Contenu connexe
Similaire à เนื้อเยื่อพืช Annanet
Similaire à เนื้อเยื่อพืช Annanet (20)
เนื้อเยื่อพืช Annanet
- 2. จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพือให้ นักเรียนสามารถ
่
1.สืบค้ นข้ อมูลเกี่ยวกับโครงสร้ างและหน้ าที่ของเนือเยื่อ
้
เจริญและเนือเยื่อถาวรของพืช
้
2.สืบค้นข้อมูล ทดลอง อธิบาย และอภปรายเก่ ียวกบ
ิ ั
โครงสร้างและหน้าท่ ของราก ลาต้น และใบ
ี ํ
3.สืบค้นข้อมูล ทดลอง และสรุปเก่ ียวกบโครงสร้างภายใน
ั
ของราก ลาต้น และใบ
ํ
4.ทดลองและอภิปรายเกี่ยวกับตําแหน่ งและจํานวนของปาก
ใบในพชแต่ละชนิด และเปรียบเทยบความหนาแน่นของ
ื ี
ปากใบในพชต่างชนิดกัน
ื
- 4. เซลล์ พช มีผนังเซลล์ (cell wall)ทีให้ ความแข็งแรงต่ อ
ื ่
โครงสร้ างของพืช แบ่ งเป็ น 1.ผนังเซลล์ ปฐมภูมิ
(primary cell wall) ซึ่งมีองค์ ประกอบสํ าคัญ
เป็ นเซลลูโลส(cellulose) โดยผนังเซลล์ ของเซลล์ ที่
อยู่ตดกันจะมี middle lamella กั้นอยู่ และมี
ิ
เพกทิน(pectin)เป็ นองค์ ประกอบ
2.ผนังเซลล์ ทุตยภูม(secondary cell wall)ซ่ึงมี
ิ ิ
ในพชบางชนิด โดยอยู่ระหว่างprimary cell
ื
wall กับเยือหุ้มเซลล์ หรือแทรกอยู่ใน primary
่
cell wall ซึ่งจะเป็ นสารพวกลิกนิน(lignin)
- 6. รู้ไว้ มีประโยชน์
Pectin เป็นพอลแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) ใน
ิ
ผนังเซลล์ ของพืช (plant cell wall) และรอยต่ อ
ระหว่างผนังเซลล์ โดยรวมตวอย่ ูกบเซลลโลส
ั ั ู
(cellulose) ทําหน้ าทียดเกาะผนังเซลล์ ให้ ตดกันคล้ าย
่ึ ิ
เป็ นซีเมนต์
คุณค่ าทางอาหารของเพคติน
ร่ างกายไม่ สามารถย่ อยเพคตินได้ ในระบบการย่ อย จดเป็น
ั
ใยอาหาร(dietary fiber) ชนิดหนึ่ง
- 7. Lignin คือ ส่ วนของผนังเซลในพืช ลกนินเป็ น
ิ
ส่ วนประกอบหลักของพืชเช่ นเดียวกับเซลลูโลส ช่ วยให้ พชมี
ื
เนือทีแข็งแกร่ งและทนทาน จึงมีมากในพืชไม้ เนือแข็ง
้ ่ ้
- 8. เนือเย่อพช(plant tissue) แบ่ งได้ เป็ น 2 ประเภท
้ ื ื
ตามลกษณะการเจริญของเนือเยอ
ั ้ ่ื
1. เนือเยือเจริญ (Meristematic tissue)
้ ่
2. เนือเยือถาวร(Permanent tissue)
้ ่
นักเรี ยนทราบหรื อไม่ ว่าเนือเยื่อทัง 2 อยู่ท่ อวัยวะ
้ ้ ี
ส่ วนใดของพืชและมีรูปร่ างอย่ างไร
- 9. 1.เนือเยือเจริญ(Meristematic tissue) คือ
้ ่
เนือเยือทีประกอบด้ วยเซลล์ ทมความสามารถในการ
้ ่ ่ ี่ ี
แบ่งตวแบบไมโทซิส (mitosis) ได้ ตลอดชีวตของ
ั ิ
เซลล์ ลักษณะเซลล์ เป็ นเซลล์ ทมชีวต
ี่ ี ิ
โดยมากมีรูปร่ างหลายเหลียมหรือ ค่ อนข้ างกลม
่
ขนาดเล็ก ผนังบาง มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ ไซโทพลาซึม
เต็มเซลล์ แวคิวโอลมีขนาดเลกหรือไม่ มี แต่ละเซลล์ อยู่
็
ชิดกันมากจนไม่ มช่องว่ างระหว่ างเซลล์
ี
(intercellular space)
- 10. เมื่อเซลล์ ของเนือเยือเจริญหยุด
้ ่
แบ่ งตัวจะเปลียนสภาพไปเป็ นเนือเยือถาวรต่ อไป
่ ้ ่
เนือเยือเจริญสามารถจําแนกตามตําแหน่ งทีอยู่บนส่ วน
้ ่ ่
ต่ าง ๆ ของพืชได้ 3 ชนิด คือ
- 11. 1.1 เนือเยือเจริญส่ วนปลาย(apical meristem)
้ ่
-ปลายราก เรียก เนือเยือเจริญส่ วนปลายราก (apical
้ ่
root meristem) ทาให้รากยาวขน
ํ ึ้
