More Related Content
Similar to บทที่ 6. การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย
Similar to บทที่ 6. การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย (20)
More from Pokypoky Leonardo
More from Pokypoky Leonardo (7)
บทที่ 6. การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย
- 1. Introduction to Information Technology
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูล
ความหมายของการสื่อสารข้อมูล
การสื่ อ สารข้ อ มู ล หมายถึ ง การโอนถ่ า ย (Transmission)
ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลายทาง โดยใช้
อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สำาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูล
จากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการกำา
หนดกฏเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการ
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำาได้ก็ต่อเมื่อมีองค์
ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
١. ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล(Sender)
ข้ อ มู ล ต่ า งๆ ที่ อ ยู่ ต้ น ทางจะต้ อ งจั ด เตรี ย มนำา เข้ า สู่ อุ ป กรณ์
สำา หรั บ ส่ ง ข้ อ มู ล ซึ่ ง ได้ แ ก่ เ ครื่ อ งพิ ม พ์ หรื อ อุ ป กรณ์ ค วบคุ ม ต่ า ง ๆ
จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ใน
รูปแบบที่สามารถส่งข้อมูลนันได้ก่อน ้
٢. ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
ข้อมูลทีถูกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึงปลายทาง
่
ก็จะมีอุปกรณ์สำา หรับรับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำา ไปใช้ประโยชน์ต่อไป
อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จาน
ดาวเทียม ฯลฯ
٣. โปรโตคอล (Protocal)
โปรโตคอล คื อ กฏระเบี ย บ หรื อ วิ ธี ก ารใช้ เ ป็ น ข้ อ กำา หนด
สำา หรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมีหลายชนิด
ให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
٤. ซอฟต์แวร์ (Software)
1
- 2. Introduction to Information Technology
การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำาเป็นต้องมีโปรแกรมสำาหรับกำา
เนิน การ และควบคุ มการส่ งข้ อมู ลเพื่อ ให้ ได้ ข้อ มู ล ตามที่ กำา หนดไว้
ได้แก่ Novell’s netware] UNIX Windows NT ฯลฯ
٥. ข่าวสาร (Message)
เป็นรายละเอีย ดซึ่ งอยู่ใ นรูปแบบต่ าง ๆ ที่จ ะส่ ง ผ่ า นระบบการ
สื่อสาร ซึ่งมีหลายรูปแบบดังนี้
٥.١ ข้ อ มู ล (Data) เป็ น รายละเอี ย ดของสิ่ ง ต่ า ง ๆ ซึ่ ง ถู ก
สร้างและจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยว
กับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูลสามารถนับจำา นวนได้
และส่งผ่านระบบสื่อสารได้เร็ว
٥.٢ ข้ อ ความ (Text) อยู่ ใ นรู ป ของเอกสารหรื อ ตั ว อั ก ขระ
ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำานวนได้ค่อนข้างยาก และมีความ
สามารถในการส่งปานกลาง
٥.٣ รู ป ภาพ (Image) เป็ น ข่ า วสารที่ อ ยู่ ใ นรู ป ของภาพ
กราฟิกแบบต่าง ๆ ได้แก่ รูปภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพวีดีโอ ซึ่ง
ข้ อ มู ล ชนิ ด นี้ จ ะต้ อ งอาศั ย สื่ อ สำา หรั บ เก็ บ และใช้ ห น่ ว ยความจำา เป็ น
จำานวนมาก
٥.٤ เสี ย ง (Voice) อยู่ ใ นรู ป ของเสี ย งพู ด เสี ย งดนตรี หรื อ
เสี ย งอื่ น ๆ ข้ อ มู ล ชนิ ด นี้ จ ะกระจั ด กระจาย ไม่ ส ามารถวั ด ขนาดที่
แน่นอนได้ การส่งจะทำาได้ด้วยความเร็ว ค่อนข้างตำ่า
٦. ตัวกลาง(Medium)
เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำา หน้าที่นำา ข่าวสารในรูปแบบต่าง
ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับหรืออุปกรณ์รับปลายทาง
ซึ่ ง มี ห ลายรู ป แบบได้ แ ก่ สายไป ขดลวด สายเคเบิ ล สายไฟเบอร์
ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น
คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำาหรับสื่อสารข้อมูล
2
- 3. Introduction to Information Technology
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลาย
ทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำา หรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำาได้
หลายรูปแบบดังรูป
การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้นอาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบ
ขนานของเครื่อง ทั้ง ٢ เครื่อง เพื่อใช้สำา หรับโอนย้ายข้อมูลระหว่าง
เครื่ อ งได้ หรื อ อาจจะต่ อ โดยใช้ อิ น เทอร์ เ ฟสคาร์ ด ใส่ ไ ว้ ใ นเครื่ อ ง
สำาหรับเป้นจุดต่อก้ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อม
ต่อระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือ
ข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
การส่งสัญญาณข้อมูล (Transmission Definition)
การส่ ง สั ญ ญาณข้ อ มู ล หมายถึ ง การส่ ง ข้ อ มู ล หรื อ ข่ า วสาร
ต่างๆจากอุปกรณ์สำา หรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทางตัวกลางหรือสื่อกลาง
ไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูลหรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่ง
ไปอาจจะอยู่ในรูปของสัญญาณเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสง
ก็ ได้ โดยที่สื่ อกลางหรื อตั ว กลางของสั ญ ญาณนั้ น แบ่ ง เป็ น ٢ ชนิ ด
คื อ ชนิ ด ที่ ส ามารถกำา หนดเส้ น ทางสั ญ ญาณได้ เช่ น สายเกลี ย วคู่
(Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโอแอกเชียล (Coaxial) สายใย
แก้ ว นำา แสง(Fiber Optic)ส่ ว นตั ว กลางอี ก ชนิ ด หนึ่ ง นั้ น ไม่ ส ามารถ
กำา หนดเส้ น ทางของสั ญ ญาณได้ เช่ น สุ ญ ญากาศ นำ้า และ ชั้ น
บรรยากาศ เป็นต้น
แบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
การส่งสัญญาณข้อมูล สามารถแบ่งได้เป็น ٤ รูปแบบดังนี้
1. การส่ ง สั ญ ญาณทางเดี ย ว (One-Way Transmission
หรือ Simplex)
การส่งสัญญาณแบบนี้ในเวลาเดียวกันจะส่งได้เพียงทางเดียว
เท่านั้น ถึงแม้ว่าตัวส่งจะมีสัญญาณช่องทางก็ตาม ซึ่งมักจะเรียกการ
ส่ ง สั ญ ญาณทางเดี ย วนี้ ว่ า ซิ ม เพล็ ก ซ์ ผู้ ส่ ง สั ญ ญาณจะส่ ง ได้ ท าง
3
- 4. Introduction to Information Technology
เดี ย ว โดยที่ ผู้ รั บ จะไม่ ส ามารถโต้ ตอบได้ เช่ น การส่ ง วิ ท ยุ ก ระจาย
เสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์
2. การส่ ง สั ญ ญาณกึ่ ง ทางคู่ (Half-Duplex หรื อ Either-
Way)
การส่ ง สั ญ ญาณแบบนี้ เ มื่ อ ผู้ ส่ ง ได้ ทำา การส่ ง สั ญ ญาณไปแล้ ว
ผู้ รั บ ก็ จ ะรั บ สั ญ ญาณนั้ น หลั ง จากนั้ น ผู้ รั บ ก็ ส ามารถปรั บ มาเป็ น ผู้ ส่ ง
สัญญาณแทน ส่วนผู้ส่งเดิมก็ปรับมาเป็นผู้รับแทนสลับกันได้ แต่ไม่
สามารถส่ ง สั ญ ญาณพร้ อ มกั น ในเวลาเดี ย วกั น ได้ จึ ง เรี ย กการส่ ง
สั ญ ญาณแบบนี้ ว่ า ฮาร์ ฟ ดู เ พล็ ก ซ์ (Half Duplex หรื อ HD) ได้ แ ก่
วิทยุสนามที่ตำารวจใช้ เป็นต้น
การส่ ง สั ญ ญาณทางคู่ (Full-Duplex หรื อ Both way
3.
