More Related Content Similar to Facebook for business (20) Facebook for business3. 3
Marketing
Head 1.0 Identity
Heart 2.0 Image
Human Spirit 3.0 Integrity
4Ps
Trade Mark / Logo
Branding/Design
4Cs web e-commerce
Positioning/CRM
Service Excellence
Social Media
Good Governance
Green Marketing
CSV,CEM
5. 5สูตรชนะ MARKETING 3.0 ด่านที่ 1 (Head)
4Ps
Trade Mark / Logo
Branding/Design
“ใครๆก็บินได้”
Reach 80% กาหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด
Frequency>4 เป้าหมายได้พบแบรนด์ > 4 ครั้ง
Impact จดจาง่าย
6. 6Marketing ยุคที่ 2
Product สินค้า/บริการ
Price ราคา
Place ช่องทางจัดจาหน่าย
Promotion การส่งเสริมการตลาด
• Advertising
• PR
• Personal selling
• Event
• Sale Promotion
4Cs
Consumer Wants and Needs
Consumer’s Cost to satisfy
Convenience to buy
Communication that Connects
4Ps
7. 7สูตรชนะ MARKETING 3.0 ด่านที่ 2 (Heart)
Positioning
web e-commerce
CRM Service Excellence
Recency
ซื้อครั้งหลังสุด
ซื้อเมื่อไหร่
เมื่อไหร่ซื้ออีก
Frequency
ซื้อบ่อยแค่ไหน
แวะมาบ่อยไหม
มาซื้อบ่อยไหม
Monetary
ซื้อเท่าไหร่
ยอดซื้อต่อครั้ง
ยอดซื้อต่อเดือน
ยอดซื้อต่อปี
9. 9สูตรชนะ MARKETING 3.0 ด่านที่ 3 (Human Spirit)
Social Media
Good Governance
Green Marketing
CSV,CEM
Communications
สื่อสาร
Multi-Channels-> Omni Channels
Content->Context Marketing
Communities
ชุมชน
Social Networking
CSR
Commerce
พาณิชย์
Right time -> Real Time
Lifetime Value
10. 10
Marketing Pipeline
1.หาลูกค้าใหม่
Content Marketing
It is all about Keyword
2.ลูกค้าหน้าร้าน
Context Marketing
3.ลูกค้าประจา
CRM
Online Marketing
Offline
Marketing
WEB
Social
email
Mobile
TV
Print
Physical
Virtual
POS
Location
Based
Event
F2F
E&M
Commerce
Webinar
ESales
Resale
Crosssales
FriendSales
UpSales
สร้างภาพ ( Awareness )
สร้างยอด
Engagement
สร้างสัมพันธ์
Relationship
On screen
11. 11
Marketing Thailand SME
ยุค 1.0 สร้างการจดจา การเกษตร ผลิต/ขาย
ยุค 2.0 สร้างความสัมพันธ์ อุตสาหกรรม ใส่ใจลูกค้า
ยุค 3.0 สร้างความศรัทธา อุตสาหกรรมหนัก เพิ่มมูลค่าสินค้า
ยุค 4.0 สร้างสังคมที่ดีให้กับธุรกิจ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ สร้างเครือข่าย/เทคโนโลยี
โลก 4.0
13. 13
Facebook Page VS Facebook Profile
สาหรับธุรกิจแล้วระหว่าง Facebook Page กับ Facebook Profile อะไรดีกว่ากัน?
14. 14
Facebook Page VS Facebook Profile
สาหรับธุรกิจแล้วระหว่าง Facebook Page กับ Facebook Profile สร้างอะไรดีกว่ากัน?