-ปลายยอด เรียก เนือเยือเจริญส่ วนปลายยอด(apical
้ ่
shoot meristem) ทําให้ ลาต้ นยืดยาวออกไป
ํ
และสร้ างใบ รวมทั้งกิง
่
- 12. เนือเยื่อเจริ ญปลายยอด
้
http://www.vcbio.science.ru.nl/en/image-
gallery/show/PL0160/
http://www.sbs.utexas.edu/mauseth/weblab/webchap6apmer/6.1-1.htm
- 14. 1.2 เนือเยือเจริญเหนือข้ อ หรือ ระหว่ างปล้อง
้ ่
(intercalary meristem)
เป็ นเนือเยือเจริญทีอยู่บริเวณข้ อหรือเหนือข้ อของ
้ ่ ่
พชใบเลียงเดียว ซึ่งมีการแบ่ งเซลล์ ยาวนานกว่ าบริเวณ
ื ้ ่
อืนในปล้ องเดียวกัน เช่ น ข้าว หญ้ า ข้ าวโพด อ้ อย และไผ่
่
เป็ นต้ น ทําหน้ าทีช่วยให้ ปล้องยืดยาวขน
่ ึ้
- 16. 1.3 เนือเยอเจริญด้านข้าง (lateral
้ ่ื
meristem) มการแบ่งเซลล์เพมจานวนออก
ี ่ิ ํ
ทางด้ านข้ าง ทําให้ รากและลําต้ นขยายขนาดใหญ่
ขึนเป็ นเนือเยอเจริญทอยู่ระหว่างเปลอกและเนือไม้
้ ้ ่ื ่ี ื ้
ของพืชใบเลียงคู่ และพืชใบเลียงเดียวบางชนิด เช่ น
้ ้ ่
หมากผู้หมากเมีย จันทน์ ผา เป็ นต้ น
- 18. เป็ นการเจริญขั้นที่ 2 (Secondary growth)บาง
คนอาจเรียกเนือเยือเจริญด้ านข้ างนีว่า แคมเบียม
้ ่ ้
(cambium) แบ่ งเป็ น 2 ชนิดคือ
- 19. - วาสควลาร์ แคมเบียม(vascular cambium) พบอย่ ู
ิ
ระหว่างเนือเยอท่อลาเลยงนําและเนือเยอท่อลาเลยงอาหาร
้ ื่ ํ ี ้ ้ ื่ ํ ี
เมือแบ่ งเซลล์ ทาให้ เกิดเนือเยือท่ อลําเลียงเพิมขึน
่ ํ ้ ่ ่ ้
http://www.deanza.edu/faculty/mccauley/6a-labs-plants-05.htm
- 20. - คอร์กแคมเบียม (cork cambium) แบ่งเซลล์ทาให้ ํ
เกิดเนือเยือคอร์ก(cork) ห้ ุมรอบรากและลาต้นพชใบเลยงคู่
้ ่ ํ ื ี้
ทมอายุมาก
ี่ ี
- 21. 2.เนือเยอถาวร (permanent
้ ่ื
tissue) เป็ นเนือเยือทีเ่ จริญเติบโตเต็มที่
้ ่
แล้ ว ประกอบด้ วยกลุ่มเซลล์ ทเี่ ปลียนแปลง
่
มาจากเนือเยอเจริญ มรูปร่างคงท่ี ไม่มการ
้ ่ื ี ี
แบ่ งตัวเพิมขึนอก และมหน้าทเ่ี ฉพาะ
่ ้ ี ี
- 22. จําแนกตามลักษณะของเซลล์ได้ 2 ชนิด ได้ แก่
-เนือเยือถาวรเชิงเดียว (simple permanent
้ ่ ่
tissue) เป็นเนือเย่อทีประกอบด้ วยกลุ่มเซลล์ ชนิด
้ ื ่
เดยวกนมาทาหน้าทอย่างเดยวกน
ี ั ํ ่ี ี ั
ได้ แก่ เนือเยือผิวนอกหรือเอพิเดอร์ มิส พาเรงคิมา
้ ่
คอลเลงคมา สเกลอเรงคิมา และเพริเดิร์ม
ิ
- 23. เอพิเดอร์ มิส (epidermis) เป็ นเนือเยือชั้นผิว
้ ่
นอกสุ ดของส่ วนต่ าง ๆ ของพืชทีอายุน้อย
่
ประกอบด้ วยเซลล์ ทเี่ รียงตัวชิดกันแน่ นจนไม่ มี
ช่องว่างระหว่างเซลล์
- ทําหน้ าทีป้องกันเนือเยือทีอยู่ด้านใน
่ ้ ่ ่
- ผิวด้ านนอก มีสารขีผงพวกคิวตน (cutin)
้ ึ้ ิ
ฉาบอย่ ูเพือช่ วยป้ องกันการระเหยของนํา
่ ้
ช้ันควตน เรียกว่ า คิวติเคิล (cuticle)
ิ ิ
- 24. -ช่ วยป้ องกันไม่ ให้ นําซึมผ่ านเข้ าไปในรากมากเกินไป
้
เพราะจะทาให้รากเน่า
ํ
-เจริญเปลียนแปลงไปเป็ น ขนราก เซลล์ คุม
่
ขนและต่ อม
เซลล์เอพิเดอร์ มิสไม่มีคลอโรฟี ลล์ ยกเว้น ในเซลล์ คุม
ดังนั้นเซลล์ คุมจึงสามารถสั งเคราะห์ แสงได้
- 25. คิวตน เป็ นสารพวกไขมัน เคลือบอยู่ช้ันนอก เช่ น ใบ ยกเว้ นใน
ิ
รากจะมี suberin เคลือบ พืชทีขนอยู่ในทีแห้ งแล้ งมักมีควตน
่ ึ้ ่ ิ ิ
