การลักขโมย
- 1. การลักขโมย
จัดทาโดย
นางสาวกานต์สินี สังเมียน เลขที่ 23
นางสาวสุวลักษณ์ พุทธมนต์ เลขที่ 26
นางสาวชลันทร สัตยชิติ เลขที่ 27
นางสาวบุษกร เรืองโรจน์ เลขที่ 28
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2
เสนอ
คุณครู ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
รายงานการศึกษาค้นคว้าและการสร้างความรู้(IS)นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ กาญจนบุรี
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 8
- 2. ก
คำนำ
รายงานเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาค้นคว้าและการสร้างความรู้(IS) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมี
จุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้และปัญหาจากสังคมภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อตัวเราเช่น ปัญหาการ
ลักขโมย ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การเลี้ยงดูบุตรหลานปลูกฝังให้เป็นคนดีของสังคม ความผิดทางกฎหมาย
สาเหตุของการลักขโมย ผลกระทบจากการลักขโมย และแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งสามารถนาปรับมาใช้
ในชีวิตประจาวันได้
คณะผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อนี้มาทารายงานเนื่องจากเป็นยังเป็นปัญหาของสังคมที่เราสามารถร่วมกัน
แก้ไขปัญหานี้ได้อย่างถูกวิธี มาเรียบเรียงให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น คณะผู้จัดทาหวังว่ารายงานเล่มนี้จะมี
ประโยชน์ต่อผู้อ่านมามากก็น้อย ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดต้องขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทา
31 สิงหาคม 2559
- 3. ข
กิตติกรรมประกำศ
รายงานการศึกษาค้นคว้าและการสร้างความรู้(IS) เรื่อง การลักขโมย ซึ่งรายงานได้ดังกล่าวได้เสร็จ
สมบูรณ์แล้วโดยได้รับความอนุเคราะห์จากบุคคลหลายท่าน ท่านแรก คุณครูทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม ครูผู้สอนที่
ให้ความรู้ คาแนะนาการตรวจทาน และแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆด้วยความเอาใจใส่ทุกขั้นตอน และเพื่อนๆ ม.
5/2 ที่แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด เพื่อให้การเขียนรายงานค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ฉบับนี้ให้สมบูรณ์
ที่สุด
ขอขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ คาแนะนาในการจัดทารายงานการศึกษาค้นคว้าและการ
สร้างความรู้(IS)ฉบับนี้
ขอขอบคุณบิดา มารดาของคณะผู้จัดทาที่อยู่เบื้องหลังในความสาเร็จและได้ให้ความช่วยเหลือ
สนับสนุน อีกทั้งคอยให้กาลังใจเสมอมา
คณะผู้จัดทา
- 5. ง
สำรบัญรูปภำพ
แผนภาพ หน้า
1.1 ภาพการประชุมกลุ่ม 12
1.2 งาน #ก 12
1.3 งาน #ก 12
1.4 งาน #ก 13
1.5 งาน #ก 13
1.6 งาน #ก 13
1.7 งาน #ก 14
1.8 งาน #ก 14
1.9 งาน #ก 14
2.0 งาน #ก 15
2.1 งาน #ก 15
2.2 งานย่อย 4 16
2.3 งานย่อย 8 16
2.4 งานย่อย 8 16
2.5 งานย่อย 8 17
2.6 งานย่อย 8 17
- 6. 1
บทที่ 1
ควำมหมำย
ความหมายของการลักขโมย
ผู้ที่นาเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาด้วยกับการกดขี่หรือบังคับขู่เข็ญ ซึ่งเขาไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของสิ่งนั้น
