More Related Content
Similar to 9789740333487 (20)
9789740333487
- 1. ๑
ภาษาไทยได้รับค�ำในภาษาต่างประเทศมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ
ย้อนหลังไปอย่างน้อยก็ถึงสมัยสุโขทัย ดังจะเห็นได้จากศิลาจารึกของ
พ่อขุนรามค�ำแหง ซึ่งใช้ค�ำจากภาษาบาลี-สันสกฤตปนอยู่กับค�ำไทยแท้
ค�ำชี้แจงหลักการจัดท�ำและวิธีใช้พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๕๔ [๑] แสดงให้เห็นว่า ภาษาไทยมีค�ำที่รับมาจากภาษาเขมร
จีน ชวา ญวน ญี่ปุ่น ตะเลง (มอญ) เบงกาลี ปาลิ (บาลี) เปอร์เซีย
โปรตุเกส ฝรั่งเศส มลายู ละติน สันสกฤต อังกฤษ อาหรับ และฮินดี
บรรดาค�ำภาษาไทยที่เรารับจากภาษาต่างประเทศมาใช้ทั้งในการพูดและ
การเขียนนั้น มีชื่อเรียกโดยรวมว่า ค�ำยืม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อวิชาการด้านต่าง ๆ เจริญและขยายตัวมากขึ้น รัฐบาลไทยได้จัดตั้ง
คณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสร้างค�ำยืมหรือบัญญัติค�ำใหม่ ๆ ขึ้นในภาษา
ไทยส�ำหรับใช้ในวงวิชาการโดยเฉพาะ ค�ำยืมที่สร้างหรือบัญญัติขึ้นอย่าง
เป็นทางการนี้เรียกว่า ศัพท์บัญญัติ วิธีการยืมค�ำหรือการบัญญัติศัพท์
ประวัติของการยืมค�ำและ
การบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษ
- 2. 2
ในภาษาไทยมี ๒ วิธี คือ ทับศัพท์ และสร้างค�ำขึ้นใหม่ การทับศัพท์นั้น
ท�ำโดยใช้ตัวอักษรภาษาไทยเขียนแทนค�ำในภาษาต้นทาง ถ้าเขียนโดย
ยึดรูปค�ำภาษาต้นทางเป็นหลัก ก็เรียกว่า ถอดอักษร แต่ถ้าเขียน
โดยยึดเสียงอ่านของค�ำภาษาต้นทางเป็นหลัก ก็เรียกว่า ถ่ายเสียง ส่วน
การสร้างค�ำขึ้นใหม่จะยึดความหมายของค�ำในภาษาต้นทางเป็นหลัก
แล้วคิดค�ำในภาษาไทยที่มีความหมายใกล้เคียงกับค�ำต้นทางขึ้นมาใช้
แทน
เนื่องจากศัพท์บัญญัติที่ใช้ในทางวิชาการของไทยมีที่มาจากภาษา
อังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ในบทนี้ผู้เขียนจึงขอน�ำเสนอประวัติโดยย่อของ
การยืมค�ำและการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษขึ้นใช้ในภาษาไทย
เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ดังนี้
๑.๑ การสร้างค�ำยืมในสมัยรัชกาลที่ ๔
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑)
คนไทยเริ่มรับค�ำในภาษาอังกฤษจ�ำนวนมากมาใช้ในภาษาไทย
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ หลัง
จากที่ไทยได้เปิดประเทศและท�ำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศ
มหาอ�ำนาจตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ซึ่งท�ำให้มี
ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อกับคนไทยและเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย
มากขึ้น
การรับภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยในช่วงนี้ ใช้วิธีทับศัพท์
เป็นส่วนใหญ่ สังเกตได้จากพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [๒] ซึ่งทรงใช้ค�ำว่า เอเชนต์ (agent) กันโบ๊ต
- 3. 3
(gun boat) และ มินิต (minute) เป็นต้น หรือจากหนังสือ นิราศ
ลอนดอน ของหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร ณ อยุธยา) [๓]
ซึ่งแต่งในโอกาสที่ท่านเป็นล่ามในคณะราชทูตไทย ไปเข้าเฝ้าพระราชินี
วิกตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ ดังค�ำกลอนตอนหนึ่งว่า
