้ววาง ไม่ใช่ห้ามคิด ให้มีสติรู้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่
ค่อยมีเวลากลับมาดูใจของตัวเอง แม้อยู่คนเดียวก็เจอแต่ความทุกข์
แต่การรู้ทันความคิดแล้ววางได้ แม้ว่ามันจะมีเสียงมากระทบก็ไม่มี
ปัญหา แต่มีปัญหาเพราะว่าใจเราไม่ชอบเสียงนั้น ใจเรามีปฏิกิริยา
ต่อเสียงที่แทรกเข้ามา แต่ถ้าเรามีสติ เรารู้ว่ามีอะไรแทรกเข้ามา เรา
รู้ก็ท�ำใจให้เป็นกลาง เสียงดังก็ท�ำอะไรเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่ง
ที่ส�ำคัญที่สุดที่ช่วยให้เราไม่ต้องหนีไปไหน มันต้องเริ่มหาที่หาทางที่
สงบให้ตัวเอง ปิดเครื่องมือสื่อสาร แล้วจากนั้นก็หันมาดูใจ มาเจริญ
สมาธิ ภาวนาให้มีสติ”
ต้องรู้จักท�ำใจ เราถึงจะสามารถอยู่กับความขัดแย้งได้อย่าง
มีความสุข
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของการท�ำใจ มองว่าหนึ่ง ความขัดแย้งเป็น
เรื่องธรรมดา แม้แต่เราบางทีอยู่คนเดียวเราก็ยังขัดแย้งกับตัวเอง จะ
ไปเที่ยวที่ไหนดี ก็มีสองสามความเห็นในใจ ต้องมองว่าความขัดแย้ง
เป็นเรื่องธรรมดา มองความขัดแย้งอย่างเข้าใจ ประการที่สองมอง
ว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เป็นความต่างกันเฉพาะบางแง่มุม บาง
ด้าน เวลาคนสองคนขัดแย้งกันไม่ใช่ว่าเขาขัดแย้งกันทุกเรื่อง เพราะ
ขัดแย้งในบางเรื่อง เขาอาจจะเห็นตรงกัน อยู่เก้าสิบห้าอย่าง แต่อาจ
จะเห็นต่างกันห้าอย่าง ก็ไม่ควรที่จะทะเลาะ มองกันเป็นศัตรู เราเห็น
ต่างกันแค่นั้นท�ำไมเราต้องเป็นศัตรูกับเขา เขาเองก็มีอะไรเหมือนกับ
เราเหมือนกับเขาพูดง่ายๆคือก�ำจัดความขัดแย้งความเห็นด้วยหรือ
ไม่เห็นด้วยในความคิดของเขาเป็นบางเรื่อง มันท�ำให้เราเป็นเพื่อนกับ
เขาได้ แม้ว่าจะเห็นไม่ตรงกัน”
11
- 13. 13
ความรักที่ท�ำให้เกิดทุกข์
ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ความรักใน
ทางพุทธศาสนา คือความรักที่เรียก
ว่าเมตตา
“รักมันท�ำให้เกิดทุกข์ คือ
รักที่หมายถึงการยึดมั่นถือมั่น เพื่อ
สนองตัวเอง รักเขาเพื่อต้องการให้
เขามาปรนเปรอ หรือเรารักเขาที่เขา
สามารถให้ความสุขความสบายกับ
เราได้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยาก
ให้เขาเป็นแบบที่เราคิด มันท�ำให้เกิดทุกข์ มันท�ำให้เกิดการท�ำร้าย
กัน แบบนี้ไม่ได้เป็นความรัก เพราะความรักในทางพุทธศาสนา คือมี
ความรักที่เรียกว่าเมตตา ความรักที่เป็นการยึดมั่นถือมั่นเพื่อสนองตัว
ตนของเรา เราเรียกว่าเสน่หาหรือราคะ ความรักแบบนี้ท�ำให้เกิดทุกข์
ทั้งผู้ถูกรักและผู้รัก แต่ว่ามันก็ให้ความสุขในชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือ
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนเออออห่อหมกกัน แต่พอขัดแย้งกันก็เริ่มทุกข์
แล้ว หรือว่าตายจากกันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ แต่ความรักที่เรียกว่าเมตตา
ปรารถนาดีโดยที่ไม่ต้องการอะไรจากเขา มีให้แต่ความปรารถนาดี
อาตมาเชื่อว่าทุกวันนี้ที่โลกอยู่ได้เพราะมีความรักแบบนี้มาเจือปน
บางทีก็ไปผสมอยู่กับความรักประเภทแรก คนเราบางทีก็ไม่ได้มีแต่
เสน่หาอย่างเดียว มันมีเมตตาเข้าไปด้วย เช่นความรักระหว่างสามี
ภรรยา พ่อแม่ลูก เพื่อน มันมีเมตตาเข้าไปผสม มากบ้างน้อยบ้าง ตรง
นี้ต่างหาก ที่ท�ำให้โลกอยู่ได้ เพราะมันท�ำให้เกิดการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล
- 14. 14
กันอย่างแท้จริง ถ้าขาดเมตตาธรรมนี่โลกอยู่ไม่ได้เลย เพราะ
พระพุทธเจ้าบอกว่าเมตตาธรรมค�้ำจุนโลก คือถ้าไม่มีเมตตา โลก
มันคงพินาศไปแล้ว ทุกศาสนาก็เน้นชูประเด็นความรักแบบนี้ คือ
ความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ที่ฝรั่งเรียกว่าความรักแบบ
ไม่มีเงื่อนไข แต่ว่าตราบใดที่เราปฏิเสธความรักแบบประเภทแรก
ไม่ได้ ก็ควรพัฒนาให้มีความรักแบบที่สองเข้ามาเจือปน เข้ามาเป็น
ตัวน�ำ จะช่วยท�ำให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ปัญญาทางวิทยาศาสตร์และปัญญาทางธรรมนั้นจ�ำเป็นที่
จะต้องอยู่คู่กันไป
“วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของความรู้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของ
คุณค่า วิทยาศาสตร์ยากที่จะบอกว่าอะไรดีไม่ดี แต่วิทยาศาสตร์
บอกอะไร ท�ำไม อย่างไร แต่ว่าดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องของจริยธรรม
เป็นเรื่องของฝ่ายศาสนา แต่ศาสนาบางทีก็ตัดสินผิด นี่คือเรื่องที่
หนึ่ง วิทยาศาสตร์คือเรื่องของความรู้ แต่ไม่ใช่เรื่องคุณค่า
“สองมันคือเรื่องของการพัฒนาสมองแต่ไม่ใช่เรื่องของ
การพัฒนาจิตใจ เรื่องของการพัฒนาจิตใจเป็นเรื่องของคุณธรรม
เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม เรื่องของการท�ำความดี มันนอก
ขอบข่ายของวิทยาศาสตร์ บางทีก็ใช้วิทยาศาสตร์ในการท�ำลาย
อย่างเช่นฮิตเลอร์ใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีรมแก๊สชาวยิวตาย
ไปหกล้านคน เราใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ เพื่อ
สร้างเทคโนโลยีท�ำลายสิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์มันมีขอบเขต
จ�ำกัดแต่ส�ำคัญต้องพัฒนาจิตใจ ถ้าถามว่าวิทยาศาสตร์อย่าง
เดียวพอไหม บอกเลยว่าไม่พอ ไอน์สไตน์พูดว่ามนุษย์เราต้องการ
- 15. 15
ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา ต้องมีสองอย่างคู่กัน มีศาสนาไม่มี
วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ ศาสนาจะพาไปงมงาย ถ้ามีวิทยาศาสตร์แต่ขาด
ศาสนา คนก็อาจจะท�ำร้ายด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี คนเราทุกวันนี้
เอาเข้าจริงๆ นักวิทยาศาสตร์ที่เจริญคือเจริญในรูปของเทคโนโลยี แต่
ความคิดแบบวิทยาศาสตร์มันไม่ได้ซึมไปถึงจิตใจผู้คน บางทีถึงจะ
เจริญ แต่คนก็ยังงมงาย ไสยศาสตร์ก็ยังเฟื่องฟู เพราะว่าเราไม่ได้คิด
แบบวิทยาศาสตร์ เราเชื่อง่าย มีข่าวลืออะไรก็เชื่อ โดยที่ไม่ตั้งค�ำถาม
มีวัวหกขา ก็ไปกราบไหว้ โดยที่ไม่ได้มองว่ามันก็เป็นเรื่องผิดปกติทาง
ธรรมชาติเท่านั้นเอง แล้วตอนนี้ก็ลือกันใหญ่ว่าจะเกิดภัยพิบัติ แล้ว
คนที่ลือก็โหราศาสตร์ นักพยากรณ์ก็มีส่วน ก็ไม่ได้ใช้ความคิดทาง
วิทยาศาสตร์มาพูด มาคิด พูดแล้วน่าเชื่อถือไหม เพราะฉะนั้นท�ำให้
คนแตกตื่น คนก็ยังงมงายต่อไป คนก็ยังเห็นแก่ตัวต่อไป คนก็ยังเอา
รัดเอาเปรียบกันต่อไป มันก็เลยเกิดความวุ่นวาย”
คนเก่งกับคนดี สามารถอยู่คู่กันในคนคนเดียวได้
“ในทางพระพุทธศาสนาพูดถึงปัจจัยหลักๆ ที่ท�ำให้คนเป็น
คนเก่งและคนดี หนึ่ง ปัจจัยภายนอกคือกัลยาณมิตร รวมถึงสิ่ง
แวดล้อม สื่อมวลชน หนังสือ ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ เข้าใจง่ายๆ คือ
กัลยาณมิตร อันที่สองคือปัจจัยภายใน โยนิโสมนสิการ คือว่าคิดเก่ง
ฉลาดคิด คิดถูก คิดเป็น คิดชอบ พูดง่ายๆ คือฉลาดคิด ตรงนี้มันจะ
ท�ำให้เกิดปัญญา เก่งในทางโยนิโสมนสิการ จะท�ำให้รู้จักคิด คน
เราจะเก่งได้ต้องรู้จักคิด ไม่ใช่แค่มีข้อมูลเยอะ ข้อมูลเยอะไม่ส�ำคัญ
แม้ว่าคุณมีข้อมูลน้อยแต่ถ้าคุณรู้จักคิดคุณก็จะสามารถฉลาดได้
เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องท�ำให้เกิดกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ
มันย้อนกลับไปที่อาตมาพูด คือมันอยู่ที่การเลี้ยงดู การศึกษา ซึ่ง
- 18. 18
เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสุข
“ถ้าเราถอดถอนทิฐิ ไม่มี
สิ่งที่ถูกใจเราเป็นของเรา ไม่มี
กายเรา ไม่มีใจเรา แต่มันเป็น
ธรรมชาติล้วนๆ ได้เมื่อไหร่ เราจะ
กลายเป็นคนที่อยู่ในโลกใบนี้ ที่
โลกนี้ไม่มีตัวเรา มีแต่การกระท�ำ
มีแต่ความรู้สึก เกิดดับฉับพลัน
อิสสรชนเช่นนี้จะพึ่งพาหัวใจตัว
เองได้”
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
ธรรมดาของความเปลี่ยนแปลงย่อมน�ำมาซึ่งความทุกข์ ยิ่ง
โลกหมุนเร็วมากเท่าไรคนก็ยิ่งทุกข์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ผู้คน
ไม่มีเวลาแม้กระทั่งหยุดทบทวนตัวเอง หลายคนเลือกที่จะเสพสุขโดย
