Contenu connexe
Similaire à 9789740330479
Similaire à 9789740330479 (20)
9789740330479
- 1. 1 แนวคิดพื้นฐานด้านความรู้
และการเรียนรู้
ความรู้กับสังคม
August Comte (1798-1857) นักสังคมวิทยาผู้มีชื่อเสียง
ได้กล่าวไว้นานมาแล้วว่า ความรู้ คือ องค์ประกอบที่ส�าคัญที่สุด
ในการก�าหนดรูปแบบของการจัดระเบียบสังคม และทิศทาง
ของการเปลี่ยนแปลงสังคม ในทัศนะของ Comte การเปลี่ยนแปลง
ของสังคมจากยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่ง จึงเป็นผลมาจากการเปลี่ยน
แปลงองค์ความรู้ของมนุษย์ อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า พัฒนาการ
ของสังคมในช่วงเวลาต่าง ๆ ล้วนยืนยันและสนับสนุนแนวคิด
ดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อหลักเหตุผลได้
เข้ามามีบทบาทต่อความคิดของคนในสังคมอย่างกว้างขวาง มุม
มองหรื อ โลกทั ศ น ์ ข องคนต ่ อ สรรพสิ่ ง ก็ เ ปลี่ ย นแปลงไป และ
อี ก ครั้ ง ในยุ ค วิ ท ยาศาสตร ์ ซึ่ ง เป ็ น ช ่ ว งเวลาที่ ม นุ ษ ย ์ ป ระสบ
ความส�าเร็จมากที่สุด ในการน�าความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัย
อย่างเป็นระบบ ผ่านการสังเกต ค้นคว้าและทดลอง มาใช้ใน
การด�าเนินชีวิต ในช่วงศตวรรษที่ 20 ก็มีนักคิดจ�านวนมาก อาทิ
- 2. Michel Foucault (1926-1984) และ Jean-Francois Lyotard
(1924-1998) ได้แสดงความเห็นที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในส่วนที่กล่าวว่า ความรู้คือปัจจัยส�ำคัญที่น�ำไปสู่อ�ำนาจ
(Foucault, 1972, 1973)
โลกยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของความรู้คืออ�ำนาจ (Know
ledge is Power) และเป ็ น องค ์ ป ระกอบส� ำ คั ญ ที่ สุ ด ในการ
พัฒนา ผู้น�ำของทุกประเทศที่พัฒนาแล้วต่างน�ำความรู้มาใช้
เป็นเครื่องมือและกลไกส�ำคัญในการขับเคลื่อน ก�ำหนดทิศทาง
ตลอดจนชี้น�ำรูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
ของประเทศ ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจในที่มาและพัฒนา
การขององค์ความรู้ การเรียนรู้ ตลอดจนวิธีคิดของมนุษยซึ่ง
แตกต่างกันไป จึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่งส�ำหรับนักพัฒนาและ
นักบริหารการพัฒนา ตลอดจนผู้มีบทบาทในการวางแผนและ
ก�ำหนดนโยบาย เนื่องจากความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในวิธีคิด
และการเรียนรู้ระบบอุดมการณ์ตลอดจนวิถีการด�ำเนินชีวิตทาง
วัฒนธรรมของคนแต่ละสังคม จะช่วยท�ำให้นักพัฒนาสังคม
สามารถวางแผนและก�ำหนดทิศทางของการพัฒนาในมิติต่าง ๆ
ได้อย่างมีเป้าหมาย ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นแผนที่วางอยู่บน
พื้นฐานขององค์ความรู้หรือ “ทุน” ที่มีอยู่ในสังคมนั้น ๆ อย่างแท้
จริง อันส่งผลให้กระบวนการพัฒนา ถูกขับเคลือนไปอย่างมีประสิทธิภาพ
่
สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่และสภาพปัญหา
ของแต่ละท้องถิ่น
64
- 3. ในบทนี้ ผู ้ เ ขี ย นจะกล ่ า วถึ ง ธรรมชาติ ก ารเรี ย นรู ้ ข อง
มนุษย์ วิธีการค้นคว้าหาความรู้ของมนุษย์ทั้งแบบดั้งเดิมและ
แบบที่เป็นระบบ วิวัฒนาการด้านองค์ความรู้ของมนุษย์ ภูมิปัญญา
ในระดับต่าง ๆ การจ�ำแนกประเภทขององค์ความรู้ตามหลักสากล
และการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาสังคม (Knowledge Manage
ment for Social Development/ KMSD) ตามล�ำดับ
ธรรมชาติของการเรียนรู้
มนุษย์เกิดมาพร้อม ๆ กับความต้องการที่ไม่มีสิ้นสุด
และความความต้องของมนุษย์นี้เองที่น�ำมาซึ่งแรงขับและแรงผลัก
ซึ่งรุนแรง จนสามารถท�ำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมทางสังคมทั้ง
ที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ออกมามากมาย นักสังคมวิทยา
การพัฒนามีความเชื่อว่า ความต้องการของมนุษย์ประกอบด้วย
ความต้องการทางจิตใจ ความต้องการทางสังคม และความต้อง
การทางร่างกาย โดยความต้องการทางร่างกายถือเป็นแรงผลัก
ดันระดับพื้นฐานที่สุด และมีพลังอ�ำนาจสูงที่สุดต่อพฤติกรรมทาง
สังคมของมนุษย์ เพราะเป็นแรงผลักเพื่อช่วยให้มนุษย์มีชีวิต
อยู่รอด และมนุษย์ทุกคนล้วนพยายามดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อให้
ตนเองได้รับการตอบสนองทางด้านร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก
โดยแรงผลักที่เกิดจากความต้องการทางกายนี้เรียกว่า “แรงขับ
(Drive)”
65
- 4. พฤติ ก รรมของมนุ ษ ย ์ ไ ม ่ ว ่ า จะเป ็ น พฤติ ก รรมที่ เ ป ็ น
กิริยาสะท้อนหรือพฤติกรรมเจตนา ล้วนเป็นไปเพื่อรักษาสภาพ
ร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลทั้งสิ้น กระบวนการดังกล่าวนี้เรียก
ว่า กระบวนการโฮมิโอสเตซิส (Homeostasis) ซึ่งเป็นกระบวน
การที่จะน�ำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ ในการตอบ
สนองความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของตนเองในระดับต่อ ๆ ไป โดยใน
ขั้นตอนนี้มนุษย์ได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ขึ้น และการเรียนรู้
ดังกล่าวถือว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่เกิด
จนตาย ถึงแม้ว่าการเรียนรู้บางประการของมนุษย์อาจเกิดขึ้นโดย
บังเอิญ แต่การเรียนรู้จ�ำนวนมากของมนุษญ์ก็เกิดขึ้นจากความ
ตั้งใจ ดังนั้น การท�ำความเข้าใจในธรรมชาติของการเรียนรู้ของ
มนุษย์ จึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่งส�ำหรับนักพัฒนาสังคม เพราะ
จะน�ำไปสู่การสร้างเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสาร การควบคุม
สภาพแวดล้อมให้เป็นไปในทิศทางที่พึงประสงค์ และการพัฒนา
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ประสบความส�ำเร็จ จากการศึกษา
พบว่า มีนักคิดจ�ำนวนมากได้เสนอแนวคิดเรื่องการจ�ำแนกประเภท
ของการเรียนรู้ของมนุษย์ไว้ ดังมีสาระส�ำคัญ ๆ พอสรุปได้ดังนี้
การเรียนรู้จากเงื่อนไขของสิ่งเร้า
การเรียนรู้จากเงื่อนไขของสิ่งเร้า เป็นการเรียนรู้ที่มนุษย์
ได้รับมาตั้งแต่เกิด เป็นไปโดยอัตโนมัติและไม่มีเงื่อนไข การเรียนรู้
ประเภทนี้เป็นการเรียนรู้ที่มนุษย์ได้รับมาจากพันธุกรรม เช่น
อาการจามเนื่องจากรู้สึกฉุน รสเปรี้ยวท�ำให้น�้ำลายไหล ความเย็น
66
- 5. ท�ำให้เส้นเลือดตีบ การหดมือกลับทันทีเมื่อสัมผัสกับไฟ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งเร้า
ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ล้วนมิได้ปรากฏขึ้น
ตามล�ำพัง ในขณะเดียวกันการที่จิตใจของมนุษย์สามารถรับรู้
สิ่งเร้าได้เป็นจ�ำนวนมาก ก็ส่งผลท�ำให้สิ่งเร้าบางชนิดที่มีลักษณะ
