SlideShare a Scribd company logo
1 of 417
 ปริมาณทางฟิสิกส์
 แรงและชนิดของแรง
 การเคลื่อนที่ในแนวเส้น
ตรง
 สมดุลวัตถุ
 การเคลื่อนที่ตามกฎข้อ
ที่2ของนิวตัน
 งาน กำาลัง และ
พลังงาน
 การเคลื่อนที่แบบโพร
เจกไทล์
 การเคลื่อนที่แบบวงกลม
 การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอ
นิกอย่างง่าย
 คลื่นที่และสมบัติของ
คลื่น
 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 พลังงานนิวเคลียร์
ปริมาณทาง
ฟิสิกส์
หน่วยวัดหน่วยวัด
- ระบบอังกฤษ
- ระบบสากลระหว่าง
ชาติ (SI)
- ระบบเมทริก (CGS)
ระบบ
หน่วย
เวลา มวล ความย
าว
ความเร็ว
SI วินาที กิโลกรั
ม
เมตร เมตร/วินา
ที
CGS วินาที กรัม เซนติเ เซนติเมต
หน่วยวัดหน่วยวัด
หน่วย SI แบ่งเป็น หน่วยฐาน และ
หน่วยอนุพัทธ์หน่วยฐาน เป็นหน่วยของปริมาณฐาน
ซึ่งมี 7 ปริมาณ ดังนี้ปริมาณฐาน สัญลักษณ์ หน่วยฐาน
ความยาว l,s เมตร
มวล m กิโลกรัม
เวลา t วินาที
อุณหภูมิทางเทอร์โมไดนามิกส์ T เคลวิน
กระแสไฟฟ้า I แอมแปร์
ความเข้มแห่งการส่องสว่าง I แคนเดลา
ปริมาณสสาร n โมล
หน่วยวัดหน่วยวัด
ุพัทธ์ คือ หน่วยที่มีหน่วยฐานหลายหน
งกัน เช่น
ความเร็ว มีหน่วย m/s
โมเมนตัม มีหน่วย
kg.m/s
แรง มีหน่วย kg.
คำาอุปสรรคในระบบ SI
 ถ้าค่าของหน่วยมูลฐานหรือหน่วยอนุพัทธ์ มากหรือ
น้อยเกินไป การเขียนแบบธรรมดาจะยุ่งยาก เช่น
 ความเร็วแสงมีค่าประมาณ 300,000,000 เมตรต่อ
วินาที
 โดยการเปลี่ยนรูปแบบการเขียนจำานวนเป็นการ
เขียนในรูป 10 ยกกำาลัง เช่น 105
 เพื่อความสะดวกจึงใช้คำาอุปสรรค (prefix) แทนค่า
10 ยกกำาลังเหล่านั้น
คำาอุปสรรคแทน 10 ยกกำาลังเลขบวก
คำาอุปสรรค ความหมาย สัญลักษณ์
exa- 1018
E
peta- 1015
P
tera- 1012
T
giga- 109
G
mega- 106
M
kilo- 103
k
hecto- 102
H
deka- 101
Da
คำาอุปสรรคแทน 10 ยกกำาลังเลขลบ (ค่าน้อยกว่า 1)
คำาอุปสรรค ความหมาย สัญลักษณ์
deci- 10-1
D
centi- 10-2
C
milli- 10-3
m
micro- 10-6 µ
nano- 10-9
n
pico- 10-12
p
femto- 10-15
f
atto- 10-18
a
ตัวอย่าง
300,000,000 เมตรต่อวินาที = 3 x108
เมตรต่อ
วินาที
60,000,000 g = 60 x106
g
= 60 Mg
= 60,000 x 103
g
= 60,000 kg
10 km = 103
m
2 ms = 2 x 10-3
ms = 0.002 s
กิจกรรม จงเปลี่ยนหน่วยเหล่านี้ให้ถูกต้อง
1) 1 km = mm
2) 1.5 nm = µm
3) 2.7 m3
= mm3
4) 1.45 kN = mN
5) 1.4 MHz = kHz
หน่วยวัดหน่วยวัด
สมการ d = vt
เมื่อ d คือ ระยะทาง V เป็นความเร็ว
และ t คือ เวลาความสัมพันธ์
10 m = (2 m/s) (5
s)**สมการที่ถูกต้อง หน่วยทางซ้ายต้อง
เทียบเท่ากับหน่วยทางขวาd = vt ความยาว = ความเร็ว x เวลา
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วย- เปลี่ยนจาก หน่วยที่เล็ก ไป
สู่ หน่วยที่ใหญ่กว่า
เช่
น เปลี่ยนจาก mm. ไป
เป็น m.
เปลี่ยนจาก inch ไป
เป็น m.
นำา conversion factor ไป หาร
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยตัวอย่าง
1 ถ้าต้องการเปลี่ยน 2500
m ให้เป็น kmจาก 1 km
= 103
mดังนั้น
2500 m =
2500/103
km=
2.5 km
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยตัวอย่า
ง 2 ถ้าต้องการเปลี่ยน 254
cm ให้เป็น inchจาก 1 inch
= 2.54 cmดังนั้น
254 cm =
254/2.54
inch
=
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วย- เปลี่ยนจาก หน่วยที่ใหญ่
ไปสู่ หน่วยที่เล็กกว่า
เช่
น เปลี่ยนจาก m. ไป
เป็น mm.
เปลี่ยนจาก m. ไป
เป็น inch
นำา conversion factor ไป คูณ
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยตัวอย่า
ง 3 ถ้าต้องการเปลี่ยน 2.5
km ให้เป็น mจาก 1 km
= 103
mดังนั้น
2.5 km =
2.5*103
m=
2500 m
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยตัวอย่
าง 4 ถ้าต้องการเปลี่ยน 100
inch ให้เป็น cmจาก 1 inch
= 2.54 cmดังนั้น
100 inch =
100*2.54 cm=
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วย การหา
conversion
factor
ถ้าต้องการเปลี่ยนชั่วโมง
, h เป็นวินาที, s
1 h =
60 min
1 min
= 60 s
แล
ะ
1 h = 60*60 = 3600
s
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยถ้าต้องการเปลี่ยน
km/h เป็น m/sจาก 1 km
= 103
m
1 h = 3600
s
แล
ะ
s
m
18
5
s3600
m10
h
km
1
3
==
หน่วยวัดหน่วยวัด
การเปลี่ยน
หน่วยถ้าต้องการเปลี่ยน km/h เป็น
m/s ให้เอา 5/18 ไป คูณ
ถ้าต้องการเปลี่ยน m/s เป็น
km/h ให้เอา 5/18 ไป หาร
ตัวอย่าง 5 จงเปลี่ยนอัตราเร็ว
36 ไมล์/ชั่วโมงให้เป็น
เมตร/วินาที เมื่อ 1 ไมล์ =
1.6 km
=
436 36 /
9
mi h m s= ×
วิธี
ทำา
1 ไมล์ = 1.6
km = 1600 m1 h = 3600
s1600 4
1 /
3600 9
mi m
m s
h s
= =
ตัวอย่างที่ 6 ถังบรรจุนำ้ามัน
รถยนต์ มีนำ้ามันในถัง 10 ลิตร
สถานีบริการนำ้ามันเติมนำ้ามัน
ด้วยอัตรา 5 ลิตร/นาที ถ้าเติม
นำ้ามันเป็นเวลา 96 วินาที จะ
มีนำ้ามันภายในถังทั้งหมดเท่าไร
วิธี
ทำา ปริมาณนำ้ามันทั้งหมด =
มีอยู่เดิม + ที่เติมมีอยู่เดิม =
10 ลิตร
5 5 0.083
min 60
L L L
ss
= =
ดังนั้น ถ้าเติมนำ้ามันเป็น
เวลา 96 วินาที
จะได้
นำ้ามัน
96 0.083 8Ls L
s
× =
ปริมาณนำ้ามันทั้งหมด =
มีอยู่เดิม + ที่เติม= 10 + 8 L
= 18 L
ตอบ
เวกเตอร์เวกเตอร์
าณต่างๆในวิชาฟิสิกส์แบ่งเป็น 2 ประเภท
ปริมาณปริมาณ
สเกลาร์สเกลาร์
ปริมาณปริมาณ
เวกเตอร์เวกเตอร์ปริมาณที่ระบุ
เพียงขนาดและ
หน่วย ก็ได้ความ
สมบูรณ์ เช่น
มวล ( kg )
พื้นที่ (m2
) ความถี่
( Hz ) เวลา (s)
อุณหภูมิ ( K )
ปริมาณที่ต้องระบุ
ทั้งขนาด และ
ทิศทาง จึงได้
ความสมบูรณ์
เช่น
การกระจัด
ความเร็ว
ารคำานวณให้ใช้พีชคณิตการคำานวณให้ใช้เรขาค
เวกเตอร์เวกเตอร์
ปริมาณเวกเตอร์ปริมาณเวกเตอร์ โดยทั่วไป
เขียนด้วยลูกศรที่มีความยาว
เท่ากับขนาดของเวกเตอร์ และมี
ทิศเดียวกับเวกเตอร์บนลูกศรจะมี
อักษรย่อกำากับว่าเป็นเวกเตอร์ของ
ปริมาณใด เช่น
มี
แร
ง
F

ขนาด 30 N
กระทำาต่อวัตถุทิศ
ขวา
F

ขนาด
30 N
คุณสมบัติของเวกเตอร์
การเท่ากันของเวกเตอร์
- ถ้า =แสดงว่าเวกเตอร์ทั้งสองมีขนาดเท่ากัน
และทิศทางเดียวกัน
- ถ้า A B= −
 
แสดงว่าเวกเตอร์ทั้งสองมีขนาดเท่ากัน
แต่ทิศทางตรงกันข้ามกัน
BA
A
B
p

D
 p

p

−
เวกเตอร์เวกเตอร์
ขนาดของ
เวกเตอร์
สัญลั
กษณ์
p,F,v,s

s , v , F
, P
หรื
อ
เวกเตอร์เวกเตอร์
การบวก
เวกเตอร์
การบวกเวกเตอร์ทำาได้ 2
วิธี คือ การบวกเวกเตอร์
โดย วิธีเขียนรูป
และ การบวกเวกเตอร์โดย
วิธีคำานวณ
การบวกเวกเตอร์
โดยวิธีเขียนรูป
เวกเตอร์เวกเตอร์
ทำาได้โดยนำาเวกเตอร์ที่จะ
บวกมาต่อกันให้หัวลูกศรเรียง
ตามกัน โดยผลรวมหรือ เวก
เตอร์ลัพธ์ คือ เวกเตอร์ที่ลาก
จากหางลูกศรของเวกเตอร์แรก
ไปยังหัวลูกศรของเวกเตอร์
4
หน่ว
ย
A
 B