แลกมาจากผลตอบแทนของการท�ำงาน โดยไม่รู้ทางออกของการแก้
ความทุกข์คืออะไร ‘แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต’ คือมนุษย์คนหนึ่งที่ใน
อดีตก็เคยมีทุกข์ แต่เพราะธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท�ำให้
ปัจจุบันนี้ท่านได้กลายเป็นผู้ชี้ทางออกแห่งทุกข์แก่ผู้คนในสังคม
เมือง ผ่านสถานที่ที่สงบร่มเย็นอย่างเสถียรธรรมสถาน หนุ่มสาว
สมัยใหม่ชอบมีค�ำถามว่า ท�ำอย่างไรจะสุขใจได้ในสังคมปัจจุบัน บท
- 20. 20
กระท�ำ มีแต่ความรู้สึก เกิดดับฉับพลัน อิสรชนเช่นนี้จะพึ่งพาหัวใจตัว
เองได้”
คนปัจจุบันเบื่อง่าย ไม่ชอบอะไรจ�ำเจ แต่เราสามารถจัดการ
มันได้
“เราต้องรู้ว่าความเบื่อมาจากไหน เบื่อมาจากความคิดปรุง
แต่ง เวลาที่เราคิดอะไรแล้วไม่ร่าเริงไม่เบิกบาน ความเบื่อเกิดจาก
ความคิดที่ไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง เราอาจจะแก้ความเบื่อด้วยการ
ถ่ายพลังของตัวเอง การออกก�ำลังกาย การรู้จักรับประทานอาหาร
และการพักผ่อนที่ดี จะท�ำให้เรามีทุนของชีวิตในฝ่ายของกายภาวนา
เข้มแข็งขึ้น และจิตของเราก็จะมีสติอารักขาจิตได้ทุกลมหายใจ
ความเบื่อเป็นแบบฝึกหัดที่ท�ำให้เรารู้ว่า เราต้องเผชิญกับสิ่งที่เราจะ
คิดครั้งใหม่ที่คมกว่าเก่า ถ้าเรารู้ว่าคิดอย่างนี้ผลเป็นอย่างนี้ และคิด
อย่างไรผลมันถึงจะเปลี่ยน การเข้าไปเห็นถึงลู่ทางของการเกิดขึ้นของ
ความเบื่อเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง ถ้าเราคิดอะไรซ�้ำๆ ถอนหายใจลึกๆ
เราก็ยังไม่สดชื่น ให้เราถ่ายพลังสักหน่อยก็ได้ เช่น ออกไปท�ำอะไรให้
กระฉับกระเฉงขึ้นแล้วกลับมาคิดด้วยจิตที่รู้เท่าทันความคิดมากขึ้น
ถ้ารู้คิดไม่หลงคิด ความเบื่อก็เป็นเรื่องที่สามารถแก้ได้ง่ายๆ”
สุขจากวัตถุนิยม สุขจริงหรือไม่
“นี่เป็นธรรมชาติหนึ่งของคนที่อยู่ในวัฒนธรรมบริโภคนิยม
อย่าไปมองว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ถ้าเราบริโภคนิยมจนเราขาดอิสรภาพ
เรากลายเป็นมนุษย์ที่ต้องเสพก่อนจึงจะสุข ที่เสถียรธรรมสถาน การ
ท�ำงานคือความสุข เป็นความสุขเมื่อสร้าง ไม่ใช่สุขเมื่อเสพ ในขณะ
ที่เราสร้างงาน เราจะพบว่าความสุขในปัจจุบันขณะท�ำให้เราถึงเป้า
- 27. 27
“เราต้องรู้จักสองสิ่งนี้ก่อน ปัญญาทางโลกก็คือ ท�ำอย่างไร
ให้รวยมากขึ้น ท�ำอย่างไรให้มีชื่อเสียงมากขึ้น อาจเป็นด้วยวิธีการที่
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าปัญญาทางโลกจะสนับสนุน
ให้เราไปสู่จุดนั้น ค้าขายเก่ง อาจค้าขายมาผ่านขบวนการการคดโกง
ก็ได้ คดโกงเก่ง คนโกงเนียนมาก คนจับไม่ได้นี่เป็นปัญญาทางโลก”
“พอเป็นปัญญาทางธรรมแล้ว ปัญญาทางธรรมตัวนี้จะต้อง