เลยแม้แต่นิดเลย แต่เขาก็ได้ยึดเอาของสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง หรือผู้ที่ได้ละเมิดทรัพย์สินของคนอื่นและ
ได้ตักตวงผลประโยชน์จากมัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยึดของสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเองก็ตาม ตามหลักชัรอียถือว่า
เป็นการขโมย
รวมไปถึงการหยิบฉวยของคนอื่นมาใช้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ เช่น ของฝากที่คนหนึ่งได้
ฝากไว้กับเราและเรานาเอาสิ่งของเหล่านั้นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือมิได้ขออนุญาต หรือแจ้งให้
เจ้าของทราบก่อนล่วงหน้า เหล่านี้ถือว่าอยู่ในกฎของการขโมยทั้งสิ้น
ฉะนั้น การขโมยจึงหมายถึง การเป็นเจ้าของหรือการปกครองทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยมิชอบ หรือ
ได้ละเมิดสิทธิของเจ้าของเดิม
ลักษณะการกระทาที่เป็นความผิดทางขโมย
1. คาว่า “เอาไป” คือการเอาทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาทรัพย์นั้นไปได้ และทรัพย์นั้นเข้า
มาอยู่ในความยึดถือครอบครองเพื่อตนแล้ว “แม้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการเอาไป
แล้ว” ถึงแม้ผู้กระทาจะยังไม่เอาทรัพย์นั้นไปหรือถูกขัดขวางในภายหลังและเอาทรัพย์นั้นไปไม่ได้ก็ตาม
ต้องถือว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สาเร็จ
2. การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปนั้น “อาจกระทาโดยทางอ้อม โดยใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือก็ได้”
3. เพียงแต่เอาทรัพย์เคลื่อนที่อย่างเดียว แต่ไม่อยู่ในลักษณะที่จะเอาทรัพย์นั้นไปได้ “คือยังไม่ได้มีการยึดถือ
เลย” เป็นเพียงความผิดฐานพยายามลักทรัพย์
4. การลักทรัพย์โดยใช้อุบายนั้นใกล้เคียงกับความผิดฐานฉ้อโกงมาก การลักทรัพย์โดยใช้อุบาย การ
หลอกลวง “เป็นวิธีการเพื่อทาให้การลักทรัพย์สะดวกขึ้นเท่านั้น”ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงการหลอกลวง
นั้นทาให้ผู้ถูกหลอกหลงเชื่อและมอบทรัพย์ให้หรือยอมให้เอาทรัพย์นั้นไปด้วยความเต็มใจ
5. ทรัพย์นั้นต้องเป็นของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยและทรัพย์นั้นต้องอยู่ในความครอบครองของ
ผู้อื่นในขณะที่เอาทรัพย์นั้นไปถ้าทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้กระทาเองในขณะที่เอาไปแล้วไม่
- 7. 2
เป็นความผิดฐานลักทรัพย์แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์“การเอาทรัพย์ของตนเองแต่ผู้เดียวไปไม่
เป็นความผิดฐานลักทรัพย์” แม้ทรัพย์นั้นจะอยู่ในความครอบครองของผู้อื่น
6. ในกรณีที่ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่มีเจ้าของร่วมกัน การเอาทรัพย์ชนิดนี้ไป“จะต้องอยู่ในความครอบครอง
ของเจ้าของร่วมโดยแท้จริง” ไม่ใช่เพียงมีสิทธิครอบครองร่วมกันเท่านั้น
7. ในเรื่องทรัพย์สินหาย หรือของตกหายนั้น ถือหลักว่าถ้าเก็บไปโดยรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าทรัพย์นั้นอยู่ใน
ระหว่างที่เจ้าของกาลังติดตาม หรือกาลังจะติดตามทรัพย์นั้นคืน ถ้าเอาทรัพย์ไปตอนนี้ “เป็นความผิดฐานลัก
ทรัพย์” แต่ถ้าเอาไปโดยไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นการได้ทรัพย์หาย “เป็นความผิดฐาน