Transmission)
การส่ ง สั ญ ญาณแบบนี้ ส ามารถส่ ง ข้ อ มู ล ได้ พ ร้ อ มกั น ทั้ ง สอง
ทางในเวลาเดี ย วกั น เช่ น การใช้ โ ทรศั พ ท์ ผู้ ใ ช้ ส ามารถพู ด สาย
โทรศัพท์ได้พร้อม ๆ กัน
มาตรฐานสากล(International Standards)
เพื่อความเป็นระเบียบและความสะดวกของผู้ผ ลิตในการผลิ ต
อุปกรณ์สื่อสารแบบต่าง ๆ ขึ้นมา จึงได้มีการกำา หนดมาตรฐานสากล
สำาหรับระบบติดต่อสื่อสารข้อมูลขึ้น ซึ่งประกอบด้วยโปรโตคอล และ
สถาปั ต ยกรรมโดยมี ก ารจั ด ตั้ ง องค์ ก ารสำา หรั บ พั ฒ นา และควบคุ ม
มาตรฐานหมายองค์กรดังต่อไปนี้
1. ISO (The International Standards
Organization)
เ ป็ น อ ง ค์ ก า ร ส า ก ล ที่ พั ฒ น า ม า ต ร ฐ า น ส า ก ล เ กี่ ย ว กั บ
สถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยมีการแบ่งโครงสร้างในการติดต่อสื่อสาร
ออกเป็น ٧ ชั้น (Layers)
2. CCITT (The Conseclitive Committee in
International)
4
- 5. Introduction to Information Technology
เป็นองค์กรสากลที่พฒนามาตรฐาน v และ x โดยทีมาตรฐาน v
ั ่
ใช้สำาหรับวงจรโทรศัพท์และโมเด็ม เช่น v29,v34 ส่วนมาจรฐาน x
ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์
(Package switch) เป็นต้น
3. ANSI (The American National Standards
Institute)
เ ป็ น อ ง ค์ ก ร ม า ต ร ฐ า น ข อ ง ส ห รั ฐ เ ม ริ ก า ANSI ไ ด้ พั ฒ น า
มาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายมาตรฐานส่วน
ใหญ่ จ ะเกี่ ย วข้ อ งกั บ การประดิ ษ ฐ์ ตั ว เลขที่ ใ ช้ ใ นการติ ด ต่ อ สื่ อ สาร
ข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มินัส
4. IEE (The Institute of Electronic Engineers)
เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักวิชาการ และผู้
ปกครองอาชี พ ทางสาขาไฟฟ้ า และอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ใ นอเมริ ก าร
มาตรฐานจะเน้ น ไปทางด้ า นอุ ต สาหกรรมไฟฟ้ า อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์
ไ ม โ ค ร โ ป ร เ ซ ส เ ซ อ ร์ แ ล ะ อุ ป ก ร ณ์ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ใ น ไ ม โ ค ร
ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ เ ช่ น IEE 802.3 ซึ่ ง ใ ช้ ร ะ บ บ LAN (Local Area
Network)
5. EIA (The Electronics Industries Association)
เป็นองค์กรมาตรฐานของอเมริกาได้กำา หนดมาตรฐานทางด้าน
ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ม า ต ร ฐ า น EIA จ ะ ขึ้ น ต้ น ด้ ว ย RS
(Recommended Standard) เช่น Rs-232-c เป็นต้น
การผลิตของผู้ประกอบการต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดก็ตาม
สิ่งที่ผลิตนั้นอย่างน้อยจะต้องได้ครบตามมาตรฐาน แต่อาจจะดีเหนือ
กว่ามาตรฐานก็ได้
5
- 6. Introduction to Information Technology
ลักษณะของสัญญาณที่ใช้ในการส่งสัญญาณข้อมูล
การส่ ง สั ญ ญาณข้ อ มู ล หรื อ ข่ า วสารต่ า ง ๆ สามารถทำา ได้ ٢
ลักษณะดังนี้
1. ก า ร ส่ ง สั ญ ญ า ณ แ บ บ อ น า ล อ ก (Analog
Transmission)
การส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะไม่คำานึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่รวมอยู่
ในสัญญาณเลย โดยสัญญาณจะแทนข้อมูล อนาลอก เช่น สัญญาณ
เสียง เป็นต้น ซึ่งสัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออก
ไปสัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ ทำา ให้สัญญาณไม่ค่อยดี ดังนั้นเมื่อ
ระยะห่างไกลออกไปสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องขยายสัญญาณ
(Amplifier) แต่ ก็ มี ผ ลทำา ให้ เ กิ ด สั ญ ญาณรบกวน (Noise) ขึ้ น ยิ่ ง
ระยะไกลมากขึ้ น สั ญ ญาณรบกวนก็ เ พิ่ ม มากขึ้ น ซึ่ ง สามารถแก้ ไ ข
สัญญาณรบกวนนี้ได้โดยใช้เครื่องกรองสัญญาณ (Filter) เพื่อกรอง
เอาสัญญาณรบกวนออกไป
2. การส่งสัญญาณแบบดิจิตอล(Digital Transmission)
การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง
ชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องสนใจรายละเอียดทุกอย่างที่บรรจุ
มากับสัญญาณ ในทำา นองเดียวกันกับการส่งสัญญาณแบบอนาลอก
กล่าวคือ เมื่อระยะทางในการส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง
ซึ่ ง สามารถแก้ ไ ขได้ โ ดยใช้ อุ ป กรณ์ ทำา สั ญ ญาณซำ้า หรื อ รี พี ต
เตอร์(Repeater)
ปั จ จุ บั น การส่ ง สั ญ ญาณแบบดิ จิ ตอลจะเข้ า มามี บ ทบาทสู ง ใน
การสื่อสารข้อมูล เนื่องจากให้ความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลสูง และ
ส่งได้ในระยะไกลด้วย สามารถเชื่ อมต่อ เข้ าสู่ ระบบคอมพิ วเตอร์ไ ด้
