Contenu connexe
Plus de Pannaray Kaewmarueang
Plus de Pannaray Kaewmarueang (15)
อารยธรรมโรมัน
- 4. ความเป็ นมาของอารยธรรมโรมัน
อารยธรรมโรมันมีแหล่ งกําเนิดจากบริเวณคาบสมุทรอิตาลี ซึ่ง
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ของทวีปยุโรปโดยมีลกษณะเป็ นแหลมยืนลงไป
ั
่
ในทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ลักษณะภูมิประเทศส่ วนใหญ่ เป็ นภูเขา
และเนินเขา ได้ แก่ เทือกเขาแอลป์ ทางทิศเหนือ ซึ่งกั้นคาบสมุทร
อิตาลีออกจากดินแดนส่ วนอืนของทวีปยุโรป และเทือกเขาอเพน
่
ไนน์ ซึ่งเป็ นแกนกลางของคาบสมุทร ส่ วนบริเวณที่ราบมีน้อย
ที่ราบที่สําคัญ เช่ น ที่ราบชายฝั่งทะเลติร์เรเนียน (Tyrenian
Sea) ที่ราบลุ่มไทเบอร์ ซึ่งอยู่ทางเหนือ
- 6. ความเป็ นมาของอารยธรรมโรมัน
โดยทั่วไปคาบสมุทรอิตาลีมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์ เรเนียน สภาพอากาศ
อบอุ่น มีฝนตกในฤดูหนาว และอากาศแห้ งแล้ งในฤดูแล้ งดินแดนใน
คาบสมุทรอิตาลีมีทรัพยากรแร่ ธาตุอุดมสมบูรณ์ พอสมควร เช่ น เหล็ก
สั งกะสี เงิน หินอ่ อน ยิปซัม เกลือ และโพแทช นอกจากนั้นยังมีทรัพยากร
ป่ าไม้ ส่ วนทรัพยากรดินมีจํานวนจํากัด เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่ไม่ มี
พืนที่เพียงพอต่ อการตั้งถิ่นฐาน และต้ องแย่ งชิงกับชนกลุ่มอืนๆที่อยู่ใน
้
่
ดินแดนแถบนี้ ในขณะเดียวกันยังสามารถเดินเรือค้ าขายในทะเลเมิดิเตอร์ เร
เนียนได้ อย่ างสะดวก
- 7. ความเป็ นมาของอารยธรรมโรมัน
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ส่งผลให้ ประชากรชาวโรมันเป็ นคนที่ขยัน อดทน มี
ระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่ างเคร่ งครัด สามารถขยายอาณาเขต
ยึดครองดินแดนของชนเผ่ าอืนๆ เช่ น ดินแดนของพวกอีทรัสกัน ดินแดน
่
รอบทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ทําให้ ชาวโรมันได้ รับอารยธรรมจากดินแดน
ต่ างๆที่เข้ ายึดครองผสมผสานกับอารยธรรมโรมันของตนเอง
- 8. อารยธรรมโรมันกําเนิดที่คาบสมุทร
่
อิตาลี ซึ่ งตั้งอยูทางตอนใต้ของทวีปยุโรป
โดยมีลกษณะเป็ นแหลมยืนลงไปในทะเล
ั
่
เมดิเตอร์ เรเนียน ลักษณะภูมิประเทศส่ วน
ใหญ่เป็ นภูเขา และเนินเขา ได้แก่ เทือกเขา
แอลป์ ทางทิศเหนือซึ่ งกั้นคาบสมุทรอิตาลี
ออกจากดินแดนส่ วนอื่นของทวีปยุโรป และ
