More Related Content
Similar to 9789740331445 (20)
9789740331445
- 1. จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ๓ จังหวัดในเขตพื้นที่
อีสานใต้ตั้งอยู่บริเวณฝั่งใต้แม่น�้ำมูลลงไปถึงทิวเขาพนมดงรัก เนื่องด้วย
มีแม่น�้ำสายเล็กไหลผ่าน เช่น ล�ำน�้ำพลับพลา ล�ำน�้ำเตา กอปรกับมี
อาณาเขตติดต่อประเทศกัมพูชา ท�ำให้มีผู้คนชาวกัมพูชาเดินทาง
เคลื่อนย้ายไปมาและตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนตามบริเวณใกล้ฝั่งล�ำน�้ำ
ดังกล่าวมาตั้งแต่โบราณ ดังปรากฏร่องรอยชุมชนชาวกัมพูชาเก่าแก่
อายุตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
บทน�ำ
ภาพแผนที่ภาคอีสานแสดง ๓ จังหวัดในเขตพื้นที่อีสานใต้ (พื้นที่สีเทา)
ส่วนที่ติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา
ที่มา : คณะผู้เขียน ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕
สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตย
ประชาชนลาว
ราชอาณาจักรกัมพูชา
- 2. 2
บทน�ำ
เนื่องจากกลุ่มคนในแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขะแมร์
หรือแขมร์ หรือที่เรียกตนเองว่า “คแมลือ” ที่แปลว่าเขมรสูง (เรียกกลุ่ม
ชาวกัมพูชาที่อยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชาว่า “คแมกรอม” (เขมรต�่ำ))
และมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อาศัยปะปนร่วมด้วย เช่น ส่วย กูย เยอ
ลาว ศิลปวัฒนธรรมในแถบนี้จึงเป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยกลุ่ม
วัฒนธรรมหลากหลาย โดยมีวัฒนธรรมเขมรเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก
ที่เข้มแข็งมั่นคง
กล่าวเฉพาะวัฒนธรรมดนตรีในเขตพื้นที่อีสานใต้ที่เกี่ยวข้องกับ
วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แขมร์ มีทั้งมรดกวัฒนธรรมดนตรีที่สืบทอดจาก
บรรพบุรุษที่มาจากถิ่นเดิม และวัฒนธรรมดนตรีที่มีพัฒนาการขึ้นใน
แถบนี้ ซึ่งต่างมีความสัมพันธ์กับพิธีกรรมความเชื่อและการจัดงาน
ประเพณีของผู้คนในสังคมอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ดังเช่นวงดนตรี
ในพิธี “บ็องบ็อด” และ “มะม็วด”๑
พิธีรักษาอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง
โดยใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อ หรือวง “ตุ้มโมง” วงดนตรีดั้งเดิมที่ใช้บรรเลง
ในงานศพ
๑
ผู้เรียบเรียงหลายท่านในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เขียน
แตกต่างกัน เช่น มะม็วด มะม้วด มม็วด มม้วด มะม็วต แต่ส่วนใหญ่ใช้ค�ำว่า
“มะม็วด” ในหนังสือเล่มนี้จึงขอใช้ค�ำ “มะม็วด” ตลอดไป ยกเว้นการอ้างอิงจะ
ยังคงรูปแบบเดิมของผู้น�ำมาอ้างอิง
- 3. 3
บทน�ำ
นอกเหนือจากนี้ ดนตรีในวิถีชีวิตที่มีความส�ำคัญอีกมิติหนึ่ง คือ
ดนตรีและการขับร้องเพื่อความบันเทิงใจ มักจัดให้มีขึ้นในงานประเพณี
ตามวาระโอกาส หรือใช้ประกอบการละเล่นหลังจากเหน็ดเหนื่อยจาก
การงาน เช่น “แคแร็ต” งานประเพณีเดือน ๕ ช่วงวันสงกรานต์ ชาว
ไทยเชื้อสายเขมรถือเป็น “ตอมธม” หรือวันหยุดใหญ่ เดือนที่ชาวบ้าน
ต้องหยุดจากภาระงานต่าง ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและ
มีพิธีท�ำบุญที่วัด ซึ่งผู้คนในแถบนี้ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา วัด
จึงถือเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสถานที่จัดกิจกรรมงานบุญของชุมชน
โดยเมื่อถึงก�ำหนดงานบุญ ผู้อาวุโสจะจัดขบวนแห่ร้องร�ำท�ำเพลงไปทั่ว
ทั้งหมู่บ้าน เพื่อป่าวร้องให้ทุกคนร่วมใจไปท�ำบุญที่วัด ซึ่งภายในงาน
จะจัดให้มีการละเล่นสนุกสนานหลายประเภท ได้แก่ เจรียง ปี่พาทย์-
เขมร มโหรีเขมร อาไย แกวนอ และโดยเฉพาะ “กันตรึม” จะได้รับ
ความนิยมสูงสุด
ภาพพิธีโจลมะม็วด ณ บ้านดงมัน ต�ำบลคอโค อ�ำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
โดยคณะครูพูน สามสี
ที่มา : คณะผู้เขียน ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๙
- 4. 4
บทน�ำ
“กันตรึม”หรือ“โจ๊ะกันตรึม”วัฒนธรรมดนตรีและการขับร้อง
พื้นบ้านในกลุ่ม ๓ จังหวัดเขตพื้นที่อีสานใต้ มีความเชื่อและเล่าสืบ
ต่อมาว่าได้รับการถ่ายทอดจากขอมโบราณค�ำว่า“กันตรึม”สันนิษฐาน
ว่ามาจากเสียง “โจ๊ะ-ตรึม-ตรึม” ของกลองกันตรึม หนึ่งในเครื่องดนตรี
หลักของวง เวลาตีมีเสียง “โจ๊ะ ตรึม ตรึม” จึงเป็นไปได้ว่าอาจเรียกชื่อ
วงตามเสียงกลองดังกล่าว (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและ
จดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอ�ำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๒ : ๑๕๔) นอกจากนี้วงกันตรึม
ยังประกอบด้วยปี่อ้อ ๑ เลา ตรัวเอก ๑ คัน (เครื่องดนตรีประเภทสีที่
ใช้ในวงกันตรึม ลักษณะคล้ายซอด้วงและซออู้ของภาคกลาง) ขลุ่ย ๑
เลา ฉิ่ง ๑ คู่ และเครื่องก�ำกับจังหวะอื่น ๆ
การเล่นกันตรึมแต่เดิมไม่มีการฟ้อนร�ำ ภายหลังเมื่อมีผู้คิดน�ำ
การฟ้อนร�ำเข้าแสดงร่วมกับกันตรึมบทร�ำจึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง
เท่านั้น เพราะแท้ที่จริงการเล่นกันตรึมจะให้ความส�ำคัญแก่ผู้ร้อง เสียง
และความไพเราะของดนตรี กล่าวคือ ผู้ร้องฝ่ายชายและหญิงต้องมี
ลีลาและปฏิภาณโต้ตอบเป็นอย่างดี เสียงตรัวต้องไพเราะแจ่มใส เสียง
กลองกันตรึมมีความทุ้มหนัก และส�ำเนียงปี่อ้อต้องคมคายชัดเจน โดย
เสียงดนตรีทั้งหมดจะเล่นคลอกับเสียงผู้ร้อง
ลักษณะการเล่นกันตรึมในอดีต เจ้าภาพจะจัดให้เล่นบนบ้าน
โดยมีแขกหรือผู้ร่วมงานล้อมวงนั่งชมโดยรอบ ต่อมามีการพัฒนาปลูก
โรงแสดงหรือสร้างเวทียกพื้นสูงโดยเฉพาะ และจัดให้ผู้เล่นนั่งเป็นวง
อยู่กลางเวที
ภาษาที่ใช้ร้องประกอบการเล่นกันตรึม คือ ภาษาถิ่นกัมพูชา ซึ่ง
เป็นภาษาที่ผู้คนในแถบนี้ใช้สื่อสารในชีวิตประจ�ำวัน ส่วนเพลงร้องได้
รับอิทธิพลจากเพลงปฏิพากย์ของกัมพูชา เช่น เพลงปรบเกอย อาไย
- 5. 5
บทน�ำ
อมตูก เจรียง บทร้องไม่นิยมร้องเป็นเรื่องราว หากแต่ศิลปินมักคิด
บทร้องให้เหมาะสมกับงานนั้น ๆ หรือร้องบทเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เช่น บท
เกี้ยวพาราสี บทพรรณนา บทร�ำพึงร�ำพัน ฯลฯ สะท้อนให้เห็นการ
ด�ำรงชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ทั้งการประกอบอาชีพ การเลือกคู่ครอง
ตลอดจนลัทธิความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายเขมร
หากศึกษาวิวัฒนาการวงกันตรึมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจะพบว่า
กันตรึมมีวิวัฒนาการตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพราะแต่
เดิมมีส่วนสัมพันธ์กับพิธีกรรมความเชื่อและงานประเพณีในเขตพื้นที่
อีสานใต้อย่างแนบแน่น เช่น บรรเลงประกอบการเซ่นสรวงในพิธีทรง
เจ้าเข้าผี แต่ปัจจุบันนอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศความศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเสียงดนตรีในพิธีกรรมนั้นๆกันตรึมยังขยายบทบาทการรับใช้สังคม
เพื่อความบันเทิงทั่วไปทั้งงานมงคลและงานอวมงคลอีกด้วย
ในปัจจุบันวงดนตรีและเพลงลูกทุ่งครองตลาดความนิยมจาก
ประชาชน เป็นเหตุให้ศิลปินต้องปรับรูปโฉมกันตรึมตามกระแสสังคม
โดยรับอิทธิพลวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าผสมผสาน มุ่งเน้นความ
สนุกสนานและความพอใจของผู้ฟังเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรี
ท่วงท�ำนอง บทร้อง รวมถึงการแต่งกาย
ด้านเครื่องดนตรี แต่เดิมกลองกันตรึมใช้หนังงูขึ้นหน้า ต่อมา
ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ผ้าใบ สายซอเปลี่ยนจากสายไหมเป็นสายลวด
คันชักซอเปลี่ยนจากหางม้าเป็นเส้นเอ็น หรือติดตั้งระบบไฟฟ้าเข้ากับ
ตรัวเพื่อเพิ่มขีดความดังของเสียง ทั้งยังน�ำเครื่องดนตรีสมัยใหม่เข้า
ประสมวง เช่น กลองชุด ทอมบา อิเล็กโทน กีตาร์เบส กีตาร์ไฟฟ้า
บทเพลงที่ใช้เล่นเน้นความบันเทิงใจ จังหวะเร็วลีลาเร้าอารมณ์
ทั้งยังน�ำเพลงลูกทุ่งหรือหมอล�ำเล่นสลับเพื่อไม่ให้ผู้ฟังเบื่อหน่าย การ
แสดงมีทั้งเต้นและร�ำ การแต่งกายเปลี่ยนจากชุดพื้นเมืองเป็นนุ่ง
- 6. 6
รองศาสตราจารย์ ดร.ข�ำคม พรประสิทธิ์
กระโปรงสั้น เรื่องที่ใช้แสดงเป็นเรื่องวัยรุ่นหนุ่มสาว รวมถึงภาษาที่ใช้
เปลี่ยนไปตามสภาพสังคม วงกันตรึมที่นิยมในปัจจุบันจึงเป็นกันตรึม
ประยุกต์ ซึ่งได้พัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจบันเทิง สนองตอบความ
ต้องการตลาดผู้ฟังและการด�ำรงอาชีพของศิลปิน
อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มศิลปินและผู้ฟังจ�ำนวนไม่น้อยที่ยังเล่น
และนิยมฟังกันตรึมในแบบแผนดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันจุดมุ่งหมายและ
โอกาสเล่นกันตรึมสามารถสรุปได้ ๓ ประการ คือ ประการแรก เป็น
การเล่นตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ของผู้คนในท้องถิ่น ประการที่
สอง เป็นการเล่นเพื่อเฉลิมฉลองในงานมงคลต่าง ๆ ประการสุดท้าย
เป็นการเล่นเพื่อรักษาและส่งเสริมศิลปะพื้นบ้านไม่ให้สูญหาย กล่าว
ได้ว่า “กันตรึมเป็นวัฒนธรรมที่แสดงเอกลักษณ์และวิถีชีวิตผู้คนใน
ท้องถิ่นอีสานใต้ได้เป็นอย่างดี”
วัฒนธรรมการบรรเลงกันตรึม
กันตรึมเป็นวัฒนธรรมการแสดงดนตรีของชาวไทยเชื้อสายเขมร
กันตรึมมี ๒ ความหมาย คือ ความหมายแรกหมายถึงกลอง ซึ่งใช้
บรรเลงคู่กับการเจรียง(ร้อง)ความหมายที่สองหมายถึงวงดนตรี เครื่อง
ดนตรีหลัก ๆ ในวงกันตรึมประกอบด้วยกลองกันตรึม ซอ (ตรัว) ปี่อ้อ
ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลองกันตรึม เครื่องดนตรีที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของวงกันตรึม
มีลักษณะคล้ายโทน หุ่นท�ำด้วยไม้หรือดินเหนียว ขึงหน้ากลองด้วย
หนังสัตว์หรือผ้าใบ ที่มาของชื่อกลองมาจากเสียงที่ตีดังขึ้นคล้ายค�ำว่า