เป็นกลาง มิได้น�ำมาซึ่งปฏิกิริยาสะท้อนแต่อย่างใด ในขณะที่มี
สิงเร้าบางชนิดน�ำมาซึงกิรยาสะท้อนกลับของบุคคลได้อย่างไม่มเี งือนไข
่ ่ ิ ่
Pavlov (1849-1936) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียคนส�ำคัญ
ได้ท�ำการศึกษาทดลองเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
กับพฤติกรรมของสุนัขที่เกิดจากการเรียนรู้บางประการ และได้
เสนอแนวคิดเรื่อง “การวางเงื่อนไขแบบพาฟลอฟ (Pavlovian
Conditioning/Classical Conditioning)” โดย Pavlov กล่าวสรุป
ว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับพฤติกรรมของ
สุนัข กล่าวคือ เป็นผลของการเรียนรู้จากเงื่อนไขของสิ่งเร้าทั้งสิ้น
(Todes, 2002; Pavlov, 1927)
การเรียนรู้เงื่อนไขของผลกรรม
นักคิดในส�ำนักนี้มีความคิดว่า การกระท�ำของมนุษย์ก่อ
ให้เกิดผลบางประการ ไม่ว่าจะเป็นการกระท�ำที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม โดยพฤติกรรมที่ท�ำให้เกิดผลบางประการนี้
ตามคติความเชื่อแบบไทย เรียกว่า “กรรมวิบาก” (Operant) และ
ผลที่เกิดจากกรรมวิบากเรียกว่า “วิบาก” หรือผลกรรม (Conse-
quence/Effect) ความสัมพันธ์ระหว่างกรรมวิบากกับวิบาก
67
- 6. บางประเภทเกิดขึ้นและถูกก�ำหนดโดยธรรมชาติ แต่บางประเภท
ก็เกิดขึ้นจากการกระท�ำของมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างกรรม
วิบากและผลกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น อาจอยู่ในรูปของระบบกลไก
ต่าง ๆ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม หรือกฎหมาย
ต่าง ๆ ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่มักผูกพันกันจนกลาย
เป็นระบบที่ซับซ้อน ภายในระบบประกอบด้วยความสัมพันธ์
ระหว่างกรรมวิบากและผลกรรมในระดับย่อย ๆ ลงไปตามล�ำดับ
โดยผลกรรมหนึ่ง ๆ อาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ใน
ขณะเดียวกันพฤติกรรมหนึ่ง ๆ ก็อาจก่อให้เกิดผลกรรมขึ้นได้
หลายอย่างเช่นกัน โดยมนุษย์เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
กรรมวิบากและผลกรรมอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา
และพฤติกรรมของบุคคลมักเกิดขึ้นจากการวางเงื่อนไขของกรรม
วิบากนั่นเอง (Operant Conditioning/Instrumental Conditioning)
ประเภทของผลกรรมมีมากมาย ทั้งที่เป็นที่ต้องการของ
บุคคลและไม่ต้องการ ผลกรรมจึงจ�ำแนกออกได้ 2 ประเภท ๆ แรก
ได้แก่ ผลกรรมทางบวก หรือที่เรียกว่า “การเสริมแรง (Reinforce-
ment)” ส่วนประเภทที่ 2 ได้แก่ ผลกรรมที่บุคคลไม่ต้องการ เรียกว่า
“การลงโทษ (Punishment)” โดยการแรงเสริม (Reinforcer)
หมายถึง สิ่งที่ท�ำให้พฤติกรรมของบุคคลเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก ๆ
ดังนั้น พฤติกรรมของบุคคลล้วนอยู่ใต้เงื่อนไขของการเสริมแรง
และเงื่อนไขของการลงโทษทั้งสิ้น โดยบุคคลจะเรียนรู้เงื่อนไข
ต่าง ๆ เหล่านี้จากการวางเงื่อนไขกรรมวิบากของธรรมชาติ หรือ
บุคคลส�ำคัญรอบ ๆ ตัว เช่น สมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือ
68
- 7. ญาติพี่น้อง และเงื่อนไขที่บุคคลเรียนรู้นี้จะเป็นสิ่งที่คอยควบคุม
พฤติ ก รรมของบุ ค คลในทั น ที ที่ เ กิ ด การเรี ย นรู ้ ขึ้ น และจะท� ำ
หน ้ า ที่ ค วบคุ ม พฤติ ก รรมของบุ ค คลไปโดยตลอด จนกว ่ า จะ