ตะวันชายบ่ายประมาณสักโมงเศษ จ�ำจากเขตกรุงไทยมไหศวรรย์
ฝ่ายอังกฤษตัวดีที่กัปตัน ให้ช่วยกันถอนสมอจะจรลี
เอนชะเนียนายจักรก็ศักดิ์สิทธิ์ ใส่ไฟติดน�้ำพลั่งดังฉี่ฉี่
สะกรูหันผันพัดในนัทที เรือก็รี่เร็วคว้างไปกลางชล
(ค�ำที่ขีดเส้นใต้ไว้คือค�ำทับศัพท์)
๑.๒ การสร้างค�ำยืมในสมัยรัชกาลที่ ๕
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓)
ในรัชกาลที่ ๕ นี้ การรับภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยยังคงใช้
วิธีการทับศัพท์ เช่นเดียวกับในรัชกาลที่ ๔ ดังจะเห็นได้จากพระราช-
กระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่ง
(จากเอกสารอ้างอิง [๔] หน้า ๗๑) ว่า
“ให้มาประชุมที่หอมิวเซียมในวันขึ้น ๑ ค�่ำเดือน
๘ ปฤกษาด้วยเรื่องที่จะจัดการรักษาด่านเมืองตาก
ตรวจข้อบังคับนายด่านซึ่งพระยาสุจริตรักษาท�ำ แล
ตรวจกฎหมายโปลิศซึ่งได้ร่างขึ้นไว้ในที่ประชุมเคาน์ซิล
แต่ครั้งก่อน”
- 4. 4
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยนี้การรับค�ำในภาษาอังกฤษมาใช้ใน
ภาษาไทยได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งคือมีการน�ำค�ำในภาษาบาลี-สันสกฤต
มาใช้แทนค�ำทับศัพท์บางค�ำในภายหลัง วิธีการนี้มีเล่าไว้ในบันทึกของ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ([๔] หน้า ๗๘)
ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ค�ำภาษาสังสกฤตที่เอามาใช้เป็นชื่อ เช่น โทรเลข
และไปรษณีย์นั้น เป็นของใหม่ เมื่อแรกมีโทรเลขเรียกชื่อ
ตามภาษาฝรั่งว่าเตเลกราฟ แต่แปรไปเป็นตะแล็บแก๊บ
ไปรษณีย์เมื่อกงสุลอังกฤษยังเป็นเจ้าของเพราะส่งหนังสือ
ไปต่างประเทศทางเมืองสิงคโปร์และฮ่องกงใช้ตั๋วตรา
ของสิงคโปร์มีอักษร B พิมพ์เพิ่มความหมายว่าบางกอก
ใช้กันแต่พวกฝรั่ง ก็เรียกกันตามภาษาอังกฤษว่าโปสต์
เรียกตั๋วตราว่าแสตมป์”
ส่วนศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทยโดยใช้ค�ำไทยแท้ก็เริ่มมี
ขึ้นบ้าง เช่น
lighthouse = กระโจมไฟ pawnshop = โรงรับจ�ำน�ำ
raincoat = เสื้อฝน shipyard = อู่เรือ
(เอกสารอ้างอิง [๕] หน้า ๒๖-๓๔)
- 5. 5
๑.๓ การสร้างค�ำยืมในสมัยรัชกาลที่ ๖
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘)
วิธีการรับค�ำจากภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยยังคงเหมือนกับ
ในรัชกาลก่อนหน้านี้ คือ ใช้ค�ำบาลี-สันสกฤตและค�ำไทยแท้เป็นศัพท์
ในภาษาไทยมากขึ้น แทนที่จะทับศัพท์อย่างเดียว ตัวอย่างของค�ำ
ภาษาอังกฤษที่บัญญัติเป็นค�ำในภาษาไทยโดยไม่ทับศัพท์ในรัชกาลนี้คือ
balloon = ลูกสวรรค์ carbon paper = กระดาษถ่าน
cartoon = ภาพล้อ gum = หมากฝรั่ง
typewriter ribbon = ผ้าพิมพ์
(เอกสารอ้างอิง [๕] หน้า ๒๖-๓๔)
freedom = เสรีภาพ
United States of America = สหรัฐอเมริกา
(เอกสารอ้างอิง [๖])
ในรัชสมัยนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้าง
ค�ำยืมจ�ำนวนมากขึ้นใช้แทนค�ำในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ
ทรงสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๕๙ นั้น พระองค์
ได้พระราชทานค�ำศัพท์ใหม่ที่ทรงสร้างขึ้นเพื่อใช้ในกิจการมหาวิทยาลัย
เช่น ศาสตราจารย์ (professor) ปาฐก (lecturer) ปริญญา (degree)
คณะ (faculty) คณบดี (dean) วิศวกรรม (engineering) สถาปนิก
(architect) (เอกสารอ้างอิง [๕] หน้า ๑๙๒)
- 6. 6