3
หน่ว
ย
BAR

+=
เวกเตอร์เวกเตอร์
การบวกเวกเตอร์
โดยวิธีเขียนรูป
+ °37
A

B
R

ตัวอย่
าง 7
+ + +A

B
 C

D

A = 3 หน่วย , B =
2 หน่วยC = 2 หน่วย , D
= 1 หน่วย
R

DCBAR

+++=
จากการวัด
เวกเตอร์ลัพธ์
R

มีขนาด 6
หน่วย °23 กับทำา
เวกเตอร์เวกเตอร์
คุณสมบัติการบวก
ของเวกเตอร์
กฎการกฎการ
สลับที่สลับที่
RABBA

=+=+
กฎการกฎการ
เปลี่ยนกลุ่มเปลี่ยนกลุ่ม
( ) ( )CBACBAR

++=++=
กฎการสลับกฎการสลับ
ที่ที่
A
 + B

A
 B
R

A B+
 
B
 A

R

B A+

A
 B
B

A
ถ้า
ยก
R

ในรูปมา
ซ้อนจะได้
ผ
กฎการกฎการ
เปลี่ยนกลุ่มเปลี่ยนกลุ่ม( ) ( )CBACBAR

++=++=
+ +
A

B

C

A

B

C

R
BA

+
( ) CBAR

++=
A

B
 C

R

CB

+
( )CBAR

++=
การบวกเวกเตอร์
โดยวิธีคำานวณ
วกเตอร์โดยวิธีคำานวณทำาได้ทีละ 2 เวกเ
ถ้
า
P

เป็นเวกเตอร์ที่
มีขนาด PQ

เป็นเวกเตอร์ที่
ขนาด Qθ เป็นมุม
ระหว่าง
P

แ
ล
ะ
Q

θ
P

Q

θ γ
β
α
P

Q

R

การบวกเวกเตอร์
โดยวิธีคำานวณ
• หา
ขนาด
ของ
R

โดยใช้ กฎ
โคไซน์ ( )2 2 2
2 cos 2.1R P Q PQ α= + −
( )2 2 2
2 cos 2.2R P Q PQ θ= + +
• หาทิศ
ของ
R

โดยใช้
กฎไซน์ ( )3.2
sin
R
sin
Q
sin
P
α
=
γ
=
β
การบวกเวกเตอร์
โดยวิธีคำานวณ
90θ = °
( )2 2 2
2 cos 2.2R P Q PQ θ= + +
0
2 2 2
R P Q= + ทฤษฎีบทปิ
ทากอรัส
ตัวอย่าง 8 จงหาขนาดและ
ทิศทางของเวกเตอร์ลัพธ์ของ
และ ที่กำาหนด
ให้ดังรูป ด้วยวิธีคำานวณ
A

B

4
หน่ว
ย
A

°120
B

2
หน่ว
ย
วิธี
ทำา
A

°120
B

°60
R

γ
β
จากสมการ
( 2.1 ) จะได้ °−+= 60cosAB2BAR 222
( )( ) 





−+=
2
1
24224 22
12=
12R = หน่วย = 3.46
หน่วย ตอบ
การลบเวก
เตอร์
การลบเวกเตอร์ ทำาได้โดย
การบวกกับเวกเตอร์ที่เป็นลบ
เช่น
( )BABA

−+=−
ตัวอย่าง 2.3 จงหาขนาด
และทิศทางของผลต่างของเวก
เตอร์ และ ที่
กำาหนดให้ดังรูป
A

4
หน่ว
°120
B

B

−
A

B

วิธี
ทำา
)B(ABAR

−+=−=
A

ขนาด 4
หน่วย
B

− ขนาด 2
หน่วย
)B(AR

−+=
°120
จากสมการ (2.1
) จะได้ ( )( ) °−+= 120cos24224R 222
( )( )( )°−−+= 60cos242416R2
( ) 





−−=
2
1
8220 29.5R,28R2
== หน่
วย
,
จากสมการ
( 2.3 ) จะได้
°
=
°
=
γ 60sin
R
120sin
R
sin
B
866.0
29.5
sin
2
=
γ
( ) 327.0
29.5
866.02
sin ==γ
เตอร์ลัพธ์มีขนาด 5.29 หน่วย
( ) o1
7.5327.0sin =−
กับ A

มีทิศทำา ตอ
บ
( )327.0sin 1−
=γ
เวกเตอร์หนึ่งหน่วย
( Unit Vector )
เวกเตอร์หนึ่งหน่วย คือ
เวกเตอร์ที่มีขนาดหนึ่งหน่วย
และมีทิศเดียวกับเวกเตอร์ที่สนใจถ้
า
A

เป็นเวกเตอร์ที่
มีขนาด Aaˆ เป็นเวกเตอร์หนึ่ง
หน่วยในทิศเดียวกับ
A

aˆ
จะได้
A
A
aˆ

=
หรือ aˆAA =

องค์ประกอบเวกเตอร์ในระบบพิกัดฉาก
 การแยกเวกเตอร์เป็นองค์ประกอบของ
เวกเตอร์
A

B

BAC

+=
y
x
xA

yA

yx AAA

+=
y
x
xx AA

=
22
yx AAAA +==

yy AA

=
iˆ
xx AA =

jˆ
yy AA =

iˆเวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศ +x
jˆ
เวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศ +y
A

เวกเตอร์หนึ่งหน่วย
( Unit Vector )
ˆ ˆx yA A i A j= +

ˆ ˆx yB B i B j= +

กำาหนดให้
แล
ะ
ˆ ˆ ˆ ˆ( ) ( )
ˆ ˆ( ) ( )
ˆ ˆ
x y x y
x x y y
x y
C A B
A i A j B i B j
A B i A B j
C i C j
= +
= + + +
= + + +
= +
  
ตัวอย่างที่ 1.2 และ
จงหาขนาดและทิศทางเทียบกับแกน x ของเวก
เตอร์ ต่อไปนี้
jˆ3iˆ4a −=

jˆ8iˆ6b +=

a

b

ba

+
ab

−
ba

−
(a)
(b)
(c)
(d)
(e)
ผลคูณของเวกเตอร์
ผลคูณเชิง
สเกลาร์
θ
A

B

cos cosA B AB A Bθ θ• = =
 
ˆˆ ˆ
ˆˆ ˆ
x y z
x y z
A A i A j A k
B B i B j B k
= + +
= + +


ผลคูณเชิงสเกลาร์
ˆˆ ˆ ˆ ˆ ˆ( )
ˆˆ ˆ ˆ ˆ ˆ( )
ˆ ˆ ˆ ˆˆ ˆ( )
x x x y x z
y x y y y z
z x z y z z
x x y y z z
A B A i B i A i B j A i B k
A j B i A j B j A j B k
A k B i A k B j A k B k
A B A B A B
• = + +
+ + +
+ + +
= + +
 
g g g
g g g
g g g
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ 1
ˆ ˆ ˆ ˆ 0
ˆ ˆˆ ˆ 0
ˆ ˆˆ ˆ 0
i i j j k k
i j j i
i k k i
j k k j
= = =
= =
= =
= =
g g g
g g
g g
g g
ผลคูณเชิงสเกลาร์
Ex. จงหามุมระหว่างเวกเตอร์
ทั้ง 2 ดังนี้2 3 4A i j k= + + 2 3B i j k= − +
วิธีทำา 2 1
3 2
4 3
x x
y y
z z
A B
A B
A B
= =
= = −
= =
จา
ก
cos
cos
x x y y z z
A B A B
A B A B A B
A B
θ
θ
=
+ +
=
g
2 2 2
2 2 2
(2)(1) (3)( 2) (4)(3) 8
2 3 4 29
1 ( 2) 3 14
x x y y z zA B A B A B
A
B
+ + = + − + =
= + + =
= + − + =
ดัง
นั้น
1
8
cos
( 29)( 14)
0.397
cos (0.397)
66.6
θ
θ
−
=
=
=
= o
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
sin
C A B
C A B θ
= ×
=
  
การครอสการครอส
เวกเตอร์เวกเตอร์
ถ้
า
0 180θ = o o
และ จะทำาให้ผลการครอ
สมีค่าเท่ากับศูนย์
θ
A

B

A B×
 
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
A B B A× = − ×
  
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ( ) ( )
ˆˆ ˆ ˆ ˆ ˆ( ) ( ) ( )
ˆˆ ˆ ˆ ˆ ˆ( ) ( ) ( )
ˆ ˆ ˆ ˆˆ ˆ( ) ( ) ( )
x y z x y z
x x x y x z
y x y y y z
z x z y z z
A B A i A j A k B i B j B k
A i B i A i B j A i B k
A j B i A j B j A j B k
A k B i A k B j A k B k
× = + + × + +
= × + × + ×
+ × + × + ×
+ × + × + ×
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ 0
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ
ˆ ˆˆ ˆ ˆ ˆ
i i j j k k
i j k j i k
i k j k i j
j k i k j i
× = × = × =
× = × = −
× = − × =
× = × = −
ˆˆ ˆ( ) ( ) ( )y z z y z x x z x y y xC A B A B A B i A B A B j A B A B k= × = − + − + −
ผลคูณเชิงเวกเตอร์
x y z
x y z
i j k
A B A A A
B B B
× =
xC yC zC
Ex. เวกเตอร์ A มีขนาด 6 หน่วยทิศ
+x เวกเตอร์ B มีขนาด 4 หน่วย อยู่บน
ระนาบ xy ทำามุม 30๐
กับแกน +x และ
ทำามุม60๐
กับแกน +y จงหาผลลัพธ์ของ
A x B
sin (6)(4)sin30 12A B A B θ× = = =o
วิธี
ทำา
จากกฎมือขวาผลลัพธ์ของ จะ
อยู่ในทิศ +z
A B×
เราสามารถเขียนองค์ประกอบของ
AcและB บนแกน x y และ z ได้
ดังนี้6 0
4cos30 4cos60 0
x y z
x y z
A A A
B B B
= = =
= = =o o
(0)(0) (0)(2) 0
(0)(2 3) (6)(0) 0
(6)(2) (0)(2 3) 12
ˆ12
x
y
z
C
C
C
C k
= − =
= − =
= − =
=
เวกเตอร์ C จะมีทิศอยู่ในแกน +z ส่วน
ขนาดจะเท่ากับ
2 2 2
12x y zC C C+ + = หน่
วย
kjibkjia ˆ2ˆ4ˆ,ˆ2ˆ3ˆ3 +−−=−+=