เคลือบหนา เพือรักษานําทีอยู่ภายใน(ปองกันการระเหยของนํา)
่ ้ ่ ้ ้
- 26. Epidermis
http://www.nana-bio.com/e-learning/image%20e-
learning/tissue.jpg
- 29. -ขนและต่ อม
ที่มา
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=31603
- 30. พาเรงคิมา (parenchyma) พบได้ แทบทุกส่ วน
ของอวัยวะพืช เป็ นเซลล์ ทมชีวต
ี่ ี ิ
มีรูปร่ างหลายแบบ บางเซลล์ ค่อนข้ างกลม รี
ทรงกระบอกหรือเป็นเหลยม มช่องว่างระหว่างเซลล์
ี่ ี
(intercellular space)
ที่มา
http://botit.botany.wisc.edu/images/1
30/Cells_&_Tissues/Celery_Petiole/
Parenchyma.html
- 32. พาเรงคิมา มีหน้ าทีแตกต่ างกันไป ขึนอยู่กบส่ วนของพืช
่ ้ ั
ได้แก่ สังเคราะห์แสง สะสมอาหารพวกแปง โปรตีน
้
ไขมันและนํา ้
สั งเคราะห์ สารพวกนํามันระเหยง่ าย และสารสี ช่ วยใน
้
การลําเลียง นอกจากนีอาจเปลียนสภาพกลับไปเป็ น
้ ่
เนือเยอเจริญได้ อก ซึ่งจะพบในบริเวณทีพชเกิดบาดแผล
้ ่ื ี ่ ื
โดยเปลียนไป เพือช่ วยสมานแผล
่ ่
- 33. คอลเลงคมา (collenchyma)
ิ
เป็นเนือเยือทีประกอบด้ วยเซลล์ ทมชีวต ผนังเซลล์
้ ่ ่ ี่ ี ิ
เป็นแบบปฐมภูมิ มีความหนาไม่ สมํ่าเสมอ มีความ
เหนียวและ ยืดหยุ่นประกอบด้ วย เซลลูโลส
เฮมิเซลลูโลส และเพกทน ิ
เซลล์มีขนาดเล็ก การเรียงตัวของเซลล์ อยู่ชิดกัน
แน่ นจนไม่ ค่อยมีช่องว่ างระหว่ างเซลล์
- 34. ทําหน้ าทีช่วยเพิมความแข็งแรงให้ แก่โครงสร้ างพืช
่ ่
และต้ านแรงเสี ยดทาน
พบเซลล์ กลุ่มนีได้ มากทีบริเวณใต้ เอพิเดอร์ มิสของก้านใบ
้ ่
เส้ นกลางใบ และลําต้ นส่ วนทียงอ่ อนของพืชล้ มลุก หรือ
่ั
ไม้ เลือยบางชนิด
้
- 35. คอลเลงคิมา (collenchyma)
ลักษณะของคอลเลงคิมา
ที่มา http://www.science.smith.edu/~mmarcotr/Hortwebpage- fall/handouts/figures-
overheads/anatomyfigures.htm
- 36. สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma)
เป็ นเนือเยือทีประกอบด้ วยเซลล์ ทมีผนังหนามาก
้ ่ ่ ี่
มีท้งผนังเซลล์ ปฐมภูมและทุตยภูมิ
ั ิ ิ
มีเซลลูโลสและลิกนินมาก ทาให้ เพิมความแข็งแรงแก่
ํ ่
พืช เซลล์ เมื่อโตเต็มทีจะตาย โดยผนังเซลล์ ยงอยู่แต่
่ ั
โพรโทพลาสต์ สลายไปเหลือเป็ นช่ องว่ าง เรียกว่ า
ลูเมน (lumen)
จําแนกได้ เป็น 2 ชนิด ได้ แก่
- 38. ไฟเบอร์ (fiber) หรือเซลล์ เส้ นใย
-เป็ นเซลล์ ทมีรูปร่ างเล็กเรียวยาว หัวท้ ายแหลม
ี่
-ผนังเซลล์หนามากเพราะมีลกนินและเซลลูโลสมาสะสม
ิ
-มีความเหนียวและยืดหยุ่น ทําหน้ าทีให้ ความแข็งแรงแก่
่
พช ื
-พบอย่ ูตามส่ วนต่ างๆ ของพช เช่น คอร์ เทกช์ ปะปนอยู่ใน
ื
ท่ อลําเลียงหรืออยู่โดยรอบท่ อลําเลียง
-มีประโยชน์ มากในทางเศรษฐกิจ โดยใช้ ทาเป็ นเชือก
ํ
กระดาษ ทอเป็ นเสื้อผ้ า และกระสอบ เป็ นต้ น
- 40. สเกลอรีด (scleried) หรือ สโตนเซลล์ (stone cell)
-เป็ นเซลล์ทมลกษณะคล้ายไฟเบอร์แต่ละเซลล์ส้ั นกว่า รูปร่าง
ี่ ี ั
มีหลายแบบ ทั้งรู ปกลม หลายเหลียม เป็ นแฉกคล้ ายดาว
่
- 41. -ผนังเซลล์ หนามากเนื่องจากมีลกนินมาสะสม
ิ
-พบในส่ วนของพืชทีแข็ง เช่ น เปลือกของเมล็ดหรือ
่
ผลไม้ ได้ แก่ กะลามะพร้ าว เมล็ดพุทรา
เนือผลไม้ ทสาก เช่ น ละมุด น้ อยหน่ า ฝรั่ง ท้ อ สาลี่
