Contenu connexe
Plus de Jiraprapa Suwannajak
Plus de Jiraprapa Suwannajak (20)
อสมการ
- 1. การเขียนประโยคเกี่ยวกับจานวนให้เป็นประโยคที่ใช้ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
มาแล้ว เช่น ประโยค สามเท่าของจานวนจานวนหนึ่งเท่ากับหก เขียนได้เป็น 3x = 6 และ
ประโยค สองเท่าของจานวนจานวนหนึ่งมากกว่าสี่อยู่เจ็ด เขียนได้เป็น 2x – 4 = 7
นอกจากนี้ยังเคยรู้จักสัญลักษณ์ต่อไปนี้
< แทนความสัมพันธ์ น้อยกว่า หรือไม่ถึง
> แทนความสัมพันธ์ มากกว่า หรือเกิน
และ ≠ แทนความสัมพันธ์ ไม่เท่ากับ หรือไม่เท่ากัน
นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว เรายังใช้สัญลักษณ์ ≤ แทนความสัมพันธ์น้อยกว่าหรือ
เท่ากับ สัญลักษณ์ ≥ แทนความสัมพันธ์ที่มากกว่าหรือเท่ากับ เช่น
x ≤ 2 อ่านว่า x น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2
หมายถึง x < 2 หรือ x = 2
อีกนัยหนึ่งคือ x ไม่เกิน 2
และ a ≥ b อ่านว่า a มากกว่าหรือเท่ากับ b
หมายถึง a > b หรือ a = b
อีกนัยหนึ่งคือ a ไม่น้อยกว่า b
- 2. ในแต่ละอสมการอาจจะมีตัวเป็นหรือไม่มีตัวแปรก็ได้ ถ้าอสมการมีตัวแปร ตัวแปร
นั้นจะแทนจานวน ในกรณีที่ไม่ระบุเงื่อนไขของตัวแปร ให้ถือว่าตัวแปรนั้นแทนจานวน
จริงใดๆ
จากประโยคสัญลักษณ์ที่ใช้ในทางคณิตศาสตร์ข้างต้น ประโยคในข้อที่ 1 เป็น
ตัวอย่างของอสมการที่ไม่มีตัวแปร ส่วนประโยคในข้อ 2 ถึงข้อ 6 เป็นตัวอย่างของ
อสมการที่มีตัวเป็น อสมการดังกล่าวจึงเป็นตัวอย่างของ อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ตัวอย่างอื่นๆ ของอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เช่น
อสมการที่มีตัวแปรอาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงขึ้นอยู่กับค่าของตัวแปร เช่น
อสมการ x – 2 < 5 เป็นจริง เมื่อแทน x ด้วย 4 หรือ แทน x ด้วย -3 และไม่เป็นจริงเมื่อ
แทน x ด้วย 10 เรียกจานวนที่แทน x ในอสมการ x – 2 < 5 แล้วทาให้ x – 2 < 5 เป็นจริง
ว่า คาตอบของอสมการ x – 2 < 5
- 3. อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว อาจมีคาตอบได้หายลักษณะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
จงหาคาตอบของอสมการ a ≠ 30
วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน a ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่ไม่เท่ากับ 30 ใน a ≠ 30
จะได้อสมการเป็นจริง
ดังนั้น คาตอบของสมการ a ≠ 30 คือจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30
ตอบ จานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30
จงหาคาตอบของอสมการ x ≥ 7
วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน x ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 ใน X ≥ 7
แล้วจะได้อสมการที่เป็นจริง
ดังนั้น คาตอบของอสมการ x ≥ 7 คือ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7
ตอบ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7
จงหาคาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2
วิธีทา เนื่องจากเมื่อแทน m ด้วยจานวนจริงใดๆ ใน m + 1 < m + 2 แล้วจะได้อสมการ
ที่เป็นจริงเสมอ
ดังนั้น คาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2 คือจานวนจริงทุกจานวน
ตอบ จานวนจริงทุกจานวน
- 4. จงหาคาตอบของอสมการ z - 2 > z
วิธีทา เนื่องจากไม่มีจานวนจริงใดแทน z ใน z - 2 > z แล้วทาให้อสมการเป็นจริง
ดังนั้น ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบของอสมการ z - 2 > z
ตอบ ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ
ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นถึงอสมการ 3 แบบ ตามลักษณะคาตอบดังนี้
1) อสมการที่มีจานวนจริงบางจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 1 และ
ตัวอย่างที่ 2
2) อสมการที่มีจานวนจริงทุกจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 3
3) อสมการที่ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 4
คาตอบของอสมการ อาจแสดงให้เห็นโดยใช้กราฟบนเส้นจานวนแสดงจานวนจริงที่เป็น
คาตอบ ดังตัวอย่าง
1) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ m > 2 เป็นดังนี้
กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่า 2 ซึ่งเป็นคาตอบของ m < 2 เนื่องจาก
2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน 2 ไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากราฟ
ไม่รวมจุดที่แทน 2
2) กราฟแสดงคาตอบของสมการ w ≤ 3 เป็นดังนี้
กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ซึ่งเป็นคาตอบของ w
≤3
เนื่องจาก 3 เป็นคาตอบ จะเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับบนจุดที่แทน 3 ไว้ เพื่อ
แสดงให้เห็นว่ากราฟรวมจุดที่แทน 3
- 5. 3) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ -2 < x ≤ 5 เป็นดังนี้
กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มีค่ามากกว่า -2 แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ซึ่ง
เป็นคาตอบของ -2 < x ≤ 5
เนื่องจาก -2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -2 ไว้ เพื่อแสดง
ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -2 และเนื่องจาก -5 เป็นคาตอบจพเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับ
จุดที่แทน 5 ไว้ เพื่อแสกงว่ากราฟรวมจุดที่แทน 5
4) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ y ≠ -1
กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น -1 ซึ่งเป็นคาตอบของ y ≠ -1
เนื่องจาก -1 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -1 ไว้ เพื่อแสดง
ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -1
การแก้อสมการ คือ การหาคาตอบของสมการ ที่ผ่านมาเราแก้สมการโดยลองแทน
ค่าตัวแปรในอสมการ แต่อาจจะไม่สะดวกเมื่ออสมการมีความซับซ้อน เช่น เมื่อต้องการ
แก้อสมการ เราจะพบว่า เป็นการยากที่จะหาคาตอบของอสมการนี้โดยการลองแทน
ค่าตัวแปร
เพื่อความรวดเร็วในการแก้อสมการ เราจะใช้สมบัติการไม่เท่ากันในการหาคาตอบ
ได้แก่ สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน
- 6. ตัวอย่าง ถ้า 10 < 12 แล้ว 10 + 5 < 12 + 5
หรือ 15 < 17
ถ้า 25 ≤ 30 แล้ว 25 + 10 ≤ 30 + 10
หรือ 35 ≤ 40
เนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมายเช่นเดียวกับ
b ≥ a ด้วยดังนี้
1. x - 4 < 20
นา 4 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ x - 4 + 4 < 20 + 4
ดังนั้น x < 24
2. x + 15 > 10
นา -15 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ x + 15 + (-15) > 10 + (-15)
x + 15 - 15 > 10 - 15
ดังนั้น x > -5
- 7. 3. 30 + x ≤ 12
นา -30 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ 30 + x – 30 ≤ 12 - 30
ดังนั้น x ≤ -18
4. x - 12 ≥ -4
นา 12 มาบวกทั้งสองข้างอสมการ
จะได้ x - 12 + 12 ≥ -4 + 12
ดังนั้น x ≥ 8
จากตัวอย่างข้างต้น เราใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากัน ทาให้อสมการสุดท้าย
อยู่ในรูป x < c, x ≤ c หรือ x ≥ c ซึ่งคาตอบทุกคาตอบของอสมการสุดท้ายเป็นคอตอบ
ของอสมการแรก และคาตอบทุกคาตอบของอสมการแรกเป็นคาตอบของอสมการ
สุดท้าย ในกรณีนี้เรากล่าวว่า อสมการแรกสมมูล กับอสมการสุดท้าย และเมื่อสามารถ
หาอสมการที่สมมูลกับอสมการที่ต้องการหาคาตอบโดยการคานวณในแต่ ละขั้นตอน
ถูกต้องแล้วก็ไม่จาเป็นต้องตรวจคาตอบ
จากตัวอย่างข้างต้นจะได้อสมการที่สมมูลกันดังนี้
x - 4 < 20 สมมูลกับ x < 24
x + 15 > 10 สมมูลกับ x > -5
30 + x ≤ 12 สมมูลกับ x ≤ -18
x - 12 ≥ -4 สมมูลกับ x ≥ 8
อสมการบางอสมการไม่สามารถใช้สมบัติการบวกของการไม่ เท่ากันเพียงอย่าง
เดียวในการหาคาตอบ เช่น 8x > 24 ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้สมบัติการคูรของการไม่เท่ากัน
จึงจะสามารถหาคาตอบได้
- 8. ตัวอย่าง
1. ถ้า 5< 7 แล้ว 5 x 2 < 7 x 2 จะได้ 10 < 14
2. ถ้า 12 ≤ 15 แล้ว 12 x 3 ≤ 15 x 3 จะได้ 36 ≤ 45
3. ถ้า 20 < 30 แล้ว 20 x (-4) > 30 x (-14) จะได้ -80 > -120
4. ถ้า 100 ≤ 200 แล้ว 100 x (-5) ≥ 200 > (-5) จะได้ -500 ≥ -1,000
และเนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมาย
เช่นเดียวกับ b > b และ a ≥ b ด้วยดังนี้
เนื่องจากการหารด้วย c เมื่อ c ≠ 0 คือการคูณด้วย เราจึงใช้สมบัติการคูณของการ
ไม่เท่ากันในการแก้อสมการที่อยู่ในรูป cx < b หรือ cx ≤ b เมื่อ c และ b เป็นค่าคงตัว
และ c ≠ 0
สาหรับการแก้อสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เช่น x - 6 ≠ 28 และ 7x + 4 ≠ 25 เราจะ
ไม่ใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน แต่จะแก้
สมการเพื่อหาคาตอบ ซึ่งจะได้คาตอบของอสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เป็นจานวนทุก
จานวนยกเว้นจานวนที่เป็นคาตอบของสมการ
- 9. ในการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวก็สามารถทาได้ โดยมี
ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 วิเคราะห์โจทย์เพื่อหาว่าโจทย์กาหนดอะไรมาให้และให้หาอะไร
ขั้นที่ 2 กาหนดตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ให้หาหรือแทนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่โจทย์ให้หา
ขั้นที่ 3 เขียนอสมการตามเงื่อนไขในโจทย์
ขั้นที่ 4 แก้อสมการเพื่อหาคาตอบตามที่โจทย์ต้องการ
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบคาตอบที่ได้กับเงื่อนไขในโจทย์
ปัน ซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200 ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้า
ขวดเล็กราคาขวดละ 5 บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไร
มากกว่า 250 บาท อยากทราบว่าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด
- 10. ตรวจสอบ
ถ้าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่าง
น้อย 200 - 49 =.151 ขวด
ขายน้าขวดเล็ก 49 ขวด เป็นเงิน 5 x 49 = 245 บาท
ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด เป็นเงิน 8 x 151 = 1,208 บาท
ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245 + 1,208 = 1,453 บาท
คิดเป็นกาไร 1,453 - 1,200= 253 บาท
กาไร 253 มากกว่า 250 บาท ซึ่งเป็นไปจริงตามเงื่อนไขที่โจทย์กาหนด
ดังนั้น ปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด
ตอบ 49 ขวด
พิม มีเงินสะสมอยู่จานวนหนึ่ง วันหนึ่งพ่อของพิมให้เงินพิม
เป็นพิเศษ 600 บาท วันรุ่งขึ้นพิมซื้ออาหารให้แมวและนกที่เลี้ยงไว้เป็นเงิน 420 บาท พิม
รู้ว่ายังเหลือเงินอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่งของเงินของพิมและเงินที่พ่อให้ รวมกัน จงหาว่า
เดิมพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อยกี่บาท
- 11. ตรวจสอบ
ถ้าพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240 บาท
เมื่อรวมกับเงินที่พ่อให้ 600 บาท พิมจะมีเงินรวมกันอย่างน้อย 260 + 600 = 860 บาท
หลังจากซื้ออาหารให้แมวและนก 420 บาท
จะเหลือเงินอีกอย่างน้อย 840 – 450 = 420 บาท เงิน 420 บาทไม่น้อยกว่า 1/2 ของ 840
บาท ซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์
ดังนั้น พิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240บาท
ตอบ 240 บาท
EX แก้วอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง วันแรกอ่านได้ 2/5 เล่ม วันต่อมาอ่านได้อีก 25 หน้า
รวมสองวันอ่านได้มากกว่า ครึ่งเล่มจงหาว่าหนังสือเล่มนี้มีจานวนหน้าอย่างมากกี่หน้า
วิธทำ
ี ื ้
จำกโจทย์ ให ้ x แทนจำนวนหน ้ำของหนั งสอทังหมดเรำสำมำรถเขียนเป็ น
อสมกำรได ้ดังนี้
- 12. EXปัญญามีเหรียญบาท และเหรียญห้าบาท อยู่ในกระป๋องออมสินจานวนหนึ่ง เมื่อ
เหรียญเต็มกระป๋อง เขาเทออกมานับพบว่า มีเหรียญ บาทมากกว่า เหรียญ ห้าบาทอยู่ 12
เหรียญ นับเป็นจานวนเงินทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 300 บาทจงหาว่า มีเหรียญห้าบาทอยู่อย่าง
น้อยกี่เหรียญ
วิธีทา จากโจทย์ มีเหรียญ 2 ชนิดคือ เหรียญ 1 บาท และ 5 บาท เหรียญทั้งสอง เมื่อเอา
จานวนเหรียญ มาคูณกับค่าของเหรียญ ต้องมีค่าไม่น้อยกว่า คือ มากกว่าหรือเท่ากับ
300 เราให้ x แทนจานวนเหรียญ ได้ อสมการ ดังนี้
ดังนั้นเราจะได้ว่า
เหรียญ 1 บาท = 48 + 12 x 1 = 60 บาท
เหรียญ 5 บาท = 48 x 5 = 240 บาท
- 13. EX ถ้าสองเท่าของจานวนเต็มบวกจานวนหนึ่งมากกว่า 20 อยู่ไม่ถึง 6 จานวนดังกล่าว
เป็นจานวนใดได้บ้าง
วิธีทา จากโจทย์ ให้ x แทนจานวนเต็มบวก ได้สมการดังนี้
จานวนเต็มบวก ที่มีค่าน้อยกว่า 13
คือ 12 , 10 , 8 , 6 , 4 , 2
EX แม่ค้าต้องการบรรจุมะม่วงใส่ลัง ลังพลาสติกเปล่าแต่ละใบหนัก 2.5 กิโลกรัม
มะม่วงขนาดใกล้เคียงกันแต่ละผลหนัก0.3 กิโลกรัม เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายใน
การขนส่ง ต้องการบรรจุมะม่วงให้มากที่สุด แต่ต้องไม่หนักมากจนเกินไปจนเป็นปัญหา
ในการเคลื่อนย้าย จากประสบการณ์แม่ค้าพบว่าถ้าจะให้คุ้มค่าขนส่งโดยมะม่วงไม่
เสียหาย ต้องบรรจุมะม่วงให้แต่ละลังมีน้าหนักรวมกัน อย่างน้อยลังละ 19 กิโลกรัมแต่
ไม่เกิน 25 กิโลกรัมจงหาว่าแม่ค้า ควรบรรจุมะม่วงใส่ลังอย่างน้อยลังละอย่างมากลังละกี่
ผล
- 15. EX ป้องซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200 ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้าขวดเล็กราคาขวดละ 5
บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท อยาก
ทราบว่าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด
วิธีทา ให้ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขาย x ขวด
จะได้ว่า ป้องซื้อน้าขวดกลางมาขาย 200-x ขวด
ขายน้าขวดเล็กได้เงิน 5x บาท
ขายน้าขวดกลางได้เงิน 8(200-x) บาท
ขายน้าทั้งหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท
จะได้อสมการเป็น
5x + 8[200-x] – 1,200 > 250
5x + 1,600 - 8x -1,200 > 250
-3x + 400 > 250
-3x > 250 - 400
-3x > -150
x <
x < 50
ตรวจสอบ ถ้าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด
จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่างน้อย 200-49 = 151 ขวด
ขายน้าขวดเล็ก 49 ขวด เป็นเงิน 5 49 = 245 บาท
ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด เป็นเงิน 8 151= 1,208 บาท
- 16. ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245+1,208 = 1,453 บาท
คิดเป็นกาไร 1,453-1,200 = 253 บาท
กาไร 253 มากกว่า 250 บาทซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์
ดังนั้น ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด
ตอบ 49 ขวด