ข้อเปรียบเทียบ Facebook Page Facebook Profile
การเข้าถึง เข้าดูได้เลยไม่ต้องเป็นสมาชิกเฟสบุค ต้องเข้าระบบเป็นสมาชิกเฟสบุคถึงจะดูได้
มีเพื่อน (Friends) ได้ไม่จากัด ได้มากที่สุด 5,000 คน
ข้อมูลในการวิเคราะห์
มีข้อมุล Insights เกี่ยวกับ Demographic ผู้ที่เข้ามา
Like / % การ Feedback ของสมาชิก
ไม่มี
เพิ่ม Application Tab
สามารถเพิ่ม Application Tab ที่มีประโยชน์ในการสร้าง
Customer Engagement หรือ Experience
Facebook Profile ทาไม่ได้
สร้างโฆษณาบน
FACEBOOK
สามารถสร้างโฆษณาได้ ไม่สามารถสร้างโฆษณาได้
การส่งข้อความหรือ
Facebook Messages
สามารถส่งข้อความได้แบบเยอะๆได้พร้อมๆกัน ส่งข้อความได้ทีละคน
16. 16เคล็ดลับที่ 1 : สร้างเพจขายของบนเฟสบุ๊ค
เข้าไปที่ https://www.facebook.com/pages/create
17. 17เคล็ดลับที่ 2 : ตั้งชื่อเพจให้ดี ต้องมีรายละเอียดที่ครบถ้วน
▪ หากเพิ่งเปิดร้าน ควรเริ่มตั้งแต่ “การตั้งชื่อเพจ” ให้เวิร์ค โดยการใส่ Keyword ให้ครบถ้วน
▪ เราต้องตั้งชื่อให้เข้าใจง่ายว่า เราขายอะไร ยิ่งชื่อเราเข้าใจง่ายและถูกต้องกับสินค้า ก็จะยิ่งเพิ่มอันดับของผลการค้นหาทาให้ลูกค้ามี
โอกาสเจอร้านของเราง่ายขึ้น
▪ เทคนิคง่ายๆเช่น ใส่ชื่อแบรนด์/ชื่อร้านค้านาหน้า แล้วตามด้วยชื่อชนิดของสินค้า เช่น Arctic ฟิล์มใสกันรอยจักรยาน กันรอย
เฟรม กันรอยโซ่ กันคราบน้ามัน เป็นต้น
19. 19เคล็ดลับที่ 3 : ชื่อ BRAND ก็สาคัญ
▪ มีหลักการง่ายๆ คือ
▪ เป็นคา 2-3 พยางค์ สะกดง่าย จดจาง่าย บ่งบอกเอกลักษณ์สินค้าและสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
▪ มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรเอาคาฮิตติดปากในช่วงเวลานั้นมาใช้ เพราะกระแสเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไวมาก
▪ ไม่ควรใช้คาเรียกสินค้าทั่วไปในชื่อแบรนด์ เพราะจะสร้างข้อจากัดให้กับธุรกิจคุณ เช่น หากมีคาว่า เค้ก
ในชื่อแบรนด์ ก็จะทาให้ยากต่อการขายเบเกอรี่อื่นๆในอนาคต
20. 20เคล็ดลับที่ 4 : กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับร้าน
อย่าลืมใส่ Short description, Long description,Email
และ Website ให้ครบถ้วน เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะช่วยให้
ลูกค้าเสิชเจอเพจเราได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เราซื้อโฆษณาใน
เฟสบุคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• คาอธิบายย่อเกี่ยวกับร้าน โดยมีความยาวไม่เกิน 155 ตัวอักษร
• สิ่งที่เราต้องทาคือ เขียนประโยคสั้นๆ 2-3 ประโยค เพื่ออธิบายว่าร้าน
ของเราเกี่ยวกับอะไรหรือขายสินค้าเกี่ยวกับอะไร
21. 21เคล็ดลับที่ 5 : สร้าง Cover Photo อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
• ภาพที่ใส่ใน Profile ลูกค้าต้องเห็นแล้วรูปทันทีว่าเราขายสินค้าบริการอะไร
• รูปภาพควรเป็นภาพที่มีรายละเอียดไม่ซับซ้อน
• ใส่ Logo เป็นภาพ profile
