More Related Content Similar to Language, Reality, Emptiness, Laughs (20) More from Soraj Hongladarom (20) Language, Reality, Emptiness, Laughs1. ภาษา ความเป็ นจริง ความว่าง
และเสียงหัวเราะ
โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การประชุมวิชาการประจำาปี ของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่ง
ประเทศไทย ๒๕ – ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๕
2. โครงร่าง
● ที่มาของปั ญหา
● ข้อเสนอ
● พุทธศาสนากับการหัวเราะ
● การหัวเราะกับการบรรลุธรรม
● ความว่างกับการหัวเราะ
● สรุป
3. ที่มาของปั ญหา
● การหัวเราะเป็ นธรรมชาติเฉพาะของมนุษย์ เช่น
เดียวกับการเป็ นผ้้มีเหตุผล
● แต่ปรัชญากลับเลือกที่จะไม่ศึกษาการหัวเราะ
● ความเป็ นเหตุเป็ นผลเป็ นรากฐานของตรรกะ
แล้วการหัวเราะเป็ นรากฐานของอะไร – ตรรกะ
ของความขำา? ตรรกะของเสียงหัวเราะ?
4. ที่มาของปั ญหา
● John Morreall, “The Rejection of Humor in
Western Thought”
– ทฤษฎีของการหัวเราะ
● Superiority Theory
● Incongruity Theory
– เหตุใดนักปรัชญาจึงมักต่อต้านการหัวเราะ
● Hostility
● Irrationality
● Irresponsibility
5. ปั ญหาปรัชญาว่าด้วยการหัวเราะ
● เราจะอธิบายการหัวเราะ หรือวิเคราะห์มโนทัศน์
“การหัวเราะ” ได้อย่างไร?
● การหัวเราะกับความมีเหตุมีผลแตกต่างหรือ
เหมือนกันอย่างไร?
● การหัวเราะเป็ นช่องทางเข้าถึงความจริงได้หรือ
ไม่ อย่างไร?
7. ● อริสโตเติลมีทฤษฎีเกี่ยวกับละครโศกนาฏกรรม
(tragedy) แต่ทำาไมไม่มีทฤษฎีเกี่ยวกับหัสนาฏกรรม
(comedy)?
● บทบาทของหัสนาฏกรรมในการทำาลายความ
“เคร่งขรึม” ของการมีเหตุมีผล – ทำาลาย
โครงสร้างของ “ความเป็ นจริง” และ “ความร้้”
8. ตัวอย่าง
● ละครเรื่อง “เมฆ” (The Cloud) ของอริสโตเฟนี ส มุ่ง
เสียดสีโสกราตีส
● ความหมายทางปรัชญาของละครเรื่องนี้
● โสกราตีสเป็นตัวแทนของ “ปรัชญา” “เหตุผล” แต่เอา
มาเป็ นตัวตลกเอกของเรื่อง
● บางทีอาจจะมีช่องทางเข้าถึงความจริงอื่นๆอีก หรือไม่ก็ตัว
ความจริงนั่นแหละที่เป็ นเรื่องตลก
11. พระไตรปิ ฎก
● [๒๑๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ ยังภิกษุร้ปหนึ่ งซึ่ง
อย่้ในจำาพวกพระสัตตรสวัคคีย์ ให้หัวเราะเพราะจี้ด้วยนิ้ ว
มือ ภิกษุน้ันเหนื่ อย หายใจออกไม่ทัน ได้ถึงมรณภาพ พวก
เธอมีความรังเกียจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบท้ลเรื่องนั้นแด่พระผ้้มีพระภาค พระผ้้
มีพระภาค ตรัสว่า ด้กรภิกษุท้งหลาย พวกเธอไม่ต้อง
ั
อาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์
12. ● [๕๘๗] ที่ช่ อว่า ธรรม คือ หัวเราะในนำ้า ความว่า ในนำ้า
ื
ลึกพ้นข้อเท้าขึ้นไป ภิกษุมีความประสงค์จะรื่นเริง ดำาลงก็
ดี ผุดขึ้นก็ดี ว่ายไปก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
13. ● [๕๘๗] ที่ช่ อว่า ธรรม คือ หัวเราะในนำ้า ความว่า ในนำ้า
ื
ลึกพ้นข้อเท้าขึ้นไป ภิกษุมีความประสงค์จะรื่นเริง ดำาลงก็
ดี ผุดขึ้นก็ดี ว่ายไปก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
14. ● สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เดินหัวเราะ
ลั่นไปในละแวกบ้าน ...
● พระบัญญัติ
● ภิกษุพึงทำาความศึกษาว่า เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน
ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น.
15. ● สิกขาบทวิภังค์
● อันภิกษุไม่พงเดินหัวเราะลั่นไปในละแวกบ้าน ภิกษุ
ึ
ใดอาศัยความไม่เอื้อเฟอ เดินหัวเราะไปในละแวก
้ื
บ้าน ต้องอาบัติทกกฏ.