้ ี่
อาจพบแทรกในชั้นคอร์เทกซ์ ในท่ อลําเลียงของ
ลําต้ น ในส่ วนของใบ และก้ านใบ เป็ นต้ น
-ทําหน้ าทีเ่ พิมความแข็งแรงให้ แก่ ส่วนต่ าง ๆ ของพืช
่
- 44. เอนโดเดอร์มส (Endodermis)
ิ
Endodermis
ส่ วนใหญ่ พบในรากพืชใบเลียง ้
เดียว เซลล์ เรียงตัวเป็ นแนว
่
เดียว ผนังเซลล์ บาง มีสารพวก
ซูเบอริน คิวติน หรือลิกนิน
มาสะสมเป็นแถบทาให้ผนัง
ํ
เซลล์ หนา เป็ นแถบ ซึ่งจะกีด
ขวางนําและอาหารไม่ให้ผ่านได้
้
สะดวก
ที่มา http://botit.botany.wisc.edu/images/130/Root/Monocot_Roots/Zea_Root/Endodermis_vasc_tissue
- 45. หน้ าทีของเอนโดเดอร์มส
่ ิ
1. ป้ องกันเนือเยือส่ วนทีอยู่ถดเข้ าไปข้ างใน
้ ่ ่ ั
2. เป็ นทางผ่ านของนํา เกลือแร่ อาหาร และ
้
กีดขวางการลําเลียงสารดังกล่าว
- 46. เพริไซเคล(pericycle)
ิ
เป็นเนือเยอทพบเฉพาะในราก ทาหน้าทให้กาเนดรากแขนง
้ ่ื ่ี ํ ่ี ํ ิ
(secondary root)
- 47. เนือเยือถาวรเชิงซ้อน(complex
้ ่
permanent tissue)
ประกอบด้ วยกลุ่มเซลล์ หลายชนิดมาทํางานร่ วมกัน
ซึ่งเนือเยือถาวรเชิงซ้ อนแบ่ งออกเป็ น 2 ประเภท
้ ่
ได้แก่ เนือเยือลําเลียง(vascular tissue)
้ ่
- เนือเยือลําเลียงนํา แร่ ธาตุ เรียกว่าไซเลม (xylem)
้ ่ ้ ็
- เนือเยือลําเลียงอาหาร เรียกว่ า โฟลเอ็ม (phloem)
้ ่
- 50. ไซเลม (xylem) ลําเลียงนําและแร่ ธาตุ
็ ้
ประกอบด้ วย
- เทรคต (Tracheid) มีรูปร่ างยาวหรือเป็ นเหลียมยาว
ี ่
ปลายค่อนข้างแหลมท้งสองข้าง ไม่มผนังด้านปลาย
ั ี
(end wall)
- 51. - เวสเซล (Vessel) มีผนังด้ านปลายทีชัดเจน อาจตัดตรง
่
หรือเอยง ี
• คล้ายท่อยาวๆ ทประกอบด้วยท่อส้ั นๆหลายๆท่อมาต่อกน
ี่ ั
• ท่อส้ั นแต่ละท่อเรียกว่า vessel member หรือ vessel
element
• ผนังหนาเป็ นสารพวกลกนินมาสะสม มีช่องทะลุถึงกัน
ิ
ซึ่งมีลกษณะเป็ นรอยปรุหรือรู พรุ นทีเ่ รียกว่ า perforation
ั
plate
- 52. -ไซเล็มพาเรงคิมา (xylem parenchyma)
เป็ นเซลล์ ทมชีวต รู ปร่ างคล้ ายพาเรงคิมาทัวไป
ี่ ี ิ ่
ทาหน้าทสะสมอาหารจําพวกแปง นํามัน ผลึกและสารอน
ํ ี่ ้ ้ ื่
นอกเหนือจากการทาหน้าทลาเลยงนําและธาตุอาหาร
ํ ี่ ํ ี ้
ไซเล็มพาเรงคิมาบางกลุ่มอาจเรี ยงตัวขนานกับรั ศมี
ของลําต้ นและราก เรียกว่า ไซเล็มเรย์ (xylem
ray)
ทําหน้ าที่ลาเลียงนําและธาตุอาหารไปยังด้ านข้ างของ
ํ ้
ลาต้ นและราก
ํ
- 53. -ไซเล็มไฟเบอร์ (xylem fiber)
เป็ นเซลล์ ขนาดสัน ผนังหนา ปลายแหลม
้
อาจมีผนังกันเป็ นห้ อง ๆ
้
ทาหน้าท่ ช่วยให้ความแขงแรงแก่พช
ํ ี ็ ื
****สาหรับพชพวกจมโนสเปิ ร์ มและเฟิร์นพบ
ํ ื ิ
เฉพาะเทรคีด และไซเล็มพาเรงคิมาเท่ านัน
้
- 54. โฟลเอม(Phloem)
็
เป็ นเนือเยือทีทาหน้ าทีลาเลียงอาหารทีใบสั งเคราะห์ ขน
้ ่ ่ ํ ่ํ ่ ึ้
ไปสู่ ส่วนต่ างๆ ของพืช ประกอบด้ วยกลุ่มเซลล์ ต่างๆ
ดงนี้
ั
- 56. -เซลล์ หลอดตะแกรงหรือซีฟทวบ์เมมเบอร์ (sieve
ิ
tube member)
เป็ นเซลล์ ทมีชีวต รูปทรงกระบอกยาว เมื่อเจริญเต็มที่
ี่ ิ
ไม่ มีนิวเคลียส ทีปลายผนังเซลล์ ท้งสองด้ านจะมีรู
่ ั
พรุนเล็กๆ มีลกษณะเป็ นแผ่ นตะแกรง หรือซีฟเพลต
ั
(sieve plate)ซึ่ง เป็ นทางให้ ไซโตพลาสซึม