kjic ˆˆ2ˆ2 ++=

( )cba

+⋅
( )cba

+×
อย่างที่ 1.5 เวกเตอร์
และ
จงหา (a)
(b)
หน่วยของการวัด
ในการแสดงความมากหรือน้อยของสิ่งต่าง ๆ
ที่ใช้ในการวัดมีหน่วยที่แตกต่างกันออกไป ตาม
ระบบที่ใช้วัดจะแบ่งออก 2 ระบบใหญ่ คือ ระบบ
เมตริกกับระบบของอังกฤษ ตัวอย่างเช่น
ปริมาณ ระบบเมตริก ระบบอังกฤษ
ความยาว
นำ้าหนัก
เซนติเมตร
กิโลกรัม
นิ้ว
ปอนด์
เป็นหน่วยเบื้องต้นของปริมาณต่าง ๆ ที่ใช้ในการวัดสิ่ง
ต่าง ๆ ซึ่งควรทราบ
ลำาดับ ปริมาณ หน่วย สัญลักษณ์
1 ความยาว ( Length ) เมตร
( Meter )
m
2 มวล ( Mass ) กิโลกรัม
( Kilogram )
kg
3 เวลา ( Time ) วินาที
( Second )
ห
4 อุณหภูมิ
( Temperature )
เคลวิน
( Kevin )
K
5 ปริมาณสาร ( Amount of
substance )
โมล
( Mole )
mol
เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดมุม โดยแบ่ง
ออกเป็น 2 หน่วย
เรเดียน ( Radian ) ใช้สัญลักษณ์ ( rad )
เป็นหน่วยที่ใช้ในการวัดมุมที่เกิดจาการหมุนบน
ระนาบในระนาบหนึ่ง
( 2 มิติ ) “โดยมีนิยามว่า มุมที่เกิดจากส่วนโค้งจาก
”ปลายของวัตถุที่หมุนไป ต่อรัศมีของการหมุน
เป็นหน่วยที่เกิดจากการที่นำาหน่วยหลักมูลมาผสม
กัน ซึ่งการผสมกันจะเป็นไปตามนิยามของ
ปริมาณต่าง ๆ เช่น
อัตราเร็ว หมายถึง ระยะทางที่เปลี่ยนไป
ในหนึ่งหน่วยเวลา
v = s
t
หน่วยอัตราเร็วคือ m/s เป็นหน่วยอนุพันธ์
อัตราเร่ง หมายถึง อัตราเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วย
เวลา
a = v
t
2
หน่วยของอัตราเร็วคือ m/s เป็นหน่วย
อนุพันธ์
แรง 1 นิวตัน หมายถึง แรงที่มากระทำาต่อวัตถุมวล 1
กิโลกรัมให้เคลื่อนที่ไปด้วย
2
ความเร่ง 1 เมตร/ วินาที หาได้จากกฎข้อที่
2 ของนิวตัน
F = ma
2
หน่วยของแรงคือ kg. m/s เป็นหน่วยอนุพันธ์
 ปริมาณเวกเตอร์ คือ ปริมาณที่ต้องกำาหนดทั้งขนาดและ
  ทิศทางจึงจะมี ความหมาย ตัวอย่างของปริมาณเวกเตอร์
          ได้แก่ แรง การกระจัด ความเร็ว ความเร่ง เป็นต้น
    เนื่องจากปริมาณเวกเตอร์มีทั้งขนาดและทิศทาง การ
คำานวณจึงต้องมีวิธีการที่แตกต่างออกไปจากการคำานวณ
  ในระบบจำานวน ไม่สามารถดำาเนินการบวก ลบ คูณ หาร
  แบบธรรมดาได้ จึงต้องใช้วิธีการคำานวณเวกเตอร์โดย
   เฉพาะ จำานวน 0 ในปริมาณเวกเตอร์ เป็นปริมาณที่ไม่มี
 ค่าจริง ๆ ปริมาณเวกเตอร์จึงไม่มีค่าเป็นลบ
   เครื่องหมายในปริมาณเวกเตอร์ใช้บอกทิศทางของเวก
  เตอร์ เวกเตอร์ที่มีเครื่องหมายเหมือนกันทิศทางเดียวกัน
   เวกเตอร์ที่มีเครื่องตรงกันข้ามทิศทางตรงกันข้าม
ปริมาณเวกเตอร์เป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
 การคำานวณมีวิธีการที่ต่างจากการคำานวณใน
 ระบบจำานวนธรรมดา เพื่อความสะดวกในการ
    คำานวณ จึงมีการกำาหนดสัญลักษณ์ ใช้แทน
    ปริมาณเวกเตอร์ โดยกำาหนดว่า ความยาวแทน
 ขนาดของเวกเตอร์ และหัวลูกศรชี้ทิศทางของ
  เวกเตอร์ การคำานวณปริมาณเวกเตอร์ที่นักเรียน
ในช่วงชั้นนี้ควรทราบ คือ
การบวกเวกเตอร์
การคูณเวกเตอร์์ (สำาหรับนักเรียนที่เลือกเรียน
วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาเพิ่มเติม)
        การเรียกชื่อหรือเขียนชื่อของเวกเตอร์นิยม
      เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ ดังนี้ หรือ
         เวกเตอร์ศูนย์ คือ เวกเตอร์ที่ไม่มีขนาดและ
 ทิศทาง แทนด้วยจุด
       เวกเตอร์ที่เท่ากันต้องมีขนาดยาวเท่ากันและ
ทิศทางไปทางเดียวกัน
 การบวกเวกเตอร์ ทำาได้ 2  วิธี คือ
วิธีวาดรูป
วิธีคำานวณ
    วิธีวาดรูป เป็นวิธีการเขียนรูปเวกเตอร์ตัวตั้งด้วยลูกศร
 ให้มีขนาดและทิศทางตามที่กำาหนด แล้วเขียนลูกศร
แทนเวกเตอร์ที่นำามาบวกต่อหัวลูกศรของตัวตั้ง หาก
มีเวกเตอร์ที่นำามาบวกอีกก็เขียนลูกศรต่อไปอีกจน
ครบ แล้วจึงลากเส้นจากหางลูกศรที่เป็นตัวตั้งตัวแรก
ไปยังปลายของลูกศรที่นำามาวาดต่อหลังสุด วัดความ
 ยาวของเส้นที่ลากนี้ จะได้ขนาดของเวกเตอร์ที่เป็น
ผลลัพธ์และทิศทางของเวกเตอร์ลัพธ์มีทิศจากจุดตั้ง
ต้นของเวกเตอร์ตัวตั้งไปยังปลายของเวกเตอร์
สุดท้าย หรืออาจกล่าวได้ว่า เวกเตอร์ลัพธ์เป็นด้าน
สุดท้ายที่มาปิดให้ได้รูปเหลี่ยมครบ
     วิธีคำานวณ แยกเป็นวิธีย่อย ๆ ได้ดังนี้
เวกเตอร์ที่ขนานกัน ถ้ามีทิศทางเดียวกันนำาขนาดมาบวกกัน ทิศทาง
 ของเวกเตอร์ลัพธ์ไปทางเดิม ถ้าเวกเตอร์มีทิศทางตรงกันข้ามนำาขนาด
 ของเวกเตอร์มาลบกัน เวกเตอร์ลัพธ์มีทิศทางไปทางเวกเตอร์ที่มีค่า
มากกว่า
เวกเตอร์ที่ตั้งฉากกัน ให้นำาเวกเตอร์ทั้งมาบวกกัน โดยชุดที่ทิศทาง
   ขนานกันไว้ด้วยกัน จะได้ผลบวกของเวกเตอร์สองชุดตั้งฉากกัน นำา
 ผลบวกทั้งสองชุดมาคำานวณโดยใช้ทฤษฎีพีทากอรัส ดังสูตรต่อไปนี้
         ให้ เป็นผลบวกของเวกเตอร์ในแนวแกน X
  เป็์่นผลบวกของเวกเตอร์ในแนวแกน Y
ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ เท่ากับ
ทิศทางของเวกเตอร์ลัพธ์จะทำามุมกับแกน X ซึ่งมีค่า tan     ของมุมนั้นเท่ากับ
 เวกเตอร์ที่ไม่ตั้งฉากกัน ในกรณีนี้จะต้องทราบขนาดของ
มุมระหว่างเวกเตอร์กับแกน X หรือแกน Y จึงจะคำานวณได้
   วิธีการคือ หาองค์ประกอบของเวกเตอร์ในแนวแกน X
และแกน Y ของแต่ละเวกเตอร์ ดังรูป
 
 หลังจากนั้นนำาองค์ประกอบแต่ละแกนมารวมกัน จะเหลือเวก
 เตอร์เพียงสองเวกเตอร์ตั้งฉากกัน หลังจากนั้นจึงหาผลบวก
ของเวกเตอร์ตามวิธีที่เวกเตอร์ตั้งฉากกัน
การคูณเวกเตอร์ มีสองวิธีคือ
Dot   Product    ผลคูณของเวกเตอร์ เป็นปริมาณ
 สเกลลาร์
             ขนาดของผลคูณหาได้จาก
      สมการ
              โดยที่ A     และ B  เป็นขนาดของ
เวกเตอร์ที่นำามาคูณกัน
                 เป็นมุมระหว่างเวกเตอร์ที่นำามา
คูณกัน
Croos  Product    ผลคูณของเวกเตอร์ เป็น
ปริมาณเวกเตอร์
            ขนาดของผลคูณหาได้จากสมการ
     
