Contenu connexe
Similaire à ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
Similaire à ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (20)
Plus de Taweedham Dhamtawee
Plus de Taweedham Dhamtawee (6)
ธรรมะเสวนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
- 3. หลวงปูมั่น มูลฐานสําหรับทําการปฏิบัติ
“มโน” คือ “ใจ” นี้เปนดั้งเดิม เปนมหาฐานใหญ
จะทําจะพูดอะไรก็ยอมเปนไปจาก “ใจ” นี้ทั้งหมด
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา”
“ธรรมทั้งหลายมีใจถึงกอน มีใจเปนใหญ สําเร็จแลวดวยใจ”
พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก “ใจ” คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น
เมื่อพระสาวกผูไดมาพิจารณาตามจนถึงรูจัก “มโน” แจมแจงแลว
“มโน” ก็สุดบัญญัติ คือ พนจากบัญญัติทั้งสิ้น
สมมติทั้งหลายในโลกนี้ตองออกไปจาก “มโน” ทั้งสิ้น
- 4. หลวงปูมน มูลเหตุแหงสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ
ั่
เหตุซึ่งเปนปจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุนั้นไดแก “มโน” นั่นเอง
มโน เปนตัวมหาเหตุเปนตัวเดิม เปนสิงสําคัญ นอกนั้นเปนแตอาการเทานั้น
่
ฉะนั้น มโน ก็ดี ฐีติ ภูตํ ก็ดี และมหาธาตุ ก็ดี ยอมมีเนือความเปนอันเดียวกัน
้
ดวยเหตุนี้แล พระอัสสชิเถระ จึงแสดงธรรมแก อุปติสฺส (พระสารีบตร) วาุ
เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ
ความวา ธรรมทังหลายเกิดแตเหตุ...เพราะวามหาเหตุนี้เปนตัวสําคัญ เปน ตัวเดิม
้
เมื่อทานพระอัสสชิเถระกลาวถึงมหาเหตุ พระสารีบุตรจึงหยังจิตลงถึงกระแสธรรม
่
ทุกสิ่งในโลกก็ตองเปนไปแตมหาเหตุ ถึงโลกุตตรธรรม ก็ คือมหาเหตุ
ผูมาปฏิบัติ “ใจ” คือ ตัวมหาเหตุจนแจมกระจางสวางโรแลว
ยอมสามารถรูอะไรๆ ทั้งภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ
สุดจะนับจะประมาณไดดวยประการฉะนี้
- 5. หลวงปูมั่น มูลการของสังสารวัฏฏ
“ฐีติภูตํ” เปนพอแมของอวิชชา “ฐีติภูตํ” ไดแก จิตดั้งเดิม
เมื่อ “ฐีติภูตํ” ประกอบไปดวยความหลง อาการของอวิชชาเกิดขึ้น
เมื่อมีอวิชชา จึงเปนปจจัยใหปรุงแตงเปนสังขาร พรอมกับความเขาไปยึดถือ
จึงเปนภพชาติคือตองเกิดกอตอกันไป เรียกวา ปจจยาการ เพราะเปนอาการสืบตอกัน
วิชชาและอวิชชาก็ตองมาจาก “ฐีติภูตํ” เชนเดียวกัน
เมื่อ “ฐีติภูตํ” กอปรดวยวิชชา จึงรูเทาอาการทั้งหลายตามความเปนจริง
รวมใจความวา “ฐีติภูตํ” เปนตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ (การเวียนวายตายเกิด)
เพราะฉะนั้นเมือจะตัดสังสารวัฏฏใหขาดสูญ จึงตองอบรมบมตัวการดั้งเดิม
่
ใหมีวิชชารูเทาทันอาการทั้งหลายตามความเปนจริง ก็จะหายหลง
แลวไมกออาการทั้งหลายใดๆ อีก “ฐีติภูตํ” อันเปนมูลการ ก็หยุดหมุน
หมดการเวียนวายตายเกิดในสังสารวัฏฏดวยประการฉะนี้
- 7. หลวงปูมน สติปฏฐาน เปน ชัยภูมิ คือสนามฝกฝนตน
ั่
พระบรมศาสดาจารยเจา ทรงตั้งชัยภูมิไวในธรรมขอไหน ?