เทือกเขาแอเพนไนน์ซ่ ึ งเป็ นแกนกลางของ
คาบสมุทร ส่ วนบริ เวณที่ราบมีนอยจึงทําให้
้
่
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนอยูอย่างกระจัด
กระจายเป็ นชุมชนเล็กๆ พื้นที่การเกษตรมีไม่
มากนัก แต่เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น บริ เวณ
ดังกล่าวไม่สามารถรองรับการเกษตรที่
ขยายตัวได้ จึงเป็ นสาเหตุที่ชาวโรมันขยาย
ดินแดนไปยังดินแดนอื่นๆ
- 10. สภาพภูมศาสตร์
ิ
คาบสมุทรอิตาลีมีลกษณะทางภูมิศาสตร์ 4 แบบคือ
ั
่
1. ทางตอนเหนือมีที่ราบอยูระหว่างภูเขาแอลป์ กับภูเขาแอปเพนไนส์ คือ ที่ราบ
ลอมบาร์ดี
2. ตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลีมีแนวภูเขาแอปเพนไนส์ ทอดยาวในแนว
เหนือ-ใต้ มีความยาวประมาณ 800 ไมล์
3. ที่ราบด้านตะวันออกของภูเขาแอปเพนไนส์ขนานยาวไปกับชายฝั่งทะเล
4. ที่ราบด้านตะวันตกของภูเขาแอปเพนไนส์ขนานยาวไปกับชายฝั่งทะเล บริ เวณ
ตอนกลางมีที่ราบลุ่มบริ เวณแม่น้ าไทเบอร์ เรี ยกว่าที่ราบลุ่มละติอุม ซึ่ งเป็ นที่ต้ง
ํ
ั
ของกรุ งโรม
- 11. เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่ไม่มีพื ้นที่เพียงพอต่อ
การตังถิ่นฐาน และต้ องแย่งชิงกับชนกลุมอื่นๆที่อยูใน
้
่
่
ดินแดนแถบนี ้ ในขณะเดียวกันยังสามารถเดินเรื อ
ค้ าขายในทะเลเมิดิเตอร์ เรเนียนได้ อย่างสะดวก
ปั จจัยทางภูมิศาสตร์ สงผลให้ ประชากรชาวโรมันเป็ น
่
คนที่ขยัน อดทน มีระเบียบวินย ปฏิบติตาม
ั
ั
กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด สามารถขยายอาณาเขต
ยึดครองดินแดนของชนเผ่าอื่นๆ เช่น ดินแดนของ
พวกอีทรัสกัน ดินแดนรอบทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ทํา
ให้ ชาวโรมันได้ รับอารยธรรมจากดินแดนต่างๆที่เข้ า
ยึดครองผสมผสานกับ อารยธรรมโรมันของตนเอง
- 15. ชาวโรมันมีความเชื่อตามตํานานว่า กรุ งโรมสถาปนาขึนบนเนินเขา๗ลูกเมื่อ๗๙๓ปี
้
ก่ อนคริสต์ ศักราช โดยพีน้องฝาแฝดคู่หนึ่งชื่อ โรมูลุส และเรมุส ซึ่งเติบโตจากนํ้านม
่
และการเลียงดูของสุ นัขป่ า แต่ ตามหลักฐานทางด้ านโบราณคดีและประวัติศาสตร์
้
ยืนยันว่าบริเวณที่ต้ังของกรุ งโรมในปัจจุบันมีพวกอีทรัสกัน ซึ่งได้ รับอารยธรรมของ
กรีกอยู่ก่อนครอบครอง พวกอีทรัสกันมีถิ่นเดิมอยู่ในเอเชียไมเนอร์ และเมื่ออพยพ