ง่ า ยด้ ว ย ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากสั ญ ญาณจากคอมพิ ว เตอร์ อ ยู่ ใ นรู ป ของ
ดิจิตอลนั่นเองแต่เดิมนั้นถ้าหากระยะทางในการสื่อสารไกลมักจะใช้
สัญญาณแบบอนาลอกเสียส่วนใหญ่ เช่น โทรศัพท์, โทรเลข เป็นต้น
รหัสที่ใช้ส่งสัญญาณข้อมูล(Transmission Code)
การส่งสัญญาณการสื่อสารถูกแบ่งออกเป็น ٢ ระบบ คือ แบบ
ดิจิตอลและแบบอนาลอก ซึ่งการส่งสัญญาณแบบอนาลอกส่วนใหญ่
จะเป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ ได้แก่ การได้ยิน การมอง
เห็ น อุ ป กรณ์ ที่ ใ ช้ เช่ น โทรศั พ ท์ วิ ท ยุ โทรทั ศ น์ สำา หรั บ การส่ ง
6
- 7. Introduction to Information Technology
สั ญญาณแบบดิ จิตอลนั้น ส่ว นใหญ่ จ ะสื่ อ สารกั น โดยใช้ เ ครื่ อ งจั ก ร
หรืออุปกรณ์ในการถ่ายทอดข้อมูลซึ่งกันและกัน
ข้อมูลหรือข่าวสารโดยทั่วไปแล้วในเบื้องต้นส่วนใหญ่จะอยู่ใน
รูปแบบที่มนุษย์เข้าใจได้ในทันที เช่น ตัว อัก ษร ตั วเลข เสียง และ
ภาพต่ า ง ๆ ซึ่ ง ข่ า วสารเหล่ า นี้ จ ะอยู่ ใ นรู ป แบบอนาลอก แต่ เ มื่ อ
ต้ องการนำา ข้อมูลหรือข่าวสารเหล่ า นี้ มาใช้ กับ คอมพิ ว เตอร์ จะต้ อ ง
เปลี่ ย นข้ อ มู ล หรื อ ข่ า วสารเหล่ า นี้ ใ ห้ อ ยู่ ใ นรู ป แบบที่ ค อมพิ ว เตอร์
เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอล
เท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนข่าวสารแบบอนาลอกให้
เป็นข่าวสารแบบดิจิตอลนั่นเอง
จากข้ อ ความหรื อ ข่ า วสารต่ า ง ๆ ที่ เ รามองเห็ น และเข้ า ใจได้
เมื่อเราป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยพิมพ์เข้าทางแป้นพิมพ์ ตัวอักษรที่
พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัวเข้ารหัส (Encoder) ให้
อยู่ในรู ปของสัญ ญาณที่ สามารถส่ งสั ญญาณต่อ ไปได้ เมื่ อ สั ญ ญาณ
ถูก ส่ง ไปยั งเครื่ องรับ จากนั้ น เครื่ อ งรั บ ก็ จ ะตี ความสั ญ ญาณที่ ส่ง มา
และผ่านตัวถอดรหัส (Decodes) ให้กลับมาอยู่ในรูปแบบที่เราเข้าใจ
ได้หรืออยู่ในรูปแบบที่ใช้สำาหรับเก็บในคอมพิวเตอร์ก็ได้อีกครั้งหนึ่ง
รูปแบบของรหัส
รหัสที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี
(Binary) หรือเลขฐานสอง ซึ่งประกอบด้วยเลข ٠ กับเลข ١ โดยใช้
รหั ส ที่ เ ป็ น เลข ٠ แทนการไม่ มี สั ญ ญาณไฟและเลข ١ แทนการมี
สัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มีลักษณะมีไฟและ
ไม่ มี ไ ฟอยู่ ต ลอดเวลา เรี ย กรหั ส ที่ ป ระกอบด้ ว ย ٠ กั บ ١ ว่ า บิ ต
(Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัว
อักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ ٠ กับ ١ เป็นรหัสแทน
แล้วก็คงจะได้เพียง ٢ ตัวเท่านั้น เช่น ٠ แทนตัว A และ ١ แทนด้วย
B
ดังนั้นการกำาหนดรหัสจึงได้นำากลุ่มบิทมาใช้ เช่น ٦ บิท, ٧ บิท
หรือ ٨ บิทแทนตัวอักษร ١ ตัว ซึ่งจะสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกัน
ได้ทั้งหมด รหัสมาตรฐานโดยทั่วไปจะใช้กับอักขระภาษาอังกฤษซึ่ง
มี หลายมาตรฐาน เช่ น รหั ส โบดอต (Baudot code), รหัส เอบซี ดิก
(EBCDIC) และรหัสแอสกี (ASCll Code)
7
- 8. Introduction to Information Technology
รหัสแอสกี (ASCll CODE)
ร หั ส แ อ ส กี (ASCll CODE) ม า จ า ก คำา เ ต็ ม ว่ า American
Standard Code for Information Interchange ซึ่ ง เ ป็ น ร หั ส
มาตรฐานของอเมริกาที่ใช้สำาหรับส่งข่าวสารมีขนาด ٨ บิท โดยใช้ ٧
บิ ท แรกเข้ า รหั ส แทนตั ว อั ก ษร ส่ ว นบิ ท ที่ ٨ จะเป็ น บิ ท ตรวจสอบ
(Parity Bit Check) ร หั ส แ อ ส กี ไ ด้ รั บ ม า ต ร ฐ า น ข อ ง CCITT
หมายเลข ٥ เป็ น รหั ส ที่ ไ ด้ รั บ ความนิ ย มในการสื่ อ สารข้ อ มู ล อย่ า ง
กว้างขวาง เนื่องจากรหั สแอสกีใ ช้ ٧ บิทแรกแทนตั วอั กขระ แต่ละ
บิทจะประกอบด้วยตัวเลข ٠ หรือเลข ١ ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสที่
แตกต่ า งกั น ได้ เ ท่ า กั บ ٢٧ หรื อ เท่ า กั บ ١٢٨ ตั ว อั ก ขระนั่ น เองใน
จำา นวนนี้ จ ะแบ่ ง เป็ น ตั ว อั ก ษรที่ พิ ม พ์ ไ ด้ ٩٦ อั ก ขระ และเป็ น ตั ว
ควบคุม (Control Characters) อีก ٣٢ อักขระ ซึ่งใช้สำา หรับควบคุม
อุปกรณ์และการ ทำางานต่าง ๆ
รหัสโบคอต (Baudot Code)
รหัสโบคอตเป็นรหัสที่ใช้กับระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่
ภายใต้ ม าตรฐานของ CCITT หมายเลข ٢ เป็ น รหั ส ขนาด ٥ บิ ท
สามารถมีร หั ส ที่ แ ตกต่ า งกั น ได้ เ ท่ า กั บ ٢٥ หรื อ เท่ า กั บ ٣٢ รูป แบบ
ซึ่งไม่เพียงพอกับจำานวนอักขระทังหมด จึงมีการเพิ่มอักขระพิเศษขึ้น
้
อีก ٢ ตัว คือ ١١١١١ หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยน
กลุ่ ม ตั ว อั ก ษรเป็ น ตั ว พิ ม พ์ เ ล็ ก (Lower case) และ ١١٠١١ หรื อ
FS(Figured Shift Character) สำา หรั บ เปลี่ ย นกลุ่ ม ตั ว อั ก ษรเป็ น ตั ว
พิมพ์ใหญ่ทำาให้มีรหัสเพิ่มขึ้นอีก ٣٢ ตัว แต่มีอักขระซำ้ากับอักขระเดิม
٦ ตัว จึงสามารถใช้รหัสได้จริง ٥٨ ตัว อีก ٣٢ ตัว แต่มีอักขระซำ้า กับ
อักขระเดิม ٦ เดิม จึงสามารถใช้รหัสได้จริง ٥٨ ตัว เนื่องจากรหัสโบ
คอตมี ข นาด ٥ บิ ท ซึ่ ง ไม่ มี บิ ท ตรวจสอบจึ ง ไม่ นิ ย มนำา มาใช้ กั บ
คอมพิวเตอร์
รหัสเอบซีดิก (EBCDIC)
ร หั ส EBVFIC ม า จ า ก คำา เ ต็ ม ว่ า Extended Binary Coded
Deximal Interchange Code พัฒนาขึ้ นโดยบริ ษัท IBM มี ขนาด ٨
8
- 9. Introduction to Information Technology
บิ ต ต่ อ หนึ่ ง อั ก ขระ โดยใช้ บิ ต ที่ ٩ เป็ น บิ ท ตรวจสอบ ดั ง นั้ น จึ ง
สามารถมีรหัสที่แตกต่างสำาหรับใช้แทนตัวอักษรได้ ٢٨ หรือ ٢٥٦ ตัว
อั ก ษร ปั จ จุ บั น รหั ส เอบซี ดิ ก เป็ น มาตรฐานในการเข้ า ตั ว อั ก ขระบน
เครื่องคอมพิวเตอร์
รหัสแบบของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล
การเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารเพื่อสื่อสารข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยัง
อักจุดหนึ่งนั้น สามารถทำา ได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
สำาหรับรูปแบบของการเชื่อมต่อแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบดังต่อไปนี้
١. การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point Line)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง ٢
ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำา กัด เชื่อม
ต่ อ สายสื่ อ สารไว้ ต ลอดเวลา (Lease Line) ซึ่ ง สายส่ ง อาจจะเป็ น
ชนิ ด สายส่ ง ทางเดี ย ว (Simplex) สายส่ ง กึ่ ง ทางคู่ (Half-duplex)
หรือ สายส่งทางคู่ แ บบสมบู ร ณ์ (Full-duplex) ก็ ได้ และสามารถส่ ง
สัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบวิงโครนัส การเชื่อมต่อ
แบบจุดต่อจุดมีได้หลายลักษณะดังรูปข้างต้น
٢. ก า ร เ ชื่ อ ม ต่ อ แ บ บ ห ล า ย จุ ด (Multipoint or
Multidrop)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่าย
สู ง การเชื่ อมต่ อแบบจุ ด ต่ อ จุ ดนั้ น สิ้ น เปลื อ งสายสื่ อ สารมากการส่ ง
ข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสาร
เพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำาให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
ได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อแบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้ดังรูป
การเชื่ อ มต่ อ แบบหลายจุ ด แต่ จุ ด จะมี บั พ เฟอร์ (Buffer) ซึ่ ง เป็ น
ที่พักเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนทำา การส่ง โดยบัพเฟอร์จะรับข้อมูลมา
เก็บเรื่อย ๆ จนเต็มบัพเฟอร์ ข้อมูลจะถูกส่งทันทีหรือเมื่อมีคำาสั่งให้
ส่ง เพื่อใช้สายสื่อสารให้เต็มประสิทธิภาพในการส่งแต่ละครั้ง และ
ช่วงใดที่ว่างก็สามารถให้ผู้อื่นส่งได้ การเชื่อมต่อแบบนี้จะเหมาะกับ
9
- 10. Introduction to Information Technology
การสื่อสารที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และเป็นข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง แต่
อย่ า งไรก็ ต ามถึ ง แม้ ว่ า การสื่ อ สารข้ อ มู ล โดยวิ ธี ก ารเชื่ อ มต่ อ แบบ
หลายจุดจะประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้ระบบสื่อสารได้ค่อนข้างเต็ม
ประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อจำากัดหลายประการดังต่อไปนี้
1. ประสิทธิภาพของเครื่องและซอฟต์แวร์ที่ใช้สื่อสารข้อมูล
2. ปริมาณการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นจากสถานีส่งและรับข้อมูล
3. ความเร็วของช่องทางการส่งผ่านข้อมูลทีใช้ ่
4. ข้อจำา กัดที่ออกโดยองค์การที่ควบคุมการสื่อสารของแต่ละ
ประเทศ
3. การเชื่ อ มต่ อ เครื อ ข่ า ยแบบสลั บ ช่ อ งทางการสื่ อ สาร
(Switched Network)
จากรูปแบบการเชื่อมต่อที่เป็นแบบจุดซึ่งต้องต่อสายสื่อสารไว้
ตลอดเวลา แต่ ใ นทางปฏิ บั ติ จ ริ ง แล้ ว การสื่ อ สารข้ อ มู ล ไม่ ไ ด้ ผ่ า น
ตลอดเวลา ดั ง นั้ น จึ ง มี แ นวความคิ ด ในการเชื่ อ มต่ อ เครื อ ข่ า ยแบบ
ส ลั บ ช่ อ ง ท า ง ก า ร สื่ อ ส า ร ห รื อ เ ค รื อ ข่ า ย ส วิ ต ซ์ ซิ่ ง เ พื่ อ เ พิ่ ม
ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุดให้สามารถใช้
สื่อสารได้มากที่สุด ลักษณะเครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสาร
สามารถแสดงได้ดังรูป
เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดยทั่วไป
มี ٤ รูปแบบดังนี้
1. เ ค รื อ ข่ า ย สื่ อ ส า ร โ ท ร ศั พ ท์ (The Telephone
NetworK)
2. เ ค รื อ ข่ า ย สื่ อ ส า ร เ ท ล เ ล็ ก ช์ (The Telex/TWX
Network)
3. เ ค รื อ ข่ า ย สื่ อ ส า ร แ พ ค เ ก ต ส วิ ต ซ์ ซิ่ ง (package
Switching Network)
4. เครื อ ข่ า ยสื่ อ สารสเปเซี ย ลไลซ์ ดิ จิ ต อล(Specialized
Digital Network)
10
- 11. Introduction to Information Technology
หลั ก การทำา งานของเครื อ ข่ า ยแบบสลั บ ช่ อ งทางการ
สื่อสารดังนี้
1. การเชื่อมต่อด้องเป็นแบบจุดต่อจุด
2. ต้องมีการเชื่อมต่อการสื่อสารกันทั้งฝ่ายรับและส่งก่อน
จะเริ่ ม รั บ หรื อ ส่ ง ข้ อ มู ล เช่ น หมุ น เบอร์ โ ทรศั พ ท์
เป็นต้น
3. หลัง จากสื่อสารกัน เสร็จเรีย บร้อยจะต้องตัดการเชื่อ ม
ต่อ เพื่อให้ผู้อื่นใช้สายสื่อสารได้ต่อไป
สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
องค์ประกอบที่สำาคัญที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลอันหนึ่งที่ขาดไม่
ได้ คื อ สายสื่ อ กลาง ซึ่ ง แบ่ ง เป็ น ٢ ประเภทใหญ่ คื อ สื่ อ กลางที่
กำา หนดเส้ น ทางได้ เช่ น สายโคแอกเซี ย ล (Coaxial) สายเกลี ย วคู่
(Twisted-pair) สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic) และสื่อกลางที่
กำาหนดเส้นทางไม่ได้ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ
เป็นต้น
การเลื อ กสื่ อ กลางที่ จ ะนำา มาใช้ ใ นการเชื่ อ มต่ อ ระบบสื่ อ สาร
ข้อมูลนั้น จำาเป็นต้องพิจารณากันหลายประการ เช่น ความเร็วในการ
ส่งข้อมูล ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ใช้ การบริการ การควบคุม
ตลอดจนเทคโนโลยี ที่ จ ะนำา มาใช้ ซึ่ ง ลื่ อ กลางแต่ ล ะชนิ ด จะมี
คุณสมบัติแตกต่างกันไป
สายโคแอกเซียล (Coaxial Cable)
สายโคแอกเซียลเป็นสายที่นิยมใช้กันค่อนข้างมากในระบบการ
สื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี สายชนิดนี้ถูกออกแบบมา
ให้มีค่าความต้านทาน ٧٥ โอห์มและ ٥٠ โอห์ม โดยสาย ٧٥ โอห์ม
ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและสาย ٥٠ โอห์ม จะนำา มาใช้กับการ
สื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอล
คุ ณ สมบั ติ ข องสายโคแอกเซี ย ลประกอบด้ ว ยตั ว นำา สองสาย
โดยมีสายหนึ่งเป็นแกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำาล้อมรอบอยู่
อีกชั้น มีขนาดของสาย ٠.٤ ถึง ١ นิว้
11
- 12. Introduction to Information Technology
สายโคแอกเซียลมี ٢ แบบ คือ แบบหนา (Thick) และแบบบาง
(Thin) แบบหนาจะแข็ง การเดินสายทำาได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถ
ส่งสัญญาณได้ไกลกว่าแบบบางสามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของ
สายสื่อสารกลางแบบโคแอกเชียลได้ดังต่อไปนี้
สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair)
สายคู่ เ กลี ยวเป็ น สายมาตรฐานสองเส้ น หุ้ ม ด้ ว ยฉนวนแล้ ว บิ ด
เป็นเกลียว สามารถรับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล
สายชนิดนี้จะมีขนาด ٠.٠٥٦-٠.٠١٥ นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว ١٠
เมกะบิ ท ต่ อ วิ น าที ถ้ า ใช้ ส่ ง สั ญ ญาณแบบอนาลอกจะต้ อ งใช้ ว งจร
ขยายหรือแอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ ٦-٥ กม. แต่ถ้าต้องการส่ง
สัญญาณแบบดิจิตอลจะต้องใช้อุปกรณ์ทำา ซำ้า สัญญาณ (Repeater)
ทุก ๆ ระยะ ٣-٢ กม. โดยทั่วไปแล้วสำาหรับการส่งข้อมูลแบบดิจิตอล
สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้
ส่ ง ข้ อ มู ล ได้ ห ลายเมกะบิ ต ต่ อ วิ น าที ใ นระยะทางได้ ไ กลหลาย
กิโลเมตร เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี
และมีนำ้าหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งานอย่าง
กว้ างขวางตั ว อย่ า งของสายคู่ บิ ดเกลี ย ว คื อ สายโทรศั พ ท์ สำา หรั บ
สายคู่บิดเกลียวนันจะมีอยู่ ٢ ชนิดคือ
้
1. สายคู่ บิ ด เกลี ย วชนิ ด หุ้ ม ฉนวน (Shielded Twisted Pair :
STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีก
ชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่ นแม่ เหล็ก ไฟฟ้า ดัง
รูป
2. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted
Pair : UTP) เป็ น สายคู่ บิ ดเกลี ย วที่ หุ้ ม ด้ ว ยฉนวนชั้ น นอกที่
บางทำาให้สะดวกในการโค้งงอ แต่จะป้องกันการรบกวนของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก ดังรูป
สายส่ ง ข้ อ มู ล แบบไฟเบอร์ อ อฟติ ก จะประกอบด้ ว ยเส้ น ใยทำา
จากแก้ว ٢ ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก
โดยที่ใยแก้วทั้ง ٢ นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำาให้แสงที่
ส่งจากปลายด้านหนึงผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
่
12
- 13. Introduction to Information Technology
สายส่งแบบไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic)
เป็ น การส่ ง สั ญ ญาณด้ ว ยใยแก้ ว และส่ ง สั ญ ญาณด้ ว ยแสงมี
ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยเร็วเท่ากับแสง
ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก
สายส่งข้อมูลแบบไฟเบอร์ออฟติกจะประกอบด้วยเส้นใยแก้ว ٢
ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใย
แก้วทั้ง ٢ นี้จะมีดัชนีในการสะท้อนแสงต่างกัน ทำา ให้แสงที่ส่งจาก
ปลายด้านหนึ่งผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์
โมเด็ม (MODEM)
MODEM มาจากคำา เต็ ม ว่ า Modulator – DEModulator ทำา
หน้ า ที่ แ ปลงสั ญ ญาณข้ อ มู ล ดิ จิ ต อล ที่ ไ ด้ รั บ จากเครื่ อ งส่ ง หรื อ
คอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณแบบอนาลอกก่อนทำา การส่งไปยังปลาย
ทางต่อไป โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ และเมื่อส่งถึงปลายทางก็จะมี
โมเด็มทำา หน้าที่แปลงสัญญาณจากอนาลอกให้เป็นดิจิตอล เพื่อใช้
กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง
มัลติเพล็กซ์เซอร์ (Multiplexer)
วิธีการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างผู้รับและผู้ส่งปลายทางที่ง่าย
ที่สุดคือ การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point) แต่ต้องเสียค่า
ใช้ จ่ า ยสู งและใช้ ง านไม่ เ ต็ ม ที่ จึ ง มี วิ ธีก ารเชื่ อ มต่ อ ที่ ยุ่ ง ยากขึ้ น คื อ
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดซึ่งใช้สายสื่อสารเพียงเส้น ٨٠٢.٣
คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator)
คอนเซนเตรเตอร์ เ ป็ น มั ล ติ เ พล็ ก ซ์ เ ซอร์ ที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพสู ง
สามารถเพิ่มสายหรือช่องทางการส่งข้อมูลได้มากขึ้น การส่งข้อมูล
จะเป็นแบบอซิงโครนัส
คอนโทรลเลอร์(Controller)
13
- 14. Introduction to Information Technology
คอนโทรลเลอร์ เ ป็ น มั ล ติ เ พล็ ก ซ์ เ ซอร์ ที่ ส่ง ข้ อ มู ล แบบอซิ ง โค
รนั ส ที่ ส ามารถส่ ง ข้ อ มู ล ด้ ว ยความเร็ ว สู ง ได้ ดี การทำา งานจะต้ อ งมี
โปรโตคอลพิ เ ศษสำา หรั บ กำา หนดวิ ธี ก ารรั บ ส่ ง ข้ อ มู ล มี บ อร์ ด วงจร
ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์สำาหรับคอมพิวเตอร์
ฮับ (HUB)
ฮั บเป็น อุป กรณ์อิ เล็ กทรอนิ กส์ ทำา หน้า ที่ เ ช่ น เดี ย วกั บ มั ล ติ เ พล็
กซ์ เ ซอร์ ซึ่ ง นิ ย มใช้ กั บ ระบบเครื อ ข่ า ยท้ อ งถิ่ น (LAN) มี ร าคาตำ่า
ติดต่อสื่อสารข้อมูลตามมาตรฐาน IEEE 802.3
ฟ ร อ น ต์ – เ อ็ น โ ป ร เ ซ ส เ ซ อ ร์ FEP (Front-End
Processor)
FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโฮสต์คอมพิวเตอร์
หรือ มินิ คอมพิ วเตอร์กั บอุ ปกรณ์ เครือ ข่า ยสำา หรับ สื่อ สารข้ อ มู ล เช่ น
โมเด็ม มัลติเล็กซ์เซอร์ เป็นต้น FEP เป็นอุปกรณ์ทีมีหน่วยความจำา
(RAM) และซอฟต์แวร์สำา หรับควบคุมการทำางานเป็นของตัวเองโดย
มี ห น้ า ที่ ห ลั กคื อ ทำา หน้ า ที่ แ ก้ ไ ขข่ า วสาร เก็ บ ข่ า วสาร เปลี่ ย นรหั ส
รวบรวมหรือกระจายอักขระ ควบคุมอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล
จัดคิวเข้าออกของข้อมูล ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการส่งข้อมูล
อิมูเลเตอร์ (Emulator)
อิ มู เ ลเตอร์ เ ป็ น อุ ป กรณ์ ที่ ทำา หน้ า ที่ เ ปลี่ ย นกลุ่ ม ข่ า วสารจาก
โปรโตคอลแบบหนึ่งไปเป็นกลุ่มข่าวสาร ซึ่งใช้ โปรโตคอลอีก แบบ
หนึ่ ง แต่ จ ะเป็ น อุ ป กรณ์ ฮ าร์ ดแวร์ ห รื อ เป็ น โปรแกรมซอฟต์ แ วร์ ก็ไ ด้
บางครั้งอาจจะเป็นทั้ง ٢ อย่าง โดยทำาให้คอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ามานั้น
ดูเหมือนเป็นเครื่องเทอร์มินัลหนึ่งเครื่อง โฮสต์หรือมินิคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันนิยมนำาเครื่อง PC มาใช้เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรม
คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เพราะประหยัดกว่าและเมื่อไรที่ไม่ใช้ติดต่อกับมินิ
หรือเมนแฟรมก็สามารถใช้เป็น PC ทัวไปได้ ่
เกตเวย์ (Gateway)
เกตเวย์ เ ป็ น อุ ป กรณ์ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ที่ มี ห น้ า ที่ ห ลั ก คื อ ทำา ให้
เครื อ ข่ า ยคอมพิ ว เตอร์ ٢ เครื อ ข่ า ยหรื อ มากกว่า ซึ่ ง มี ลั ก ษณะแตก
14
- 15. Introduction to Information Technology
ต่างกัน สามารถสื่อสารกันได้เสมือนกับเป็นเครือ ข่า ยเดีย วกั น โดย
ทั่วไปแล้วระบบเครือข่ายแต่ละเครือข่ายอาจจะแตกต่างกันในหลาย
กรณี เช่ น ลั ก ษณะการเชื่ อ มต่ อ (Connectivity) ที่ ไ ม่ เ หมื อ นกั น
โปรโตคอลที่ใช้สำาหรับรับส่งข้อมูลต่างกัน เป็นต้น
บริดจ์ (Bridge)
เป็ น อุ ป กรณ์ IWU (Inter Working Unit) ที่ ใ ช้ สำา หรั บ เชื่ อ ม
เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network หรือ LAN) ٢ เครือข่ายเข้า
ด้วยกัน ซึ่งอาจจะใช้โปรโตคอลที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้
เราเตอร์ (Router)
เป็น อุป กรณ์ที่ใ ช้เ ชื่อ มต่ อเครือ ข่ า ยเข้ า ด้ ว ยกั น ซึ่ ง อาจจะเป็ น
เครื อ ข่ า ยเดี ย วกั น หรื อ ข้ า มเครื อ ข่ า ยกั น โดยการเชื่ อ มกั น ระหว่ า ง
หลายเครือข่ายแบบนี้เรียกว่า เครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Internet) โดย
เครื อ ข่ า ยแต่ ล ะเครื อ ข่ า ยจะเรี ย กว่ า เครื อ ข่ า ยย่ อ ย (Subnetwork)
ส่ ว นอุ ป กรณ์ ที่ ใ ช้ เ ชื่ อ อมต่ อ ระหว่ า งเครื อ ข่ า ย เรี ย กว่ า IWU (Inter
Working Unit) ได้แก่ เราเตอร์และบริดจ์
รีพีตเตอร์ (Repeater)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำา หรับส่งสัญญาณซำ้า เพื่อส่งสัญญาณต่อไป
นี้ในระยะไกลป้องกันการขาดหายของสัญญาณ ซึ่งรูปแบบของเครือ
ข่ า ยแต่ ล ะแบบรวมทั้ ง สายสั ญ ญาณที่ ใ ช้ เ ป็ น ตั ว กลางหรื อ สื่ อ กลาง
แต่ละชนิดจะมีข้อจำากัดของระยะทางในการส่ง ดังนั้นเมื่อต้องการส่ง
สั ญ ญาณให้ ไ กลกว่ า ปกติ ต้ อ งเชื่ อ มต่ อ กั บ รี พี ต เตอร์ ดั ง กล่ า ว เพื่ อ
ทำาให้สามารถส่งสัญญาณ ได้ไกลยิ่งขึ้น
เครือข่าย (Networks)
เครื อ ข่ า ย หมายถึ ง กลุ่ ม ของคอมพิ ว เตอร์ และอุ ป กรณ์
คอมพิว เตอร์ ที่ ถู กนำา มาเชื่ อ มต่ อ กั น ดั ง นั้ น เครื อ ข่ า ยคอมพิ ว เตอร์ จึ ง
ประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำาเป็นใน
15
- 16. Introduction to Information Technology
การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ٢ ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์
อื่น ๆ
ความจำา เป็ น ในการใช้ เครื อ ข่ า ยคอม พิ ว เตอร์ เครื อข่ าย
คอมพิวเตอร์มีความจำา เป็นในการทำา งานในยุคปัจ จุบั น ด้วยเหตุผ ล
ดังนี้
١) เครื อ ข่ า ยคอมพิ ว เตอร์ ทำา ให้ ก ารทำา งานมี ค วามคล่ อ งตั ว
ยืดหยุ่น และปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง
รวดเร็ว
٢) เครือข่ายช่วยให้หน่วยงานประหยัดงบประมาณโดยช่วย
สนับสนุนการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกัน เช่น ฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล
٣) เครือข่ายทำาให้พนักงานหรือทีมงานของหน่วยงานที่อยู่ห่าง
ไกลกันสามารถใช้เอกสารร่วมกัน และแลกเปลี่ยนแนวคิด ความเห็น
ตลอดจนเสริมให้การทำา งานเป็นทีมมีประสิทธิภาพดีขึ้น และกระตุ้น
ให้เกิดความคิดใหม่ ๆ
٤) เครือข่ายช่วยสร้างให้การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานกับ
ลูกค้าหรือองค์การภายนอกมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
ประเภทของเครือข่าย
١) จำาแนกตามพื้นที่
- เครือข่ายเฉพาะที่ (Local Area Network-LAN)
เป็ น การติ ด ต่ อ อุ ป กรณ์ สื่ อ สารตั้ ง แต่ ٢ ชิ้ น ขึ้ น ไประยะ ٢,٠٠٠
ฟุ ต (โดยปกติ จ ะอยู่ ใ นอาคารเดี ย วกั น) LAN จะช่ว ยให้ ผู้ ใ ช้ จำา นวน
มากสามารถใช้ ท รั พ ยากรของหน่ ว ยงานร่ ว มกั น เช่ น พริ น ต์ เ ตอร์
โปรแกรม และไฟล์ข้อมูล ในกรณีที่ LAN ต้องการเชื่อมต่อกับเครือ
ข่า ยสาธารณะภายนอก เช่ น เครื อ ข่ า ยโทรศั พ ท์ ห รื อ เครื อ ข่ า ยของ
หน่ ว ยงานอื่ น จะต้ อ งมี gateway ซึ่ ง ทำา หน้ า ที่ เ หมื อ นประตู ติ ด ต่ อ
ระหว่างเครือข่า ยที่แตกต่ างกัน โดยช่ วยแปลโปรโตคอลของเครื อ
ข่ายให้กับอีกโปรโตคอลหนึ่งเพื่อจะทำางานร่วมกันได้
- เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network-MAN)
เครือข่ายเป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำา มาเชื่อมต่อกันเป็น
วงขนาดใหญ่ขึ้นภายในพื้นทีบริเวณใกล้เคียง เช่น ในเมืองเดียวกัน
่
16
- 17. Introduction to Information Technology
- เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network-WAN)
เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณกว้างโดยครอบคลุม
ทั้ ง ประเทศหรื อ ทั้ ง ทวี ป WAN จะอาศั ย สื่ อ โทรคมนาคมหลาย
ประเภท เช่น เคเบิ้ล ดาวเทียม และไมโครเวฟ
٢) แบ่งตามความเป็นเจ้าของ