เมื่อพิจารณาปญหานีไดความขึ้นวา
้
พระองคทรงตั้ง มหาสติปฏฐานเปนชัยภูมิ
อุปมาในทางโลก การรบทัพชิงชัย มุงหมายชัยชนะจําตองหา ชัยภูมิ
ถาไดชัยภูมิทดีแลว ยอมสามารถปองกันอาวุธของขาศึกไดดี ณ ที่นน
ี่ ั้
สามารถรวบรวมกําลังใหญ เขาฆาฟนขาศึกใหปราชัยพายแพไปได
ที่เชนนันทานจึงเรียกวา ชัยภูมิ
้
คือที่ที่ประกอบไปดวยคายคูประตูและหอรบอันมันคง
่
อุปไมยในทางธรรม ที่เอามหาสติปฏฐานเปนชัยภูมิ
ก็โดยผูที่จะเขาสูสงครามรบขาศึก คือ กิเลส
ตองพิจารณากายานุปสสนาสติปฏฐาน เปนตนกอน
- 8. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ยอมเกิดมาแตของไมดี
อุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยงาม ก็เกิดขึ้นมาจากโคลนตมอันเปนของสกปรก
่
แตวาดอกบัวนั้น เมื่อขึนพนโคลนตมแลวยอมเปนสิ่งทีสะอาด นํามาทัดทรง
้ ่
และดอกบัวนั้นก็มิไดกลับคืนไปยังโคลนตมนันอีกเลย
้
พระโยคาวจรเจาผูประพฤติพากเพียร ยอมพิจารณาซึ่งสิ่งสกปรกนาเกลียด
ก็คือตัวเรานี้เอง รางกายนี้เปนทีประชุมแหงของโสโครก
่
พิจารณารางกายอันนี้ใหชํานิชานาญดวย โยนิโสมนสิการ
ํ
เมื่อยังเห็นไมทนชัดเจน ก็พิจารณาสวนใดสวนหนึ่งแหงกาย
ั
อันเปนที่สบายแกจริต
จนกระทั่งปรากฏเปนอุคคหนิมิต คือ ปรากฏสวนแหงรางกายสวนใดสวนหนึ่ง
แลวก็กําหนดสวนนั้นใหมาก เจริญใหมาก
- 9. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
ใหมีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุก
เมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดืม ทํา คิด พูด
่
ก็ใหมีสติรอบคอบในกายอยูเสมอ จึงจะชื่อวา ทําใหมาก
เมื่อพิจารณาในรางกายนั้นจนชัดเจนแลว
ใหพิจารณาแบงสวนแยกสวนออกเปนสวนๆ ตามโยนิโสมนสิการ
ตลอดจนกระจายออกเปนธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุไฟ ธาตุลม
และพิจารณาใหเห็นไปตามนั้นจริงๆ
อุบายตอนนี้ตามแตตนจะใครครวญออกอุบาย
ตามที่ถกจริตนิสัยของตน
ู
แตอยาละทิ้งหลักเดิมที่ตนไดรูครั้งแรกนั่นเทียว
- 10. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
พระโยคาวจรเจา พึงเจริญใหมาก ทําใหมาก
อยาพิจารณาครั้งเดียว แลวปลอยทิ้งตั้งครึ่งเดือน ตั้งเดือน
ใหพิจารณากาวเขาไป ถอยออกมา เปนอนุโลม ปฏิโลม
พระโยคาวจรเจาพิจารณาอยางนี้ชํานาญแลว หรือชํานาญอยางยิ่งแลว
คราวนี้แลเปนสวนที่จะเปนเอง คือ จิต ยอมจะรวมใหญ
เมื่อรวมพึ่บลง ยอมปรากฏวาทุกสิ่งรวมลงเปนอันเดียวกัน
คือหมดทั้งโลก ยอมเปนธาตุทั้งสิ้น
นิมิตจะปรากฏขึ้นพรอมกันวา โลกนี้ราบเหมือนหนากลอง
เพราะมีสภาพเปนอันเดียวกัน ไมวา ปาไม ภูเขา มนุษย สัตว
แมที่สุดตัวของเรา ก็ตองลบราบเปนทีสุดอยางเดียวกัน
่
พรอมกับ ญาณสัมปยุตต คือรูขึ้นมาพรอมกัน ตัดความสนเทหในใจไดเลย
จึงชื่อวา ยถาภูตญาณทัสสนวิปสสนา คือทั้งเห็นทั้งรูตามความเปนจริง
- 11. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
พระโยคาวจรเจาพึงเจริญใหมาก ทําใหมาก จนชํานาญเห็นแจงชัดวา
สังขารความปรุงแตง อันเปนความสมมติวาโนนเปนของของเรา โนนเปนเรา
เปนความไมเที่ยง อาศัยอุปาทานความยึดถือ จึงเปนทุกข
ก็แลธาตุทั้งหลาย เขาหากมีหากเปนอยูอยางนี้ตั้งแตไหนแตไรมา