เกิดการเรียนรู้เงื่อนไขใหม่ ๆ ที่ขัดกับเงื่อนไขเดิมที่เคยได้เรียนรู้มา
ก่อน
การเสริมแรง (Reinforcement) จึงเป็นปัจจัยที่ส�ำคัญ
มากในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม Skinner (1953)
ได้เสนอแนวคิดเรื่อง ทฤษฎีการเสริมแรงที่พัฒนามาจากแนวคิด
เรื่อง “กฎแห่งผลกรรม” (Law of Effect) ซึ่งเป็นกฎการเรียนรู้ที่
ส�ำคัญ และกฎดังกล่าวได้เคยถูกเสนอเป็นครั้งแรกโดยนักคิด
ชาวอเมริกันชื่อ Thorndike (1874-1949) ผู้มีความคิดว่า พฤติกรรม
ของมนุษย์ล้วนเกิดขึ้นตามกฎของผลกรรม พฤติกรรมใดที่กระท�ำ
แล้วท�ำให้ผู้กระท�ำพึงพอใจ บุคคลก็มีแนวโน้มที่จะกระท�ำพฤติกรรม
นั้น ๆ ซ�้ำอีก และพฤติกรรมใดที่ส่งผลลบต่อผู้กระท�ำ บุคคลก็มีแนว
โน้มที่จะยุติการกระท�ำนั้น ๆ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า วิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ นอกจาก
จะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของบุคคลแล้ว ยังเรียนรู้
จากตัวอย่างที่บุคคลได้พบเห็นและจากการบอกเล่าของบุคคล
อื่น ๆ ได้อีกด้วย ทั้งนี้การเรียนรู้จากแหล่งที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะ
เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง การเรียนรู้จากตัวอย่าง และ
การเรียนรู้จากการบอกเล่า ล้วนก่อให้เกิดระดับความเชื่อในความรู้
ที่แตกต่างกันไป โดยบุคคลจะเชื่อความรู้ที่ตนเองได้รับจาก
ประสบการณ์ตรงของตนเองมากที่สุด และเชื่อความรู้ที่เกิด
69
- 8. จากตัวอย่างที่พบเห็นเป็นอันดับรองลงมา ส่วนความรู้ที่ได้มาจาก
การบอกเลาของผอน บคคลจะพจารณาความนาเชอถอ (Credibility)
่ ู้ ื่ ุ ิ ่ ื่ ื
ของผู้บอกเป็นส�ำคัญ ซึ่งโดยทั่วไปความน่าเชื่อถือของผู้บอกจะ
เกิดจากความสอดคล้องกันระหว่างความรู้ที่ผู้บอกน�ำมาบอกเล่า
กับประสบการณ์ตรงของบุคคลนั้น ๆ โดยหากบุคคลพบว่า ค�ำบอก
ของบุคคลที่บอกนั้นได้รับการพิสูจน์ว่าจริงซ�้ำ ๆ และสอดคล้อง
ตรงกันกับประสบการณ์ของตน ผู้บอกเล่าก็จะได้รับความเชื่อถือ
มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และข้อมูลที่น�ำมาบอกเล่าก็จะได้รับการยอมรับ
เชื่อถือมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
การเรียนรู้ที่เกิดจากพฤติกรรมอัตโนวัติ (Autonomic
Response) หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการบังคับควบคุม
ของจิตใจ เช่น การเต้นของหัวใจ การท�ำงานของต่อมต่าง ๆ นับว่า
มีความสัมพันธ์กัน เช่น บุคคลที่เมื่อรู้สึกโกรธแล้วได้รับการเสริม
แรง ความรู้สึกโกรธนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้น จึงกล่าวได้ว่า การ
เรียนรู้ของพฤติกรรมอัตโนวัติ แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้เงื่อนไขผล
กรรมเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยตัวบุคคลหรือผู้เรียนไม่จ�ำเป็น
ต้องรู้ตัว และอาจเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หาก
กรรมวิบากใดท�ำให้เกิดผลกรรมใด การเรียนรู้ในผลกรรมนั้น ๆ ก็จะ
เกิดขึ้น และเงื่อนไขผลกรรมที่เรียนรู้นี้ก็จะเป็นสิ่งที่ท�ำหน้าที่ควบคุม
พฤติกรรมของบุคคลต่อไป
การเรียนรู้ผ่านภาษา
การเรียนรู้ด้านภาษา เป็นการเรียนรู้ที่มีความสลับซับซ้อน
