More Related Content
Similar to พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการรับรู้ (20)
พื้นฐานทางชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการรับรู้
- 10. ชนิดของเซลล์ประสาท
1. Sensory neurons (Receptor afferent) รับความรู้สึก
มีหน้าที่นาส่ง impulse จาก sense organ ไปยัง CNS
2. Motor neurons (efferent) สั่งการ
มีหน้าที่นาส่ง impulses จาก CNS ไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่าง ๆ ของ
ร่างกาย กล้ามเนื้อก็จะตอบสนองต่อ impulse ด้วยการหดตัว และต่อมจะ
ตอบสนองด้วยการหลั่งสารออกมา
3. Interneurons เชื่อมโยง
เป็นตัวที่เชื่อมต่อระหว่าง sensory และ Motor พบเฉพาะใน CNS
- 18. ส่วนต่าง ๆ ของสมองและหน้าที่
1. Cerebaral cortex ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสมอง ประกอบไปด้วย
frontal, parietal, temporal และ occipital lop มีหน้าที่รับและวิเคราะห์
ข้อมูลจากสิ่งที่มากระตุ้นทั้งภายนอกและภายในร่างกาย และแปลผลออกมาใน
รูปแบบของการตอบสนอง
2. Limbic system ประกอบไปด้วยเนื้อสมองส่วนย่อย ๆ หลายส่วน มีหน้าที่ในการ
ประสานสภาวะทางอารมณ์เข้ากับการเคลื่อนไหวและสภาวะทางอารมณ์
3. Midbrain และ Brain stem เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง crebra cortex เข้ากับ
ไขสันหลัง
4. Cerebellum เป็นสมองที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการทรงตัว
- 20. 1) Frontal lope (สมองส่วนหน้า)
ตาแหน่งที่ทาหน้าที่หลักในการควบคุม
การเคลื่อนไหว บริเวณที่เป็นศูนย์ควบคุมที่
เรียกว่า Motor Area
Cerebral cortex
- 24. ไขสันหลัง (Spinal cord)
> เป็นระบบประสาทส่วนกลางที่อยู่ในช่องไขสันหลัง ไขสันหลังเริ่มต้น
จากช่องกระดูกท้ายทอย ลงไปสิ้นสุดมี่ขอบล่างของกระดูกเอว มีความ
ยาวประมาณ 42 – 45 เซนติเมตร
> จานวน 31 คู่ออกจากไขสันหลัง
- 25. หน้าที่ของไขสันหลัง
1. เป็นศูนย์กลางของ Spinal reflex
2. ตาแหน่งแรกที่รับสัญญาณประสาทจากระบบความรู้สึกเพื่อส่งต่อไปยัง
สมอง
3. เป็นตาแหน่งสิ้นสุดของสัญญาณประสาทที่มาจากระบบประสาท motor
เนื่องจากมี anterior motor neurons ที่จะเป็นเซลล์ประสาทที่รับคาสั่ง
จาก corticospinal tract และสั่งการไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ
4. ทางเดินของกระแสประสาทที่ติดต่อระหว่างไขสันหลังและสมอง
5. เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทออโตโนมิก
- 28. ระบบประสาทส่วนปลายประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
1. Sensory division (afferent)
ประกอบไปด้วยเซลล์ประสาทที่ทาหน้าที่รับสัญญาณประสาททั้ง
ภายในและภายนอกร่างกาย และนาส่งไปยังระบบประสาท
ส่วนกลาง
2. Motor division (efferent)
ทาหน้าที่รับคาสั่งจากส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่าง ๆ