ภายในติดต่ อกัน
ซีฟทิวบ์ เมมเบอร์ หลายๆ เซลล์ มาเรียงต่ อกัน เรียกว่ า
ซีฟทิวบ์ (sieve tube) ทาหน้าทลาเลยงอาหาร
ํ ่ี ํ ี
- 59. -เซลล์ประกบ หรือเซลล์คอมพาเนียนเซลล์
(companion cell)
เป็ นเซลล์ทมชีวต จะอยู่ตดกับซีฟทิวบ์ เมมเบอร์
ี่ ี ิ ิ
เสมอ มีนิวเคลียสขนาดใหญ่
ทําหน้ าทีช่วยเหลือซีฟทวบ์เมมเบอร์ ในการ
่ ิ
ลําเลียงอาหาร โดยเฉพาะ เมือเซลล์มอายุมากขึน
่ ี ้
- 62. -โฟลเอ็มพาเรงคิมา (phloem parenchyma)
ทําหน้ าทีช่วยสะสมอาหารและอินทรียสาร เช่ น
่
เม็ดแป้ ง แทนนิน เรซิน และนํามัน เป็ นต้ น ตลอดทั้ง
้
ทาหน้าทในการลาเลยงอาหารและช่วยเสริมสร้างความ
ํ ่ี ํ ี
แข็งแรงให้ แก่ พช ื
เป็ นเซลล์ ทเี่ รียงตัวแนวรัศมีขวางลําต้ นและราก
เรียกว่ า โฟลเอมเรย์(pholem ray) ทาหน้าท่ี
็ ํ
ลาเลยงอาหารไปยงด้านข้างของลาต้นและราก
ํ ี ั ํ
- 65. สรุปชนิดของเนือเยือพืช
้ ่
เนือเยื่อพืช แบ่ งเป็ น 2 ประเภท คือ
้
1.Meristematic tissue
-แบ่ งตามตําแหน่ งที่อยู่ในส่ วนต่ างๆของพืช ได้ แก่ apical
meristem intercalary meristem
Lateral meristem
-แบ่ งตามอายุและการเจริญ ได้แก่ promeristem
primary meristem secondary meristem
- 66. 2.Permanent tissue จําแนกตามหน้าท่ ี
1.protective tissue
–epidermis
-periderm= cork cork cambium phelloderm
2.fundamental tissue
– parenchyma
-collenchyma
-sclerenchyma
3.Vascular tissue
-xylem
-phloem
- 68. จดทาโดย
ั ํ
นางสาวแอนนา ปัญโญ
ตาแหน่ง ครูผู้ช่วย
ํ
โรงเรียนนารีรัตน์จงหวดแพร่
ั ั
Thank you
- 70. จุดประสงค์ การเรียนรู้ เพือให้ นักเรียนสามารถ
่
1. สื บค้ นข้ อมูล ทดลอง อธิบาย และอภิปรายเกียวกับ
่
โครงสร้างและหน้าทของราก
ี่
2. สืบค้นข้อมูล ทดลอง และสรุปเกยวกบโครงสร้างภายใน
ี่ ั
ของราก
- 72. ราก(root)
เป็ นอวัยวะของพืชทีไม่ มี ข้ อ ปล้ อง ตา และใบ เจริญลงสู่ ดนตาม
่ ิ
แรงดงดูดของโลก(positive geotropism ) มกาเนิดมา
ึ ีํ
จาก radicle ของ embryo ซึ่งอยู่ภายในเมล็ด รากที่
เปลยนแปลงมาจากเเรดเิ คิล จัดเป็ นรากทีมีการเจริญในระยะแรก
่ี ่
(Primary growth) ส่ วนรากของพืชใบเลียงคู่หรือ พืชใบ
้
เลยงเดยวบางชนิด จะมการเจริญเตบโตข้นท่ี 2 (Secondary
ี ้ ่ี ี ิ ั
growth)
- 73. โครงสร้ างและหน้ าทีของราก
่
- ทําหน้ าทีดูดนําและสารอาหาร
่ ้
- ลาเลยงนํา แร่ธาตุ และอาหาร
ํ ี ้
- สร้างฮอร์โมนพช เช่น cytokinin gibberellin เพ่อ
ื ื
พฒนาลาต้น ยอด และส่วนอนๆ
ั ํ ื่
- ยดลาต้นให้ติดกบพนดน เจริญเติบโตลงสู่ ดนตามแรงโน้มถ่วง
ึ ํ ั ื้ ิ ิ
ของโลก
- หน้าที่อนๆ เช่น สะสมอาหาร สังเคราะห์แสง คาจุน ยดเกาะ
ื่ ํ้ ึ
หายใจ เป็นต้น
- 74. การงอกของเมล็ดพืช ในช่ วง 3 วันแรก
- ส่ วนทีโผล่ พ้นเมล็ดออกมาก่ อน เรียกว่ า primary root(แรดิเคิล)
่
หรือรากแก้ ว
- เมื่อรากมีความยาวเพิมขึน จะมีขนราก(root hair)เกดขน
่ ้ ิ ึ้
ถดจากปลายสุดของราก
ั
- จํานวนและความยาวของรากเพิมมากขึน
่ ้
- รากถัวเขียวทีเ่ พิมขึน รากแขนง(lateral root) หรือ secondary
่ ่ ้
root ซ่ึงเจริญมาจากรากเดม ิ
- รากข้ าวโพด จํานวนรากทีเ่ พิมขึนเจริญมาจากบริเวณทีอยู่เหนือ
่ ้ ่