ุ
16. ตาลปุตตส้ตร
ดูกรนายคามณี เราห้ ามท่านไม่ได้ แล้ วว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้ อนี ้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้ อนี ้กะเราเลย
แต่เราจักพยากรณ์ให้ ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทงหลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครื่ องผูกคือ
ั้
ราคะผูกไว้ นักเต้ นรำ ารวบรวมเข้ าไว้ ซงธรรมอันเป็ นที่ตงแห่งความกำาหนัด ในท่ามกลางสถานเต้ นรำ า ใน
ึ่ ั้
ท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สตว์เหล่านันมากยิ่งขึ ้น เมื่อก่อนสัตว์ทงหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่ อง
ั ้ ั้
ผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้ นรำ ารวบรวมเข้ าไว้ ซงธรรมเป็ นที่ตงแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้ นรำ า ในท่ามกลาง
ึ่ ั้
สถานมหรสพ แก่สตว์เหล่านันมากยิ่งขึ ้น เมื่อก่อนสัตว์ทงหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่ องผูกคือ
ั ้ ั้
โมหะผูกไว้ นักเต้ นรำ าย่อมรวบรวมไว้ ซงธรรมอันเป็ นที่ตงแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้ นรำ า ในท่ามกลาง
ึ่ ั้
สถานมหรสพ แก่สตว์เหล่านันมากยิ่งขึ ้น นักเต้ นรำ านัน ตนเองก็มวเมาประมาท ตังอยูในความประมาท เมื่อ
ั ้ ้ ั ้ ่
แตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ
อนึ่ง ถ้ าเขามีความเห็นอย่างนี ้ว่า นักเต้ นรำ าคนใดทำาให้ คนหัวเราะ รื่ นเริ งด้ วยคำาจริ งบ้ าง คำาเท็จบ้ าง ใน
ท่ามกลางสถานเต้ นรำ า ในท่ามกลางสถานมหรสพผู้นนเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้ าถึงความเป็ นสหายแห่ง
ั้
เทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานันเป็ นความเห็นผิด ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรก
้
หรื อกำาเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ
21. Lankavatara Sutra
Then the Blessed One beholding again this great assembly with
his wisdom-eye, which is not the human eye, laughed loudly and
most vigorously like the lion-king. Emitting rays of light from the
tuft of hair between the eyebrows, from the ribs, from the loins,
from the Śrivatsa [svastika] on the breast, and from every pore
of the skin, —emitting rays of light which shone flaming like the
fire taking place at the end of a kalpa, like a luminous rainbow,
like the rising sun, blazing brilliantly, gloriously—which were
observed from the sky by Śakra, Brahma, and the guardians of
the world, the one who sat on the peak [of Laṅkā] vying with
Mount Sumeru laughed the loudest laugh.
22. เสียงหัวเราะของพระพุทธเจ้า
● ความแตกต่างระหว่างเสียงหัวเราะของพระพุทธเจ้า กับ
ของพระที่เล่นจี้เอวกัน
● แต่น่ีแสดงว่า หากการหัวเราะนั้นเกิดจากการเห็นว่าโลก
ไม่มีแก่นสารสาระอะไร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การ
หัวเราะนั้นก็ไม่น่าจะผิด
● ตัวผิดคือกิเลส ไม่ใช่การหัวเราะ
23. เสียงหัวเราะของพระพุทธเจ้า
● ความแตกต่างระหว่างเสียงหัวเราะของพระพุทธเจ้า กับ
ของพระที่เล่นจี้เอวกัน
● แต่น่ีแสดงว่า หากการหัวเราะนั้นเกิดจากการเห็นว่าโลก
ไม่มีแก่นสารสาระอะไร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การ
หัวเราะนั้นก็ไม่น่าจะผิด
● ตัวผิดคือกิเลส ไม่ใช่การหัวเราะ
24. เสียงหัวเราะกับความว่าง
● ความว่าง, สุญญตา (ศ้นยตา)
● การมองเห็นว่าไม่มอะไรมีแก่นสารสาระอะไรที่ควรจะยึด
ี
มั่นถือมั่น รวมทั้งตัวความไม่มีแก่นสารสาระนั้นเองด้วย
● การหัวเราะเกิดจากการเข้าใจทุกสิ่งเป็ นความว่าง เป็ น
ความร้้สึกที่เกิดจากภายใน
● ประเภทต่างๆของการหัวเราะ
25. การหัวเราะในพระพุทธศาสนา
● ส่วนใหญ่เป็ นเรื่องลบ (ไม่ค่อยดี)
● แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ดีไปตลอด
● เมื่อเปนเช่นนี้ ต้องมองเนื้ อหากับความหมายของตาลปุตต
็
ส้ตรใหม่ ไม่ใช่วาพระพุทธเจ้าจะห้ามการเล่นละคร หรือ
่
เล่นตลกไปทั้งหมด แต่เฉพาะการเล่นที่นำาไปส่้การยึดมั่น
ถือมั่นในตัวตน หรือนำาไปส่ทางของกิเลส
้
26. ● การหัวเราะเป็ นการทำาลายกำาแพงของความเคร่งขรึมที่
วางเอาไว้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การหัวเราจึงเป็ นการ
วิพากษ์วิจารณ์ท่ทรงพลัง
ี
27. ● ในพระพุทธศาสนา เราอาจมองว่าการหัวเราะมีไว้เพื่อ
ทำาลายกำาแพงของพิธกรรมที่แข็งทื่อตายตัว จนขาดความ
ี
หมายที่แท้จริงของพิธน้นๆไป การหัวเราะเป็ นการทำาให้
ี ั
ความศักดิสิทธิของพิธกรรมส้ญสลายไป จนกลายเปนเรื่อง
์ ์ ี ็
ตลก :-) จุดม่งหมายก็คือกระต้นให้เราหันมามองความ
ุ ุ
หมายที่แท้จริงของพิธีกรรมนั้นๆ หรือตั้งคำาถามว่าควรจะ
ยังมีพิธีเหล่านี้ อย่้หรือไม่