- 29. ระบบประสาทส่วนปลายประกอบด้วย
1. Sensory – somatic nervous system ประกอบไปด้วยเส้นประสาท 12 คู่
และเส้นประสาทสันหลัง 31 คู่
1.1 cranial nerve เส้นประสาทสมองทั้ง 12 คู่ ทาหน้าที่รับความรู้สึกและ
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ปาก ลาคอ
1.2 spinal nerves เส้นประสาทสันหลังประกอบไปด้วย sensory และ
motor ซึ่งทางานภายใต้อานาจของจิตใจ
- 30. ระบบประสาทส่วนปลายประกอบด้วย (ต่อ)
2. Autonomic nervous system เป็นการควบคุมการทางานของร่างกาย
ภายนอกจิตใจ ประกอบไปด้วย sensory และ motor ซึ่งวิ่งระหว่างระบบ
ประสาทส่วนกลางและอวัยวะภายในต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ
Sympathetic และ parasympathetic nervous system ซึ่งทั้งสองระบบนี้
จะสั่งงานตรงข้ามกันในแต่ละอวัยวะ
2.1 Sympathetic nervous system ถูกกระตุ้นในกรณีฉุกเฉิน ผลจาก
การกระตุ้นเช่นหัวใจเต้นเร็ว เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น การย่อยอาหาร
ลดลง
2.2 parasympathetic nervous system ผลจากการกระตุ้นระบบนี้
ออกฤทธิ์ตรงกันข้ามกับการกระตุ้น หัวใจเต้นช้าลง ลาไส้ทางานมากขึ้น
- 32. ระบบกล้ามเนื้อ
ร่างกายแบ่งกล้ามเนื้อออกเป็น 3 ชนิด คือ
- กล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย
- กล้ามเนื้อเรียบ
- กล้ามเนื้อหัวใจ
โดยที่กล้ามเนื้อลายนั้นถูกควบคุมอยู่
ภายใต้อานาจจิตใจหรือรีเฟล็กซ์ ส่วนกล้ามเนื้อ
เรียบและกล้ามเนื้อหัวใจทางานนอกอานาจ
จิตใจ
- 39. คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ(ต่อ)
• มีความสามารถที่จะหย่อนตัวหรือยืดตัวได้ (Extensibility) กล้ามเนื้อ
สามารถ ที่จะเปลี่ยน รูปร่างให้ยาวขึ้นกว่าความยาวปกติของมันได้ เมื่อถูก
ดึง เช่น กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ มดลูก เป็นต้น
• มีความยืดหยุ่นคล้ายยาง (Elasticity) คือ มีคุณสมบัติที่เตรียมพร้อมที่จะ
กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ภายหลังการถูกยืดออกแล้ว
• มีความสามารถที่จะดารงคงที่อยู่ได้ (Tonus) โดยกล้ามเนื้อมีการหดตัว
บ้างเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะทางานอยู่เสมอ
- 43. กล้ามเนื้อที่ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอกเพื่อหายใจเข้า
• กระบังลม (diaphragm) เป็นกล้ามเนื้อที่สาคัญที่สุดของการหายใจเข้า
ในขณะพักการหดตัวจะทาให้เพิ่มขนาดของทรวงอกตามแนวตั้ง
• กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง กล้ามเนื้อนี้เกาะจากขอบล่างของซี่โคลงซี่บน
และวิ่งเป็นเส้นทะแยงมุมมาทางด้านหน้ามาเกาะที่ขอบบนของซี่โครง
ซี่ล่าง เวลาหดตัวจะช่วยยกซี่โครงและกระดูกหน้าอก(sternum) ขึ้นทา
ให้ทรวงอกขยายตัวโดยมาก จะเกิดเมื่อร่างกายจาเป็นต้องหายใจแรงๆ
เช่น ในขณะออกกาลังกาย
- 46. กล้ามเนื้อของแขน
กล้ามเนื้อของแขน แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้