ขนไป รากพเิ ศษ(adventitious root)
ึ้
- 78. โครงสร้ างตามยาวของราก แบ่ งได้ 4 บริเวณ คือ
1. หมวกราก(root cap) ประกอบด้ วยเซลล์ พาเรงคิมา
(Parenchyma) เรียงตัวกันอย่ างหลวมๆ ผนังค่ อนข้ างบาง
มีแวคิวโอลขนาดใหญ่ สามารถผลิตเมือกได้ ทําให้ หมวก
รากชุ่มชื้น และอ่ อนตัว สะดวกต่อการชอนไชของรากลงไป
ในดิน และหมวกรากทําหน้ าที่ปองกันอันตรายให้ กบ
้ ั
บริเวณที่อยู่เหนือขึนไป ขณะทีรากชอนไชลงสู่ ดน
้ ่ ิ
เซลล์ บริเวณนีจะมีอายุส้ั นเพราะมีการฉีกขาดอยู่เสมอ
้
- 79. 2.บริเวณเซลล์ กาลังแบ่ งตัว(Region of cell
ํ
division)
อย่ ูถัดจากรากขนมาประมาณ 1-2 mm เป็ นบริเวณของ
ึ้
เนือเยือเจริญปลายราก จึงมีการแบ่ งเซลล์ แบบไมโทซิส เพือ
้ ่ ่
เพิมจํานวน โดยส่ วนหนึ่งเจริญเป็ นหมวกราก แต่ เซลล์ ส่วน
่
ใหญ่ จะเจริญเปลียนแปลงเป็ นเซลล์ ทอยู่ในบริเวณถัดขึนไป
่ ี่ ้
ด้ านบน
- 81. 3. บริเวณเซลล์ ขยายตัวตามยาว (Region of cell
elongation)
อยู่ถดจากบริเวณที่เซลล์ มีการแบ่ งตัว เป็ นบริเวณที่เซลล์ มี
ั
การยืดยาวขึน ประกอบด้ วยเซลล์ ที่ได้ จากบริเวณเซลล์
้
กําลังแบ่ งตัว และหยุดการแบ่ งตัวแล้ ว มีการขยายขนาด
ทางด้ านยาวเพิมขึนก่อน จากกนั้นจะค่ อย ๆ ขยายขนาด
่ ้
ทางด้ าน กว้ างออกเล็กน้ อย ทําให้ รากยาวออกไป
- 82. 4. บริเวณเซลล์ เปลียนแปลงไปทําหน้ าที่เฉพาะ
่
และการเจริญเตมทของเซลล์(Region of cell
็ ี่
differentiation and maturation)
ประกอบด้ วยเซลล์ ถาวรต่ างๆ ซึ่งมีการเปลียนแปลงมาจาก
่
เนือเยือเจริญ เป็ นเซลล์ ชนิดต่ างๆ ในโครงสร้ างของราก เพือ
้ ่ ่
ทําหน้ าทีเ่ ฉพาะ ซึ่งเป็ นเซลล์ ทมการเจริญเต็มที่ ทําหน้ าที่
ี่ ี
ต่ างๆ ได้ อย่ างสมบูรณ์ เช่ น บริเวณนีจะมเี ซลล์ขนราก
้
(Root hair cell)อยู่ท่เี อพิเดอร์ มส เพือเพิมพืนที่ผวใน
ิ ่ ่ ้ ิ
การดูดนําและแร่ธาตุ
้
- 84. โครงสร้างในภาคตดขวางของราก
ั
แยกเป็ นบริเวณ หรือชั้นต่ างๆได้ 3 บริเวณ ดังนี้
1. epidermis เป็ นเนือเยือชั้นนอกสุ ด มเี ซลล์ทีเ่ รียง
้ ่
ตัวกนเพยงช้ันเดียว และผนังเซลล์บาง ไม่มีคลอโรพลาสต์
ั ี
ประกอบด้วยเซลล์ผว และเซลล์ขนราก มีแวคิวโอล
ิ
ขนาดใหญ่
epidermis มีหน้ าที่ปองกันอันตราย ให้ แก่ เนือเยือที่อยู่
้ ้ ่
ภายในขนรากของเอพเิ ดอร์มส ช่ วยดูดนําและแร่ ธาตุ
ิ ้
ปองกน ไม่ให้นําเข้ารากมากเกนไป
้ ั ้ ิ
- 87. 2. คอร์เทกซ์ (cortex)
เป็ นอาณาเขตระหว่ างชั้น epidermis และ สตีล(stele)
ประกอบด้วยเนือเยอพาเรงคิมา ทีทาหน้ าที่สะสมนํา และ
้ ่ื ่ ํ ้
อาหารเป็นส่วนใหญ่ ช้ันในสุดของ cortex จะเป็นเซลล์
แถวเดยวเรียก endodermis ซ่ึงในรากพชใบเลยงเดยวจะ
ี ื ี ้ ่ี
เห็นชัดเจน
เซลล์ ในชั้นนีเ้ มื่อมีอายุมากขึนจะมีผนังหนาเพราะ มีสารซูเบอริน
้
หรือลิกนินสะสมอยู่ ทาให้เป็นแถบหรือปลอกอยู่ เซลล์แถบหนา
ํ
ดงกล่าว เรียกว่า แคสพาเรียนสตริพ (casparian strip)
ั
- 90. 3. สตล(stele) เป็ นบริเวณทีอยู่ถัดจากชั้น endodermis
ี ่
เข้าไป stele ในรากจะแคบกว่ าชั้น cortex
ประกอบด้ วยช้ันต่างๆดังนี้
3.1 เพริไซเคล(pericycle) ประกอบด้ วยเซลล์ พาเรงคมา
ิ ิ
เป็ น ส่ วนใหญ่ อาจมีช้ันเดียวหรือหลายชั้นแล้ วแต่ ชนิดของพืช