เข้ ามาในแหลมอิตาลีก็ได้ นําเอาความเชื่อในศาสนาของกรีก ศิลปะการแกะสลัก การ
ทําเครื่องปั้นดินเผา อักษรกรีก การหล่ อทองแดงและบรอนซ์ การปกครองแบบนคร
รัฐ การวางผังเมือง การสร้ างอารุ ธ และอื่นๆเข้ ามาเผยแพร่ ในคาบสมุทร
อิตาลี
- 16. อารยธรรมโรมันสมัยประวัตศาสตร์
ิ
นอกจากพวกอีทรัสกันแล้ ว ในบริเวณแหลมอิตาลียงเป็ นที่ต้ังถิ่นฐานของผู้
ั
อพยพจากเผ่ าอืนๆอีกที่สําคัญ ได้ แก่ พวกละตินซึ่งเป็ นบรรพบุรุษของชาว
่
โรมันในแถบบริเวณที่ราบละติอุม ทางตอนใต้ ของแอาแม่ นํ้าไทเบอร์ พวกนี้
มีอาชีพปลูกข้ าวและเลียงสั ตว์ และต่ อมาได้ มีการติดต่ อกับพวกอีทรัสกันใน
้
๕๐๙ปี ก่ อนคริสต์ ศักราช พวกละตินได้ ขบไล่ กษัตริย์อทรัสกันออกจาก
ั
ี
บังลังก์ และจัดตั้งโรมมีรูปแบบการปกครองเป็ นแบบสาธารณรัฐ
- 17. อารยธรรมโรมันสมัยประวัตศาสตร์
ิ
อํานาจการปกครองยังเป็ นของชนชั้นสู งที่เรียกว่ า พวกพาทรีเชียน เท่ านั้น
ส่ วนราษฎรสามัญหรือประชาชนส่ วนใหญ่ ที่เรียกว่ า เพลเบียน ไม่ มีสิทธิใดๆ
ทั้งด้ านการเมืองและสั งคม ความขัดแย้ งระหว่ างพวกพาทรีเชียนและเพล
เบียนนําไปสู่ การต่ อสู้ ระหว่ างชนชั้นทั้งสองในปี ๔๔๙ ก่ อนคริสต์ ศักราช
พวกเพลเบียนได้ มีสิทธิออกกฎหมายร่ วมกับพวกพาทรีเชียน เป็ นการออก
ประมวลกฎหมายเป็ นลายลักษณ์ อกษรฉบับแรกของโรมัน เรียกว่ า กฎหมาย
ั
สิ บสองโต๊ ะ
- 18. อารยธรรมโรมันสมัยประวัตศาสตร์
ิ
ระหว่าง ๒๖๔ - ๑๔๖ ปี ก่อนคริ สต์ศกราช โรมันทําสงครามพิวนิก กับ
ั
พวกคาร์ เทจที่ต้ งอาณาจักรในบริ เวณภาคเหนือทวีปแอฟริ กา คาร์ เทจ
ั
เป็ นฝ่ ายพ่ายแพ้และต้องสูญเสี ยอาณาจักร เป็ นการเปิ ดโอกาสให้โรมัน
ได้เป็ นเจ้าทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน และเป็ นรัฐที่มีอานาจมากที่สุดใน
ํ
ขณะนั้น โดยผูกขาดการค้าระหว่างยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออก
และเอเชียไมเนอร์ จนมีฐานะมังคัง และมีอานาจปกครองดินแดนอัน
ํ
่ ่
กว้างใหญ่ไพศาล
- 19. อารยธรรมโรมันสมัยประวัตศาสตร์
ิ
เมือ ๒๗ ปี ก่อนคริสต์ ศักราช โรมันได้ ยุติการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ
่
และหันมาใช้ การปกครองแบบจักรวรรดิอย่ างเป็ นทางการ ออคเทเวียนได้ รับ
สมญานามว่ า ออกุสตุส และสภาโรมันยกย่ องให้ เป็ นจักรพรรดิพระองค์ แรกของ