(1) กล้ามเนื้อของไหล่ ที่สาคัญได้แก่ กล้ามเนื้อ deltoid เนื้อใหญ่
หนา มีรูปเป็นสามเหลี่ยมคลุมอยู่ที่ข้อไหล่ ตั้งต้นจากปลายนอกของ
กระดูกไหปลาร้า และกระดูกสะบัก แล้วไปยึดเกาะที่พื้นนอกตอนกลาง
ของกระดูกแขนท่อนบน ทาหน้าที่ยกต้นแขนขึ้นมาข้างบนให้ได้ระดับกับ
ไหล่เป็นมุมฉาก
- 47. กล้ามเนื้อของแขน (ต่อ)
(2) กล้ามเนื้อของต้นแขน ที่สาคัญได้แก่ - ไบเซฟส์แบรคิไอ (biceps
brachii) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของต้นแขน มีรูปคล้ายกระสวย ทา
หน้าที่งอข้อศอกและหงายมือ - ไตรเซฟส์แบรคิไอ (triceps brachii) เป็น
กล้ามเนื้อมัดใหญ่อยู่ด้านหลังของต้นแขน ปลายบนแยกออกเป็น 3 หัว
ช่วยทาหน้าที่เหยียดปลายแขนหรือข้อศอก
- 52. กล้ามเนื้อของขากล้ามเนื้อของขา (ต่อ)
(3) กล้ามเนื้อของปลายขา ประกอบด้วย
- กล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา ทาหน้าที่งอเท้าขึ้นเหยียด
นิ้วเท้า และหันเท้าออกข้างนอก
- กล้ามเนื้อด้านนอกของปลายขา ช่วยทาหน้าที่เหยียดปลายเท้า
เหมือนกล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา
(4) กล้ามเนื้อของเท้า เป็นกล้ามเนื้อสั้นๆ เหมือนกับของมือ อยู่ที่
หลังเท้า และฝ่าเท้า มีหน้าที่ช่วยยึดเท้าให้เป็นส่วนโค้ง และเคลื่อนไหวนิ้วเท้า
- 55. ระบบต่อมไร้ท่อ
อมรพันธุ์ เสรีมาศพันธ์ , ภาควิชากายภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็นระบบการทางานหนึ่งที่สร้างสารชีวะโมเลกุล และสารดังกล่าวจะถูกหลั่ง
ออกมาจากเซลล์ในร่างกายสู่กระแสเลือด เรียกว่า “ฮอร์โมน (Hormone)”
ฮอร์โมน
มีความสาคัญอย่างยิ่งในการควบคุมสมดุลของร่างกาย เป็นระบบการทางานที่
ช่วยสื่อสารข้อมูลระหว่างแหล่งสร้างฮอร์โมนต้นทางกับอวัยวะหรือเซลล์ปลายทางอย่าง
เหมาะสม
- 57. 1. ต่อมใต้สมอง (Pituitary grand) 2. ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
3. ต่อมพาราไทรอย (Parathyroid gland) 4. ตับอ่อน (Pancrease)
5. ต่อมหมวกไต (Adrenal gland) 6. ต่อมเพศ (Gonad)
7. ฮอร์โมนจากรก 8. ต่อมเหนือสมอง (Pineal gland)
9. ฮอร์โมนจากไอส์เลตออฟแลงเกอร์ฮานส์
- 61. ต่อมใต้สมอง (PITUITARY GLAND)
อาจารย์ภานุวัฒน์ ศิวะสกุลราช, การพัฒนาคน
ต่อมใต้สมองหรือต่อมพิทูอิตารี่ เป็นต่อมไร้ท่อที่
สาคัญมากในร่างกาย
มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วลันเตา
อยู่บริเวณขมับด้านซ้ายใต้สมองส่วนไฮโปทาลามัส
(Hypothalamus)
ทาหน้าที่ควบคุมต่อมอื่น ๆ อีก 7 ต่อมเพื่อผลิต
ฮอร์โมนได้เป็นปกติ
- 63. ต่อมใต้สมอง
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. ต่อมใต้สมองส่วนหน้า
2. ต่อมใต้สมองส่วนกลาง
3. ต่อมใต้สมองส่วนหลัง
ขนาด 1 ถึง 1.5 เซนติเมตร
ต่อมใต้สมองส่วนหลัง
ไม่ได้สร้างฮอร์โมน แต่มีปลาย แอกซอล ของ นิวโร
ซีครีทอรีเซลล์ (neurosecretory cell)
- 65. สาเหตุ อาการ