ยักยอกทรัพย์”
8. การได้รับมอบหมายทรัพย์จากเจ้าของให้ดูแลแทนเพียงชั่วคราวหรือเจ้าของไปด้วย ถือว่าการครอบครอง
ทรัพย์นั้นยังอยู่กับเจ้าของ “ถ้าเอาไปขณะนี้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์”
9. การลักทรัพย์นั้น การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปผู้กระทา “ต้องมีเจตนาทุจริตมาก่อนหรือในขณะที่เอาทรัพย์
นั้นไป” ถ้ามีเกิดขึ้นภายหลังไม่ผิดฐานลักทรัพย์แต่อาจเป็นความผิดฐานอื่น เช่น ยักยอกทรัพย์
10. การเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยมีเจตนาเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่โดยทุจริตคือ
ไม่ใช่เพื่อถือทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นแล้ว “ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์”
11. การลักทรัพย์นั้นถ้ากระทาโดยมีเจตนาทุจริตเพื่อกระทาการลักทรัพย์และได้ลงมือกระทาการลักทรัพย์
เช่นการเข้าไปในบ้านแต่ไม่มีสิ่งของหรือลงมืองัดแงะประตูแล้ว แม้จะมีเหตุมาขัดขวางทาให้การลักทรัพย์
ต่อไปไม่ได้“ก็ถือว่ามีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์แล้ว”
12. ลักทรัพย์เสร็จแล้ว เอาทรัพย์นั้นมาทาลายภายหลัง “ไม่ผิดฐานทาให้เสียทรัพย์อีก”
13. ลักทรัพย์สาเร็จแล้ว มีผู้อื่นมาช่วยพาทรัพย์นั้นไป ไม่เป็นการสมคบลักทรัพย์แต่ถ้าผู้กระทารู้ว่าเป็น
ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทาผิด “เป็นความผิดฐานรับของโจร”
14. สมคบกันลักทรัพย์ได้มาและได้แบ่งกันไปแล้ว ภายหลังผู้ลักคนหนึ่งได้รับทรัพย์นั้นไว้อีก “ไม่มี
ความผิดฐานรับของโจร”
15. การซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ได้กาหนดลงไว้แน่นอนแล้ว กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อทันทีแม้ยังไม่ได้
ชาระราคา ถ้ายังไม่ได้มอบการครอบครองให้ ถ้าผู้ขายเอาไปเสียก่อนที่จะส่งให้ “เป็นความผิดฐาน
ยักยอก” ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์เพราะการครอบครองยังอยู่กับผู้เอาไป
- 8. 3
16. กระแสไฟฟ้า เป็นทรัพย์
17. “ศพ โดยปกติไม่ใช่ทรัพย์”แต่ถ้าศพนั้นได้ดองไว้เพื่อใช้ในการศึกษาหรือทาเป็นมัมมี่ไว้ก็อาจเป็น
ทรัพย์ได้เพราะเป็นสิ่งที่มีราคาและถือเอาได้
18. ฆ่าคนแล้วจึงลักทรัพย์ โดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง “เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและ
ความผิดฐานลักทรัพย์” แต่ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์ฯ
19. ทรัพย์ของผู้อื่นที่เอาไปนั้น เจ้าของต้องยังไม่ได้สละกรรมสิทธิ์ “ถ้าเจ้าของสละกรรมสิทธิ์เสียแล้ว ไม่
เป็นความผิดฐานลักทรัพย์”
20. ทรัพย์บางอย่างที่มีชีวิตซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงและไปไหนมาไหนได้นั้นแม้จะออกห่างไปจากบ้านของผู้เป็น
เจ้าของ “ก็ถือว่าการครอบครองยังไม่ขาด” เว้นแต่สัตว์นั้นทิ้งที่ไปเลย
21. ทรัพย์บางอย่างที่มีอยู่ตามธรรมชาติและได้รับการประมูลผูกขาด“ผู้นั้นจะต้องได้เข้ายึดถือครอบครอง
หรือทาให้เกิดผลนั้นขึ้นโดยแท้จริงแล้ว” ผู้เอาไปจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์
22. ปลาในบ่อ สระ หลุมที่ขุดล่อไว้หรือในโป๊ ะชั้นนอก ถ้ายังว่ายเข้าออกไปสู่สาธารณะได้โดย
อิสระ “ถือว่ายังไม่มีกรรมสิทธิ์”
ความหมายของกฎหมาย
ได้มีผู้ให้ความหมายของกฏหมายไว้ดังนี้
- กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฏหมายไทย"กฏหมายคือ คาสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการ
แผ่นดินต่อราษฏรทั้งหลาย เมื่อไม่ทาตาม ธรรมดาต้องลงโทษ"
- ดร.สายหยุด แสงอุทัย"กฏหมายคือข้อบังคับของรัฐที่กาหนดความประพฤติของมนุษย์ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับ
ผลร้ายหรือถูกลงโทษ"
กฏหมาย สามารถแยกได้เป็น 2 คาคือ คาว่ากฏซึ่งแผลงมาจากคาว่า กด หรือกาหนดความประพฤติของ
มนุษย์ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายและถูกลงโทษ
จากคาจากัดความของกฏหมายข้างต้น สามารถสรุปความหมายของกฏหมายได้ว่า หมายถึง ระเบียบ
ข้อบังคับ บทบัญญัติซึ่งผู้มีอานาจสูงสุดในรัฐหรือประเทศ ได้กาหนดมาเพื่อใช้ในการบริหารกิจการ
บ้านเมืองหรือบังคับความประพฤติของ ประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นให้ปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความสงบ
สุขในสังคม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฏหมาย
- 9. 4
บทที่ 2
บทลงโทษทำงกฎหมำย
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ความโลภการอยากได้ของของบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่พบเห็นโดยทั่วไปโดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งมีความชอบ
และรสนิยมในสินค้าราคาแพง การเห็นเพื่อนมีของสวยๆ แพงๆ ใช้ก็เกิดการอยากได้มาครอบครองเป็นของ
ตนเอง ทาให้มีความคิดที่จะลงมือขโมยของของเพื่อมาเป็นของเรา วัยรุ่นหลายคนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง
เล็กน้อย ถ้าของของเพื่อนหายไปเดี๋ยวพ่อแม่ของเขาก็ซื้อใหม่ให้ และนอกจากนี้ การขโมยของเพื่อเอาไปขาย
โดยต้องการที่จะนาเงินไปเที่ยวมีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ ไม่แพ้กัน ถ้าหนักไปกว่านั้นวัยรุ่นที่ต้องการเงินมากไม่
ว่าจะด้วยเหตุผลต้องการนาเงินไปเที่ยวหรือเสพยาก็อาจจะกระทาการที่รุนแรงขึ้นได้ เช่น การไถ่เงินจากรุ่น
น้อง การชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ของผู้อื่น กฎหมายเล็งเน้นปัญหาข้อนี้ และเห็นว่าควรจะมีการลงโทษคน
ที่เอาของของผู้อื่นไป ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมสงบสุขไม่วุ่นวายและป้องกันการติดตามเอาทรัพย์คืนจากเจ้าของที่
แท้จริงซึ่งอาจทาให้เกิดความรุนแรงตามมาได้
-การลักทรัพย์
การลักทรัพย์ คือ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไป โดยต้องการจะ
ครอบครองทรัพย์นั้นไว้ เพื่อตนเองเอาไปขายหรือให้กับบุคคลอื่นก็ตามแต่ ผู้ที่กระทาความผิดฐานลักทรัพย์
จะต้องถูกระวางโทษไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 พันบาทการลักทรัพย์นั้นถ้าผู้กระทาได้กระทาในเวลา
กลางคืนหรือในบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด หรือในบริเวณที่มีอุบัติเหตุผู้ที่เข้าไปลักทรัพย์ในบริเวณ
ดังกล่าวจะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้นกว่าการลักทรัพย์ในเวลาสถานที่หรือเหตุการณ์ปกติเหตุที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุการณ์ หรือช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าของทรัพย์กาลังได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถที่จะดูแลทรัพย์
ของตนเองได้และการกระทาในเหตุการณ์หรือช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการกระทาที่ซ้าเติมเจ้าของทรัพย์ที่กาลัง
ได้รับความเดือดร้อน
-ยักยอกทรัพย์
การยักยอกทรัพย์ เป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของบุคคลหนึ่ง แล้วบุคคลนั้นได้
ยึดเพื่อไว้เป็นประโยชน์กับตนเอง ซึ่งทาให้เจ้าของทรัพย์ได้รับความเสียหาย เช่น นาย ก ยืมยางลบ นาย ข ไว้
ใช้ แต่เห็นว่าสวยดีจึงไม่คืน ในกรณีเช่นนี้ นาย ก มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่งจะต้องถูกระวางโทษไม่
เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 พันบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ ข้อควรระวังสาหรับผู้ที่เก็บกระเป๋ าตังค์ตกได้หรือ
ของที่มีคนมาลืมไว้(โดยที่เจ้าของยังติดตามทรัพย์นั้นอยู่) หากนากลับไปเพราะต้องการยึดถือไว้เองแล้วก็มี
ความผิดฐานลักทรัพย์ได้
- 10. 5
-การวิ่งราวทรัพย์
เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หมายถึง เป็นการขโมยเจ้าของรู้ตัวและทรัพย์จะต้องอยู่ใกล้ชิด
ตัวเจ้าทรัพย์ ผู้กระทาการวิ่งราวทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษจาคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตามถ้าการวิ่งราวทรัพย์ทาให้ผู้อื่นได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตเช่น กระชากสร้อยจากเจ้าของแล้ว
สร้อยบาดคอเจ้าของสร้อย ผู้ที่กระทาจะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้นด้วย
-การกรรโชกทรัพย์
การกรรโชกทรัพย์ หากจะยกตัวอย่างให้เห็นได้อย่างชัดเจนคงต้องยกตัวอย่าง กรณีที่พบเห็นได้บ่อย คือ
ก า ร ที่ รุ่ น ที่ บั ง คั บ เ อ า เ งิ น จ า ก รุ่ น น้ อ ง ห รื อ ที่ เ รี ย ก กั น ว่ า " แ ก็ ง ค์ ด า ว ไ ถ่ "
พวกแก็งดาวไถ่มักจะบังคับขู่เข็ญให้รุ่นน้องเอาเงินหรือสิ่งของที่มีค่ามาให้ถ้าไม่เอามาให้ก็มักจะถูกขู่หรือ
ถูกทาร้ายทาให้ต้องยอมตามที่แก็งค์ดาวไถ่บังคับผู้ที่กระทาความผิดในเรื่องนี้นั้นกฎหมายได้กาหนดโทษ
ให้ต้องจาคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท แต่ถ้าผู้ที่กระทาการกรรโชกขู่ว่าจะฆ่า ทาให้ได้รับ
อันตรายอย่างสาหัสหรือมีอาวุธมาขู่ด้วยก็จะได้รับโทษหนักขึ้น
-รีดเอาทรัพย์
การรีดเอาทรัพย์มีลักษณะการกระทาความผิดเหมือนการกรรโชกทรัพย์แต่ต่างกันเฉพาะวิธีการ
บังคับ กล่าวคือ การกรรโชกทรัพย์จะเป็นการขู่ว่าจะทาร้ายทาอันตราย แต่การรีดเอาทรัพย์จะเป็นกรณีที่
ผู้กระทาขู่ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งจะทาให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่ถูกขู่หรือบุคคลอื่น จนผู้ที่ถูกขู่ยินยอม
มอบเงินหรือทรัพย์สินให้ผู้ที่กระทาความผิดฐานนี้จะต้องถูกลงโทษจาคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้ง
แต่ 2 พันบาท ถึง 2 หมื่นบาท
-ชิงทรัพย์
ชิงทรัพย์คือ การลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยการใช้กาลังเข้าทาร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กาลังเข้าทาร้าย
ในทันที ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ยินยอมให้ทรัพย์ไป หรือกระทาไปเพื่อให้เกิดความสะดวก
ในการนาทรัพย์นั้นไป เช่น ขณะที่นายเอกกาลังเดินเล่นอยู่ นาย โท ก็เข้ามาบอกให้สร้อยทองให้ถ้าไม่ให้จะ
ทาร้ายหรือจะเอาปืนยิงให้ตายจนนายเอกต้องยอมถอดสร้อยของตนให้ เป็นต้น
- 11. 6
- ปล้นทรัพย์
การปล้นทรัพย์มีลักษณะเช่นเดียวกับการชิงทรัพย์ต่างกันเพียงว่ามีผู้ร่วมชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
ผู้ที่กระทาความผิดฐานปล้นทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษตั้งแต่ 10 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง
3 หมื่นบาท หากการปล้นทรัพย์ผู้ปล้นคนใดคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวไปด้วย หรือในการปล้นเป็นเหตุให้เจ้า
ทรัพย์หรือบุคคลอื่นได้รับถูกทาร้ายหรือเสียชีวิต ผู้กระทาความผิดทุกคนแม้จะไม่ได้พกอาวุธหรือร่วมทา
ร้ายเจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่นกฎหมายก็ถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการกระทาความผิดด้วยซึ่งมีผลให้จะต้อง
รับโทษหนักขึ้นกว่าการปล้นทรัพย์โดยไม่มีอาวุธหรือไม่ได้มีการทาร้ายผู้ใด
-ทาให้เสียทรัพย์
การทาให้เสียทรัพย์ เป็นกรณีที่ผู้กระทาตั้งใจที่จะทาร้ายหรือทาให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความ
เสียหาย เช่น ไม่พอใจอาจารย์ฝ่ายปกครองจึงเอาเหรียญไปขูดรถของอาจารย์ หรืออิจฉาเพื่อนที่มีโทรศัพท์จึง
เอาโทรศัพท์เพื่อนไปทิ้ง เป็นต้น ผู้กระทาความผิดฐานนี้จะต้องถูกระวางโทษไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6
พันบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ นอกจากการที่ผู้กระทาจะต้องรับในทางกฎหมายอาญาแล้ว ก็มีความผิดทาง
กฎหมายแพ่งด้วยกล่าวคือผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอาจใช้สิทธิฟ้องให้ผู้กระทาผิดให้ชดใช้ค่าเสียหายได้
อีกด้วย
- 12. 7
บทที่ 3
สำเหตุกำรลักขโมย
3.1 การว่างงาน ผู้ที่ว่างงานทาย่อมขาดรายได้สาหรับดารงชีวิต ทาให้สภาพจิตใจและอารมณ์ไม่ปกติ ส่วนผู้
ที่ว่างงานที่อยู่ในชนบท มักใช้เวลาว่างไปในทางอบายมุขเที่ยวเตร่ ดื่มสุรา เล่นการพนัน การว่างงงานจึงทา
ให้ขาดรายได้เลี้ยงชีพเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นชนวนให้เกิดการลักขโมย
3.2 พวกติดสิ่งเสพย์ติด ประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ ครั้นตกเป็นทาสคิดทาอะไรง่ายๆยาเสพย์ติดจึง
มักจะเป็นสะพานเกิดการลักขโมยได้ยาเสพติดความคิดสร้างสรรค์การทางานสมองและจิตใจที่บริสุทธิ์จะ
ถูกบั่นทอนลง ขาดความยั้ง
3.3 การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในปัจจุบันสังคมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาปฏิบัติในการดาเนิน
ชีวิต เช่น การแต่งกาย ความสัมพันธ์ทางเพศ สิ่งของล่อตาล่อใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการลักขโมย
3.4 ความเสื่อมทรามทางศีลธรรม ปัจจุบันสังคมไทยมีวัฒนธรรมทางวัตถุเจริญล้าหน้ากว่าวัฒนธรรมทาง
จิตใจ ฉะนั้นผู้ที่ขาดการอบรมทางจิตใจจึงประกอบการลักขโมยเพื่อแสวงหาวัตถุอันเป็นสิ่งปรารถนา
3.5 ค่านิยมที่ผิด เช่น การเป็นนักเลงโตสร้างกลุ่มอิทธิพลอานาจการขัดแย้งในค่านิยม ของมีค่ามีอยู่จากัด
แต่มีผู้ต้องการมากจึงต้องแข่งขันต่อสู้ช่วงชิงกันเมื่อมีความต้องการรุนแรงไม่มีความชอบธรรมจะได้มา ก็
ฉ้อโกง ลัก ปล้น
3.6 สภาพครอบครัว เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลกระตุ้นให้บุคคลกลายเป็นบุคคลมีปัญหาได้เช่น ครอบครัว
ที่ยากจน ครอบครัวที่บิดามารดายั่วยุให้เด็กกระทาผิด
3.7 สภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ปัจจุบันค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นปฏิภาคกลับกับค่าของเงิน คือ ค่า
ของเงินลดลงทาให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย บุคคลบางประเภทจาต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยการ
ลักขโมยหาเงินโดยทางผิดกฎหมาย1.การว่างงาน ผู้ที่ว่างงานทาย่อมขาดรายได้สาหรับดารงชีวิต ทาให้
สภาพจิตใจและอารมณ์ไม่ปกติ ส่วนผู้ที่ว่างงานที่อยู่ในชนบท มักใช้เวลาว่างไปในทางอบายมุขเที่ยวเตร่ ดื่ม
สุรา เล่นการพนัน การว่างงงานจึงทาให้ขาดรายได้เลี้ยงชีพเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นชนวนให้เกิดการลักขโมย
- 13. 8
บทที่4
ผลกระทบจำกกำรลักขโมย
4.1ผลกระทบต่อบุคคล
- ถูกทาร้ายร่างกายทาให้เกิดการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิต
- สภาพของจิตใจถูกกระทบกระเทือน มีความวิตกกังวล ซึมเศร้า เหม่อลอย ขาดสมาธิ
- เกิดความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
- เกิดการเลียนแบบผู้กระทาความรุนแรง
- สูญเสียทรัพย์สิน
- ไม่มีเงินในการดาเนินชีวิตประจาวัน เช่น จ่าค่ารถ ซื้อของ
- อาจทาให้โดนฉ้อโกง เนื่องจากหลักฐานโดนขโมย จึงทาให้ผู้ไม่หวังดีใช้ช่องโหว่นี้ในการทามาหา
กินอีก
- โดนหลอกให้กู้หนี้ยืมสิน ต้องจ่ายดอกเบี้ยราคาโหด
4.2ผลกระทบต่อครอบครัว
- ครอบครัวแตกแยก มีปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เกิดการเป็นม่าย หรือกาพร้าขาดบิดา
มารดา
- เกิดความยากจนและว่างงาน เพราะบิดามารดาต้องหยุดงานหรือไม่มีงานทา ทาให้ครอบครัวขาด
รายได้
- สูญเสียเครื่องมือในการประกอบอาชีพที่สาคัญ
- ทาให้อาจโดนฉ้อโกง เนื่องจากโดนขโมยหลักฐานหรือทรัพย์สินไป
- ต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อมาใช้สอยในชีวิตประจาวัน
4.3ผลกระทบต่อสังคม
- สังคมเดือดร้อน เกิดความหวาดระแวง ขาดความสงบสุข ประเทศขาดความมั่นคงและความ
ปลอดภัย
- สิ่งแวดล้อมในสังคมไม่ปลอดภัย มีปัญหาอาชญากรรม การจลาจล การลอบทาร้าย การก่อการ
ร้าย โดนลูกหลง เป็นต้น
- เกิดการลักขโมยในโรงเรียน เพราะวัตถุนิยม อยากได้อยากมีในสิ่งที่เราไม่มี
- มีปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ
- 15. 10
บทที่ 5
แนวทำงกำรแก้ไขปัญหำ
1) รู้ซึ้งถึงบทลงโทษของการลักขโมย
2) รณรงค์ให้เยาวชนห่างไกลจากยาเสพติด
3) ไม่หลงไปกับวัตถุนิยมต่าง ๆ
4) ปลูกฝังความคิดให้เด็กว่าการลักขโมยมันไม่ดี
5) สอนให้เด็กรู้จักความพอดีไม่ โลภมาก
6) ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
7) อยู่อย่างพอเพียง
8) ติดป้ายรณรงค์ห้ามเรื่องการลักขโมย
9) สอนให้ทุกคนอยู่ในศีล ๕
10) ทาอาชีพสุจริต ไม่ไปลักขโมย
11) ใช้ของให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด
12) รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น