            โดยที่ A  และ B เป็นขนาดของเวก
เตอร์ที่นำามาคูณกัน
                เป็นมุมระหว่างเวกเตอร์ที่นำามา
แนวคิด
การคูณเวกเตอร์แบบ Dot Product
         สูตรในการคำานวณ
               แทนค่าในสูตร
                       ผลคูณจึงมีค่าเท่ากับ 0
             การคูณเวกเตอร์แบบ Cross Product
               สูตรในการคำานวณ
               แทนค่าในสูตร
                      ผลคูณจึงมีค่าเท่ากับ 20
ทิศทางของผลคูณจะเป็นเส้นที่ตั้งฉาก
กับระนาบของเวกเตอร์ A และ B
โดยใช้นิ้วสี่นิ้วของมือขวา งอจากเวก
เตอร์ A ไปหาเวกเตอร์ B หัวแม่มือชี้ทิศของเวกเตอร์ที่
      เป็นผลคูณ
แรงและ
ชนิดของ
แรง
แรง (Force) หมายถึง สิ่งที่ไปกระทำาต่อวัตถุ แล้ว
ทำาให้วัตถุนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัตถุ เช่น
เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ เปลี่ยนขนาดของอัตราเร็ว
หรือเปลี่ยนขนาด รูปร่างของวัตถุ
แรง มีหน่วย เป็น นิวตัน (N) (เป็นการให้เกียรติแก่เซอร์
ไอแซค นิวตัน ผู้ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก) แรง เป็น
ปริมาณเวกเตอร์ ซึ่งมีขนาดและทิศทาง
นอกจากนี้ นิวตันยังได้อธิบายเกี่ยวกับแรงไว้เป็น
กฎต่างๆ 3 ข้อ คือ
กฎข้อ 1 "วัตถุจะรักษาสภาพอยู่นิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่
อย่างสมำ่าเสมอในแนวเส้นตรง นอกจากจะมีแรงลัพธ์ที่ค่า
ไม่เป็นศูนย์
มากระทำา"
กฎข้อ 2 "เมื่อมีแรงลัพธ์ซึ่งมีขนาดไม่เป็นศูนย์มากระทำา
ต่อวัตถุ จะทำาให้วัตถุเกิดความเร่งในทิศเดียวกับ แรงลัพธ์
ที่มากระทำาและขนาดของความเร่งนี้จะแปลผันตรงกับ
ชนิดของแรง
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. แรงในธรรมชาติ หมายถึง แรงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดแรงเหล่านี้ขึ้น
แต่เรารู้ว่ามีแรงเกิดขึ้นเพราะสามารถทดลองให้เห็นจริงได้
แรงในธรรมชาติจะแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ 4 แรง คือ
1.1 แรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitation Force) เป็นแรงที่
ใกล้ตัวเราที่สุด ทำาให้เราไม่หลุดออกไปแล้วอยู่อย่างอิสระ
เหมือนอยู่ในอวกาศ นิวตัน อธิบายโดยใช้กฎแรงดึงดูด
ระหว่างมวล คือ "วัตถุ 2 วัตถุที่อยู่ห่างกันจะเกิดแรงดึงดูดซึ่ง
กันและกัน โดยขนาดของแรงจะแปรผันตรงกับขนาดของมวล
ทั้ง 2 และแปรผกผันกับระยะห่างระหว่างมวลทั้ง 2 ยกกำาลัง
สอง "
1.2 แรงแม่เหล็ก ( Magnetic Force) เป็นแรงที่เกิดขึ้น
จากแท่งแม่เหล็ก ซึ่งทำาจากแร่ แมกนีไทต์ (Magnetite)
เป็น ออกไซด์ของเหล็กมีสูตรทางเคมี ว่า Fe3O4 แร่ดัง
กล่าวนี้มีคุณสมบัติที่ทำาให้เกิดแรงขึ้นเองตามธรรมชาติ
ดังนี้
1.2.1 เกิดแรงดูดและผลักกับสารบางชนิด แท่งแม่เหล็ก
ธรรมชาติจะเกิดแรงดึงดูดและผลักกับสารต่างๆ ซึ่งเรียก
สารต่างๆนี้รวมกันว่า สารแม่เหล็ก (Magnetic
Substance) โดยสารแม่เหล็กจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด
คือ
* Ferromagnetic Substance เป็นสารที่แม่เหล็กเกิด
แรงดูดอย่างรุนแรงหรือมีแรงแม่
เหล็กกระทำาต่อสารประเภทนี้มาก เช่น เหล็กนิกเกิล
โคบอลต์
* Paramagnetic Substance เป็นสารที่แม่เหล็กเกิด
แรงดูดอย่างอ่อนๆไม่เหมือนชนิดแรง เช่น อะลูมิเนียม
.2.4 แรงแม่เหล็กที่กระทำาต่อประจุไฟฟ้าที่วิ่งเข้าไปในสนาม
แม่เหล็ก รอบๆแท่งแม่เหล็กจะมีสนาม
แม่เหล็กเกิดขึ้น ซึ่งสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจะแสดงทิศทาง
ของแรงแม่เหล็กที่กระทำาต่อสารแม่เหล็ก
1.3 แรงไฟฟ้า ( Electromagnetic Force) เป็นแรงที่
กระทำาต่อวัตถุไฟฟ้าด้วยกัน ซึ่งจะมีทั้งแรงผลักและแรงดูด
กัน ผู้ค้นพบประจุไฟฟ้าครั้งแรก คือ นายทาลัส (Thales)
ในปัจจุบันพบว่าประจุที่เกิดขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ประจุบวก (Positive Charge) เป็นประจุที่อยู่บนอนุภาค
"โปรตอน" ซึ่งเป็นอนุภาคเล็กๆที่อยู่ในนิวเคลียสของธาตุ
โปรตอนแต่ละตัวจะมีจำานวนประจุ อยู่ 1.6 x 10-19 C
2. ประจุลบ (Negative Charge) เป็นประจุที่อยู่บนอนุภาค
"อิเล็กตรอน" ที่เป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดในอะตอม และวิ่งเป็น
วงกลมรอบๆนิวเคลียสของอะตอมของธาตุ อิเล็กตรอน 1 ตัว
จะมีจำานวนประจุเท่ากับโปรตอน 1 ตัว แต่เป็นคนละชนิดกัน
แรงผลักและแรงดูดจะทำาให้วัตถุที่มีประจุเคลื่อนที่แยกออก
1.4 แรงนิวเคลียร์ ( Nuclear Force) เมื่อประจุชนิด
เดียวกัน 2 ประจุจะต้องอยู่ร่วมกัน ต้องมีแรงมากระทำาต่อ
ประจุทั้งสอง เพื่อให้ประจุทั้ง 2 ไม่แยกออกจากกัน เนื่อง
มาจากแรงผลักของประจุทั้ง 2 แรงที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า
"แรงนิวเคลียร์" เพราะเป็นแรงที่เกิดขึ้นบริเวณนิวเคลียส
ของธาตุ
ในนิวเคลียสของธาตุจะประกอบด้วยอนุภาค 2 ชนิด คือ
โปรตอนมีประจุบวก และนิวตรอนเป็นกลาง อนุภาคทั้ง 2
จะติดกันเป็นทรงกลมอยู่ตรงกลางของอะตอมโปรตอนที่
อยู่ร่วมกันจะถูกแรงนิวเคลียร์ยึดเหนี่ยวไว้ โดยแรงที่ยึด
เหนี่ยวภายในนิวเคลียสจะไม่ได้อยู่ในรูปของแรงแต่อยู่
ในรูปของพลังงาน เรียกว่า "พลังงานยึด
เหนี่ยว" (Binding Energy) ค่าของพลังงานจะหาได้
จากทฤษฎีของ ไอสไตน์
ว่า E = mC2
โดยที่มวลจะหายไปกลายเป็นพลังงาน ภายในนิวเคลียส
2. แรงที่เกิดจากการกระทำาของสิ่งต่างๆ
แรงที่เกิดจากการกระทำาของสิ่งต่างๆ ที่ไปกระทำาต่อวัตถุ
มีอยู่มากหลายชนิดแต่ละแรงที่เกิดขึ้น
จะเป็นผลจากสิ่งที่ไปกระทำาต่อวัตถุแตกต่างกัน ซึ่งแรงที่
สำาคัญๆมีดังนี้
2.1 แรงตึงเชือก (Tension)
2.2 (Friction Force)แรงเสียดทาน
2.3 แรงจากสปริง (Elastic Force)
2.4 แรงหนีศูนย์กลาง
แรงเสียดทานจะเกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสของสองชิ้น เมื่อวัตถุ
ได้รับแรงกระทำาให้เคลื่อนที่หรือกำาลังจะเคลื่อนที่ จะเกิด
แรงเสียดทานขึ้น
แรงเสียดทานกระกระทำาในทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่
เสมอ
ขนาดของแรงเสียดทานจะขึ้นอยู่กับชนิดของผิวสัมผัส
และแรงปฏิกิริยาในแนวตั้งฉากกับผิวสัมผัส
จากรูป แรงเสียดทานจลน์ (fk) = 40% ของ
แรงปฏิกิริยาในแนวตั้งฉาก (FN).   เขียนเป็น
 ความสัมพันธ์ได้ว่า
ถ้าเพิ่มมวลของกล่องขึ้นเป็น 2  เท่าของของเดิม แรงปฏิกิริยา
ในแนวตั้งฉากก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของของเเดิม แรงเสียด
ทานก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2  เท่าของของเดิมด้วย แต่เรายัง
สามารถหาค่า แรงเสียดทานจลน์ (fk) = 40% ของแรง
ปฏิกิริยาในแนวตั้งฉาก (FN) หรือ
 เขียนได้ว่า ซึ่งความสัมพันธ์นี้เป็นจริงทุกค่า
ของนำ้าหนักของกล่องบนพื้นราบนี้
เราเรียกค่านี้ว่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน(coefficient of
friction)  
เมื่อเราเปรียบเทียบแรงเสียดทานของกล่องใบเดียวกันบนพื้นไม้
 กับบนพื้นยาง พบว่าแรงเสียดทานเพิ่มขึ้นบนพื้นยาง แรงเสียด
ทานจลน์fk= 60% ของแรงปฏิกิริยาในแนวตั้งฉาก(FN) หรือ
อาจพูดว่า
 สัมประสิทธ์ความเสียดทานสถิตย์ก็หาได้ในลักษณะเดียวกัน
แรงเสียดทานสถิตย์เปลี่ยนค่าได้ตั้งแต่ 0 - ค่ามากที่สุด.
กฎข้อที่ 1 ของนิวตัน
จากการเคลื่อนที่ของวัตถุต่างๆ ในชีวิตประจำาวัน จะพบว่าวัตถุที่วาง
นิ่งอยู่บนพื้นราบเรียบจะ อยู่นิ่งต่อไปถ้าไม่ออกแรงกับวัตถุนั้น เช่น
ก้อนหินที่วางบนพื้นเฉยๆ และวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ถ้า
ไม่มีการออกแรงกับวัตถุนั้น หรือออกแรง 2 แรงกับวัตถุนั้นในแรงที่
เท่ากัน
และทิศตรงข้ามกันแล้ว วัตถุจะยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เท่าเดิม
เช่น เมื่อเราอยู่ในรถ แล้วรถเกิดเบรกกระทันหัน ทำาให้รถหยุดนิ่ง
อย่างรวดเร็ว นันคือ มีแรงจากการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และแรง
เสียดทานในการเบรกในทิศตรงข้ามกัน แต่ตัวเรายังเคลื่อนที่ไป
กฎข้อที่ 2 ของนิวตัน
จากการเคลื่อนที่ของวัตถุต่างๆ ในชีวิตประจำาวัน จะพบว่า วัตถุที่
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ เมื่อเราออกแรงผลัก หรือ ดึงวัตถุ
ที่เคลื่อนที่อยู่นั้น ความเร็วจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ซึ่งเรียกว่า
วัตถุมี ความเร่ง เช่น เมื่อเราขับรถอยู่ แล้วเหยียบคันเร่งให้รถวิงเร็วขึ้น
ความเร็วที่เพิ่มขึ้น เกิดจากแรงของรถ ที่เรียกว่า ความเร่งนั้นเอง และ
ขนาดของความเร่งนั้นจะขึ้นอยู่กับนำ้าหนักของวัตถุนั้นด้วย โดยถ้า นำ้า
หนักของวัตถุ 2 วัตถุ เท่ากัน แต่ออกแรงให้วัตถุแต่ละวัตถุไม่เท่ากัน
วัตถุที่ถูกออกแรงมากกว่าจะมีความเร่งมากกว่า และ ถ้าออกแรงให้กับ
วัตถุ 2 วัตถุเท่ากัน ในขณะที่นำ้าหนักทั้ง 2 วัตถุ ไม่เท่ากัน วัตถุที่นำ้า
กฎข้อที่ 3 ของนิวตัน
ในชีวิตประจำาวันเราพบว่า เมื่อออกแรงกระทำากับวัตถุหนึ่ง
วัตถุนั้นจะออกแรงตอบโต้กับแรงที่เรากระทำาในทันที เช่น
เราสวมรองเท้าสเก็ตแล้วหันหน้าเข้ากำาแพง เมื่อเราออกแรงพลัก
กำาแพง ตัวเราจะเคลื่อนที่ออกจากกำาแพง นั้นแสดงว่า กำาแพงต้อง
มีแรงกระทำาต่อเราด้วย จากตัวอย่างนี้ เราเรียกแรงที่ เรากระทำาต่อ
กำาแพงว่า แรงกิริยา และเรียกแรงที่ กำาแพงกระทำาต่อเราว่า แรง
ปฏิกิริยา แรงทั้ง 2 นี้เรียกรวมกันว่า แรงคู่กิริยา - ปฏิกิริยา หรือ
action - reaction pairs
แรง (Forces)
 1. แรง
 2. ชนิดของแรง
 3. การเคลื่อนที่ของอนุภาคหรือวัตถุใน
สนามโน้มถ่วง สนามไฟฟ้า และสนาม
แม่เหล็ก
 4. แรงยึดเหนี่ยวในนิวเคลียส
4. แรงยึดเหนี่ยวในนิวเคลีย
ผลการเรียนรู้
 1. อธิบายลักษณะโครงสร้างของอะตอมได้
 2. อธิบายลักษณะนิวเคลียสของอะตอมได้
 3. บอกชนิดของอนุภาคนิวคลีออนที่รวมกันเป็น
นิวเคลียสของอะตอมได้
 4. อธิบายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคนิวคลีออน
ในนิวเคลียสของอะตอมได้
 1. โครงสร้างของอะตอม
 2. เลขมวลและเลขอะตอม
 3. ไอโซโทป (isotope)
 4. พลังงานยึดเหนี่ยว
4. แรงยึดเหนี่ยวในนิวเคลียส
Ernest Rutherford (1871-1937)
 Ernest Rutherford
was born on August 30,
1871, in Nelson, New
Zealand