มากเกินไป ส่วนที่เป็นกระดูกยังตอบสนองฮอร์โมน จะไม่
สูงขึ้น แต่ส่วนที่เป็นกระดูกจะใหญ่ผิดปกติ
น้อยเกินไป ไม่แสดงอาการ ทางกายภาพ
แต่จะมีระดับน้าตาลในเลือดน้อยกว่าคนปกติ ทา
ให้ร่างกายไม่ทนต่อความเครียดต่าง ๆ สมอง
อาจจะได้รับอันตรายได้ง่าย เพราะได้รับ
สารอาหารไม่เพียงพอ
ความผิดปกติ : วัยผู้ใหญ่
- 67. 2 โกนาโดโทรฟิน (Gonodotrophin : Gn)
ประกอบด้วย
ฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน (Follicle stimulating hormone)
เรียกว่า FSH
และลูทิไนซิงฮอร์โมน (Luteinizing hormone) เรียกว่า LH
- 68. เพศชาย
FSH - กระตุ้นการเจริญของอัณฑะ และหลอดสร้างอสุจิ
LH - กระตุ้นกลุ่มเซลล์อินเตอร์สติเชียล (Interstitial cell) ที่แทรกระหว่าง
หลอดสร้างอสุจิในอัณฑะให้หลั่งฮอร์โมนเพศชาย คือ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน
(testosterone)
- 69. เพศหญิง
FSH - กระตุ้นการสร้างการเจริญของ ฟอลลิเคิล (Follicle) ในรังไข่ ขณะฟอ
ลิเคิลเจริญจะสร้าง ฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen)
LH - จะกระตุ้นการตกไข่และเกิดคอร์ปัสลูเทียม คอปัสลูเทียมจะสร้าง
ฮอร์โมน โพรเจสเทอโรน (progesterone)
ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน ทาหน้าที่รวมกับ ฮอร์โมนเอสโทรเจน ที่จะทาหน้าที่
เปลี่ยนแปลงรังไข่และมดลูก เพื่อรองรับการฝังตัวของเซลล์ไข่ที่ถูกผสม
- 70. 3 โพรแลกทิน (prolactin)
กระตุ้นให้ต่อมน้านมสร้างน้านมเพื่อเลี้ยงลูกอ่อน
4 อะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิน (Adrenocorticotrophin)
เรียกย่อว่า ACTH ทาหน้าที่กระตุ้นต่อมหมวกไตส่วนนอกให้หลั่งฮอร์โมน
ตามปกติ
5 ไทรอยด์สติมิวเลติงฮอร์โมน (Thyroid stimulating hormone)
เรียกว่า TSH หน้าที่หลักคือ กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนเป็นปกติ
6 เอนดอร์ฟิน (endorphin)
เป็นสารที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟิน พบว่ามีแหล่งสร้างจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและ
อาจจะสร้างจากเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ได้อีกด้วย เป็นสารที่มีฤทธิ์ระงับความ
เจ็บปวด หลั่งเมื่อออกกาลังกายหรืออารมแจ่มใส เรียกว่าสารแห่งความสุข
- 72. ภายในต่อมไทรอยด์ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์จานวนมาก
แต่ละกลุ่มเซลล์ประกอบด้วยเซลล์ที่มีความหนาเพียงชั้น
เดียว
มีช่องตรงกลาง เรียกกลุ่มเซลล์นี้ว่า ไทรอยด์ฟอลลิเคิล
(thyroid follicle) ทาหน้าที่สร้างฮอร์โมน ไทรอกซิน
(thyroxin)
ไทรอกซิล (thyroxin) ซึ่งมีไอโอดีนเป็นส่วนประกอบ แล้ว
ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด มีหน้าที่ควบคุม ระบบเมตาบอลิซึม
ของร่างกาย
- 73. ผลจากการขาดฮอร์โมนไทรอกซิน
สาเหตุ อาการ
ขาดฮอร์โมน (เด็ก) พัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองด้อยลง