จักรวรรดิโรมัน โรมันเจริญถึงขีดสู งสุ ดและสามารถขยายอํานาจและอิทธิพลไป
ทัวทั้งทวีปยุโรป มีการสร้ างถนนทัวไปเพือสะดวกในการลําเลียงสิ นค้ าและทหาร
่
่
่
ตลอดจนส่ งเสริมศิลปวัฒนธรรมในแขนงต่ างๆในคริสต์ ศตวรรษที่ ๕ จักรวรรดิ
โรมันอ่อนแอลงตามลําดับจนในทีสุดกรุงโรมถูกพวกอนารยชนเผ่ าเยอรมันหรือ
่
เผ่ ากอท เข้ าปล้นสะดมหลายครั้ง จักรพรรดิของโรมันองค์ สุดท้ ายถูกอนารยชน
ขับออกจากบังลังก์ใน ค.ศ.๔๗๖ จึงถือกันว่ าปี ดังกล่าวเป็ นการสิ้นสุ ดของ
จักรวรรดิโรมัน
- 22. การปกครอง
การปกครองทุกด้ าน การมีส่วนร่ วมในการปกครองของพลเมือง
โรมันทําให้ สาธารณรัฐโรมันแข็งแกร่ งมันคงและเจริญก้าวหน้ า
่
ต่ อมาเมือโรมันขยายอํานาจครอบครองดินแดนอืนๆอย่ าง
่
่
รวดเร็ว จึงเปลียนระบอบปกครองเป็ นจักรวรรดิ มีจักรวรรดิเป็ น
่
ผู้มอานาจสู งสุ ด จักรวรรดิได้ แต่ งตั้งชาวโรมันปกครองอาณา
ีํ
นิคมต่ างๆ โดยตรง ทําให้ สามารถควบคุมดินแดนต่ างๆ และ
ส่ งผลให้ จักรวรรดิโรมันมีอานาจยืนยาวหลายร้ อยปี
ํ
- 24. โฟรัม(Forum)
เป็ นย่านชุมนุมชน สถานที่ราชการ ตลาด คล้ายกันกับ อโกลา (agora)ของกรี ก โฟรัม
่
จะมีอยูในทุกๆเมืองมีลกษณะเป็ นลานกว้างแต่บางแห่งอาจจะมีหลังคา บริ เวณรอบๆจะ
ั
รายล้อมด้วย อาคาร สถานที่ราชการ วิหาร หอสมุด ที่มีชื่อเสี ยงคือโฟรัมของทราจัน
(Forum of Trajan) เป็ นที่จาหน่ายผักผลไม้ เป็ นที่เก็บไวน์และนํ้ามัน เป็ นร้านค้า
ํ
เป็ นที่เก็บอาหารและทรัพย์สินและเป็ นถังเก็บนํ้าจากท่อส่ งนํ้าด้วย
- 26. บาซิลิกา(Basilica)
เป็ นชื่อเรี ยกอาคารขนาดใหญ่ซ่ ึ งใช้เป็ นศาลยุติธรรมและอาคารพาณิ ชย์ของรัฐ ที่มี
ชื่อเสี ยงมากคือ บาซิลิกา อุลปิ อา(Basilica Ulpia)สร้างโดยจักรพรรดิทราจัน
นามอุลปิ อามีที่มาจากสกุลของจักรพรรดิ์ สร้างติดกับโฟรัมทราจันหรื ออาจเป็ นส่ วน
หนึ่งของโฟรัม ผังเป็ นสี่ เหลี่ยมผืนผ้าด้านกว้างทั้งสองทําเป็ นรู ปครึ่ งวงกลม หลังคารู ป
จัว เสาแบบคอริ นเธียน บางครั้งที่แห่งนี้ใช้ทาพิธีสาคัญๆทางการเมืองและศาสนา
ํ
ํ
่
ปั จจุบนพังทลายไปมาก
ั
- 27. โรงละครและสนามกีฬา
เป็ นสถานที่พกผ่อนชมกีฬา ชาวโรมันมีดวยกันหลายแห่งแห่งที่มีชื่อคือ Colosseum เริ่ มต้นสร้าง
ั
้
ในสมัยราชวงศ์ฟราเวียน เป็ นโรงมหรสพรู ปวงกลมที่มีอฒจันทร์ ลอมรอบ สําหรับเกมกีฬาต่อสู ้และ
ั
้
ความบันเทิงของสาธารณชน สถาปนิกได้ดดแปลงจากโรงละครกลางแจ้งของกรี กให้กลายมาเป็ น
ั
สนามกีฬา เพื่อใช้เป็ นสถานที่ต่อสู ้ของคนกับคนและคนกับสัตว์โดยเน้นการฆ่าฟันถึงตาย มีที่นง
ั่
สําหรับคนดูได้ราว 50000 คนด้วยความที่เป็ นสนามกีฬาใหญ่จึงต้องคิดระบบระบายคนเข้าออกอย่าง
รวดเร็ วโดยการทําช่องทางเข้าออก 80 ช่องรอบๆสนาม
- 31. ประตูชัย
ประตูชัย(Triumphal Arch)จัดเป็ น
อนุสาวรี ยประเภทหนึ่ง สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง
์
ชัยชนะจากสงคราม สร้างโดยจักรพรรดินิยม
สร้างคร่ อมถนนโดยทําเป็ นแท่งสี่ เหลี่ยม ตรง
กลางทําเป็ นทางลอดและประตูโค้ง บริ เวณส่ วน
หน้าและหลังประดับด้วยประติมากรรมและ
ข้อความจารึ กเหตุการณ์หรื อวีรกรรมของผูสร้าง
้
ที่ได้ชยชนะจากสงคราม ประตูชยที่สาคัญๆ
ั
ั ํ
ได้แก่ ประตูชยของติตุสในโรม เพื่อรําลึกชัยชนะ
ั
ของพระองค์ที่มีต่อพวกจูดาห์ ประตูชยของทรา
ั
จันที่เบเนเวนโต นับเป็ นประตูชยแห่งเดียวที่
ั
ไม่ได้เน้นเรื่ องสงครามเหมือนประตูชยอื่นๆ
ั
- 32. ประติมากรรมของโรมัน
โรมันนํารู ปแบบประติมากรรมมาจากกรี ก พัฒนาการสอดแทรก
อุดมคติของโรมันเข้าไปด้วย เช่น ความเข็มแข็งแบบทหาร นิยมสร้างรู ป
ทหารนักการเมือง แม่ทพ จูเลียส และบุคคลสําคัญ ๆ ลักษณะเข็มแข็งเป็ น
ั
ผูดี เสื้ อผ้ามีรอยย่นมาก ภาพและสลักของโรมันยังมีรูปวีนสเอสไควไลน์
้
ั
และบางส่ วนนํามาจากกรี ก อย่างภาพเลาคูนและบุตรถูกงูรัด เป็ นต้น
- 33. ประติมากรรมของโรมัน จําแนกออกได้เป็ น 2 แบบ
1. นิยมทําภาพนูนสู งประดับอนุสาวรีย์หรือ
บันทึกเหตุการณ์ ประวัตศาสตร์ ในยุคนั้น
ิ
ประดับตัวสถาปัตยกรรม
-The Altar of Peace แท่นบูชาสันติภาพ
สร้างโดยจักรพรรดิ ออกุสตุส เป็ นอนุสรณ์การลับ
คืนสู่ โรมหลังจากการรบในต่างแดน ลักษณะเป็ น
วิหารเล็กๆ รอบๆกําแพงทั้งภายนอกและภายในมี
ประติมากรรมแบนประดับอยู่ แสดงเรื่ องราวของ
ั
จักรพรรดิกบข้าราชบริ พาร ประติมากรรมประดับ
อนุสรณ์สถานอีกชิ้นคือภาพประดับประตูชยติตุส ทํา
ั
ขึ้นราว ค.ศ. 81 บนถนน เวีย สาครา ตัวประตูชยเป็ น
ั
แบบคอริ นเธี ยน ลักษณะทัวไปคล้ายการสร้าง
่
โคลอสเซี ยม ประติมากรรมเป็ นแบบนูนสู งแสดง
เหตุการณ์ของติตุสที่ได้ชยชนะจากพวกยิว
ั
- 34. - เสาของทราจัน(The Column of Trajan)
ในช่วงแรกของการครองราชย์ Trajan ไปรบกับเด
เชี่ ยน Dacians พวกยุโรปตอนกลางทางตอนใต้