http://nobelprize.org/chemistry/laureates/1908/rutherford-bio.html
1. โครงสร้างของอะตอม
 Rutherford และลูกศิษย์ ทดลองยิงแผ่นทองคำา
เปลว ด้วยอนุภาคแอลฟา (α) ซึ่งมีประจุ + พบ
ว่า
 อนุภาคแอลฟากระเจิงออกจากอะตอมได้หลาย
ทิศทาง
 อนุภาคแอลฟาบางตัวสะท้อนกลับทางเดิม
 บางตัวกระเจิงออกเป็นมุมต่าง ๆ
 จากการทดลอง เขาได้สรุปว่า
 อะตอมของทองคำาต้อมีนิวเคลียสเป็นแกนกลาง และ
มีประจุเป็น +
 อิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุ - โคจรเป็นวงรอบนิวเคลียส
Rutherford's gold foil experiment
 Caption
 Rutherford's experiment provided evidence that the positively
charged part of the atom consisted of a tiny, dense object at
the atom's center.
 Notes
 The history of Rutherford's experiment reveals a wonderful
example of a careful, scrupulous scientist working hard to
remain focused on observation as the basis for his
 conclusions:
 It would have been very easy for Rutherford to have dismissed
the minor differences between what he saw and what he
expected to see.
Rutherford's gold foil experiment
http://wps.prenhall.com/wps/media/objects/476/488316/ch04.html
The experiment (Rutherford):
http://www.physics.uc.edu/~sitko/CollegePhysicsIII/28-AtomicPhysics/AtomicPhysics.htm
โครงสร้างของอะตอม
http://www.enchantedlearning.com/chemistry/glossary/nucleus.shtml
2. เลขมวลและเลขอะตอม
 เลขอะตอม (atomic number) คือ ตัวเลขที่บอก
จำานวนโปรตอน เขียนแทนด้วย Z
 เลขมวล (mass number) คือ ตัวเลขที่บอกจำานวน
โปรตอนรวมกับนิวตรอน เขียนแทนด้วย A
 อะตอมของธาตุใด ๆ เขียนแทนด้วย X
 เขียนสัญลักษณ์ของธาตุได้ดังนี้
XA
Z
ตัวอย่างเช่น
3. ไอโซโทป (isotope)
 คือ ธาตุชนิดเดียวกัน มีจำานวนโปรตอนเท่ากัน แต่
มีจำานวนนิวตรอนไม่เท่ากัน เช่น
 ไฮโดรเจนมี 3 ไอโซโทป คือ โปรเทียม (1
1H)
ดิวเทอเรียม (2
1H) และทริเทียม (3
1H)
http://education.jlab.org/glossary/isotope.html
4. พลังงานยึดเหนี่ยว
 การที่โปรตอน รวมกับ นิวตรอน กลายเป็น
นิวเคลียสได้ ก็เพราะ อนุภาคเหล่านั้น ดึงดูดกัน
ไว้ ด้วยแรงนิวเคลียร์
 แต่ยังไม่มีใครเขียนแรงนิวเคลียร์ขึ้นได้ เราหาได้
เพียงพลังงานที่อนุภาคนิวคลีออน ใช้ดึงดูดกัน
เรียกว่า พลังงานยึดเหนี่ยว (binding energy)
 ซึ่งเกิดจากมวลส่วนหนึ่งของนิวคลีออนกลายเป็น
พลังงาน
 เราสามารถหาพลังงานยึดเหนี่ยวนิวเคลียร์จาก
สมการของ ไอน์สไตน์ ที่ว่า
E = mc2
 เมื่อ E = พลังงาน (J)
 m = มวล (kg)
 c = ความเร็วแสง (c = 3 x 108
m/s)
 ส่วนมากมวลของอนุภาคต่าง ๆ และนิวเคลียสมี
หน่วยเป็น u ซึ่ง 1u = 1.66 x 10-27
kg
 เมื่อ 1u คำานวณหาพลังงาน จะได้ 931 Mev
(อ่าน Mev ว่า เมกะอิเล็กตรอนโวลต์)
 ซึ่งของ 1 Mev = 1.6 x 10-13
J
E = mc2
The Binding Energy of a Nucleus 
http://sol.sci.uop.edu/~jfalward/nuclearphysics/nuclearphysics.html
Albert Einstein (1879-1955)
 Albert Einstein (March 14, 1879
– April 18, 1955) was a
German-born American
theoretical physicist who is
widely regarded as the greatest
scientist of the 20th century.
 He proposed the theory of
relativity and also made major
contributions to the
development of quantum
mechanics, statistical mechanic
s, and cosmology.
 He was awarded the 1921
Nobel Prize for Physics for his
explanation of the photoelectric
effect and "for his services to Thhttp://www.mlahanas.de/Physics/Bios/AlbertEinstein.html
ตัวอย่างแบบฝึกหัด
 1. จงหาพลังงานยึดเหนี่ยวดิวเทอเรียม (2
1H)
กำาหนดให้มวลของ มวลของโปรตอน และมวล
ของนิวตรอน (2.22 MeV)
ReferencesReferences
 พูนศักดิ์ อินทวี และจำานง ฉายเชิด. หนังสือ
เรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ : ฟิสิกส์ ม.
4-ม.6. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2547. 262
หน้า.
 http://sol.sci.uop.edu/~jfalward/nuclearphysic
s/nuclearphysics.html
การเคลื่อนที่ในแนว
เส้นตรง
อัตราเร็ว
อัตราเร็วเฉลี่ย เมตร/วินาที
s = ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้
t = เวลาในการเคลื่อนที่
ความเร็ว
ความเร็วเฉลี่ย
เมตร/วินาที
s = การขจัดที่ได้
ความเร่ง
เมตร/วินาที2
a = ความเร็วที่เปลี่ยนแปลงของวัตถุที่กำาลัง
เคลื่อนที่การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงด้วย
ความเร่งคงที่ มีสูตรดังนี้
1. v = u + at
4. v2 = u2 + 2as
u = ความเร็วเริ่มต้น
v = ความเร็วตอนปลาย (เมื่อเวลา
ผ่านไป t )
s = ระยะทาง
a = ขนาดของความเร่ง
ในกรณีที่ความเร็วเพิ่มขึ้น v > u
a เป็น +
ในกรณีที่ความเร็วลดลง v < u
a เป็น -
ข้อสังเกตุ 1. u = 0 แสดงว่าวัตถุเคลื่อนที่จากจุด
หยุดนิ่ง
2. v = 0 แสดงว่าวัตถุเคลื่อนที่ไปจนกระทั่ง
หยุดนิ่ง
3. a = 0 แสดงว่าวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่
1. เวลา ( Time , T )
การที่เราจะทราบว่าวัตถุจะเคลื่อนที่หรือไม่
เราจะเริ่มจากการสังเกตดูวัตถุนั้นในช่วงเวลาเวลา
หนึ่ง ซึ่งจุดที่เราเริ่มสังเกตวัตถุเราจะนับเวลาเริ่ม
ต้น ณ จุดนั้นมีค่า t = 0 จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป
วัตถุจะมีการเปลี่ยนแปลงตำ่าแหน่ง ช่วงเวลาที่เรา
สังเกตจะเป็นช่วงเวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ ซึ่งถ้าเราไม่
ทราบค่าแน่นนอน เราจะใช้ t แทนช่วงเวลาดั่ง
กล่าวโดยมีหน่วยขิงเวลาเป็น ( s )
หมายถึง เป็นปริมาณสเกลล่าที่บอกระยะทาง
ทั้งหมดที่วัตถุเคลื่อนที่โดยนับจากจุดเริ่มต้นเป็นจุด
อ้างอิง ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นตาม
เวลาที่ผ่านไป การวัดระยะทางจะวัดตามแนวทางที่
วัตถุเคลื่อนที่ไป ถ้าวัตถุเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นตรงก็
จะวัดระยะทางได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าแนวทางไม่เป็นเส้น
ตรงก็จะวัดระยะทางได้ลำาบาก ดั้งนั้น การศึกษาใน
เรื่องการเคลื่อนที่จึงศึกษษการเคลื่อนที่ในแนวเส้น
ตรงเบื้องต้น
ในการเคลื่อนที่ของวัตถุเกิดขึ้นจาการที่
วัตถุเปลี่ยนแปลงตำ่าเหน่งจากจุด 1 ไปสู่จุด 2
การกระจัดเป็นปริมาณของเวกเตอร์ที่ต้องแสดง
การเปลี่ยนแปลงตำ่าแหน่งของวัตถุ การบอกตำ่า
เหน่งใหม่ เทียบกับแหน่งเดิมมีทั้งขนาดของ
ทิศทาง มีหน่วยเป็นเมตร และมีทิศทางระยะ
ทางจากจุดที่ 1 ไปยังจุดที่ 2 เราเรียกว่า ระยะ
การกระจัด ( displacement )
ในการเคลื่อนที่ของวัตถุมีความสัมพันธ์ของ
ระยะทาง ( s ) กับเวลา ( t )
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรระยะทางของวัตถุก็จะ
เพิ่มขึ้นตา ความสัมพันธ์ปริมาณทั้งสองจะนำามาอธิ
บายลักษณธของการเคลื่อนที่โดยนิยามว่า
อัตราเร็ว ขึ้นมา
“อัตราเร็ว จะหมายถึง ระยะทางที่เปลี่ยนไป
ในหนึ่งหน่วยเวลา
( ∆ อ่านว่า เดลตา )” หรือเขียนเป็นสูตรได้ว่า
v = ∆s
การอธิบายการเคลื่อนที่
 ต้องบอกด้วยปริมาณ ต่อไปนี้
1. ทิศทางการเคลื่อนที่
2. ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้ หรือการกระจัด
3. ความเร็ว
4. ความเร่ง
ระยะทาง (distance)
กับ
การกระจัด (displacement)
 ระยะทาง คือ ความยาวที่วัดตามเส้นทางการ
เคลื่อนที่ของวัตถุ จัดเป็นปริมาณสเกลาร์
 การกระจัด คือ ระยะที่วัดจากจุดตั้งต้นของการ
เคลื่อนที่  ตรงไปยังตำาแหน่งที่วัตถุอยู่ในขณะ
นั้น โดยไม่สนใจว่าวัตถุจะมีเส้นทางการ
เคลื่อนที่เป็นอย่างไร  จัดเป็นปริมาณเวกเตอร์
 ระยะทางไม่เท่ากัน แต่การกระจัดเท่ากัน
ประเภทของการเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่มีหลายลักษณะจำาแนกออกได้เป็น
1. การเคลื่อนที่แนวตรง
2. การเคลื่อนที่วิถีโค้ง
3. การเคลื่อนที่แบบหมุน
การเคลื่อนที่แนวตรง
แบ่งได้ 2 แนว
1. การเคลื่อนที่ตามแนวราบ
2. การเคลื่อนที่ตามแนวดิ่ง - การตกอย่าง
อิสระ
องค์ประกอบของการเคลื่อนที่ในแนวตรง
• ระยะทาง
• เวลา
• ความเร็วเริ่มต้น
• ความเร็วที่ตำาแหน่งใด ๆ
ความเร็ว (velocity)
t
x
tt
xx
vav
∆
∆
=
−
−
=
12
12
ความเร็วเฉลี่ย
ขนาดการกระจัด
เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ทั้งหมด
=
 ตัวอย่าง
x1 = 19 m, x2 = 277 m
t1 = 1.0 s t2 = 4.0 s
sm
s
m
ss
mm
vav /40
0.3
120
0.10.4
10130
==
−
−
=
ความเร็วขณะใดขณะหนึ่ง
(instantaneous velocity)
dt
dx
t
x
v
t
=
∆
∆
=
→∆
lim0
ความเร็วขณะใด = อัตราการเปลี่ยนแปลงตำาแหน่งเทียบก
= ลิมิตของความเร็วเฉลี่ยเมื่อช่วงเวลาเข้าใกล้ศูนย
ตัวอย่าง:
 เสือซีต้าร์เริ่มวิ่งจากจุดซุ่มเพื่อไล่จับกวางในแนวเส้น
ตรง ผู้สังเกตเริ่มจับเวลาเมื่อซีต้าร์วิ่งได้ออกไปได้ 20
m จากการวิเคราะห์ลักษณะการเคลื่อนที่พบว่าที่เวลา 2
s แรก ตำาแหน่งของซีต้าร์มีความสัมพันธ์กับเวลาเป็น
x = 20 m + (5.0 m/s2
)t2
จงหา
a) ขนาดการกระจัดในช่วงเวลา t1 = 1.0 s และ t2 = 2.0
s
b) หาความเร็วเฉลี่ยในช่วงดังกล่าว
c) หาความเร็วขณะใด ณ เวลา t = 1.0 s โดยหาจาก 3
กรณี เมื่อ
∆t = 0.1 s, ∆t = 0.01 s และ t = 0.001 s
อัตราเร็ว
เช่น
รถไปได้ระยะทาง 700 กิโลเมตร ใช้เวลาทั้งหมด 10
สดงว่าอัตราเร็วเฉลี่ยคือ 700 กิโลเมตร / 10 ชั่วโมง
คือระยะทางที่เคลื่อนที่ได้หารด้วยเวลาที่ใช้ในการ
หรือ 70 กิโลเมตร / ชั่วโมง
อัตราเร็วเฉลี่ย ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้ทั้งหมด
เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ทั้งหมด
=
อัตราเร็วขณะใดขณะหนึ่ง (instantaneous speed)
คือ อัตราเร็วที่เกิดขึ้นในขณะเวลาใดเวลาหนึ่งของ
การเคลื่อนที่
เช่น อัตราเร็วที่ปรากฏในมาตรบอกความเร็วรถยนต์
หาได้จาก
vin = ระยะทางในช่วงเวลาสั้น ๆ
ช่วงเวลาสั้น ๆ
การเปลี่ยนแปลงระยะทางในช่วงเวลาสั้นๆ
 ตัวอย่างที่ สมมุติรถยนต์ A เคลื่อนที่ได้ระยะทาง
สัมพันธ์กับเวลาดังตาราง
จงหา
ก. อัตราเร็วเฉลี่ยในช่วงเวลา 0 วินาที – 8
วินาที
ข. อัตราเร็วขณะหนึ่งที่เวลา 1 วินาที
ค. อัตราเร็วขณะหนึ่งที่เวลา 3 วินาที
ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งเดิน
ไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะ
ทาง 100 m แล้วหันหลังกลับ
เดินทางไปทางทิศตะวันตกระยะ
ทาง 150 m โดยใช้เวลาใน
การเดินทางทั้งสิ้น 5 นาที
อัตราเร็วเฉลี่ยของชายคนนี้มี
ค่าเท่าไร
ทิศตะวันออกทิศ
ตะวัน
ตก
O 0t1 =
100
m
150 m
s5t2 =
•
( ) sm83.0
5
17.4
s605
m150100
vav ==
×
+
=
 ตัวอย่าง ออกเดินทางจาก ม.อุบล เพื่อไปห้าง
โลตัส ซึ่งมีระยะทาง 20 กิโลเมตร ถ้าต้องการใช้
เวลาเดินทาง 20 นาที จะต้องขับรถด้วยอัตราเร็ว
เฉลี่ยเท่าใด
ความเร่ง (acceleration)
t
v
tt
vv
aav
∆
∆
=
−
−
=
12
12
ความเร่งเฉลี่ย
ความเร็วที่เปลี่ยนไป
ช่วงเวลาที่ใช้
=
ความเร่งขณะใดขณะหนึ่ง
(instantaneous accerelation)
dt
dv
t
v
a
t
=
∆
∆
=
→∆
lim0
ความเร่งขณะใด = อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็วเทียบก
= ลิมิตของความเร่งเฉลี่ยเมื่อช่วงเวลาเข้าใกล้ศูนย์
ตัวอย่าง
 ถ้าความเร็วของรถเก๋งที่เวลา t ใด ๆ เป็นไปตามสมการ
จงหา
a) ความเร็วที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลา t1 = 1.0 s และ t2
= 3.0 s
b) ความเร่งเฉลี่ยในช่วงเวลา t1 = 1.0 s และ t2 = 3.0 s
c) ความเร่งขณะใด ณ เวลา t = 2.0 s
23
50060 t)m/s.(m/sv +=
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราเร็วอัตราเร่ง = 0
อัตราเร็วคงตัว เคลื่อนที่ด้วยความเร็วคง
ามจริงแล้ว ขณะที่เราขับรถนั้นอัตราเร็วไม่ได้สมำ่าเสมอตล
คือ การเปลี่ยนแปลงอัตราเร็วเทียบกับเวลาอัตราเร่ง
ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้
เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนอัตราเร็ว
=อัตราเร่ง
( –อัตราเร็วสุดท้าย อัตราเร็วเริ่มต้น)
เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนอัตราเร็ว
=
อัตราเร่งของจรวดเป็น
เริ่มแรกจรวดขับเคลื่อนด้วยอัตราเร็ว 100 เมตร/วินาท
หลังจากนั้นเพิ่มอัตราเร็วเป็น 400 เมตร/วินาที ในเวลา
เช่น
(400-100) เมตร/วินาที
(3 วินาที)
=
= 100 เมตร / วินาที 2
300 เมตร / วินาที
(3 วินาที)
=
อัตราเร่งของจรวดเป็น
เริ่มแรกจรวดขับเคลื่อนด้วยอัตราเร็ว 400 เมตร/วิน
หลังจากนั้นลดอัตราเร็วเป็น 100 เมตร/วินาที
แต่ถ้า
(100-400) เมตร/วินาที
(3 วินาที)
=
= - 100 เมตร / วินาที 2
- 300 เมตร / วินาที
(3 วินาที)
=
อัตราเร็วลดลงแสดงว่ามีการหน่วงอัตราเร่งเป็นลบ
 ถ้าวัตถุวิ่งช้าลง หรือความเร็วลดลง ความเร่งจะมี
ทิศตรงข้ามกับความเร็ว และเรียกว่า ความหน่วง
ตัวอย่าง เมื่อรถแข่งเคลื่อนที่
เข้าสู่เส้นชัย คนขับจะเหยียบ
เบรคเพื่อให้รถแข่งเคลื่อนที่ช้า
ลง สมมติว่าคนขับเหยียบ
เบรคเมื่อ t0 = 9.0 วินาที ที่
ความเร็ว + 28 m/s ถ้า
เวลา t = 12.0 วินาที
ความเร็วของรถแข่งจะลดลง
เป็น + 13 m/s ความเร่ง
วิธี
ทำา
s0.9s0.12
sm28sm13
tt
vv
a
0
0
−
−
=
−
−
= 2
sm0.5−= ตอ
บ
ความเร่ง -5.0 m/s2
หมาย
ถึง ความเร็วลดลง 5.0 m/s
แต่ละวินาทีที่รถแข่งเคลื่อนที่
จากรูป แสดงการเปลี่ยนความเร็ว
ของรถแข่งในช่วงที่รถแข่งเบรค
สมมติว่าความเร่งคงที่ในขณะรถ
แข่งเคลื่อนที่ ความเร่งมี
เครื่องหมายเป็นลบ แสดงว่า
ความเร่งมีทิศทางไปทางซ้ายมือ ผล
การเคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงที่
 ในกรณีความเร่งมีค่าคงที่ เราสามารถหาความสัมพันธ์
ระหว่างการกระจัด ความเร็วเริ่มต้น ความเร็วปลาย และ
เวลาของการเคลื่อนที่ได้จากการพิจารณาต่อไปนี้
สมการที่ 1
02
0
−
−
=
t
vv
a
จากสมการของความเร่งเฉลี่ย
12
12
tt
vv
a
−
−
=
กำาหนดให้ t1 = 0 และ t2 คือเวลา t ใด ๆ และใช้
สัญลักษณ์
v0 สำาหรับความเร็วที่เวลา t = 0 โดยที่ v คือ
ความเร็วที่เวลา t ใด ๆ เราจะได้
atvv += 0
สมการที่ 2
2
00 attvxx ++=
2
0 vv
vav
+
=
กนิยามของความเร็วเฉลี่ย เราแทนการกระจัดที่เวลา t = 0 ด้วย x0
ะจัดที่เวลา t ใด ๆ ด้วย t
02
0
−
−
=
t
xx
vav
เช่นเดียวกัน สำาหรับกรณีความเร่งคงที่ เรา
สามารถหาความเร็วเฉลี่ยได้จาก
และเมื่อแทน v จากสมการที่ 1 atvatvvvav 2
1
000 )(
2
1
+=++=
t
xx
atv 0
2
1
0
−
=+
สำาหรับความเร่งคงที่เท่านั้น
สมการที่ 3
 สำาหรับกรณีที่เราทราบเฉพาะความเร็ว
ความเร่ง โดยไม่ทราบเวลาของการเคลื่อนที่
โดยเริ่มจากสมการที่ 1
a
vv
t a−
=
แทนค่า t ลงในสมการที่ 2
200
00 )()(
a
vv
a
a
vv
vxx
−
+
−
+=
)(2 0
2
0
2
xxavv −+=
ตัวอย่าง
 รถจักรยานยนต์กำาลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
หลังจากผ่านป้ายบอกลดความเร็ว รถมีความเร่ง
คงที่ 4.0 m/s2
ที่เวลา t = 0 รถอยู่ที่ตำาแหน่ง 5 m
จากป้าย และมีความเร็วเป็น 15 m/s ไปทางทิศ
ตะวันออก จงหาตำาแหน่งและความเร็วที่เวลา t =
2.0 s และหาตำาแหน่งของรถเมื่อมีความเร็ว 25
m/s
ถ้าปล่อยหินกับขนนกให้ตกลงมาพร้อมกันอะไรจะตกถึงพื้นก่อน
อัตราเร่งเนื่องจากความโน้มถ่วงของโลก
ตอบว่า ก้อนหิน(แน่นอน)อริสโตเติล
กาลิเลโล
ทำาการทดลองและบอกว่าถ้าไม่มีแรงต้านอากาศ
ขนนกและก้อนหินจะตกลงมาพร้อมกัน
นิวตัน
พิสูจน์ทฤษฎีของกาลิเลโอโดยการสูบอากาศ
ออกจากท่อให้(เกือบ)หมด แล้วปล่อยเหรียญ
และขนนกลงมาพร้อมๆกันในท่อสุญญากาศอัน
ปรากฏว่าทั้งขนนกและเหรียญตกลงมาพร้อมกัน
นิวตันค้นพบกฏของแรงโน้มถ่วงได้
วัตถุทุกชนิดจะตกลงมาด้วยอัตราเร่งที่เท่า
กันซึ่งมีค่าเท่ากับ 9.8 เมตร/วินาที 2
โดยไม่ขึ้นกับขนาด รูปร่าง และมวล
ภายใต้แรงดึงดูดของโลก
 แต่ในธรรมชาติ ผลของแรงต้านอากาศ
ทำาให้วัตถุตกลง
มาไม่พร้อมกัน
ช้างกับขนนก
 ตกอย่างอิสระ (ไม่มีแรงต้านอากาศ) มี
แรงต้านอากาศ
ความเร่งเท่ากัน
ความเร่งไม่เท่ากัน
การตกอย่างอิสระ (Freely falling bodies)
คือ การตกของวัตถุจากที่สูง
ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้ม
ถ่วงของโลก
 ความเร็วต้นเท่ากับ 0
 ความเร็วเพิ่มขึ้น เพราะ
มีความเร่งเท่ากับ g
(9.8 m/s2
)
 ระยะทางที่เคลื่อนที่ได้
หาได้จาก
2
00 gttvyy ++=
gtvv += 0
)(2 0
2
0
2
xxgvv −+=
ตัวอย่าง
 โยนลูกบอลขึ้นไปในแนวดิ่งจากระดับดาดฟ้า
ตึกสูง ขณะลูกบอลหลุดจากมือมีความเร็ว 15
m/s หลังจากนั้นลูกบอลตกกลับลงมาอย่าง
อิสระและเฉียดขอบตึก ตกลงไปพื้นล่าง ถ้าที่
ตำาแหน่งของตึก g = 9.8 m/s2
จงหา
a) ตำาแหน่งและความเร็วที่เวลา t = 1.0 s และ t =4.0
s หลังจากออกจากมือ
b) ความเร็วของลูกบอลที่ตำาแหน่ง 5 m จากระดับ
เพดานตึก
c) ตำาแหน่งสูงสุดของลูกบอลและเวลาที่ใช้ตั้งแต่เริ่ม
ต้นจยถึงตำาแหน่งสูงสุดนั้น
คำาถามชวนคิด
1. ถ้าเราจะอธิบายการเคลื่อนที่เราต้องบอกอะไรบ้าง
2. ก่อนที่จะอธิบายการเคลื่อนที่ จะต้องวัดปริมาณอะไร
บ้าง
3. อัตราเร็วและอัตราเร่ง คือะไร ต่างกันอย่างไร
4. ถ้ารถไฟเดินทางจากสถานีที่1 - 10 สถานีซึ่งแต่ละ
สถานีห่างกัน 25 กิโลเมตร
รถไฟจะจอรับผู้โดยสารสถานีละ 5 นาที ถามว่า
4.1 ถ้ารถไฟใช้เวลาเดินทางจากต้นสายจนสุด
สายใช้เวลา 2 ชั่วโมง
15 นาที จะมีความเร็วเฉลี่ยเท่าใด
4.2 ถ้ารถไฟวิ่งด้วยอัตราเร็วเฉลี่ย 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ออกจากสถานี
แรก 6:00 น.จะถึงสถานีสุดท้ายก่อนเวลา 8:45
Quiz I
1. รถยนต์หยุดนิ่งที่ตำาแหน่งสัญญาณไฟจราจร หลัง
จากสัญญาณไฟเขียวรถยนต์ออกวิ่งไปตามถนนใน
แนวเส้นตรง โดยตำาแหน่งที่เวลา t สอดคล้องกับ
x = bt2
+ ct3
เมื่อ b = 1.40 m/s2
และ c = 0.15
m/s3
จงหาคำานวณ
 ความเร็วเฉลี่ยในช่วงเวลา t = 1.0 s ถึง t = 10.0
s
 ความเร็วขณะใดขณะหนึ่ง ณ เวลา t = 5.0 s
2. รถไฟใต้ดินเริ่มต้นวิ่งจากหยุดนิ่งออกจากสถานีและ
เร่งเครื่องด้วยอัตรา
1.80 m/s2
เป็นเวลา 12 s จากนั้นจึงวิ่งด้วยความเร็ว
คงที่ต่อไปเป็นเวลา
50 s และผ่อนความเร็วลงด้วยอัตรา 3.50 m/s2
จน
การเคลื่อนที่แนวโค้ง
การเคลื่อนที่แบบโปรเจคไทล์
คือ การเคลื่อนที่ในแนวราบ พร้อม ๆ กันกับการ
เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง
เช่น