เกิด แก เจ็บ ตาย เกิดขึ้น เสื่อมไป อยูอยางนี้มากอนเราเกิด ตั้งแตดึกดําบรรพ
อาศัยอาการของจิต ของขันธ ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไปปรุงแตงสําคัญมั่นหมายทุกภพทุกชาติ เปนอเนกชาติมาจนถึงปจจุบันชาติ
จึงทําใหจิตหลงอยูตามสมมติ ไมใชสมมติมาติดเอาเรา
เพราะธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้ จะเปนของมีวิญญาณหรือไมก็ตาม
เมื่อวาตามความจริงแลว เขาหากมีหากเปน เกิดขึ้นเสื่อมไป มีอยูอยางนั้นทีเดียว
จึงรูขึ้นวา ปุพฺเพสุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดาเหลานี้ หากมีมาแตกอน
ถึงวาจะไมไดยนไดฟงมาจากใครก็มีอยูอยางนั้นทีเดียว
ิ
- 12. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
พระพุทธเจาจึงทรงปฏิญาณพระองควา เราไมไดฟงมาแตใคร มิไดเรียนมาแตใคร
เพราะเหลานีมอยู มีมาแตกอนพระองคดังนี้
้ ี
ไดความวา ธรรมดาธาตุทั้งหลายยอมเปนยอมมีอยูอยางนั้น
อาศัยอาการของจิต เขาไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหลานั้นมาหลายภพหลายชาติ
จึงเปนเหตุใหอนุสัยครอบงําจิตจนหลงเชื่อไปตาม
จึงเปนเหตุใหกอภพกอชาติ ดวยอาการของจิตเขาไปยึด
ฉะนั้นพระโยคาวจรเจามาพิจารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา
สพฺเพ สฺงขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
สังขารความเขาไปปรุงแตง คือ อาการของจิตนั่นแลไมเที่ยง
สัตวโลกเขาเที่ยง คือมีอยูเปนอยูอยางนั้น
ใหพิจารณาโดย อริยสัจจธรรมทั้ง ๔ เปนเครืองแกอาการของจิต
่
ใหเห็นแนแทวา ตัวอาการของจิตนี้เองมันไมเที่ยง เปนทุกข จึงหลงตามสังขาร
- 13. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
เมื่อเห็นจริงลงไปแลว ก็เปนเครืองแกอาการของจิต
่
จึงปรากฏขึ้นวา สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ สังขารทั้งหลายที่เที่ยงแทไมมี
สังขารเปนอาการของจิตตางหาก เปรียบเหมือนพยับแดด
สวนสัตวเขาก็อยูประจําโลกแตไหนแตไรมา
เมื่อรูโดยเงื่อน ๒ ประการ คือ
รูวา สัตวก็มีอยูอยางนั้น สังขารก็เปนอาการของจิต เขาไปสมมติเขาเทานั้น
ฐีติภูตํ จิตตั้งอยูเดิม ไมมีอาการเปนผูหลุดพน
ไดความวา ธรรมดาหรือธรรมทั้งหลายไมใชตน
จะใชตนอยางไร ของเขาหากเกิดมีอยางนั้น
ทานจึงวา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไมใชตน
- 14. หลวงปูมน อุบายแหงวิปสสนา อันเปนเครื่องถายถอนกิเลส
ั่
ใหพระโยคาวจรเจาพึงพิจารณาใหเห็นแจงประจักษตามนี้
จนทําใหจิตรวมพึ่บลงไป ใหเห็นจริงแจงชัดตามนั้น
โดย ปจจักขสิทธิ พรอมกับ ญาณสัมปยุตต
รวมทวนกระแสแกอนุสัย สมมติเปนวิมุตติ
หรือรวมลงฐีติจิต อันเปนอยูมอยูอยางนั้น
ี
จนแจงประจักษในที่นนดวยญาณสัมปยุตตวา ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ
ั้
ดังนี้ ไมใชสมมติไมใชของแตงเอาเดาเอา ไมใชของอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได
เปนของที่เกิดเอง เปนเอง รูเอง โดยสวนเดียวเทานั้น
เพราะดวยการปฏิบัติอันเขมแข็งไมทอถอย
พิจารณาโดยแยบคายดวยตนเอง จึงจะเปนขึนมาเอง ้
วิมฺตติธรรม มิใชสิ่งอันบุคคลจะพึงปรารถนาเอาได
ถาปฏิบัติไมถูกตองหรือเกียจคราน จนวันตาย จะประสบวิมุตติธรรมไมไดเลย