ร่างกาย เตี้แคระ แขน ขาสั้น ผิวหยาบแห้ง ผม
บาง เจริญเติบโตช้ากว่าปกติ ปัญญาอ่อน เรียกว่า
กลุ่มอาการ เครทินิซึท (cretinism)
ขาดฮอร์โมน (ผู้ใหญ่) อาการเหนื่อยง่าย น้าหนักเพิ่ม ทนความหนาว
ไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผมผิวหนังแห้ง หัวใจโต
ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ซึม เฉื่อยชา และ
ความจาเสื่อม กลุ่มอาการนี้เรียกว่า มิกซีดีมา
(Myxedema)
- 75. โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic goiter)
ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้นให้สร้างฮอร์โมนมากเกินไป ผู้เป็นโรคนี้จะมีคอ
หอยไม่โตมากนัก แต่จะมีตาโปนตามมาด้วย
เนื่องมาจากเกิดอาการผิดปกติทางร่างกายทาให้ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้น
ให้ทางานตลอดเวลา ต่อมจึงขยายใหญ่ขึ้น และสร้างฮอร์โมนมากกว่าปกติ
- 76. ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid)
สร้างฮอร์โมน พาราทอโมน (parathormone) หรือ พาราไทรอยด์ฮอร์โมน
(parathyroid) เรียกย่อว่า PTH
PTH มีหน้าที่ ควบคุมสมดุลของแคลเซียมในเลือดให้คงที่และมีสมดุล
มีผลต่ออวัยวะสาคัญ 3 แห่งคือ
ทางเดินอาหารช่วยเร่งการดูดซึมของแคลเซียมในลาไส้เล็ก
ผลต่อกระดูกช่วยเพิ่มอัตราการสลายแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่กระดูก
ไต ช่วยเพิ่มการดูดกลับของแคลเซียม แต่จะเพิ่มการขับฟอสฟอรัสออกทาง
ปัสสาวะ
- 79. ตับอ่อน (Pancreas)
ภายในตับอ่อน จะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า ไอส์
เลดออฟแลงเกอร์ฮานส์
(Islats of langerhans)
ทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่สาคัญ 2 ชนิด คือ
อินซูลิน (insulin) และกลูคาคอน (Glucagon)
- 85. ต่อมหมวกไต (adrenal gland)
• ต่อมนี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ส่วนคือ
ต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex)
ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla)
- 86. ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก
(adrenal cortex)
สร้างฮอร์โมนมากกว่า 50 ชนิด ที่สาคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่
ฮอโมนกลูโคคอร์ดิคอยด์ (glucocorticoids)
ทาหน้าที่หลักในการควบคุมเมเทบอลิซึมของคาบอไฮเดรต ตัวอย่าง
ฮอร์โมนกลุ่มนี้คือ คอร์ติซอล(cortisol) มีหน้าที่สาคัญคือ เพิ่มระดับน้าตาล
ในเลือด โดยกระตุ้นตับให้เปลี่ยนเป็นกรดอมิโนและกรดไขมัน เป็น คาบอร์ไฮ
เดรต และสะสมในรูปไกรโคเจน
- 94. อวัยวะเพศ
อวัยวะเพศ ได้แก่ อัณฑะ (testis) และรังไข่ (ovary)
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นต่อมใต้สมองจะหลั่ง FSH และ LH เพิ่มขึ่น เพื่อ
กระตุ้นการเจริญเติบโตของอัณฑะและรังไข่ ทาให้สามารถสร้างเซลล์สืบ
พันธ์และฮอร์โมนได้