การยิงลูกปืนใหญ่
 การปาลูกดอก
 ลูกบอลกลิ้งตกจากโต๊ะ
เร็ว
ช้า
อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง
 แนวราบ
ระยะทาง = อัตราเร็ว × เวลา
 แนวดิ่ง
ระยะทาง = 1 gt2
2
ตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบโปรเจค
ไตล์
Projectile Motion Applet
 ยิงปืนใหญ่ในแนวราบ เครื่อง
บินทิ้งสัมภาระ
ลักษณะการเคลื่อนที่แบบโปรเจคไทล์
 เป็นการเคลื่อนในสองมิติ
โดยมีการเคลื่อนที่ทั้งใน
แนวราบและแนวดิ่งพร้อม
ๆ กัน
 แนวดิ่ง ความเร่งคงที่
 แนวราบ ความเร็วคงที่
tvxx
vv xx
00
0
+=
=
2
2
1
00
0
gttvyy
gtvv
y
yy
−+=
−=
องค์ประกอบตามแนวราบ
องค์ประกอบตามแนวดิ่ง
 ให้ x0= y0= 0 ที t =0
gtvv
vv
gttvy
tvx
y
x
−=
=
−=
=
00
00
2
2
1
00
00
sin
cos
)sin(
)cos(
α
α
α
α
 ตำาแหน่งการกระจัด
 ขนาดความเร็ว
 บอกทิศทางในรูปของ
มุม  x
y
v
v
vvv
yxr
=
+=
+=
αtan
22
22
ตัวอย่างการคำานวณ 1
 พิจารณาลูกบอลที่กลิ้งตกจากขอบโต๊ะด้วยความเร็ว
ต้น 1.0 m/s จงคำานวณหาตำาแหน่งที่ลูกบอลตกกระ
ทบพื้น
ตัวอย่าง
 สตั้นแมนขับมอเตอร์ไซด์พุ่งออกจากหน้าผาด้วย
ความเร็วต้นในแนวราบ 9.0 m/s ให้หาตำาแหน่ง
ระยะทางจากหน้าผา และความเร็วของมอเตอร์
ไซด์หลังจากพุ่งไปแล้ว 0.5 s
 ยิงปืนใหญ่ในแนวทำามุม
กับแนวราบ
ลูกปืนจะเคลื่อนที่ไปถึงจุดสูงสุดแล้วจึงตก
g
v
h 2
sin 0
22
0 α
=
 ระยะในแนวราบใกลสุด เมื่อมุมเริ่ม
ต้นเท่ากับ 45 องศา
g
v
R 0
2
0 2sin α
=
 รถบรรทุกกับการโยนลูกบอล
ตัวอย่างการคำานวณ
 นักพุ่งแหลนปล่อย
แหลน (ที่มีความยาว
1.5 m) ออกไปจาก
มือ โดยแนวแหลน
ทำามุม 450
กับแนว
ราบ ถ้าความเร็วต้น
ของแหลนมีค่า
เท่ากับ 25 m/s
แล้ว
 ระยะทางที่แหลน
เคลื่อนที่ได้เป็น
Solutions
การเคลื่อนที่แบบวงกลม (circular motion)
 เป็นการเคลื่อนที่ภาย
ใต้อิทธิพลของ
ความเร่งสู่ศูนย์กลาง
 ความเร่งสู่ศูนย์กลางมี
ทิศพุ่งเข้าหา
จุดศูนย์กลางเสมอ
 ความเร่งมีมิศตั้งฉาก
กับความเร็วเสมอ
สำาหรับ uniform circular motion
R
v
arad
2
=
Uniform Circular Motion
Uniform Circular Motion
 พิจารณาการเคลื่อนที่ดัง
รูป
( )
r
v
a
r
v
t
v
r
tv
v
r
r
vv
r
r
v
v
2
2
=∴
=
∆
∆
∆
=
∆
=∆
∆
=
∆
Uniform Circular Motion
 ความเร็วเชิงมุม (ω) คือ อัตราการ
เปลี่ยนแปลงของมุม
r
r
r
s
π
π
θ
2
2 =
=
dt
d
rv
dt
d
r
dt
ds
rs
θ
ωω
θ
θ
==
=∴
=
,
ตัวอย่างการคำานวณ
 An audio CD
rotates at 150 r
pm (revolutions
per minute).
What is the
linear speed of
a small scratch
on the CD that i
s 10 cm from th
 วิธีทำา
เทอมของการเคลื่อนที่แบบวงกลม
 คาบ
คือ เวลาที่วัตถุใช้เคลื่อนที่สำาหรับการ
เคลื่อนที่ครบ 1 รอบ
เช่น คาบการเคลื่อนที่ของโลกรอบดวง
อาทิตย์ = 1 ปี
คาบการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก
= 28 วัน
 ความถี่
คือ จำานวนรอบของการเคลื่อนที่ต่อหน่วย
เวลา
 ความสัมพันธ์ระหว่าง
คาบกับความถี่
คาบ = 1
ความถี่
2
2
4
2
T
R
a
T
R
v
rad
π
π
=
=
ตัวอย่าง
 วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เป็นแนววงกลม
ด้วยรัศมี 5.0 m และใช้เวลา 4.0 s จึง
เคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ความเร่งของวัตถุมีค่า
เท่าใด
2
2
2
/0.12
)0.4(
)0.5(4
sm
s
m
arad ==
π
ตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบวงกลม
ในชีวิตประจำาวัน
www.ux1.eiu.edu/~cfadd/ 1150/05UCMGrav/ToC.html
www.physics.mcgill.ca/ ~ragan/101A.html
ตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบวงกลม
ในชีวิตประจำาวัน
www.ux1.eiu.edu/~cfadd/ 1150/05UCMGrav/ToC.html
ความเร็วสัมพัทธ์
BAPBPA
BAPBPA
BAPBPA
vvv
dt
rd
dt
rd
dt
rd
rrr