- เครือข่ายสาธารณะ (Public Network)
เป็นเครือข่ายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้โดยทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ ดัง
นั้นผู้ใช้จะต้องแข่งกับผู้ใช้รายอื่น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีผู้ใช้จำานาน
มาก เช่น ระบบโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้ไม่มีหลักประกันว่าสายจะ
ว่างในช่วงนี้ต้องการหรือไม่
- เครือข่ายเอกชน (Private Network)
เป็นเครือข่ายที่หน่วยงานสามารถเป็นเจ้าของเอง หรือ เช่าเพื่อ
ประโยชน์ในการสื่อสาร กรณีนี้ก็จะเป็นหลักประกันว่าหน่วยงานจะมี
โอกาสได้ใช้เครือข่ายเมื่อต้องการเสมอ
- เครือข่ายแบบมูลค่าเพิ่ม (Value-added Network-VAN)
เป็นเครือข่ายกึ่งสาธารณะซึ่งให้บริการเพิ่มขึ้นจากการติดต่อสื่อสาร
ปกติ ผู้ ใ ห้ บ ริ ก ารสื่ อ สาร (Communication service provider) เป็ น
เจ้าของ VAN อย่างไรก็ตาม VAN เร็วกว่าเครือข่ายสาธารณะและมี
ความปลอดภัยมากกว่า เครือข่ายสาธารณะ
- เครือข่ายเอกชนเสมือนจริง (Virtual Private Network-VPN)
เป็ น เครื อ ข่ า ยสาธารณะที่ รั บ ประกั น ว่ า ผู้ ใ ช้ จ ะมี โ อกาสใช้ ง าน
เครือข่ายได้ตลอดเวลาแต่ไม่ได้ให้สายหรือช่องทางการสื่อสารแก่
หน่วยงานผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงาน
ผู้ใช้โดยเฉพาะ แต่จะใช้วิธีแปลงรหัสข้อมูลของหน่วยงานเพื่อที่จะ
ส่งไปพร้อม ๆ กับหน่วยงานอื่น ๆ
17
- 18. Introduction to Information Technology
Network Topology
คือการออกแบบและการติดต่อเชื่อมโยงกันของเครือข่ายทาง
กายภาพ โดยทั่วไปโทโปโลจีพื้นฐานมีอยู่ ٣ ประเภท ดังนี้
١) แบบดาว (Star Network)
เป็ น เครื อ ข่ า ยที่ ค อมพิ ว เตอร์ ทุ ก ตั ว และอุ ป กรณ์ อื่ น เชื่ อ มกั บ
โฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ
ภายในเครื อ ข่ า ยต้ อ งผ่ า นโฮสต์ ค อมพิ ว เตอร์ เนื่ อ งจากโฮสต์
คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดในเครือข่าย เครือข่าย
แบบดาวเหมาะสำา หรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์ อย่างไร
ก็ตามข้อจำา กัดของแบบนี้ คือ หากใช้ โฮสต์ คอมพิว เตอร์ก็จะทำา ให้
ระบบทังหมดทำางานไม่ได้
้
٢) แบบบัส (Bus Network)
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะ
เป็ น สายเกลีย วคู่ ส ายโคแอกเชี ย ล หรื อ สายใยแก้ ว ก็ ไ ด้ สั ญ ญาณ
สามารถสื่อสารได้ ٢ ทางในเครือข่ายโดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยก
ว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ตัวใดในระบบล้ม
เหลวจะไม่มีผลต่อคอมพิ วเตอร์ อื่น อย่างไรก็ ตามช่ องทางในระบบ
เครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูล ได้ ครั้ งละ ١ ชุดเท่านั้น ดัง
นั้นจึงเกิดปัญหาการจราจรของข้อมูลได้ในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้งาน
พร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นยมใช้ในวงแลน ิ
٣) แบบวงแหวน (Ring Network)
คอมพิว เตอร์ ทุกตัว เชื่ อมโยงเป็น วงจรปิด ทำา ให้ ก ารส่ ง ข้ อ มูล
จากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทาง
เดียว คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทำางานโดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสีย
ระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการกระทบกระเทือน ยกเว้นจะมี
วงแหวนคู่ในการรับส่ง ข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อเป็นเส้นทาง
สำารองในการป้องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทำางานโดยสิ้นเชิง
นอกจากโทโปโลจี ทั้ ง ٣ แบบที่ ก ล่ า วข้ า งต้ น อาจจะพบโท
โปโลจี แ บบอื่ น ๆ เช่ น แบบโครงสร้ า งลำา ดั บ ชั้ น (Hierarchical
Network) ซึ่ ง มี ลั ก ษณะโครงสร้ า งคล้ า ยต้ น ไม้ (Tree) หรื อ มี แ บบ
ผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ
ข้อจำากัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความ
เชื่ อ ถื อได้ และความสามารถของเครื อ ข่ า ยในการทำา งาน หรื อ การ
18
- 19. Introduction to Information Technology
แก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งในระบบมีปัญหา
ตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น ระยะห่างของ node และต้นทุน
ของทั้งระบบ
รู ป แ บ บ ก า ร ป ร ะ ม ว ล ผ ล แ บ บ ก ร ะ จ า ย เ ค รื อ ข่ า ย
(Organizational Distributed Processing)
วิธีการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี ٣ รูปแบบ คือ
١.Terminal-to-Host Processing
٢. File Server Processing
٣. Client/Server
19