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
-เพศชาย เซลล์เลย์ดิกได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมน LH จากต่อมใต้สมอง
ส่วนหน้าให้สร้างฮอร์โมนเพศชายเรียกว่า แอนโดรเจน (Androgens)
- ประกอบด้วยฮอร์โมนที่สาคัญคือ เทสโทสเทอโรน มีหน้าที่สาคัญที่
ทาให้ผู้ชายสามารถสืบพันธ์ได้ มีลักษณะของการแตกเนื้อหนุ่ม
- 97. ต่อมไทมีส (Thymus gland)
มีลักษณะเป็นพู
มีตาแหน่งตรงกลางกระดูกอกกับหลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ
มีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิต ที หรือ เซลล์ที
การเจริญของเซลล์ที อาศัยฮอร์โมนไทโมซิน (thymosin) ซึ่ง
สร้างจากต่อมไทมัส
ดังนั้นต่อมไทมัสจึงเกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- 101. พันธุกรรมสิ่งแวดล้อม
พันธุกรรม(Heredity) เป็นการถ่ายทอดคุณลักษณะทางด้านชีวภาพ
ที่มีอยู่ในยีน (Genes) และจะถ่ายทอดผ่านโครโมโซม( Chromosome) โดย
ลักษณะที่ปรากฏออกมาให้เห็นภายนอกได้เรียกว่า Phenotype ซึ่งถือเป็น
ลักษณะเด่น (Dominant) เช่น รูปร่าง หน้าตา สีผม สีผิว สีตา ฯลฯ ส่วน
ลักษณะที่แฝงไว้โดย ไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นในรุ่นลูก (แต่อาจปรากฏใน
รุ่น หลาน หรือรุ่นเหลน) เรียกว่า Genotype ซึ่งเป็นลักษณะ ด้อย
(Recessive) เช่น กลุ่มเลือด ตาบอดสี โรคลมบ้าหมู โรคเบาหวาน โรค
ปัญญาอ่อน โรคภูมิแพ้ และโรคบางชนิดที่ถ่ายทอดกันได้ทางสายเลือด
- 104. สภาพแวดล้อมก่อนเกิด (ต่อ)
2) สุขภาพจิตของแม่ อารมณ์ของแม่
จะมีผลต่อลูกในครรภ์เป็นอย่างมาก หากแม่
มีอารมณ์ หวาดกลัว วิตกกังวล โกรธและ
เครียดมากๆ หรือเครียดนานๆ จะทาให้
ฮอร์โมนในเลือดของแม่ไม่สมดุล เป็นสาเหตุ
ให้เด็กเป็นปัญญาอ่อนได้
- 107. สภาพแวดล้อมก่อนเกิด
5) การได้รับเชื้อ HIV การที่แม่ได้รับ เชื้อHIV (โรคเอดส์) เชื้อจะถูก
ส่งผ่านจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ทาให้ทารกมีอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ
อาจเสียชีวิตได้
6) สภาวะของ Rh Factor หมายถึง การที่ระบบเลือดของแม่มีสาร
บางอย่างเข้าไปก่อปฏิกิริยาทาลายเม็ดเลือดแดง ของตัวอ่อนในครรภ์ ทา
ให้เกิดการแท้งหรือทารกตายหลังคลอดได้
- 112. สภาพแวดล้อมหลังเกิด
1) สิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว เป็น
สังคมกลุ่มแรกที่ มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ
อารมณ์ ความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติ
ของบุคคลเป็นอย่างมาก ได้แก่ ทัศนคติ
ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก การอบรม เลี้ยงดู
และบรรยากาศในครอบครัว การเป็น
แบบอย่างที่ดีแก่ลูก จานวนพี่น้องและ
ลาดับการเกิด การให้โภชนาการใน
ครอบครัว ระดับ การศึกษาของพ่อแม่
และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว