More Related Content Similar to อบรม E-commerce [พื้นฐานการตลาดออนไลน์] (20) อบรม E-commerce [พื้นฐานการตลาดออนไลน์]1. ชั่วโมงที่ 1 - ปรับพื้นฐานเทคโนโลยี
ชั่วโมงที่ 2-3 - การตลาดออนไลน์
1
เช้าวันที่ 1
3. การตลาดออนไลน์ ทำอย่างไร/ทำไม?
3
Plan - Do - Check - Action cycle
เมื่อเปิดร้านออนไลน์หรือออฟไลน์ (ที่มีอยู่แล้วก็ตาม)
1. วางแผน - ทำความรู้จักลูกค้าในหลายมิติ เช่น ระดับรายได้ ความ
สนใจ วัย (Generations) และอื่นๆ
2. ลงมือ - เลือกกลุ่มเป้าหมายและเครื่องมือที่ใช้ทำการตลาดให้ตรง
กลุ่ม เช่น web, social, e-mail, อื่นๆ
3. ตรวจสอบ/วัดผล - วัดผลที่ได้เทียบกับความคุ้มค่าของเงินที่ลงทุนไป
4. แก้ไข - ปรับปรุงกระบวนการจากผลที่ได้รับ (feedback)
5. ลูกค้าในยุค (GENERATION) ต่างๆ
• Maturist / Builders ผู้สูงวัย (ก่อน 1945 / WW2)
Warren Buffet
• Baby Boomer (1945 - 1960)
Bill Gates - Microsoft
• Gen X (1961-1980) - digital immigrant
Larry Pages - Google
• Gen Y (1990-1999)
Mark Zuckerberg - Facebook
• Gen Z / Millennial (2000 - 2009) - digital native
• Gen Alpha (2010 - ?) - digital native & IoT
5
[ภาพจาก Wikipedia]
8. เราอยู่ในยุค "GEN ME?"
• ใครไม่เคยถ่าย Selfie บ้าง?
• เน็ตยิ่งเร็ว คนยิ่งอยากได้อะไร
ดังใจ ทันทีทันใด
• ความอยากที่จะแตกต่าง
(ปัจเจกชน - individual)
• Gen Me = หลงตัวเอง จริงหรือ?
8
10. พ้นยุค "การตลาดดิจิทัล" โดยเฉพาะแล้ว
• การตลาดทุกอย่างมีดิจิทัลแฝงอยู่หมด แยกไม่ออกว่าออนไลน์หรือออฟไลน์
• ลูกค้ามีพฤติกรรมใหม่ๆ เช่น Showrooming
• ผู้ขายต้องรับมือ OmniChannel ผสมผสานหลายช่องทางตั้งแต่รู้จัก ค้นหา
เปรียบเทียบ ตัดสินใจซื้อ รับสินค้า จนถึงแชร์ประสบการณ์เมื่อใช้แล้ว
• การรับ complain ลูกค้า เป็นโอกาส ไม่ใช่ปัญหา
• การจัดสรรทรัพยากรในการตลาด ดูที่ Customer Lifetime Value ไม่ใช่
ยอดขาย ณ ขณะนั้น ยกตัวอย่าง มือถือ + accessories, เครื่องชงกาแฟ (หรือ
printer ก็ได้) + consumables (capsule, หมึก, ฯลฯ)
• ออนไลน์ต้นทุนถูกและ (มีโอกาส) ได้ผลคุ้มกว่า (ถ้าสินค้า/วิธีการเหมาะสม)
• Social media เป็นเครื่องมือสำคัญของการตลาด(ออนไลน์) แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
มีเครื่องมืออื่นๆอีก
10
11. เครื่องมือทำการตลาดออนไลน์
• Web site - Search, Display (Banner), Mobile
(Responsive), Content
• Social media - Facebook, LINE, IG, Twitter, forum /
web board เช่น Pantip และอื่นๆ
• Video - YouTube, Facebook, -> LIVE!
• Advertorial - blog / review
• อื่นๆ
11
13. เว็บไซต์ (1) ทำไมยังต้องมี?
• Web is (not) dead - เว็บยังไม่ตาย
• เว็บเป็นเหมือน “ป้ายประกาศอย่างเป็นทางการของธุรกิจ” สร้าง
ความน่าเชื่อถือ และเป็นหลักในกรณีที่ Social media หรือเครื่องมือ
อื่นๆ เปลี่ยนแปลงความนิยมไป
• การโฆษณาทุกอย่างนอก Social media โยงมาที่เว็บ ทำให้สามารถ
วัดผลรวมได้
• web สามารถพัฒนาเองได้ จึงอาจทำให้มีความสามารถหรือลูกเล่น
ต่างๆ เป็นพิเศษได้
• ถ้ามีกำลังพอควรทำเว็บ (ถ้าไม่พออาจใช้แค่ social media ไปก่อน)
• แต่ต้องมีกระบวนการให้คนหาเจอและเข้าเว็บ (SEO)
13
?
14. • เรื่องของขนาดหน้าจอที่แตกต่าง เมื่อคนส่วนใหญ่ใช้มือถือเข้าเว็บเป็น
หลัก (มากกว่า 60-70%)
• จะทำแยก Desktop กับ Mobile (แต่ต้องคอยอัพเดททั้งสองเว็บ) หรือ
ทำแบบรวมแต่ปรับขนาดได้อัตโนมัติ (responsive) ดี?
• ถ้าแสดงผลบนมือถือไม่สวย Google จะหักคะแนนการค้นหา
(mobilegeddon)
• เนื่องจากอุปกรณ์ mobile ไม่รองรับ Adobe Flash และ Browser เช่น
Chrome ก็ทยอยเลิก ดังนั้นต่อไปห้ามใช้เด็ดขาด ถ้าใช้อยู่ให้รีบ
เปลี่ยนวิธีอื่นโดยเร็วที่สุด
14
เว็บไซต์ (2)
หน้าจอใหญ่หรือเล็กดี? มีปัญหา
17. • SEO (Search Engine Optimization) ไม่ใช่แค่ทำให้เว็บติดหน้าแรกของ
การ search ด้วย keyword คำใดคำหนึ่ง (เช่น "เลี้ยงเด็กทารก") แต่ทำยังไง
ให้เจอข้อมูลที่ตรงใจในพริบตา จากการค้นหาเป็นเรื่องราวหลายๆ คำที่ตอบ
โจทย์หรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ทันที (เช่น "เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กทารก")
• ผู้ใช้สนใจการแก้ปัญหาในมุมที่ตัวเองต้องการมากกว่าโฆษณาผลิตภัณฑ์ของ
เรา จึงต้องหาที่แทรกลงไปสื่อสารในเนื้อหา (content) ที่ลูกค้าสนใจ ไม่ใช่แค่
banner หรือหน้าโฆษณา
• ซึ่งนำไปสู่การตลาดที่อิงเนื้อหาสาระหรือ content marketing ที่ต้องเข้ามา
ช่วยในการทำ SEO ด้วย เพื่อให้ครอบคลุม keyword ที่หลากหลายได้มาก
ที่สุด เช่นบทความ รีวิวต่างๆ
17
เว็บไซต์ (3)
ทำยังไงให้คนหาเจอและเข้าเว็บ
19. ประชากรไทยประมาณ 67 ล้านคน เข้าถึง Social media ประมาณ...
• Facebook (มากกว่า 30 ล้านคน)
• LINE (มากกว่า 30 ล้านคน)
• Instagram (ประมาณ 1-2 ล้านคน)
• Twitter (น้อยกว่า 1 ล้านคน)
• Web board เรื่องทั่วไป แต่มีแยกห้องเฉพาะ (เช่น Pantip) หรือเว็บ
เฉพาะทาง (เช่น ThaiDphoto, Dek-D)
19
โซเชียลมีเดีย (1)
สถิติผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ของไทย
25. • สื่อสารสองทาง ผู้ใช้คุยกันเองและกับแบรนด์เจ้าของสินค้า/บริการได้โดยตรง
• ต้องใช้ให้ถูกวิธี มีความน่าสนใจ โต้ตอบรวดเร็วทันใจ มีวุฒิภาวะ ระวังเกิด
ดราม่า
• ผู้ใช้คุยกันเองเป็นหลัก แบรนด์ต้องหาช่องทางหรือวิธีแทรกตัวเข้าไปเรียกร้อง
ความสนใจ บางสื่อก็มีช่องทางที่แตกต่างกันจัดไว้ให้ เช่น Facebook (ads,
promoted post, ...), LINE (Line@, Official account, Line Pay), Pantip
(SR - sponsored review) เป็นต้น หากเข้าไม่ถูกช่องอาจเกิดปัญหาตามมาได้
• คาดหวัง engagement หรือการติดตาม มีปฏิสัมพันธ์สม่ำเสมอ และนำไปสู่
การสร้างความเชื่อถือของแบรนด์ และการขายสินค้าหรือบริการในที่สุด
มากกว่าจำนวนยอดคนที่เห็นหรือกด Like, Follow
25
โซเชียลมีเดีย (2) ลักษณะการสื่อสาร
26. คาดกันว่า Chat และ Chatbot (โปรแกรมที่สามารถ Chat คุยกับผู้ใช้ได้)
จะเป็น platform ที่มีความสำคัญต่อไปถัดจาก Facebook
คำถามคือ อะไรจะมา?
• Facebook Messenger
• LINE
• WhatsApp
• WeChat, Snapchat, Telegram, อื่นๆ ?!?
[ไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศในโลกเท่านั้นที่ใช้ LINE เป็นหลัก]
26
โซเชียลมีเดีย (3) WHAT'S NEXT?
29. • YouTube มีมานาน ค้นหาเจอง่าย ทำ Channel เฉพาะของ
แบรนด์ได้ ทำ LIVE (ถ่ายทอดสด 360 องศา) ได้
• Facebook มาใหม่มาแรง ดูได้เร็วจากใน Facebook เองเลย
แชร์ต่อง่าย แต่ค้นหายากกว่า ฝังในเพจของแบรนด์เลยได้
ทำ LIVE (ถ่ายทอดสด) ได้
• สองยักษ์ใหญ่นี้กั๊กกันอยู่ จะให้ดีอาจต้องทำทั้งสองที่
• 5-10 วินาทีแรกสำคัญมาก ถ้าไม่น่าสนใจพอคนจะ skip เลิกดู
29
วิดีโอ (2) ฝากไว้ที่ไหนดี?
32. • บทความหรือวิดีโอเชิงรีวิว แนะนำการเลือกซื้อเลือกใช้ หรือ
ประสบการณ์จากการใช้สินค้า/บริการ
• จ้างเขียนก็ได้ แต่ต้องน่าเชื่อถือตามจริงและตามสมควร ไม่ใช่
อวยไส้แตก ซึ่งผู้เขียนแต่ละคนก็ต้องรักษาเครดิตของตัวเองด้วย
• ใช้ผู้รู้หรือคนที่ผู้คนทั่วไปสนใจฟังและเชื่อถือ คนดัง ดารา ฯลฯ
(influencer)
• มีค่าใช้จ่ายและวิธีบริหารความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป
32
ADVERTORIAL (1)
33. • เป็นการทำ content marketing อย่างหนึ่ง คือพูดในเรื่องหรือมุม
มองที่ลูกค้าหรือผู้ใช้ผู้บริโภคสนใจ เช่นการใช้งานจริง ไม่ใช่หน้า
โฆษณาที่บอกแต่คุณสมบัติเด่นหรือภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เท่านั้น
• ต้องนำเสนอให้น่าสนใจติดตาม มีศิลปะการเล่าเรื่อง จับประเด็นมา
เล่า หลีกเลี่ยงประเด็นที่อาจทำให้เกิดปัญหา (ถ้าทำได้)
• อาศัยความสามารถเฉพาะตัว และความน่าเชื่อถือของผู้นำเสนอ เช่น
blogger ค่อนข้างมาก จึงต้องคัดผู้ผลิตเนื้อหาให้ถูกคนถูกเรื่องว่า
เป็น "ตัวจริง" ในเรื่องนั้นๆ
33
ADVERTORIAL (2)
38. 1. ขอรายชื่ออีเมล์หรือให้สมัคร (Opt-in ไม่ใช่ไปซื้อมา)
2. ขออนุญาตส่ง / ยืนยันรายชื่อ กันความผิดพลาด (Double Opt-in)
3. เขียนหัวข้อเรื่อง (subject) ให้น่าสนใจ
4. จัดหน้าตาให้สวยเหมือนนิตยสาร
5. ต้องมีวิธียกเลิก (Unsubscribe)
38
E-MAIL MARKETING 4 ขั้นตอน
39. • เป็นวิธีทำตลาดออนไลน์ที่มักถูกมองข้าม ทั้งๆที่ความจริงยังได้ผลดีอยู่ สามารถวัดผล
ได้แน่นอนและมีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยต่ำไม่แพ้วิธีอื่นๆ
• สมมติเรามีรายชื่อลูกค้าอยู่ในมือแล้ว การส่งอีเมล์ไปหา ให้ส่ง 1 ฉบับต่อลูกค้า 1
ราย (เหมือนการทำ mailmerge ในโปรแกรมชุดออฟฟิศ) ห้ามส่งทีเดียวถึงหลายคน
(ถึงแม้จะ cc หรือ bcc ก็ตาม) เพราะลูกค้าคนหนึ่งจะได้รายชื่อลูกค้าคนอื่นๆ ในหัว
อีเมล์ไปด้วย ซึ่งดูไม่ดีอย่างแรง เหมือนไม่ให้เกียรติผู้รับ
• ถ้ามีรายชื่อไม่มากเช่นไม่กี่สิบราย อาจส่งจากโปรแกรมรับส่งอีเมล์ทั่วไปได้ แต่ถ้าส่ง
จำนวนมากในเวลาใกล้เคียงกัน เช่นนับร้อยหรือพันชื่อ อาจโดนผู้ให้บริการเมล์หรือ
เน็ตบล็อกไม่ให้ส่งได้เพราะกลัวไปสแปมคนอื่น หรือส่งไปได้ถึงผู้รับแล้วก็อาจถูก
สงสัยและโดนคัดทิ้งหรือตีตกถังสแปมได้ ควรใช้ผู้ให้บริการรับส่งอีเมล์โดยเฉพาะ
เช่น mailchimp หรืออื่นๆ ซึ่งจะเตรียมระบบรองรับการส่งทีละมากๆ ได้ นอกจากนี้ยัง
สามารถติดตามและวัดผลได้ชัดเจน เช่น ผู้รับได้รับกี่คน เปิดดูกี่คน เปิดดูตอนกี่โมง
ดูแล้วคลิก link จุดไหนบ้างในหน้าจดหมาย ฯลฯ เพื่อนำมาปรับปรุงหน้าตาอีเมล์
ฉบับต่อๆ ไปให้โดนใจลูกค้ามากขึ้น
39
E-MAIL MARKETING (1)
44. • ห้ามส่งอีเมล์ไปตามรายชื่อที่ไม่ได้สมัคร เช่นซื้อชื่อมาเฉยๆ เพราะอาจ
เกิดทั้งกรณีส่งไม่ถึงเพราะชื่อนั้นไม่มีจริง (กรอกข้อมูลผิดหรือปิดไป
แล้ว) หรือส่งถึงคนที่ไม่อยากได้ ทำให้รำคาญจนฟ้องเจ้าของเซิร์ฟเวอร์
ให้ขึ้นบัญชีดำว่าเราเป็น spam หรืออีเมล์ที่ไม่ได้ร้องขอ (unsolicited
e-mail) จะเสียชื่อและอาจทำให้ส่งอีเมล์ไปหาใครๆ อื่นได้ยากไปด้วย
ถึงแม้เจ้าตัวรายอื่นจะยินดีรับก็ตาม
• วิธีที่ถูกต้องให้ผู้รับทำการ opt-in คือสมัครขอรับข้อมูลเข้ามาเอง จาก
การรวบรวมรายชื่อในอีเวนท์ จากการสมัครหน้าเว็บ หรืออื่นๆ
• วิธีที่ดีที่สุดคือ Double opt-in โดยเมื่อได้รายชื่อที่ยินยอมรับอีเมล์มา
แล้ว อย่างแรกให้ส่งอีเมล์ไปตามนั้นเพื่อให้เจ้าของเมล์ตัวจริงยืนยันอีก
ครั้ง (กันคนอื่นเอาชื่อมาสมัครแทน หรือการคีย์ข้อมูลผิดของเราเอง)
44
E-MAIL MARKETING (2)
50. • ตามหลักสากลและ พรบ. คอมพิวเตอร์ จะต้องมีคำอธิบายว่า
อีเมล์นี้มาได้ไง เช่น “...ตามที่คุณได้สมัครสมาชิกไว้...” และมีปุ่ม
หรือบอกวิธีการให้ unsubscribe ได้ถ้าผู้รับไม่ต้องการ (บาง
บริการรับส่งอีเมล์ เช่น Mailchimp ทำให้อัตโนมัติ หรือจะทำเอง
แบบ manual ก็ได้)
• แนะนำ ควรมีปุ่มให้แชร์จากอีเมล์ไปยัง social media ได้
โดยตรง
50
E-MAIL MARKETING (4)
52. • วิธีการวัดผลและการคิดค่าโฆษณา - นอกจากกรณีจ้างผลิตเนื้อหา บทความหรือ
วิดีโอซึ่งมีการคิดค่าจ้างเป็นครั้งๆไปแล้ว การลงโฆษณาเนื้อหาที่สร้างขึ้น หรือ
แม้แต่รูปภาพ ข้อความสั้นๆหรือ link ในสื่อออนไลน์ก็มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
• วิธีคิดค่าโฆษณาของสื่อออนไลน์ มีหลายแบบ เช่น
• Cost per impression (CPM)/ per display หรือ per mille (พันครั้ง) คิด
เงินทุกครั้งที่แสดงโฆษณาให้เห็น (Google Ads, Facebook Adsใช้วิธีนี้)
• Cost per Click (CPC) / Action คิดทุกครั้งที่คนคลิกหรือทำตาม ไม่คลิกไม่
เสีย (Promoted post ของ Facebook ใช้วิธีนี้)
• Cost Per Period (CPP) เช่นคิดค่าวางแบนเนอร์ที่หน้าแรกของเว็บ 5,000
บาทต่อเดือน
• Cost per sale คิดจากยอดขายที่ได้จริง เช่น Affiliate program ของเว็บจอง
โรงแรม (กรณีนี้กลับกัน คือเราเป็นคนขาย เว็บนั้นๆ เป็นคนจ่าย)
52
การวัดผลและความคุ้มค่า (1)
53. การคิดความคุ้มทุน (Return on Investment - RoI) กำไรที่ได้ต่อค่า
โฆษณาที่จ่าย ถ้าคิดค่าใช้จ่ายต่อกำไรที่ได้แล้วไม่คุ้ม (กำไร < ค่า
โฆษณา) ต้องรีบหยุด แล้วเปลี่ยนวิธีใหม่ เช่น
• หาแหล่งโฆษณาเรียกคน (traffic source) ใหม่ๆ เพราะที่เก่าอาจ
ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายหรืออิ่มตัวแล้ว เช่นลงใน Facebook หรือ
Google โดยทดลองใช้งบทีละน้อยก่อน
• ปรับปรุงอัตราการซื้อจริง (conversion rate - คิดเป็น % ของคน
ที่ซื้อจริงจากคนทั้งหมดที่เข้ามาหน้าร้านออนไลน์) ให้มากขึ้น เช่น
ปรับปรุงหน้าตาเว็บ รูปและรายละเอียดสินค้า วิธีการสั่งซื้อฯลฯ
ให้โดนใจลูกค้ามากขึ้น
53
การวัดผลและความคุ้มค่า (2)