Publicité

ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

Layman at Buddhism Company à Buddhism Company
12 Sep 2011
Publicité

Contenu connexe

Présentations pour vous(19)

Similaire à ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต(20)

Publicité

Dernier(20)

Publicité

ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

  1. ธรรมะเสวนา หลวงปูมั่น ภูริทัตโต
  2. หลวงปูมั่น มูลฐานสําหรับทําการปฏิบัติ “มโน” คือ “ใจ” นี้เปนดั้งเดิม เปนมหาฐานใหญ จะทําจะพูดอะไรก็ยอมเปนไปจาก “ใจ” นี้ทั้งหมด “มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา” “ธรรมทั้งหลายมีใจถึงกอน มีใจเปนใหญ สําเร็จแลวดวยใจ” พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก “ใจ” คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เมื่อพระสาวกผูไดมาพิจารณาตามจนถึงรูจัก “มโน” แจมแจงแลว “มโน” ก็สุดบัญญัติ คือ พนจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ตองออกไปจาก “มโน” ทั้งสิ้น
  3. หลวงปูมน มูลเหตุแหงสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ ั่ เหตุซึ่งเปนปจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุนั้นไดแก “มโน” นั่นเอง มโน เปนตัวมหาเหตุเปนตัวเดิม เปนสิงสําคัญ นอกนั้นเปนแตอาการเทานั้น ่ ฉะนั้น มโน ก็ดี ฐีติ ภูตํ ก็ดี และมหาธาตุ ก็ดี ยอมมีเนือความเปนอันเดียวกัน ้ ดวยเหตุนี้แล พระอัสสชิเถระ จึงแสดงธรรมแก อุปติสฺส (พระสารีบตร) วาุ เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ความวา ธรรมทังหลายเกิดแตเหตุ...เพราะวามหาเหตุนี้เปนตัวสําคัญ เปน ตัวเดิม ้ เมื่อทานพระอัสสชิเถระกลาวถึงมหาเหตุ พระสารีบุตรจึงหยังจิตลงถึงกระแสธรรม ่ ทุกสิ่งในโลกก็ตองเปนไปแตมหาเหตุ ถึงโลกุตตรธรรม ก็ คือมหาเหตุ ผูมาปฏิบัติ “ใจ” คือ ตัวมหาเหตุจนแจมกระจางสวางโรแลว ยอมสามารถรูอะไรๆ ทั้งภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ  สุดจะนับจะประมาณไดดวยประการฉะนี้
  4. หลวงปูมั่น มูลการของสังสารวัฏฏ “ฐีติภูตํ” เปนพอแมของอวิชชา “ฐีติภูตํ” ไดแก จิตดั้งเดิม เมื่อ “ฐีติภูตํ” ประกอบไปดวยความหลง อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชา จึงเปนปจจัยใหปรุงแตงเปนสังขาร พรอมกับความเขาไปยึดถือ จึงเปนภพชาติคือตองเกิดกอตอกันไป เรียกวา ปจจยาการ เพราะเปนอาการสืบตอกัน วิชชาและอวิชชาก็ตองมาจาก “ฐีติภูตํ” เชนเดียวกัน เมื่อ “ฐีติภูตํ” กอปรดวยวิชชา จึงรูเทาอาการทั้งหลายตามความเปนจริง รวมใจความวา “ฐีติภูตํ” เปนตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ (การเวียนวายตายเกิด) เพราะฉะนั้นเมือจะตัดสังสารวัฏฏใหขาดสูญ จึงตองอบรมบมตัวการดั้งเดิม ่ ใหมีวิชชารูเทาทันอาการทั้งหลายตามความเปนจริง ก็จะหายหลง แลวไมกออาการทั้งหลายใดๆ อีก “ฐีติภูตํ” อันเปนมูลการ ก็หยุดหมุน หมดการเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏฏดวยประการฉะนี้
  5. หลวงปูมั่น จิตเดิมเปนธรรมชาติใสสวาง จิตนี้เลื่อมปภัสสรแจงสวางมาเดิม แตอาศัยอุปกิเลสเครื่องเศราหมองเปนอาคันตุกะสัญจร มาปกคลุมหุมหอ จึงทําใหจิตมิสองแสงสวางได ดุจพระอาทิตยเมื่อเมฆบดบัง อยาพึงเขาใจวาพระอาทิตยเขาไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตยตางหาก ฉะนั้น ผูบําเพ็ญเพียรทั้งหลายเมื่อรูโดยปริยายนี้แลว พึงกําจัดของปลอมดวยการพิจารณาโดยแยบคาย เมื่อทําใหถึงขั้นฐีติจิตแลว ชื่อวายอมทําลายของปลอมไดหมดสิ้น หรือวาของปลอมยอมเขาไมถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชือมตอถูกทําลายขาดสะบั้นลงแลว ่ แมยังตองเกี่ยวของกับอารมณของโลกอยู ก็ยอมเปนดุจ น้ํากลิ้งบนใบบัว ฉะนั้น