+=
+=
+=
P
A B
ตัวอย่าง
 เครื่องบินลำาหนึ่งกำาลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ และ
หน้าปัทม์แสดงความเร็ว 240 km/h ถ้าขณะนั้นมี
ลมพัดในทิศทางจากตะวันตกสู่ตะวันออกด้วย
ความเร็ว 100 km/h จงคำานวณหาความเร็ว
สัมพัทธ์ของเครื่องบินเทียบกับพื้นโลก
สมดุล
ของวัตถุ
สมดุลของวัตถุเป็นสภาพเดิม ๆ ของวัตถุที่อยู่ในขณะนั้น ได้แก่
วัตถุที่หยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ตัวอย่างเช่น เราเห็น
วัตถุที่แขวนอยู่บนผนัง หรือโลกโคจรรองดวงอาทิตย์ สภาพต่าง ๆ
เหล่านี้จะเป็นสภาพเดิมของวัตถุหรือเรียกว่า “วัตถุอยู่ในสภาพสมดุล
นิวตันได้ทำาการศึกษาถึงแรงที่กระทำาต่อวัตถุในขณะที่วัตถุสมดุล
โดยตั้งกฎเป็นข้อที่ 1 ของการเคลื่อนที่ได้ว่า
“วัตถุจะรักษาสภาวะเดิมอยู่เสมอถ้าไม่มีแรงมากระทำา หรือมีแรงมากรพ
ทำาแล้วผลรวมของแรงมีค่าเป็นศูนย์”
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต
วิทยาศาสตร์อุต