70
- 9. และต้องอาศัยสมองที่มีสมรรถวิสัย (Competence) หรือมีความ
สามารถสูง แต่เดิมนักภาษาศาสตร์เชื่อว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้น
ที่สามารถเรียนรู้และใช้ภาษาได้ แต่จากการศึกษาทดลองของ
นักจิตวิทยาหลายคนในยุคต่อ ๆ มาก็พบว่า ลิงชิมแปนชีเป็นสัตว์
ที่สามารถเรียนรู้เรื่องภาษาและวิธีการสื่อสารได้ ซึ่งผลของการ
ศึกษาดังกล่าว ส่งผลให้สมมุติฐานที่ว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียว
ที่สามารถใช้ภาษาได้ถูกล้มล้างไป
องค์ประกอบที่ส�ำคัญของการเรียนรู้ผ่านภาษา ได้แก่
เสียง ความหมาย และไวยากรณ์ โดยความคิดที่จะสื่อสารกับ
ผู้อื่นคือการเริ่มต้นที่ส�ำคัญที่สุด โดยการเรียนรู้ความหมายของ
ภาษามี 2 ระดับ คือ ระดับความหมายเจาะจง ได้แก่ การใช้เสียง
แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจ�ำเพาะเจาะจง เช่น การใช้ชื่อแทนความ
หมายของสิ่งนั้น ๆ ดังนั้น การเรียนรู้ความหมายเจาะจงจึงเป็นการ
น�ำเสียงกับสิ่งที่มีความหมายมาจับคู่กัน ในลักษณะของ “การ
เชื่อมสัมพันธ์” (Associate) ระหว่างสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับเสียงชุดใด
ชุดหนึ่ง ส�ำหรับระดับความหมายทั่วไป หมายถึง การใช้เสียง
จ�ำแนกสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นประเภท เช่น เรียกสัตว์สี่เท้าที่มีนอว่า
แรด
ที่มาและธรรมชาติของความรู้
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา
ที่กล่าวถึงธรรมชาติของความรู้ นักคิดในส�ำนักญาณวิทยาเสนอ
วา ความรไมไดเ้ ปนเพยงความเชอหรอการคดเทานน แตความรประกอบ
่ ู้ ่ ็ ี ื่ ื ิ ่ ั้ ่ ู้
71
- 10. ด้วยเงื่อนไขส�ำคัญหลายประการ ได้แก่ 1) “ประพจน์” (Proposition)
ซึ่งหมายความถึง ข้อความที่กล่าวยืนยันในสิ่งนั้น ๆ ต้องจริง 2) ต้อง
เชื่อว่าจริง และ 3) ต้องมีพยานหลักฐาน (Evidence) ดังนั้น “ความ
รู้” จึงมี 2 ระดับ คือ รู้ในระดับอ่อน (Weak Sense) หมายถึง ความรู้
ที่ไม่แน่นอน กับความรู้ในระดับเข้มข้น (Strong Sense) คือความรู้ที่
ไม่มีทางผิดพลาด พ้นจากความสงสัย กลุ่มวิมตินิยม (Skepticism)
เชื่อว่า ความรู้ที่ปราศจากข้อสงสัยนั้นไม่มี ในขณะที่นักคิดบางกลุ่ม
เชื่อว่ามี ดังนั้น ความรู้ในประเด็นนี้จึงยังเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์และ
ถกเถียงกันต่อไป (Alston, 1998; Quinton, 2006)
ต้นก�ำเนิดของความรู้
ความรู้ของมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ได้มาโดยทาง
ประสาทสัมผัส นักคิดในส�ำนักญาณวิทยามีความเชื่อว่า ต้นก�ำเนิด
ของความรู้ที่ส�ำคัญประกอบด้วย
ประสบการณ์
ประสบการณ์ (Sense-experience) หมายถึง สิ่งที่บุคคล
รับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความรู้
ลักษณะนี้เป็นความรู้ที่บุคคลได้มาจากประสบการณ์ผ่านประสาท
สัมผัส เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อวัตถุภายนอกมากระทบกับประสาท
สัมผัสซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันไป นักประสบการณ์นิยม (Empiricism)
เชื่อว่าความรู้มีต้นก�ำเนิดมาจากประสบการณ์ของบุคคล และเรียก
ความรู้ชนิดนี้ว่า “Empirical Knowledge” หรือความรู้ที่สามารถ
ยืนยันข้อเท็จจริงได้ โดยประสบการณ์จะประกอบด้วยประสาท
72