ของแม่น้ าดานูบ(ปัจุบนคือฮังการี และโรมาเนีย) ผู ้
ํ
ั
ชอบลอบจู่โจมจักรวรรดิโดยไม่รู้ตวอยูประจํา และได้
ั ่
ชัยถึง 2 ครั้ง ชัยชนะของเขาได้เฉลิมฉลองโดยใช้เสา
แห่ งชัยชนะเป็นอนุสาวรี ยอยูในกรุ งโรม บริ เวณด้าน
์ ่
นอกมีประติมากรรมนูนตํ่าสลักจากหิ นอ่อนทําเป็น
แถบคล้ายผ้าพันแผลหมุนเวียนจากซ้ายไปขวารอบเสา
เหมือนเกลียวสว่าน แถบประติมากรรมนี้มีรูปลักษณะ
ที่แบนและมีความต่อเนื่องกันไป ตัวประติมากรรม
เป็นเรื่ องราวของจักรพรรดิทราจันทําสงครามกับพวก
เดเชี่ ยน รู ปคนทั้งหมดมีประมาณ 2500 รู ปนอกจากนี้
ยังมีรูปรถ ม้า เรื อ และอาวุธต่างๆด้วย ประติมากรรม
นี้ เด่นตรงการบรรยายเหตุการณ์ต่างๆด้วยรู ปสลัก
ทั้งหมด ทั้งการสร้างป้ อม ค่ายต่างๆแต่ทุกตอนจะเน้น
บุคคลสําคัญในภาพคือจักรพรรดิทราจัน
- 35. 2. ทํารู ปเหมือนบุคคล
ซึ่งนิยมมาตั้งแต่สมัยเป็ นสาธารณรัฐแล้ว มาถึงสมัยจักรวรรดินิยมก็ยงคง
ั
่
นิยมอยูแต่ต่างกันบ้างในรายละเอียดคือสมัยสาธารณรัฐนิยมทําภาพเหมือน
จริ งของบุคคลให้มีความเหมือนตามจริ งมากที่สุดแต่ในสมัยจักรวรรดินิยม
ชอบให้แสดงออกถึงลักษณะอันสง่างาม เป็ นอุดมคติ โดยเฉพาะรู ปชน
ชั้นสูงจะดูสง่างามราวเทพเจ้าของกรี ก เป็ นการผสมผสานระหว่างความ
เหมือนจริ ง Realism กับความเป็ นอุดมคติ Idealism ส่ วนรู ป
ประชาชนทัวไปก็ยงคงมีลกษณะแบบเหมือนจริ งเช่นเดิม
ั
ั
่
- 36. รู ปคนเหมือนที่มีชื่อเสียงคือรู ปของจักรพรรดิออกุสตุส เวสปาเชี่ยนและฮาเดรี ยน อีกรู ปที่สําคัญ
มากคือจักรพรรดิมาร์ คส ออเรลิอสทรงม้ า ที่สร้ างให้ จกรวรรดิโรมันรุ่ งโรจน์ สันนิษฐานว่าการ
ุ
ุ
ั
สร้ างรู ปแบบนี ้ได้ รับความนิยมจากจักรพรรดิทกองค์แต่เหตุที่เหลือเพียงจักรพรรดิออเรลิอสเพียง
ุ
ุ
องค์เดียวอาจเนื่องจากถูกพวกคริ สต์เตียนซึงเรื องอํานาจขึ ้นในสมัยกลาง นํารู ปเหล่านี ้มาหลอม
่
เพราะเห็นว่าศิลปะโรมันเป็ นของพวกนอกศาสนา และยังเคยเป็ นศัตรู แก่พวกคริ สเตียนด้ วย จึง
ทําลายรู ปต่างๆของโรมันโดยเฉพาะรู ปจักรพรรดิลงเกือบหมด และอาจเป็ นไปได้ วาเข้ าใจว่ารู ป
่
จักรพรรดิออเรลิอสคือรู ปจักรพรรดิคอนสแตนตินผู้ประกาศอิสรภาพในการนับถือศาสนาแก่คริ ส
ุ
เตียนและเป็ นจักรพรรดิเพียงองค์เดียวที่คริ สต์เตียนรัก ท่าทางของรู ปอยู่ในอากัปกิริยาของผู้ทรง