“กันตรึม” กลองกันตรึมท�ำหน้าที่ควบคุมจังหวะของวง สุ้มเสียงของ
กลองกันตรึมท�ำให้เกิดความรู้สึกเร้าใจ สร้างความสนุกสนาน นอกจากนี้
- 8. 8
รองศาสตราจารย์ ดร.ข�ำคม พรประสิทธิ์
- โจ๊ะ - - กัน ติง - เทิ่ง
ครูบุญถึง ปานะโปย (สัมภาษณ์, ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๙) ศิลปิน
กันตรึม จังหวัดบุรีรัมย์ อธิบายถึงเสียงที่เกิดจากการตีกลองกันตรึม
ว่ามีจ�ำนวน ๓ เสียงหลัก อันได้แก่
เสียง “โจ๊ะ” คือ เสียงตีที่ขอบกลองโดยไม่ใช้มืออุดที่ก้นกลอง
เสียง “ครึ่ม” คือ เสียงที่ตีแล้วปล่อยกลางหน้ากลอง
เสียง “ติง” คือ เสียงตีที่กึ่งกลางของหน้ากลองโดยใช้มืออุดที่
ก้นกลอง
ครูค�ำเรียบ สุทันรัมย์ ผู้เชี่ยวชาญการตีกลองกันตรึม กล่าวว่า
“กลองกันตรึมนั้นมีหลายเสียง แต่เสียงที่ใช้อยู่เป็นประจ�ำมีเสียงโจ๊ะ
กัน ติง เทิ่ง” (ค�ำเรียบ สุทันรัมย์, สัมภาษณ์, ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๙)
ตัวอย่างเสียงหน้าทับที่ใช้ตีประกอบการเล่นกันตรึมของครู
ค�ำเรียบ สุทันรัมย์ ดังนี้
เสียง “โจ๊ะ” คือ เสียงตีที่ขอบกลองโดยไม่ใช้มืออุดที่ก้นกลอง
เสียง “กัน” คือ เสียงแตะที่ขอบกลองเบา เป็นเสียงขัดขณะตี
หน้าทับ
เสียง “ติง” คือ เสียงตีที่กึ่งกลางของหน้ากลองโดยใช้มืออุดที่
ก้นกลอง
เสียง “เทิ่ง” คือ เสียงตีที่กึ่งกลางของหน้ากลองโดยไม่ใช้มืออุด
ที่ก้นกลอง
- 9. 9
วัฒนธรรมการบรรเลงกันตรึม
แบบที่ ๑ - โจ๊ะ - - ติงโจ๊ะ - ครึ่ม
แบบที่ ๒ - โจ๊ะ - - กันติ๊ง - เทิ่ง
ทั้งนี้การอธิบายเสียงของกลองเป็นเรื่องการเรียนรู้เฉพาะตน
ของศิลปิน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันในการถ่ายทอดเสียง
เช่น มี ๓ เสียงบ้าง ๔ เสียงบ้าง ดังที่ปรากฏในหนังสือกันตรึมเล่มนี้
เนื่องจาก “กลองกันตรึม” เป็นเครื่องดนตรีหลักของ “วงกันตรึม”
โอกาสในการแสดงจึงปรากฏทั้งในงานมงคลเช่นงานบวชงานแต่งงาน
งานขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ งานอวมงคล ตลอดจนการบรรเลงประกอบพิธี
โจลมะม้วดซึ่งเป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ (คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.,
๒๕๔๑ : ๔๐๑)
ตัวอย่างภาษากลองกันตรึมของจังหวัดบุรีรัมย์
แบบที่ ๑ - โจ๊ะ - - คะครึม - ครึม
แบบที่ ๒ - โจ๊ะ - - - กัน - ตรึม
ตัวอย่างภาษากลองกันตรึมของจังหวัดสุรินทร์
- 10. 10
รองศาสตราจารย์ ดร.ข�ำคม พรประสิทธิ์
นอกจากนี้การบรรเลงวงกันตรึมในบางพื้นที่ของจังหวัดศรีสะเกษ
ใช้กลองกันตรึมประสมวงจ�ำนวน ๔ ใบ โดยเพิ่มกลองใบที่ขึงหน้ากลอง
ตึงกว่ากลองกันตรึมทั่วไป ๑ ใบ เมื่อบรรเลงจะมีเสียงดังคล้ายกับค�ำว่า
“ป๊ะ” และอีก ๑ ใบ คือกลองที่มีหน้ากลองหย่อนกว่า เมื่อตีจะออก
เสียงเป็น “ทั่ง” ดังตัวอย่างกระสวนจังหวะกลองของระบ�ำกะโน้บ
ติงต็อง๓
ต่อไปนี้
จังหวะนับ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑
จังหวะฉิ่ง - ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ
จังหวะกลอง - ป๊ะ ป๊ะ ทั่ง ป๊ะ ป๊ะ ทั่ง ป๊ะ ป๊ะ ทั่ง ป๊ะ ป๊ะ ทั่ง
๓
ระบ�ำกะโน้บติงต็อง หมายถึง ระบ�ำตั๊กแตนต�ำข้าว
ภาพครูพูน สามสี ขณะตีกลองกันตรึม
ที่มา : คณะผู้เขียน ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๙