๑.๔ การสร้างค�ำยืมในสมัยรัชกาลที่ ๗
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗)
วิธีการรับค�ำในภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ในภาษาไทยในรัชสมัยนี้
มีทั้งการทับศัพท์และการใช้ค�ำในภาษาไทย เช่นเดียวกับในรัชกาลที่ ๕
และ ๖ ยกตัวอย่างของศัพท์ใหม่ในรัชกาลนี้เช่น
bill = บิล cigar = ซิการ์
meter = มิเตอร์ plug = ปลั๊ก
torpedo = ตอร์ปิโด
(เอกสารอ้างอิง [๕] หน้า ๒๒-๒๕)
bomb = ลูกแตก horse-power = แรงม้า
leaflet = ใบปลิว powdered milk = แป้งนม
tobacco pipe = กล้องยาเส้น
(เอกสารอ้างอิง [๕] หน้า ๒๖-๓๔)
หลังการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว
รัฐบาลได้จัดตั้ง ราชบัณฑิตยสถาน ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อให้ท�ำ
หน้าที่ท�ำนุบ�ำรุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติในส่วนที่เป็นวิชาการ
ควบคู่กับกรมศิลปากรซึ่งท�ำหน้าที่อย่างเดียวกันนี้ในส่วนที่เป็นการ
ปฏิบัติการ [๗] ต่อมารัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานแรกที่กล่าวถึง
คือ ราชบัณฑิตยสถาน ท�ำหน้าที่บัญญัติศัพท์วิชาการเป็นภาษาไทย
ส�ำหรับใช้ในราชการ
- 7. 7
๑.๕ การบัญญัติศัพท์ภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ ๘
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๙)
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้ง
คณะกรรมการพิจารณาบัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้นคณะหนึ่ง และได้
มอบหมายให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (ซึ่งต่อมา
ได้รับสถาปนาเป็น พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์-
ประพันธ์) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ด�ำเนินการร่วมกับ
ผู้แทนกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง [๘] นับเป็นครั้งแรกใน
ประเทศไทยที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยได้รับการจัดตั้งขึ้น
อย่างเป็นกิจจะลักษณะ พ.ศ. ๒๔๘๕ จึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ
การบัญญัติศัพท์ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ ผลงานของคณะกรรมการ
คณะนี้ก็คือศัพท์บัญญัติในสาขาวิชาสาขาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์
แพทยศาสตร์ สถิติ อุตสาหกรรม จิตวิทยา ปรัชญา ฯลฯ ซึ่งภายหลัง
ได้พิมพ์เผยแพร่ในรูปของหนังสือบัญญัติศัพท์ของคณะกรรมการบัญญัติ
ศัพท์ [๙]
๑.๖ การบัญญัติศัพท์ภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ ๙
(ช่วงครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๘๙-ปัจจุบัน)
ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ราชบัณฑิตยสถานได้รับช่วงงานบัญญัติศัพท์
ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ มาท�ำแทน แต่ก็ท�ำได้ไม่
เต็มที่เพราะขาดทั้งงบประมาณและก�ำลังคนงานบัญญัติศัพท์ภาษาไทย
จึงด�ำเนินไปอย่างเชื่องช้า เมื่อถึง พ.ศ. ๒๕๐๔ คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง
- 8. 8
คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้น ตามที่ราชบัณฑิตยสถาน
เสนอแนะ [๘] คณะกรรมการชุดนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภายใน
ราชบัณฑิตยสถานเองและจากหน่วยงานภายนอกร่วมกันเป็นกรรมการ