  6. หลวงปูมน สติปฏฐาน เปน ชัยภูมิ คือสนามฝกฝนตน ั่ พระบรมศาสดาจารยเจา ทรงตั้งชัยภูมิไวในธรรมขอไหน ? เมื่อพิจารณาปญหานีไดความขึ้นวา ้ พระองคทรงตั้ง มหาสติปฏฐานเปนชัยภูมิ อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัย มุงหมายชัยชนะจําตองหา ชัยภูมิ ถาไดชัยภูมิทดีแลว ยอมสามารถปองกันอาวุธของขาศึกไดดี ณ ที่นน ี่ ั้ สามารถรวบรวมกําลังใหญ เขาฆาฟนขาศึกใหปราชัยพายแพไปได ที่เชนนันทานจึงเรียกวา ชัยภูมิ ้ คือที่ที่ประกอบไปดวยคายคูประตูและหอรบอันมันคง ่ อุปไมยในทางธรรม ที่เอามหาสติปฏฐานเปนชัยภูมิ ก็โดยผูที่จะเขาสูสงครามรบขาศึก คือ กิเลส ตองพิจารณากายานุปสสนาสติปฏฐาน เปนตนกอน
  7. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ยอมเกิดมาแตของไมดี อุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยงาม ก็เกิดขึ้นมาจากโคลนตมอันเปนของสกปรก ่ แตวาดอกบัวนั้น เมื่อขึนพนโคลนตมแลวยอมเปนสิ่งทีสะอาด นํามาทัดทรง ้ ่ และดอกบัวนั้นก็มิไดกลับคืนไปยังโคลนตมนันอีกเลย ้ พระโยคาวจรเจาผูประพฤติพากเพียร ยอมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกนาเกลียด ก็คือตัวเรานี้เอง รางกายนี้เปนทีประชุมแหงของโสโครก ่ พิจารณารางกายอันนี้ใหชํานิชานาญดวย โยนิโสมนสิการ ํ เมื่อยังเห็นไมทนชัดเจน ก็พิจารณาสวนใดสวนหนึ่งแหงกาย ั อันเปนที่สบายแกจริต จนกระทั่งปรากฏเปนอุคคหนิมิต คือ ปรากฏสวนแหงรางกายสวนใดสวนหนึ่ง แลวก็กําหนดสวนนั้นใหมาก เจริญใหมาก
  8. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ ใหมีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุก เมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดืม ทํา คิด พูด ่ ก็ใหมีสติรอบคอบในกายอยูเสมอ จึงจะชื่อวา ทําใหมาก เมื่อพิจารณาในรางกายนั้นจนชัดเจนแลว ใหพิจารณาแบงสวนแยกสวนออกเปนสวนๆ ตามโยนิโสมนสิการ ตลอดจนกระจายออกเปนธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาใหเห็นไปตามนั้นจริงๆ อุบายตอนนี้ตามแตตนจะใครครวญออกอุบาย ตามที่ถกจริตนิสัยของตน ู แตอยาละทิ้งหลักเดิมที่ตนไดรูครั้งแรกนั่นเทียว
  9. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ พระโยคาวจรเจา พึงเจริญใหมาก ทําใหมาก อยาพิจารณาครั้งเดียว แลวปลอยทิ้งตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือน ใหพิจารณากาวเขาไป ถอยออกมา เปนอนุโลม ปฏิโลม พระโยคาวจรเจาพิจารณาอยางนี้ชํานาญแลว หรือชํานาญอยางยิ่งแลว คราวนี้แลเปนสวนที่จะเปนเอง คือ จิต ยอมจะรวมใหญ เมื่อรวมพึ่บลง ยอมปรากฏวาทุกสิ่งรวมลงเปนอันเดียวกัน คือหมดทั้งโลก ยอมเปนธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพรอมกันวา โลกนี้ราบเหมือนหนากลอง เพราะมีสภาพเปนอันเดียวกัน ไมวา ปาไม ภูเขา มนุษย สัตว แมที่สุดตัวของเรา ก็ตองลบราบเปนทีสุดอยางเดียวกัน ่ พรอมกับ ญาณสัมปยุตต คือรูขึ้นมาพรอมกัน ตัดความสนเทหในใจไดเลย จึงชื่อวา ยถาภูตญาณทัสสนวิปสสนา คือทั้งเห็นทั้งรูตามความเปนจริง 
  10. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ พระโยคาวจรเจาพึงเจริญใหมาก ทําใหมาก จนชํานาญเห็นแจงชัดวา สังขารความปรุงแตง อันเปนความสมมติวาโนนเปนของของเรา โนนเปนเรา เปนความไมเที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือ จึงเปนทุกข ก็แลธาตุทั้งหลาย เขาหากมีหากเปนอยูอยางนี้ตั้งแตไหนแตไรมา เกิด แก เจ็บ ตาย เกิดขึ้น เสื่อมไป อยูอยางนี้มากอนเราเกิด ตั้งแตดึกดําบรรพ  อาศัยอาการของจิต ของขันธ ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปปรุงแตงสําคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ เปนอเนกชาติมาจนถึงปจจุบันชาติ จึงทําใหจิตหลงอยูตามสมมติ ไมใชสมมติมาติดเอาเรา เพราะธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้ จะเปนของมีวิญญาณหรือไมก็ตาม เมื่อวาตามความจริงแลว เขาหากมีหากเปน เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยูอยางนั้นทีเดียว จึงรูขึ้นวา ปุพฺเพสุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดาเหลานี้ หากมีมาแตกอน ถึงวาจะไมไดยนไดฟงมาจากใครก็มีอยูอยางนั้นทีเดียว ิ
  11. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ พระพุทธเจาจึงทรงปฏิญาณพระองควา เราไมไดฟงมาแตใคร มิไดเรียนมาแตใคร เพราะเหลานีมอยู มีมาแตกอนพระองคดังนี้ ้ ี ไดความวา ธรรมดาธาตุทั้งหลายยอมเปนยอมมีอยูอยางนั้น อาศัยอาการของจิต เขาไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหลานั้นมาหลายภพหลายชาติ จึงเปนเหตุใหอนุสัยครอบงําจิตจนหลงเชื่อไปตาม จึงเปนเหตุใหกอภพกอชาติ ดวยอาการของจิตเขาไปยึด ฉะนั้นพระโยคาวจรเจามาพิจารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา สพฺเพ สฺงขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารความเขาไปปรุงแตง คือ อาการของจิตนั่นแลไมเที่ยง สัตวโลกเขาเที่ยง คือมีอยูเปนอยูอยางนั้น ใหพิจารณาโดย อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ เปนเครืองแกอาการของจิต ่ ใหเห็นแนแทวา ตัวอาการของจิตนี้เองมันไมเที่ยง เปนทุกข จึงหลงตามสังขาร
  12. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ เมื่อเห็นจริงลงไปแลว ก็เปนเครืองแกอาการของจิต ่ จึงปรากฏขึ้นวา สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ สังขารทั้งหลายที่เที่ยงแทไมมี สังขารเปนอาการของจิตตางหาก เปรียบเหมือนพยับแดด สวนสัตวเขาก็อยูประจําโลกแตไหนแตไรมา เมื่อรูโดยเงื่อน ๒ ประการ คือ รูวา สัตวก็มีอยูอยางนั้น สังขารก็เปนอาการของจิต เขาไปสมมติเขาเทานั้น ฐีติภูตํ จิตตั้งอยูเดิม ไมมีอาการเปนผูหลุดพน ไดความวา ธรรมดาหรือธรรมทั้งหลายไมใชตน จะใชตนอยางไร ของเขาหากเกิดมีอยางนั้น ทานจึงวา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไมใชตน
  13. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส ั่ ใหพระโยคาวจรเจาพึงพิจารณาใหเห็นแจงประจักษตามนี้ จนทําใหจิตรวมพึ่บลงไป ใหเห็นจริงแจงชัดตามนั้น โดย ปจจักขสิทธิ พรอมกับ ญาณสัมปยุตต รวมทวนกระแสแกอนุสัย สมมติเปนวิมุตติ หรือรวมลงฐีติจิต อันเปนอยูมอยูอยางนั้น  ี จนแจงประจักษในที่นนดวยญาณสัมปยุตตวา ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ ั้ ดังนี้ ไมใชสมมติไมใชของแตงเอาเดาเอา ไมใชของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได เปนของที่เกิดเอง เปนเอง รูเอง โดยสวนเดียวเทานั้น เพราะดวยการปฏิบัติอันเขมแข็งไมทอถอย พิจารณาโดยแยบคายดวยตนเอง จึงจะเปนขึนมาเอง ้ วิมฺตติธรรม มิใชสิ่งอันบุคคลจะพึงปรารถนาเอาได ถาปฏิบัติไมถูกตองหรือเกียจคราน จนวันตาย จะประสบวิมุตติธรรมไมไดเลย
Publicité