น�ำเราไปสู่ความสุข แต่ต้องเป็นความสุขที่แท้จริงนะ ไม่ใช่ความสุข
จอมปลอม น�ำเราไปสู่การละคลายซึ่งความทุกข์ การละคลายซึ่ง
ความทุกข์ ฐานของความทุกข์ แก่นของความทุกข์ คือการยึดมั่นถือ
มั่นในตัวตน”
“เพราะฉะนั้นปัญญาในทางโลกทางธรรมมันจะมาเพื่อจุด
ประสงค์ต่างกัน ปัญญาทางโลกจะไปในแนวครอบครอง ‘To Have’
ในขณะที่ปัญญาทางธรรมจะเป็นไปในแนว ‘To Be’ ใช้ค�ำว่าปัญญา
เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นทางโลกกับทางธรรม จะมีเป้าหมายต่างกัน”
หลวงแม่บอกว่า แม้เราจะมีปัญญาทางโลกมากแค่ไหน
ก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะสามารถเข้าใจถึงปัญญา
ทางธรรมที่แก้ไขความทุกข์ได้มากกว่าคนอื่น
- 35. 35
สถาปนิกผู้ออกแบบการเรียนรู้แบบใหม่ให้เด็ก
“มีคนถามเสมอว่าจากสถาปนิกมาเป็นนักการศึกษาได้
อย่างไร สิ่งหนึ่งก็คงมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเองที่ได้พบเจอ
กับการเลี้ยงลูก เพราะลูกเราเขามีความบกพร่องเรื่องการเรียนรู้ ตอน
นั้นการรักษาเด็กที่มีภาวะแบบนี้เป็นเรื่องยาก เราก็มาคิดว่าควรจะท�ำ
อย่างไรที่จะท�ำให้เขาสามารถเรียนรู้ได้เหมือนเด็กอื่นๆ ในใจลึกๆ เรา
เชื่อว่าเขามีศักยภาพอยู่ในตัวเอง อยู่ที่เราว่าจะสามารถดึงศักยภาพ
นั้นออกมาได้อย่างไร จากความเชื่อลึกๆ เราก็เริ่มศึกษามากขึ้น ก็เริ่ม
เข้าใจว่า จริงๆ ลูกเราสามารถเรียนรู้ได้นะ เราแค่ต้องหาวิธีที่ถูก เรา
จึงใช้วิธีเปิดการเรียนรู้กับเขา เข้าไปอยู่ในโลกของเขา ลองใช้วิธีการ
เรียนรู้แบบเขาดู เหมือนเราเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเขา ก็เริ่มสื่อสารกัน
ได้มากขึ้น ปรับให้เขาอยู่ในโลกปรกติได้มากขึ้น ตอนไปเข้าโรงเรียน
สาธิตจุฬาฯ ครู ป. 1 ก็ช่วยได้มาก เขาช่วยสร้างเรื่องภาษาที่ใช้ในการ
สื่อสารตลอดจนวิธีการเรียนรู้ต่างๆนานาเราปรึกษากันตลอดเหมือน
ท�ำวิจัยลูก สอนกันไปสักเทอมหนึ่ง จากที่อ่านหนังสือไม่เป็น ไม่รู้วิธีที่
จะเรียนตามปรกติ อยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็อ่านหนังสือพิมพ์แบบผู้ใหญ่ได้
และเรียนจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ นั่นจึงท�ำให้เราเริ่มเชื่อ
ในเรื่องมนุษย์มากขึ้น เชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติอันพิเศษ คือมีความ
สามารถที่จะพัฒนาการเรียนรู้ของตัวเอง พัฒนาจากข้างใน ซึ่งมิตินี้
คนไม่ค่อยมอง แต่ว่าเมื่อเราเริ่มใช้วิธีอย่างนี้กับตัวเองและลูก เราเริ่ม
รู้ว่าความสามารถของมนุษย์มันพัฒนามาจากภายใน คนส่วนใหญ่
จะให้ความส�ำคัญกับการสอนเรื่องข้างนอกเป็นตัวตั้ง แต่ไม่ค่อยรู้