และได้ท�ำงานทั้งที่เป็นการแก้ไขศัพท์ที่คณะกรรมการชุดเดิมท�ำไว้
และการบัญญัติศัพท์ในสาขาวิชาการสาขาต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นใหม่ ซึ่ง
ภายหลังได้พิมพ์เผยแพร่ในรูปของหนังสือ ศัพท์บัญญัติ อังกฤษ-ไทย
ไทย-อังกฤษ [๑๐]
ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ คณะรัฐมนตรีได้มีมติตั้ง คณะกรรมการบัญญัติ
ศัพท์วิทยาศาสตร์ ขึ้นมาช่วยแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการบัญญัติ
ศัพท์ภาษาไทย โดยรับงานบัญญัติศัพท์ทางด้านวิทยาศาสตร์มาท�ำ
ต่างหาก [๑๑]
ปัจจุบันราชบัณฑิตยสถานมีคณะกรรมการบัญญัติศัพท์วิชาการ
หลายสิบคณะซึ่งล้วนแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี งาน
บัญญัติศัพท์ของสถาบันนี้ครอบคลุมสาขาวิชาการจ�ำนวนมาก ทั้งทาง
ด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ซึ่งปรากฏออกมา
ในรูปของพจนานุกรมศัพท์บัญญัติทางด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องนอกจาก
นี้ ยังมีหน่วยงานราชการหน่วยอื่น ๆ และหน่วยงานเอกชนจ�ำนวนหนึ่ง
ที่เห็นความจ�ำเป็นของการสร้างศัพท์วิชาการใหม่ ๆ ขึ้นใช้ และได้
จัดตั้งคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาท�ำงานในสาขาวิชาการของตน
รายละเอียดของเอกสารที่เป็นผลงานการบัญญัติศัพท์ของหน่วยงาน
ต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เขียนจะน�ำเสนอในบทที่ ๖
- 9. 9
เอกสารอ้างอิง
๑. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ :
ราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๒๕๕๖.
๒. ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
(บรรณาธิการ). พระราชหัตถเลขาพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๐๖.
๓. หม่อมราโชทัย. นิราศลอนดอน. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา,
พิมพ์ครั้งที่ ๓, ๒๕๓๙ หน้า ๕.
๔. โสมทัต เทเวศร์. เกร็ดภาษาหนังสือไทย. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา,
๒๕๑๒ หน้า ๗๑.
๕. เกื้อกมล พฤกษประมูล. ศัพท์บัญญัติที่เกิดก่อนการตั้งคณะ
กรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยของราชบัณฑิตยสถาน,วิทยานิพนธ์
ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ, ๒๕๓๒, หน้า ๒๒-๒๕,
๒๖-๓๔, ๑๙๒.
๖. สัมภาษณ์นายกราชบัณฑิตยสถาน. วารสารราชบัณฑิตยสถาน.
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑, กรกฎาคม-
กันยายน ๒๕๑๘, หน้า ๕-๗.
๗. เจริญ อินทรเกษตร. มารู้จักกับราชบัณฑิตยสถาน. วารสาร
ราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ปีที่ ๑ ฉบับ
ที่ ๑, กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๑๘, หน้า ๑๒-๑๖.
- 10. 10
๘. อดิศักดิ์ ทองบุญ. งานท�ำต�ำรา. วารสารราชบัณฑิตยสถาน.
กรุงเทพฯ:ราชบัณฑิตยสถาน,ปีที่๒ ฉบับที่๒,ตุลาคม-ธันวาคม
๒๕๑๙, หน้า ๔๑-๔๓.
๙. บัญญัติศัพท์ของคณะกรรมการบัญญัติศัพท์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
พระจันทร์, ๒๔๙๙.
๑๐. ศัพท์บัญญัติ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตย-
สถาน, พิมพ์ครั้งที่ ๗, ๒๕๓๒.
๑๑. สุจิตรากลิ่นเกษร.บัญญัติศัพท์-ศัพท์บัญญัติ.วารสารราชบัณฑิตย-
สถาน. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๔, เมษายน-
มิถุนายน ๒๕๒๑, หน้า ๓๗.