ความกรุ ณา มือขวาที่ยกขึ ้นคล้ ายสันตะปาปากําลังประทานพร มีท่าทางราวกับพระเจ้ า ซึง
่
สอดคล้ องกับความเชื่อที่วาจักรพรรดิมีฐานะราวกับเทพองค์หนึง ทังจักรพรรดิองค์นี ้ได้ ชื่อว่าเป็ น
่
่ ้
นักปราชญ์ มีสมาธิอนแกร่ งกล้ าและมีความเมตตาเหมือนนักบุญ ลักษณะดังกล่าวได้ แสดงออก
ั
ในงานประติมากรรมนี ้ รู ปออเรลิอสทรงม้ าก่อให้ เกิดแรงบันดาลใจแก่ศิลปิ นในยุคหลังๆเช่น ยุค
ุ
เรอเนซองที่นิยมสร้ างอนุสาวรี ย์รูปคนขี่ม้า และแพร่ หลายไปทัวโลก
่
- 39. วิศวกรรม
โรมันประสบความสํ าเร็จในการสร้ างถนน
คอนกรีตที่มีความแข็งแรงทนทาน สองข้ าง
ถนนมีท่อระบายนํ้าและมีหลักบอก
ระยะทาง ถนนที่ยงใช้ มาถึงปัจจุบัน ได้ แก่
ั
ถนนแอปเพียน(Appian Ways) ใน
ประเทศอิตาลี นอกจากนียงสร้ างท่ อนํ้า
้ั
หลายแห่ งเพือนํานํ้าจากภูเขาไปสู่ เมือง
่
ใกล้ เคียง ท่ อส่ งนํ้าที่ปัจจุบันยังใช้ อยู่ เช่ น
ท่ อส่ งนํ้าที่เมืองนีมส์ ทางตอนใต้ ของ
ประเทศฝรั่งเศส
- 41. ปฏิทน
ิ
เดิมชาวโรมันใช้ปฏิทินจันทรคติ ปี หนึ่งมี 10 เดือน ภายหลังเพิ่มเป็ น 12 เดือน
็ั
แต่กยงมีความคลาดเคลื่อนไปจากฤดูกาล จนกระทังเมื่อ 45 ปี ก่อนคริ สต์ศกราช
ั
่
จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar 100-44 ปี ก่อนคริ สต์ศกราช)
ั
นักประวัติศาสตร์และแม่ทพผูมีอานาจของโรมันให้ใช้ปฏิทินจูเลียนซึ่งเป็ นแบบ
ั ้ ํ
สุ ริยคติ ปี หนึ่งมี 12 เดือน แต่ละปี มี 365 วัน และให้เพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์
ทุก 4 ปี ให้เป็ นปี ที่มี 366 วัน ปฏิทินจูเลียนใช้มานานถึง 1,600 ปี จึงมีการ
ปรับปรุ งเป็ นปฏิทินเกรกอเรี ยนใน ค.ศ. 1582
- 44. กฎหมาย
ความโดดเด่ นของกฎหมายโรมันคือ ความทันสมัย เพราะมีการปรับปรุ ง
แก้ ไขเพิมเติมให้ สอดคล้ องกับโครงสร้ างการปกครองที่เปลียนเป็ นระบอบ
่
่
จักรวรรดิและสภาพแวดล้ อมของประชาชนในทุกส่ วนของจักรวรรดิ
นอกจากนีตุลาการชาวโรมันยังมีส่วนทําให้ เกิดการยอมรับหลักการพืนฐาน
้
้
ของกฎหมายว่ า ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันภายใต้ กฎหมาย ซึ่ง
รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทียดเป็ นแบบอย่ างปฏิบัติต่อมาถึงปัจจุบันคือ
่ึ
ให้ สันนิษฐานว่ าผู้ต้องหาทุกคนเป็ นผู้บริสุทธิ์ไว้ ก่อน จนกว่ าจะมีหลักฐาน
ยืนยันแน่ ชัดว่ ามีการกระทําความผิด