ข้างในตัวเอง ไม่ค่อยรู้ถึงภาวะของการรับรู้ ดังนั้นการจัดการเรื่องราว
ต่างๆ เกี่ยวกับการให้ความรู้ก็จะข้ามขั้นตอนนี้ไป”
- 37. 37
กระบวนการคิดแบบพุทธศาสนาคือหลักยึดส�ำคัญในการ
เรียนรู้
“โยนิโสมนสิการ คืออะไร ก็คือ วิธีการคิดที่แยบยล คิดอย่าง
มีเหตุมีผล คิดอย่างสืบสาว คิดอย่างมีที่มาที่ไป คิดอย่างเข้าสู่ความ
จริง คิดอย่างเห็นธาตุแท้ธาตุเทียม เพราะฉะนั้นเราน�ำสิ่งเหล่านี้มาสู่
กระบวนการเรียนรู้ เราแทรกไปกับการเรียนการสอน เมื่อเด็กได้เรื่อง
เหล่านี้ พร้อมไปกับพัฒนาศักยภาพของตัวเองแล้ว เขาจะเป็นคนที่
สามารถเข้าใจอะไรได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ในเรื่องธรรมะ เด็กจะสามารถ
เข้าใจหลักเรื่องทุกข์และการแก้ความทุกข์ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็ก
เขาจะตรงไปตรงมากว่า เขารู้ว่าถ้าไม่คิดจะไม่ทุกข์ คนเรายิ่งทุกข์ก็
เพราะการคิด คิดโน่นนี้ไม่รู้จักปล่อยวาง สุดท้ายก็เป็นทุกข์ เรื่องนี้
ผู้ใหญ่เป็นมากกว่าเด็ก เพราะเด็กเมื่อเขาเข้าใจแล้ว เขาก็จะบอกว่า
คิดท�ำไม ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์ แต่ผู้ใหญ่มักท�ำไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ทันตัว
เองและไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเท่ากับเด็ก”
- 39. 39
ผู้ใหญ่ต้องท�ำให้รู้ว่าเยาวชนคือคนส�ำคัญ เพราะเยาวชนนั้น
คือความหวังของโลก
“ผู้ใหญ่ต้องท�ำให้เยาวชนรับรู้ว่าเขามีก�ำลังของสติปัญญา
เป็นอนาคตที่ส�ำคัญของโลก พลังของเยาวชน ถ้าหากใช้ให้ถูก จะ
เหมือนกับได้สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับโลกใบนี้ เยาวชนมีพลังชีวิตที่ดี จะ
ท�ำอะไรก็ท�ำได้ ส�ำเร็จไปหมด แต่ถ้าหากเลยเวลานั้นไปแล้ว มาเริ่ม
ตอนแก่ จะท�ำอะไรมันจะช้า มันไม่แจ่มใสเหมือนตอนเป็นเยาวชน
เยาวชนท�ำอะไรได้เหมือนผู้ใหญ่ คิดอะไรก็คิดได้เหมือนผู้ใหญ่ เข้าใจ
อะไรก็เข้าใจเหมือนผู้ใหญ่ แม้ว่าประสบการณ์มีไม่มากเท่า แต่ก็ขอ
ให้เขามีสติปัญญาพอที่จะท�ำความรู้ความเข้าใจได้เสมอกันกับผู้ใหญ่
อย่าไปรอว่า เรื่องอย่างนี้ต้องรอแก่ๆ ซะก่อนค่อยรู้ ไม่ใช่ รีบๆ รู้ไป
เลย อย่าให้ชีวิตเราสูญเปล่าไปกับความฟุ้งเฟ้อเกินไป ยังมีของที่เรา
ต้องค้นพบ มีค่ามากกว่านั้นอีกมากมาย ที่เราต้องค้นให้พบ เพราะ
ฉะนั้นลองมาสนใจในเรื่องที่เป็นเรื่องตัวของเราเอง เป็นชีวิตของเรา
เอง ทั้งร่างกายและจิตใจของเราเอง ถ้าแต่ละบุคคลได้พัฒนาตัว
เองให้ดีที่สุดแล้ว โลกนี้ก็จะน่าอยู่มาก ไม่ต้องมีใครมาคอยตามจับ
ผู้ร้ายที่ไหน ถ้าทุกคนเข้าใจอย่างนี้ได้โลกก็จะสันติสุข เหมือนที่ท่าน
พุทธทาสท่านสอนไว้ว่า เยาวชนคือสันติภาพของโลก”