เป็นช้ันด้านนอกสุ ด ของสตล ี
เพริไซเคล พบเฉพาะในรากเท่าน้ัน และเห็นชัดเจนในรากพชใบ
ิ ื
เลยงคู่ เพริไซเคล เป็นส่วนทให้กาเนดรากแขนง
ี้ ิ ่ี ํ ิ
(Secondary root) ท่แตกออกทางด้านข้าง (Lateral
ี
root)
- 91. 3.2 กล่ ุมท่อลาเลยง (vascular bundle)
ํ ี
ประกอบด้ วย primary xylem และ primary
phloem ซึ่งมี xylem อย่ ูตรงใจกลางของรากเรียง
เป็ นแฉก โดยมี phloem อย่ ูระหว่างแฉก
ในพชใบเลียงคู่จะเห็นการเรียงตัวเป็ นแฉกชัดเจน มีจํานวน
ื ้
แฉกน้อย ประมาณ 1-6 แฉก โดยมากมกมี 4 แฉก
ั
ส่ วนรากของพืชใบเลียงเดียวมักมีจํานวนแฉกมากกว่ า
้ ่
ต่ อมา จะเกิดเนือเยือเจริญ vascular cambium ค่น
้ ่ ั
ระหว่าง xylem กบ phloem
ั
- 92. cortex
cortex
stele
ภาพ เปรี ยบเทียบภาคตัดขวาง
stele ของรากพืชใบเลียงเดี่ยวและใบ
้
เลียงค่ ู
้
- 94. พืชใบเลียงคู่ มีการเจริญเติบโตให้ รากมีขนาดใหญ่ ขน
้ ึ้
มีการสร้ างวาสคิวล์ ารแคมเบียม (Vascular cambium)
หรือ แคมเบียม (Cambium) ซึ่งเป็นเนื่อเยือเจริญ เกดขน
่ ิ ึ้
ระหว่ าง primary xylem และ primary phloem
Vascular cambium ทา ให้เกิดการเจริญเติบโตข้นที่สอง
ํ ั
(Secondary growth) โดยแบ่งตัวให้ Secondary
xylem อยู่ทางด้ านใน Secondary phloem อยู่
ทางด้ านนอก เมือมีการเจริญเติบโตขั้นที่สองเพิมขึนเรื่อย ๆ ทา ให้
่ ่ ้ ํ
primary phloem คอร์เทกซ์และเอพิเดอร์ มสถูกดันออก ิ
และถอยร่ นออกไป
- 95. รากพืชในเลียงคู่
้
endodermis
Primary phloem
Secondary phloem
Secondary xylem
Primary xylem
pericycle
Vascular cambium
- 96. ลําต้ นพืชใบเลียงคู่
้
Primary xylem
Secondary xylem
Secondary phloem
Vascular cambium
Primary phloem
- 97. 3.3 พธ (pith)
ิ
เป็ นบริเวณตรงกลางราก หรือ ไส้ในของราก
เห็นได้ ชัดเจนในรากพืชใบเลียงเดี่ยว ส่ วนใหญ่ เป็ นเนือเยือ
้ ้ ่
พาเรงคิมา เช่ น ข้ าวโพด
ส่ วนรากพืชใบเลียงคู่ตรงกลางมักเป็ น xylem
้
- 101. ชนิดของราก
เมอแยกตามการเกดของราก ออกเป็น 3 ชนิดคอ
ื่ ิ ื
1. Primary root หรือ รากแก้ว (tap root)
เป็ นรากทเี่ จริญจาก แรดเิ คล(Radicle) ของเอ็มบริโอ
ิ
แล้ วพุ่งลงสู่ ดนต่ อ โคนรากจะใหญ่ แล้ วค่ อย ๆ เรียวไป
ิ
จนถึงปลายราก จะยาวและใหญ่กว่ารากอืนๆ ทีแยกออกไป
่ ่
ทาหน้าทเี่ ป็นหลกรับส่ วนอืนๆ ให้ ทรงตัวอยู่ได้
ํ ั ่
- 103. รากชนิดนีพบในพืชใบเลียงคู่ทงอกออกจากเมล็ด
้ ้ ี่
โดยปกติ พืชหลายชนิดมีรากแก้ วเป็ นรากสํ าคัญ
ตลอดชีวต ิ
ส่วนพืชใบเลียงเดียวทีงอกออกจากเมล็ดใหม่ ๆ ก็มี
้ ่ ่
รากระบบนีเ้ หมือนกัน แต่ มอายุได้ ไม่ นานก็เน่ า
ี
เปื่ อยไป แล้วเกิดรากชนิดใหม่ ขนมาแทน(รากฝอย)
ึ้
- 105. 2. Secondary root หรือรากแขนง(lateral
root หรือ branch root)
เป็ นรากทีเ่ จริญเติบโตออกมาจากรากแก้ ว มักงอกเอียง
ลงไปในดินจนเกือบขนานหรือขนานไปกับพืนดิน ้
รากชนิดนีอาจแตกแขนงออกเป็ นทอดๆ ได้ อกเรื่อยๆ
้ ี
ทั้งรากแขนงและแขนงต่ างๆ ทียนออกไปเป็ นทอดๆ
่ ื่
ต่ างกําเนิดมาจากเนือเยือเพริไซเคิลในรากเดิมทั้งสิ้น
้ ่
- 107. 3. Adventitious root หรือ รากวิสามัญ