More Related Content

What's hot

เคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณเคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณAui Ounjai
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรงบทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรงThepsatri Rajabhat University
 
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติการเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติPrint25
 
9789740330783
97897403307839789740330783
9789740330783CUPress
 
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงบทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงkroosarisa
 
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]Thepsatri Rajabhat University
 
ความเร็ว
ความเร็วความเร็ว
ความเร็วnuchpool
 
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงการเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงuntika
 
ตำแหน่งของวัตถุ
ตำแหน่งของวัตถุตำแหน่งของวัตถุ
ตำแหน่งของวัตถุdnavaroj
 
02 เคลื่อนที่แนวตรง
02 เคลื่อนที่แนวตรง02 เคลื่อนที่แนวตรง
02 เคลื่อนที่แนวตรงwiriya kosit
 
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่ง
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่งWp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่ง
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่งkrupornpana55
 
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)Worrachet Boonyong
 
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงการเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงKaettichai Penwijit
 
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่พัน พัน
 

What's hot (20)

เคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณเคาะสัญญาณ
เคาะสัญญาณ
 
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรงบทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง
 
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติการเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
 
อัตราเร็ว (Speed)
อัตราเร็ว (Speed)อัตราเร็ว (Speed)
อัตราเร็ว (Speed)
 
9789740330783
97897403307839789740330783
9789740330783
 
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงบทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง
 
ความเร็ว (Velocity)
ความเร็ว (Velocity)ความเร็ว (Velocity)
ความเร็ว (Velocity)
 
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
บทที่ 1 หน่วยวัดและปริมาณทางฟิสิกส์ [2 2560]
 
สมการการเคลื่อนที่แนวตรง
สมการการเคลื่อนที่แนวตรงสมการการเคลื่อนที่แนวตรง
สมการการเคลื่อนที่แนวตรง
 
ความเร็ว
ความเร็วความเร็ว
ความเร็ว
 
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงการเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
 
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติการเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
 
ตำแหน่งของวัตถุ
ตำแหน่งของวัตถุตำแหน่งของวัตถุ
ตำแหน่งของวัตถุ
 
02 เคลื่อนที่แนวตรง
02 เคลื่อนที่แนวตรง02 เคลื่อนที่แนวตรง
02 เคลื่อนที่แนวตรง
 
Ex2
Ex2Ex2
Ex2
 
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่ง
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่งWp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่ง
Wp2บทเรียนโปรแกรมความเร็ว และความเร่ง
 
การเคลื่อนที่แนวตรง
การเคลื่อนที่แนวตรงการเคลื่อนที่แนวตรง
การเคลื่อนที่แนวตรง
 
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)
การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ (motion in one dimension)
 
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรงการเคลื่อนที่ในแนวตรง
การเคลื่อนที่ในแนวตรง
 
การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่
 

Similar to วิทยาศาสตร์อุต

Real Number(ระบบจำนวนจริง)
Real Number(ระบบจำนวนจริง)Real Number(ระบบจำนวนจริง)
Real Number(ระบบจำนวนจริง)Thanuphong Ngoapm
 
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWAN
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWANฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWAN
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWANNan's Tippawan
 
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์Nuttakritsomdock
 
เวกเตอร์(สอน)
เวกเตอร์(สอน)เวกเตอร์(สอน)
เวกเตอร์(สอน)kroojaja
 
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)Thanuphong Ngoapm
 
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้น
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้นการคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้น
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้นChokchai Puatanachokchai
 
สรุปสูตรคณิตศาสตร์
สรุปสูตรคณิตศาสตร์สรุปสูตรคณิตศาสตร์
สรุปสูตรคณิตศาสตร์wisita42
 
สรุปตรีโกณมิติ
สรุปตรีโกณมิติสรุปตรีโกณมิติ
สรุปตรีโกณมิติThphmo
 
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558Tonson Lalitkanjanakul
 
สื่อเรื่องกราฟ
สื่อเรื่องกราฟสื่อเรื่องกราฟ
สื่อเรื่องกราฟKanchanid Kanmungmee
 
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3 ปีการศึกษา 2557
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3  ปีการศึกษา 2557เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3  ปีการศึกษา 2557
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3 ปีการศึกษา 2557ครู กรุณา
 

Similar to วิทยาศาสตร์อุต (20)

Vector
VectorVector
Vector
 
Real Number(ระบบจำนวนจริง)
Real Number(ระบบจำนวนจริง)Real Number(ระบบจำนวนจริง)
Real Number(ระบบจำนวนจริง)
 
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWAN
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWANฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWAN
ฟังกชันตรีโกณมิติ BY TIPPAWAN
 
Matrix problem p
Matrix problem pMatrix problem p
Matrix problem p
 
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์
บทที่ 2 รายวิชาฟิสิกส์ เวคเตอร์ ทางฟิลิกส์
 
3
33
3
 
3
33
3
 
เวกเตอร์(สอน)
เวกเตอร์(สอน)เวกเตอร์(สอน)
เวกเตอร์(สอน)
 
Trigonometry1
Trigonometry1Trigonometry1
Trigonometry1
 
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)
เมทริกซ์ระดับชั้นมัธยมปลาย(Matrix)
 
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้น
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้นการคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้น
การคำนวณปรับแก้ระบบสมการที่ไม่เป็นเชิงเส้น
 
เวกเตอร์
เวกเตอร์เวกเตอร์
เวกเตอร์
 
สรุปสูตรคณิตศาสตร์
สรุปสูตรคณิตศาสตร์สรุปสูตรคณิตศาสตร์
สรุปสูตรคณิตศาสตร์
 
Ppt%20vector[1]
Ppt%20vector[1]Ppt%20vector[1]
Ppt%20vector[1]
 
สรุปตรีโกณมิติ
สรุปตรีโกณมิติสรุปตรีโกณมิติ
สรุปตรีโกณมิติ
 
Preliminary number theory
Preliminary number theoryPreliminary number theory
Preliminary number theory
 
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
เฉลย กสพท. คณิตศาสตร์ 2558
 
ข้อสอบ
ข้อสอบข้อสอบ
ข้อสอบ
 
สื่อเรื่องกราฟ
สื่อเรื่องกราฟสื่อเรื่องกราฟ
สื่อเรื่องกราฟ
 
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3 ปีการศึกษา 2557
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3  ปีการศึกษา 2557เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3  ปีการศึกษา 2557
เฉลยข้อสอบโอเน็ตคณิตศาสตร์ ม.3 ปีการศึกษา 2557
 

วิทยาศาสตร์อุต

Editor's Notes

  1. STT9.1