22. 22เคล็ดลับที่ 6 : ขนาดภาพ ที่เหมาะสม
• ภาพ Profile ควรมีขนาด 160X160 px
• Cover (ภาพหน้าปก) ควรแสดง Logo ร้านหรือโชว์สินค้าแนะนาที่น่าสนใจ โชว์โปรโมชั่นในช่วงเวลาต่างๆหรือ
โชว์ข้อมูลการติดต่อ
• Cover (ภาพหน้าปก) ควรมีขนาด 828X315 px
• ใช้ file PNG ดีกว่า JPG
23. 23เคล็ดลับที่ 7 : กาหนดปุ่ม Call to Action
• ปุ่ม Call To Action คือปุ่มที่กาหนดเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมเพจกระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่มีความสาคัญต่อธุรกิจของเรา เช่น
โทรหา , ส่งข้อความ , ดูคลิป VDO , ส่ง Email
24. 24เคล็ดลับที่ 8 : การแก้ไขข้อมูล PAGE
• แก้ไขข้อมูล Page เราต้องรอให้ทาง Facebook อนุมัติก่อน ไม่สามารถเปลี่ยนปุ๊บได้ปั๊บ และ Facebook
จะส่งข้อความไปแจ้งผู้ติดตามเพจทุกคนด้วยว่ามีการแจ้งเปลี่ยนชื่อ
คลิกแท็บ “เกี่ยวกับ” -> คลิกคาสั่ง “แก้ไข”
26. 26เคล็ดลับที่ 9 : โพสต์ให้สั้นแต่รายละเอียดสินค้าต้องครบ
• หากมีความยาวเกินไปเวลาไปแสดงที่หน้า News Feed ของคนอื่นระบบจะตัดข้อความให้สั้นลง คนอ่านต้องคลิก
"ดูเพิ่มเติม" จึงจะเห็นข้อความทั้งหมด
• ถ้าข้อความจะยาวก็ต้องเอาข้อมูลสาคัญมาไว้ตอนต้น เช่น ชื่อสินค้า ราคา ข้อมูลติดต่อ
27. 27เคล็ดลับที่ 10 : ลูกค้าชอบโพสต์แบบไหนให้ทดลองและเน้นโพสต์แบบนั้น
• โพสต์หลักสาหรับขายของ
• โพสต์เล่าเรื่องสินค้า (ขายแบบอ้อมๆ)
• โพสต์ข่าวสาร โพสต์เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (อาจแชร์จากคนอื่น)
• โพสต์เรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (อาจเป็นสีสันในเทศกาลต่างๆ)
• โพสต์เรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับสินค้า
29. 29
คนไทยนิยมโพสต์
Facebook มากที่สุด
ในช่วงเวลา
10:00- 12:00 น.
รองลงมาเป็นช่วงบ่าย
และมาพีคอีกที
20:00- 21:00 น.
ช่วงเวลาที่แบรนด์
นิยมโพสท์มากที่สุด
คือช่วง 11.00 น. และ
20.00 น.
ช่วงเวลาที่คน Engage กับ
โพสต์มากที่สุด
(กดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์)
16:00- 20:00 น.
วันพุธ Engage
ช่วง
9:00– 16:00 น.
วันเสาร์เป็นวันที่มีการ
Engage น้อยที่สุด
เคล็ดลับที่ 12 : สังเกตให้ดีช่วงเวลาไหนเวิร์ก
30. 30เคล็ดลับที่ 13 : เน้นโพสต์ภาพสวยๆขนาดใหญ่
• รูปภาพจะเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าสนใจในสิ่งที่เราโพสต์
• การโพสต์ภาพจานวนมากควรเน้นโพสต์ภาพสินค้าที่ดูสวยงาม
• ไม่ควรนาสินค้าหลายๆชิ้นมาเรียงกันในภาพเดียว เพราะลูกค้าจะมองไม่เห็นรายละเอียดสินค้า
31. 31เคล็ดลับที่ 14 : เว็บไซต์แจกภาพฟรีไม่มีลิขสิทธิ์กว่า 10,000 ภาพ
www.gratisography.com www.pexels.com www.pixabay.com
33. 33เคล็ดลับที่ 16 : ลองขายผ่าน Facebook Live ดูบ้าง
ก่อน Live ควรโพสต์แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนล่วงหน้าให้รอติดตามชม