เป็ นรากทีไม่ ได้ กาเนิดมาจากรากแก้ วหรือรากแขนง
่ ํ
รากชนิดนีอาจแตกออกจากโคนต้ นของพืช
้
ตามข้ อของลําต้ นหรือกิง ตามใบหรือจากกิงตอนของ
่ ่
ไม้ ผลทุกชนิด
แยกเป็ นชนิดย่ อยได้ ตามรู ปร่ างและหน้ าที่ ได้ ดงนี้
ั
- 108. รากฝอย (fibrous root)
เป็นรากเส้นเลกๆมากมาย ขนาดโตสมาเสมอกน งอกออก
็ ํ่ ั
จากรอบโคนต้ นแทนรากแก้ วทีฝ่อเสี ยไปหรือทีหยุดเติบโต
่ ่
พบในพืชใบเลียงเดียวเป็ นส่ วนใหญ่ เช่ น รากข้ าว ข้ าวโพด
้ ่
หญ้ า หมาก มะพร้ าว เป็ นต้ น
- 110. รากคาจุน (Prop root) เป็ นรากทีแตกออกมาจาก
ํ้ ่
ข้ อของลําต้ น ทีอยู่ใต้ ดน และเหนือดินขึนมาเล็กน้ อย
่ ิ ้
และพุ่งแทงลงไปในดิน เพือพยุงลําต้ นเอาไว้ ไม่ ให้
่
ล้ มง่ าย เช่ น รากข้ าวโพดทีงอกออกจากโคนต้ น
่
รากเตย ลาเจยก ไทรย้อย แสม โกงกาง
ํ ี
- 115. รากเกาะ (Climbing root)
เป็ นรากทีแตกออกมาจากข้ อของลําต้ น แล้ วมา
่
เกาะตามหลกหรือเสา เพือพยุงลําต้ นให้ ตด
ั ่ ิ
แน่ น และชู ลาต้ นขึนทีสูง เช่ น รากของพลู
ํ ้ ่
พลูด่าง กล้ วยไม้ พริกไทย เป็ นต้ น
- 121. รากหายใจ (Respiratory root หรือ
Aerating root)
เป็ นรากทีเ่ กิดจากรากทีอยู่ใต้ ดนงอก และ ต้งตรง
่ ิ ั
ขึนมาเหนือดินหรือผิวนํา เพือรับออกซิเจน
้ ้ ่
ช่ วยในการหายใจ พบในพืชชายนําหรือป่ าชายเลน
้
เช่ น รากลําพู แสม โกงกาง
- 122. ซึ่งแต่ ละชนิดจะมีรากหายใจทีต่างกันไป เช่ น
่
แสม มีรากหายใจโผล่ จากดิน ส่ วนโกงกาง รากหายใจ
แทงออกจากต้ นลงดิน เพือช่ วยคํายันลําต้ นอีกด้ วย
่ ้
นอกจากนีนากเหล่ านียงช่ วยดักตะกอนหรือ
้ ้ั
อินทรียวัตถุต่างๆ ตามพืนทีชายฝั่งอีกด้ วย
้ ่
- 126. • รากกาฝาก หรือ รากปรสิ ต (Parasitic root)
เป็ นรากของพืชพวกปรสิ ตทีสร้ าง Haustoria
่
แทงเข้ าไปในลําต้ นของพืชทีเ่ ป็ นโฮสต์ เพือแย่ งนํา และ
่ ้
อาหารจากโฮสต์ เช่ น รากกาฝาก ฝอยทอง เป็ นต้ น
- 129. รากสะสมอาหาร (food storage root)
เป็นรากที่สะสมอาหารพวกแปง โปรตน หรือนําตาลไว้
้ ี ้
จนรากเปลียนแปลงรู ปร่ างมีขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะ
่
เรียกกันว่ า“หัว” เช่ น หัวแครอท หัวผกกาด หรือหัวไชเท้า
ั
หัวผกกาดแดง หรือ แรดช (Radish)
ั ิ
หัวบีท (Beet root) และ หัวมนแกว ั
เป็นรากสะสมอาหารทเี่ ปลยนแปลงมาจากรากแก้ว
ี่
- 134. นอกเรื่อง
รักเร่ หรือ “รักแรก”
ลักษณะเป็ นไม้ ล้มลุก มีหัวใต้ ดน สู ง 40-100 ซม.
ิ
ดอกมหลายสี เช่ น ชมพู ส้ ม ขาว เหลือง และ สองสี ในดอก
ี
เดียว เป็ นต้ น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และ หัวใต้ ดน เมอมดอก
ิ ื่ ี
และดอกร่วงโรยต้นจะยบ แต่จะแตกต้นขนมาใหม่ได้
ุ ึ้
จากหัวทฝังอย่ ูใต้ดน
ี่ ิ
- 137. รากหนาม (Thorn Root)
เป็ นรากทีมีลกษณะเป็ นหนามงอกมาจากบริเวณโคนต้ น
่ ั
ตอนงอกใหม่ ๆ เป็ นรากปกติ แต่ ต่อมาเกิดเปลือกแข็งทํา
ให้ มลกษณะคล้ ายหนามแข็ง ช่ วยปองกันโคนต้ นได้
ีั ้
ปกติพบในพืชทีเ่ จริญในทีนําท่ วมถึง เช่ น โกงกาง
่ ้
ส่วนในปาล์มบางชนิดจะปรากฏรากหนามกรณทมราก ี ี่ ี
ลอยหรือรากคาจุน
ํ้
- 139. จดทาโดย
ั ํ
นางสาวแอนนา ปัญโญ
ตาแหน่ง ครูผู้ช่วย
ํ
โรงเรียนนารีรัตน์จงหวดแพร่
ั ั
Thank you