Contenu connexe Similaire à การปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Practice: EBP) 2551 (20) Plus de Utai Sukviwatsirikul (20) การปฏิบัติตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Practice: EBP) 25511. 3
สารบัญ
บทที่ 1. บทนํา (Introduction) 4
บทที่ 2. การตั้งคําถาม (Asking answerable question) 5
บทที่ 3. การคนหาหลักฐาน (Acquiring the evidence) 7
บทที่ 4. การประเมินหลักฐาน (Appraising the evidence) 13
สาเหตุของโรค (Etiology / Harm) 13
การพยากรณโรค (Prognosis) 14
การวินิจฉัยโรค (Diagnosis) 15
การรักษา / ปองกันโรค (Therapy / Prevention) 16
บททบทวนอยางเปนระบบ (Systematic reviews) 17
เศรษฐศาสตรสาธารณสุข (Economic analysis) 18
บทที่ 5. การประยุกตใชหลักฐาน (Applying the evidence) 19
บทที่ 6. การประเมินผลการใชหลักฐาน (Assessing outcome) 21
บทที่ 7. อภิธานศัพท (Glossary) 23
2. 4
บทที่ 1
บทนํา
คําจํากัดความของเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน (EBM)
EBM = กระบวนการการใชหลักฐานที่ดีที่สุดเทาที่มีอยูในปจจุบันเพื่อการตัดสินใจ
ดูแลรักษาผูปวย (Evidence-based medicine is the conscientious, explicit and
judicious use of current best evidence in making decisions about the care of
individual patients, David L Sackett)
ทําไมจึงตองรู EBM
ปจจุบันเปนยุคของการเกิดขอมูลขาวสารเปนจํานวนมาก (information explosion) มี
การศึกษาวิจัยใหมๆ มากมาย ความรูที่มีอยูในตําราอาจไมทันสมัย จึงมีความจําเปนที่จะตอง
รูวิธีการคนหาขอมูลและประเมิน นําหลักฐานที่ดีที่สุดเพื่อนําไปประยุกตใชกับผูปวย
ในบทตอๆ ไปจะเปนสาระสําคัญของขั้นตอนตามลําดับของ EBM โดยสวนการ
ประเมินหลักฐานจะแบงยอยออกเปนหลักฐานที่เกี่ยวกับการหาสาเหตุของโรคหรืออันตราย
ของปจจัย (Etiology/Harm) การวินิจฉัยโรค (Diagnosis) การพยากรณโรค (Prognosis) การ
รักษา/ปองกันโรค (Therapy/Prevention) และเศรษฐศาสตรสาธารณสุข (Health economics)
ขั้นตอนของ EBM (The 5 A’s of EBM)
1. A sk question : ตั้งคําถาม
2. A cquire evidence : คนหาหลักฐาน
3. A ppraise evidence : ประเมินหลักฐาน
4. A pply evidence : ประยุกตใชหลักฐาน
5. A ssess outcome : ประเมินผลการใชหลักฐาน
3. 5
บทที่ 2
การตั้งคําถาม
ขั้นตอนแรกของกระบวนการ EBM คือการตั้งคําถาม (Asking clinical question)
การตั้งคําถามเกี่ยวกับปญหาของผูปวยใหใชหลัก P I C O ดังนี้
1. ปญหา หรือ ผูปวย (P roblem or P atient) เชน ลักษณะทางคลินิกของผูปวย
2. สิ่งที่จะใหแกผูปวย (I ntervention) เชน การใหยาใหม หรือการใชวิธีการวินิจฉัยแบบใหม
3. สิ่งที่เปนตัวเปรียบเทียบ (C omparison intervention) เชน การไมใหยา หรือใหยาเดิม
4. ผลที่ตองการ (O utcome) เชน ประสิทธิผลที่เกิดขึ้น หรือความแตกตางที่ตองการ
องคประกอบ ขอแนะ ตัวอยาง
ปญหา หรือ ผูปวย
(P)
เริ่มดวยคําถามที่วา “ฉันจะบรรยายถึง
กลุมผูปวยที่มีลักษณะเหมือนผูปวยของ
ฉันอยางไร”
“ในผูปวยหญิงวัยหมดประจําเดือน
..…………………………..…….”
สิ่งที่จะใหแกผูปวย
(I)
ถามวา “สิ่งที่ฉันจะใหผูปวยคืออะไร” “........................การใหยา estrogen
....……………………………...”
สิ่งที่เปนตัวเปรียบเทียบ
(C)
ถามวา “ทางเลือกเดิมหรือทางเลือกอื่น
ที่ตองการเปรียบเทียบคืออะไร”
“...............เปรียบเทียบกับการไมให
estrogen ........................................”
ผลที่ตองการ
(O)
ถามวา “ผลที่ฉันตองการคืออะไร” หรือ
“มีผลแตกตางไปจากเดิมหรือไม”
“.…………………….... จะทําให
อัตราการเกิดมะเร็งเตานมของหญิง
ดังกลาวเปลี่ยนแปลงหรือไม”
ชนิดของคําถามที่พบในเวชปฏิบัติเปนสวนใหญไดแก
คําถามเกี่ยวกับสาเหตุของโรค (Etiology/Harm)
คําถามเกี่ยวกับการพยากรณโรค (Prognosis)
คําถามเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค (Diagnostic test)
คําถามเกี่ยวกับการรักษาหรือการปองกันโรค (Therapy or prevention)
คําถามเกี่ยวกับเศรษฐศาสตรสาธารณสุข (Health economics)
4. 6
ตัวอยางการตั้งคําถาม PICO (asking clinical question)
Domain Patient (P) Intervention (I) Comparison
(C)
Outcome (O)
Therapy
ในผูปวยที่เคย
เปน acute
M.I.
การใหยา
aspirin
เทียบกับการให
placebo
จะลดอัตราการเกิด
recurrent M.I. ได
ดีกวาหรือไม
Prognosis
ในผูปวย
ไตวาย
การทํา
hemodialysis
ที่บาน
เทียบกับการทํา
hemodialysis
ที่ รพ.
จะเพิ่ม life
expectancy ได
หรือไม
Diagnosis
ในผูที่สงสัย
เปน
coronary
disease
การใช exercise
ECHO
เทียบกับการให
exercise EKG
จะวินิจฉัยโรค
coronary artery
disease ไดดีกวา
หรือไม
Etiology /
Harm
ในหญิงวัย
หมดประจํา
เดือน
การให
hormone
replacement
therapy (HRT)
เทียบกับการไม
ให HRT
จะเพิ่มความเสี่ยง
ตอการเกิด CA
breast หรือไม
Economic
ในผูปวย
chronic renal
failure
การรักษาดวย
renal
transplant
เทียบกับการให
hemodialysis
จะคุมคาใชจายกวา
หรือไม
(cost- effective)
5. 7
บทที่ 3
การคนหาหลักฐาน
ขั้นตอนที่สองของกระบวนการ EBM คือการคนหาหลักฐาน (Acquiring evidence) ดังนี้
1. กําหนดคําสําคัญ (key words) จากคําถามที่ตั้งไว
เชน ชื่อโรคหรือภาวะของผูปวย (P) สิ่งที่จะใหกับผูปวย (I) ตัวเปรียบเทียบ (C)
และผลที่ไดรับ (O) นอกจากนี้ยังมีคําสําคัญอื่นๆ ไดแก domain ที่ตองการคนหา (etiology,
diagnosis, prognosis therapy, prevention, etc.) และรูปแบบการศึกษาตาง ๆ (cohort
studies, case-control studies, randomized controlled trial, systematic review, meta-
analysis) รายละเอียดจะกลาวตอไป
2. กําหนดแหลงขอมูลที่จะคนหา ซึ่งมีอยูหลายแหลงดังตัวอยางตอไปนี้
แหลงขอมูล ทางผานที่เขาถึง ขอดี ขอดอย
Cochrane Library http://gateway.ovid.co
m หรือผาน website
ของสถาบัน
มีบทความที่ทบ
ทวนอยางเปน
ระบบดีมาก
มีจํานวนเรื่องนอย
ตองเปนสมาชิก
Bibliographic
database
(MEDLINE)
www.pubmed.com มีบทความใหมที่
เพิ่งตีพิมพในวาร
สารตางๆ
ยังไมไดมีการทบ
ทวนหรือรวบรวม
อยางเปนระบบ
CATs (Critically
appraised topics)
www.ebem.org/cats/ เปนเรื่องที่มีผูทํา
การ appraise มา
แลว
มักจะ appraise เพียง
การศึกษาเดียว
TRIP (Turning
Research Into
Practice)
www.tripdatabase.co
m
มีเรื่องสรุปที่ผาน
การ กลั่นกรองแลว
ตองเปนสมาชิก
6. 8
3. วิธีการคนหา
สามารถคนหาขอมูลจาก internet ผาน websites ตาง ๆ มากมาย แตในที่นี้ จะ
กลาวถึงเฉพาะการคนหาจาก PUBMED และ OVID MEDLINE โดยยอเทานั้น
1. PUBMED เปนฐานขอมูลที่สรางโดย National Library of Medicine ของสหรัฐ
อเมริกา โดยรวบรวมบทความจากวารสารตาง ๆ ทั่วโลก เมื่อเราพิมพ www.pubmed.com
ลงในชอง address ของ web browser (Internet Explorer) จะนําไปสูดังรูปที่ 1
รูปที่ 1
Click ที่ Clinical Queries (ตรงลูกศรในรูปที่ 1) จะนําไปสูรูปที่ 2
รูปที่ 2
7. 9
เลือก category ที่ตองการ (ตรงลูกศรในรูปที่ 2) ไดแก therapy หรือ diagnosis หรือ etiology
หรือ prognosis ตอไปใหพิมพชื่อเรื่องที่ตองการใน Enter subject search แลว click ที่ Go
2. OVID MEDLINE : เนื่องจากการคนหาโดยวิธี PUBMED จะใหบทความจํานวน
มาก การคนหาดวยวิธีของ OVID MEDLINE จะไดบทความนอยกวาแตกรองใหตรงตาม
ความตองการไดมากกวา และตองคนหาผานสถาบันที่มีการสมัครสมาชิก OVID ไวแลว
ผูที่ใชเครื่องคอมพิวเตอรผาน server ของหองสมุดคณะแพทยศาสตร รพ.รามาธิบดี
(http://library.ra.mahidol.ac.th) ใหเขาที่ OVID จะนําไปสูรายชื่อฐานขอมูลตางๆ ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3
จะเห็นวามีฐานขอมูล 14 ฐาน หากตองการคนหามากกวา 1 ฐาน ให click ดานบนที่
select more than one database to search ซึ่งจะสามารถเลือกไดไมเกินครั้งละ 5 ฐาน
8. 10
เมื่อเลือกฐานแลว click ที่ click to begin search ดานซายมือ จะปรากฏดังรูปที่ 4
รูปที่ 4
พิมพเรื่อง (Medical subject Heading, MeSH) ที่ตองการในชอง Enter Keyword or
phrase และเลือก check box ใน Limit to ตามที่ตองการ แลว click ที่ปุม
อยางไรก็ตาม ผลการคนหาจะมีบทความจํานวนมาก ผูคนหาจึงตองกําหนดคําสําคัญ
ที่เกี่ยวของจากคําถามที่ตั้งไวที่ PICO เมื่อพิมพแตละคําและคนหาก็จะไดผลทีละครั้งที่บอก
ถึงจํานวนบทความที่คนได เมื่อนําแตละครั้งที่เกิดจากแตละคํามารวมกันจะเปนผลลัพธสุด
ทาย
คําสําคัญที่จะใชคนหาบทความ จะแตกตางกันไปตามลักษณะของบทความที่
ตองการคนหา เชน ตองการคนบทความดาน prognosis อาจมีคําสําคัญตอไปนี้ cohort
studies, prognosis, survival analysis เปนตน
9. 11
ตัวอยาง Ovid Medline Filters for Evidence-based Clinical Queries
ใหพิมพทีละบรรทัดตอไปนี้ในชอง Enter Keyword or phrase แลว click ที่ปุม
Domain : Therapeutics/Interventions Domain : Diagnosis
1 exp research design/
2 exp clinical trials/
3 comparative study/ or placebos/
4 multicenter study.pt.
5 clinical trial$1.pt.
6 random$.ti,ab.
7 (double blind$ or triple blind$3).ti,ab.
8 placebo$.ti,ab.
9 (clinical adj trial$1).ti,ab.
10 exp epidemiologic research design/
11 (controlled clinical trial or randomized
controlled trial).pt.
12 practice guideline.pt.
13 feasibility studies/
14 clinical protocols/
15 exp treatment outcome/
16 or/1-15
1 exp "sensitivity and specificity"/
2 false negative reactions/ or false positive
reactions/
3 (sensitivity or specificity).ti,ab.
4 (predictive adj value$1).ti,ab.
5 (likelihood adj ratio$1).ti,ab.
6 (false adj (negative$1 or positive$1)).ti,ab.
7 (randomized controlled trial or controlled
clinical trial).pt.
8 double blind method/ or single blind
method/
9 practice guideline.pt.
10 consensus development conference$.pt.
11 random$.ti,ab.
12 random allocation/
13 (single blind$3 or double blind$3 or triple
blind$3).ti,ab.
14 or/1-13
10. 12
Domain : Etiology Domain : Prognosis
1 random$.ti,ab.
2 exp epidemiologic studies/
3 odds ratio/
4 cohort$.ti,ab.
5 (case$1 adj control$).ti,ab.
6 risk$.ti,ab.
7 (odds adj ratio$1).ti,ab.
8 causa$.ti,ab.
9 (relative$1 adj risk$).ti,ab.
10 predispos$.ti,ab.
11 (randomized controlled trial or
controlled clinical trial).pt.
12 exp risk/
13 practice guideline.pt.
14 case-control studies/
15 or/1-14
1 exp cohort studies/
2 prognosis/
3 exp mortality/
4 exp morbidity/
5 (natural adj history).ti,ab.
6 prognos$.ti,ab.
7 course.ti,ab.
8 predict$.ti,ab.
9 exp "outcome assessment (health care)"/
10 outcomes$1.ti,ab.
11 (inception adj cohort$1).ti,ab.
12 disease progression/
13 exp survival analysis/
14 or/1-13
พิมพเรื่องที่สนใจคนหาขอมูลเปนบรรทัดตอ ๆมา ซึ่งขึ้นอยูกับการกําหนด key word ที่เกี่ยว
ของกับโรคหรือภาวะที่กําลังคนหา ในชอง Enter Keyword or phrase แลว click ที่ปุม
บรรทัดสุดทายใหพิมพหมายเลขที่ปรากฏบวกกัน เชน 16+17 จะไดผลจํานวนขอมูลราย
งานสุดทายที่จะไปเลือกดูในรายละเอียดของแตละรายงาน
บรรทัดที่พิมพไวทั้งหมดเรียกวาเปน search strategy ซึ่งสามารถ save ไวเพื่อใชใหมไดกับ
โรคหรือภาวะอื่น ๆ ซึ่งจะมี option ให save ในหนาหลักของการคนหา แตตองสมัคร
สมาชิกเพื่อกําหนด username และ password ของตนเอง (ไมเสียคาใชจาย)
11. 13
บทที่ 4
การประเมินหลักฐาน
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับสาเหตุของโรค(Etiology) หรืออันตรายของปจจัย (Harm)
1. การศึกษามีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 คําถามการวิจัยชัดเจนหรือไม
ความชัดเจนของประชากรและกลุมตัวอยางที่ศึกษา ปจจัยที่สนใจ และผลที่เกิดขึ้น
1.2 กลุมผูปวยไดกําหนดไวชัดเจนและเปนกลุมที่คลายคลึงกันหรือไม
กลุมที่ศึกษาเปรียบเทียบกันควรมีความคลายคลึงกันในปจจัยตัวแปรตาง ๆ
1.3 การวัดปจจัยหรือสาเหตุกับผลที่เกิดขึ้นกระทําโดยวิธีเดียวกันในทั้ง 2 กลุมหรือไม
วิธีการไดมาของขอมูลหรือการวัดผลตางๆ เปนไปในลักษณะหรือวิธีการเดียวกัน
1.4 การติดตามผูปวยครบถวนและนานพอหรือไม มีการติดตามอยางนอยรอยละ 80
ของผูปวย และควรนานพอที่จะเกิดโรคตามธรรมชาติของโรค
1.5 ปจจัยหรือสาเหตุที่ศึกษามีความเชื่อมโยงที่เหมาะสมหรือไม ประเด็นนี้หมายถึง
เกณฑของการเกิดโรค ไดแก ปจจัยมากอนโรค เกิดโรคมากนอยขึ้นอยูกับระดับของ
ปจจัย มีความสอดคลองกับการศึกษาอื่น ๆ และ มีความสัมพันธเชิงชีววิทยา
2. ผลของการศึกษามีความสําคัญ (importance) หรือไม
พิจารณาจากความเสี่ยงที่คํานวณไดจากการศึกษา ไดแก relative risk (R.R.) จาก
cohort study หรือ odds ratio (O.R.) จาก case-control study โดยตองดูชวงแหงความเชื่อมั่น
(confidence interval or C.I.) วาครอบคลุมคา 1 หรือไม หากไมครอบคลุมแสดงวามีนัย
สําคัญทางสถิติ หรือปจจัยนาจะเปนสาเหตุของโรค แตถาครอบคลุม แสดงวาไมมีนัยสําคัญ
ทางสถิติ (ปจจัยไมนาจะเปนสาเหตุหรืออันตรายตอผูปวย)
ในบางครั้งอาจคํานวณหาคา NNH (number needed to harm) ซึ่งเปนจํานวนผูปวยที่จะ
เกิดอันตรายเพิ่มขึ้นอีก 1 คนหากมีปจจัยดังกลาว สูตรคํานวณคือ
NNH = [{PEER (OR – 1) } +1] / [PEER (OR – 1) x (1 – PEER)]
[PEER = patients’ expected event rate หรืออัตราการเกิดโรคหรืออันตรายในผูปวยที่ไมได
รับปจจัย]
12. 14
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับการพยากรณโรค(Prognosis)
1. การศึกษามีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 กลุมตัวอยางเปนตัวแทนที่ดีของผูปวยทั้งหมด มีการกําหนดเกณฑผูปวยที่นําเขา
และไมนําเขามาศึกษาอยางไร
1.2 ไดแกผูปวยทั้งหมดมีความรุนแรงของการปวยเทากัน ณ จุดที่ศึกษา ซึ่งควรเปนผู
ที่ปวยในระยะตนของโรค
1.3 มีปจจัยตัวแปรอื่นๆ ใกลเคียงกัน เชน มีอายุ เพศ โรคที่เกิดรวมดวย หากไมใกล
เคียงกันตองมีการปรับ (adjust) ดวยวิธีใดวิธีหนึ่ง
1.4 การติดตามผูปวยนานพอที่จะเกิดผลที่ตองการวัด เชนการหายหรือการตายจาก
โรค
1.5 การติดตามครบถวน อยางนอยไมควรต่ํากวารอยละ 80
1.6 การวัดผลเปนในลักษณะ “blind” โดยผูวัดไมทราบวาผูปวยถูกจัดอยูในกลุมใด
2. ผลของการศึกษามีความสําคัญ (importance) หรือไม
2.1. ความเสี่ยงของผลที่เกิด (risk of outcome) ตามระยะเวลาเปนอยางไร ซึ่งมี 3 วิธี
ดังนี้
-รอยละของผูปวยที่รอดชีวิตในระยะเวลาหนึ่ง
-มัธยฐานของการรอดชีพ เชน ระยะเวลาที่รอยละ 50 ของผูปวยที่ยังมีชีวิตอยู
-กราฟการรอดชีพที่ ณ จุดตางๆ ของเวลาจะมีสัดสวนของผูปวยที่ยังมีชีวิตอยู
2.2 คาที่คํานวณไดมีความแมนยํา (precision) เพียงไร โดยดูจากความแคบกวางของ
ชวงแหงความเชื่อมั่น (confidence interval) ถาแคบแสดงวามีความแมนยําสูง
13. 15
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับการการวินิจฉัยโรค (Diagnosis)
1. การศึกษามีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 มีการเปรียบเทียบกับวิธีตรวจที่เปนมาตรฐาน (“gold” or reference standard)
1.2 การเปรียบเทียบในขอ 1.1 เปนในลักษณะที่ blind (ไมทราบวาใครเปน/ไมเปน
โรค)
1.3 ผูปวยที่นํามาศึกษาควรมีระยะตางๆ ของโรคกระจายอยางเหมาะสม
1.4 มีการศึกษาแหลงอื่นที่ไดผลอยางเดียวกัน (reproducible)
2. ผลของการศึกษามีความสําคัญ (importance) หรือไม
พิจารณา accuracy ของ test ไดแก
2.1 sensitivity : สัดสวนของผูปวยที่สามารถตรวจพบได
2.2 specificity : สัดสวนของผูไมปวยที่สามารถตรวจพบได
2.3 predictive values : อํานาจการทํานายวาเปนโรคหลังทราบผลการตรวจ
2.4 likelihood ratio (L.R) : โอกาสที่จะพบผลการตรวจในกลุมที่เปนโรคตอกลุมที่
ไมเปนโรค
Disease present (gold std) Disease absent (gold std)
Test + a b
Test - c d
Sensitivity = a/(a+c) Specificity = d/(b+d)
Positive predictive value = a/(a+b) Negative predictive value = c/(c+d)
L.R. for positive test = {a/(a+c)}/{b/(b+d)}
L.R. for negative test = {c/(a+c)}/{d/(b+d)}
Prevalence (or pre-test probability) = (a+c) / (a+b+c+d)
14. 16
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับการรักษา/ปองกันโรค(Therapy/Prevention)
1. การศึกษามีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 คําถามวิจัยที่มีความชัดเจน
1.2 ผูปวยแตละคนไดรับวิธีการรักษาแบใดเปนไปโดยการสุม
1.3 ผูศึกษาไมทราบผลการสุม (randomized list concealed)
1.4 การติดตามผลไมควรต่ํากวารอยละ 80 ของผูปวย
1.5 การวิเคราะหผลเปนแบบ intention-to-treat (analyze as randomized)
1.6 หากเปนไปได ผูศึกษาและผูถูกศึกษาตางก็ไมทราบวาใครไดการรักษาวิธีใด
1.7 กลุมที่เปรียบเทียบกันไมคววรไดการรักษาอื่นๆเพิ่มเติมที่แตกตางกัน
2. ผลของการศึกษามีความสําคัญ (importance) หรือไม
2.1 ผลการศึกษามีนัยสําคัญทางสถิติหรือไม โดยพิจารณาที่ p-value (ปกติให <0.05)
2.2 ผลการศึกษามีนัยสําคัญทางคลินิกหรือไม พิจารณาที่ confidence interval (C.I.)
ของ ARR, RRR หรือ NNT ดังนี้
Control Experimental Control event rate (CER) = a/(a+c)
Event a b Experimental event rate (EER) = b/(b+d)
No event c d ARR=CER–EER; RRR=(CER – EER) / CER
ถา C.I. ของ ARR ไมครอบคลุมคา 0 หรือ RRR ไมครอบคลุมคา 1 แสดงวามีนัยสําคัญ
ทางสถิติ (เนื่องจากคา ARR เปน absolute จึงพิจารณาครอมคา 0 สวน RRR เปน relative จึง
พิจารณาครอมคา 1)
สวน NNT เปนจํานวนผูปวยที่ตองใชวิธีการ experimental เพื่อใหปองกันการเกิดผลเสีย
ได 1 คน มีคาเทากับ 1/ARR
15. 17
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับบททบทวนอยางเปนระบบ(Systematic reviews)
1. บทบททวนนี้มีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 บททบทวนมีความสอดคลองกับคําถามที่ตั้งไวหรือไม
1.2 การทบทวนไดผสมผสานวิธีการคนหาขอมูลเอกสารอยางกวางขวางเพียงพอหรือไม
1.3 ผูทบทวนไดพิจารณาความแมนตรง (validity) ของแตละเอกสารขอมูลอยางไร
1.4 ผลการทบทวนมีนัยสําคัญทางสถิติและทางคลินิกหรือไม มีความสอดคลองกันอยาง
ไร
2. บททบทวนนี้มีความสําคัญ (importance) หรือไม
2.1 มีผลของแตละการศึกษาปรากฏในรายงานหรือไม และมีการนํามารวมกันคํานวณ
ใหมหรือไม
2.2 ผลของแตละการศึกษามีความแตกตางกันมากหรือไม หากตางกันเปนเพราะเหตุใด
2.3 ผลสรุปรวมของการศึกษาทั้งหมดมีความแมนยํา (precision) เมื่อดูจาก confidence
interval
2.4 หากมีการวิเคราะหกลุมยอยแยกตางหาก มีการแปลผลอยางระมัดระวังอยางไร
3. บททบทวนนี้สามารถนําไปประยุกตใชในผูปวยของเรา (Applicability) ไดหรือไม
3.1 ลักษณะผูปวยในบททบทวนเปนกลุมที่เปรียบเทียบไดกับผูปวยของเราหรือไม
3.2 ความเปนไปไดในการนําไปใชเมื่อพิจารณาดานคาใชจายและการยอมรับของผูปวย
เปนอยางไร
3.3 มีการรายงานผลขางเคียงหรือผลที่เกิดขึ้นในดานอื่น ๆ หรือไม
3.4 การสรุปไดอิงสิ่งที่คนพบในการศึกษาตางๆ ที่นํามาสรางบททบทวนนี้หรือไม
16. 18
การประเมินหลักฐานเกี่ยวกับเศรษฐศาสตรสาธารณสุข (Economic analysis)
1. บทความนี้มีความแมนตรง (valid) หรือไม
1.1 บทความมีการเปรียบเทียบระหวางยุทธวิธีทางเศรษฐศาสตรอยางนอย 2 วิธีหรือไม
1.2 บทความเปนการศึกษาแบบใด cost-effectiveness, cost-benefit หรือ cost-utility
1.3 การวัด cost กับ outcome กระทําไดถูกวิธีหรือไม
1.4 มีการประเมินความไมแนนอนอยางไร เชน ทํา sensitivity analysis หรือไม
2. ผลการศึกษานี้มีความสําคัญ (importance) หรือไม
2.1 ผลตางของ cost กับ outcome เปรียบเทียบแตละยุทธวิธีเปนอยางไร
2.2 มีความแตกตางของ cost กับ outcome ในกลุมยอย (subgroup) หรือไม
2.3 การประเมินความไมแนนอน (sensitivity analysis) ทําใหผลเปลี่ยนแปลงไปอยางไร
3. ผลการศึกษานี้สามารถนําไปประยุกตใชในผูปวยของเรา (Applicability) ไดหรือไม
3.1 ประโยชนที่จะไดรับคุมกับคาใชจายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหรือไม
3.2 ผูปวยของเรานาจะไดรับผลเชนเดียวกับในการศึกษานี้หรือไม
3.3 คาใชจายในการรักษาจะใกลเคียงหรือเทากับการศึกษานี้หรือไม
17. 19
บทที่ 5
การประยุกตใชหลักฐาน
ประเด็นที่พิจารณา
6. ผูปวยของทานมีความเหมือนหรือคลายคลึงกับในรายงานการศึกษาหรือไม
6. ขนาดของผลที่เกิดขึ้นในผูปวยเปนเทาไร
สําหรับ Diagnostic test ใหเริ่มคิดจาก pre-test probability ดังนี้
Pre-test odds = (pre-test probability) / (1 – pre-test probability)
Post-test odds = pre-test odds x LR
Post-test probability = post-test odds (ost-test odds + 1)
สําหรับ Therapy
ใหประมาณการคา PEER (Patient’s Expected Event Rate)
หรือคา NNT (สําหรับผูปวยของทาน) = 1 / (PEER x RRR)
3. วิธีการรักษาหรือสิ่งที่จะใหกับผูปวยทําไดจริงหรือไมในสถานที่ของทาน
4. มีวิธีการหรือทางเลือกอื่นอีกหรือไม
5. ผลที่เกิดขึ้นจะเหมาะกับผูปวยของทานหรือไม
6. ผูปวยจะยอมรับวิธีการรักษาหรือสิ่งที่ทานจะใหหรือไม
19. 21
Glossary of Evidence-based Medicine
Absolute risk reduction (ARR) ดู treatment effects
Accuracy ความถูกตองของการวัด ในเรื่องการวินิจฉัยโรค จะมีคาเทากับ (true positive +
true negative) / (true positive + true negative + false positive + false negative)
Age standardization วิธีการปรับอัตราตางๆ ที่ตองการเปรียบเทียบกัน เชน อัตราปวย
อัตราตาย เพื่อลดผลจากความแตกตางในการกระจายของอายุระหวางประชากรกลุมตางๆ
(มีโครงสรางอายุที่แตกตางกัน)
Alpha error ดู error Type I
Alternative hypothesis ดู hypothesis
Analytic study การศึกษาเชิงวิเคราะหที่ตองการหาความสัมพันธระหวางตัวแปร เชน การ
หาปจจัยเสี่ยงของโรค อาจมีรูปแบบการศึกษาชนิด cross-sectional, cohort หรือ case-
control ก็ได
Anectdotal evidence หลักฐานที่ไดจากกรณีศึกษาจํานวนนอย และไมไดเก็บขอมูลเปน
ระบบเพื่อการวิเคราะหทางสถิติ เชน รายงานผูปวย 1 ราย (case report)
Association ความสัมพันธระหวางตัวแปรหรือเหตุการณตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป อาจกลาว
เปนความสัมพันธเชิงสถิติ (statistical association) แตการที่ปจจัยมีความสัมพันธกับโรคมิ
ไดหมายถึงวา ปจจัยเปนสาเหตุของโรค (causal association)
Attributable fraction (exposed, A.R.) สัดสวนของผูปวยที่เปนโรคเนื่องจาก exposure นั้น
มีคาเทากับ (IE - IU ) / IU หรือเทากับ (RR - 1) / RR โดยที่ IE คือ incidence in the exposed
group, IU คือ incidence in the unexposed group, RR = relative risk
Attributable fraction (population, P.A.R.) สัดสวนของประชากรทั้งหมด (ผูปวยและผูไม
ปวย) ที่เปนโรคเนื่องจาก exposure นั้น มีคาเทากับ (IT - IU ) / IU หรือเทากับ B(RR - 1) /
{B(RR-1) + 1} โดยที่ IT คือ incidence in the total population, IU คือ incidence in the
unexposed group, RR = relative risk, B = สัดสวนผูมีปจจัยในประชากรทั้งหมด (exposed
proportion)
20. 22
Attributable risk อัตราการเกิดโรคในผูปวยที่เกิดเนื่องจากปจจัย (exposure, E) นั้น มีคา
เทากับ IE - IU อาจเรียกวา excess risk
Beta error ดู error Type II
Bias (systematic error) ความผิดพลาดเนื่องจากไดผลไมตรงกับความจริง เ กิดจากระบบที่
ไมถูกตอง อาจเปนระบบการเก็บขอมูล การวิเคราะห การแปลผล การตีพิมพ หรือการทบ
ทวนรายงานตางๆ มิไดเปนความผิดพลาดที่เกิดโดยบังเอิญ (non-systematic or random
error)
Blinding การปกปดสิ่งที่ผูถูกทดลองไดรับในการทดลอง เชน single-blind หมายถึงผูถูก
ทดลองไมทราบวาไดรับอะไร double-blind หมายถึงทั้งผูถูกทดลองและผูทําการทดลองไม
ทราบวาใครไดรับ intervention อะไร
Case-control study การศึกษาที่นําผูที่มีโรคแลว (case) กับผูยังไมมีโรค (control) เพื่อดู
ยอนหลังวามีปจจัยที่สนใจศึกษา (exposure) หรือไม โดยการคํานวณคาความเสี่ยง odds
ratio
Case series รายงานผูปวยจํานวนหนึ่ง (ที่ไมมากนัก) ถึงโรคที่สนใจโดยไมมีกลุมเปรียบ
เทียบ (กลุมไมเปนโรค)
Cause สาเหตุของผลที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเกณฑดังนี้ (ตาม Hill’s criteria)
-temporality : การไดรับปจจัยตองเกิดขึ้นกอนผลหรือโรค
-strength : ขนาดของความเสี่ยงสัมพัทธตองมีนัยสําคัญทางสถิติ
-experiment : ผลที่เกิดขึ้นสามารถพิสูจนโดยทําการทดลองได
-consistency : มีผลการศึกษาที่ใหผลสอดคลองกันมากกวา 1 การศึกษา
-coherence : ความสัมพันธที่พบสอดคลองกับความรูหรือทฤษฎีที่มีอยูเดิม
-specificity : ปจจัยนั้นทําใหเกิดผลหรือโรคเพียงโรคเดียว ไมทําใหเกิดผลหรือโรคอื่น
-dose-response relationship ขนาดของผลที่เกิดขึ้นแปรตามขนาดปจจัยที่ไดรับ
-biologic plausibility : ผลที่เกิดขึ้นสอดคลองกับกระบวนการพยาธิชีววิทยา
Chi-square test วิธีการทางสถิติที่พิสูจนความสัมพันธระหวางตัวแปรชนิดไมตอเนื่อง
(discrete or categorical variables)
21. 23
Clinical decision analysis กระบวนการตัดสินใจทางคลินิกที่อาศัยขอมูลทางระบาดวิทยา
และความนาจะเปนของผลที่เกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบ intervention ตางๆ โดยพิจารณา 3
ประการไดแก ทางเลือก (choice) ความนาจะเปน (chance) และคาผลลัพธที่เกิดขึ้น (values)
ของแตละ intervention
Clinical epidemiology การประยุกตความรูทางระบาดวิทยาในเวชปฏิบัติ เกี่ยวของกับการ
วินิจฉัย การรักษาและปองกันโรค แตกตางจาก classical epidemiology ที่มุงศึกษาอัตราการ
เกิดและหาสาเหตุหรือปจจัยเสี่ยงของโรค
Clinical practice guideline (CPG) แนวทางการดูแลรักษาผูปวย เกิดขึ้นจากการพัฒนา
โดยผูเชี่ยวชาญ แตการนําไปใชอาจตองมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ
Clinical significance นัยสําคัญทางคลินิก พิจารณาที่ magnitude of effect วาสําคัญทางเวช
ปฏิบัติหรือไม
Clinical trial การศึกษา interventions ในคน ซึ่งอาจเปนการรักษาหรือการปองกันโรค เชน
การทดลองยา วัคซีน เพื่อประเมินเปรียบเทียบประสิทธิผลของ interventions
Cluster sampling การสุมตัวอยางที่หนวยของการสุมคือกลุมบุคคล เชน สุมจากจังหวัด
อําเภอ เปนตน ใชในการศึกษาประชากรที่มีขนาดใหญมาก ๆ
Cohort กลุมบุคคลที่มีสิ่งที่เหมือนกันตั้งแตแรกเริ่มของการศึกษา เชน เกิดปเดียวกัน เขา
เรียนพรอมกัน หรือไดรับปจจัยเสี่ยงพรอมกัน
Cohort study การศึกษาที่นํากลุม 2 กลุมมาเปรียบเทียบกัน กลุมหนึ่งมีปจจัย (exposure)
อีกกลุมไมมีปจจัย แลวติดตามการเกิดโรคในทั้ง 2 กลุม
Co-intervention การที่ผูถูกทดลองไดรับ intervention อื่นๆ ที่นอกเหนือจาก intervention ที่
กําลังทดลองอยู เชน การแนะนําผูปวยความดันเลือดสูงใหออกกําลังกายขณะทําการทดลอง
ยาใหม
Confidence interval (CI) ชวงระยะของคาที่มั่นใจไดวา จะครอบคลุมคาที่แทจริงในประชา
กรที่ถูกสุมตัวอยางมา มักนิยมรายงานเปนรอยละ 95 เชน 95% CI = 5 - 15 แตอาจเปนรอย
ละ 90 หรือ 99 ก็ได
Confidence limits (CL) คาสูงสูดและต่ําสุดของ confidence interval
22. 24
Confounding การเกิดความเบี่ยงเบนของความสัมพันธที่แทจริงระหวาง 2 ตัวแปร ที่เนื่อง
จากตัวแปรที่ 3
Confounding variable, confounder ตัวแปร (ที่ 3) ที่เบี่ยงเบนความสัมพันธที่แทจริงของ
2 ตัวแปร
Contamination การที่กลุม control ไดรับ intervention ของกลุมทดลอง ซึ่งแทที่จริงไมควร
เปนเชนนั้น
Control group, controls กลุมที่กําหนดใหเปนตัวเปรียบเทียบกับกลุมทดลอง
Control event rate (CER) ดู event rate
Correlation coefficient คาความสัมพันธระหวาง 2 ตัวแปรชนิด continuous มีคาระหวาง
–1 ถึง +1 โดยคาลบหมายถึงสัมพันธผกผันกัน และคาใกล 1 หรือ –1 แสดงถึงความ
สัมพันธเชิงเสนตรงมาก (linear relationship)
Correlation (ecological) study การศึกษาหาความสัมพันธโดยใชขอมูลกลุมบุคคลแทนที่
จะใชขอมูลของแตละบุคคล
Cost-benefit analysis การวิเคราะหคาใชจายโดยนําผลที่ได (คิดเปนตัวเงิน) มาหักลบกับ
เงินที่ลงทุน
Cost-effectiveness analysis การวิเคราะหคาใชจาย (คิดเปนตัวเงิน) ตอหนวยของผลที่ได
(ซึ่งไมไดวัดเปนตัวเงิน) นิยมวิเคราะหเปรียบเทียบระหวาง intervention ตางๆ
Cost-minimization analysis การวิเคราะหเปรียบเทียบคาใชจาย (คิดเปนตัวเงิน) เปรียบ
เทียบระหวางวิธีการตางๆ ที่ใหผล (health effect) เทากัน และเลือกวิธีการที่เสียคาใชจาย
นอยที่สุด
Cost-utility analysis การวิเคราะหคาใชจายตอหนวยอรรถประโยชน (utility) ซึ่งวัดเปน
quality gain เชน quality-adjusted life year (QALY) หรือระยะเวลา 1 ปที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
Critical appraisal การประเมินคุณคาของรายงานการศึกษาวิจัย โดยคํานึงถึงความถูกตอง
(validity) ของการศึกษา และความสามารถประยุกตนําผลการศึกษาไปใช (application) ใน
เวชปฏิบัติ
23. 25
Crossover study design การศึกษาที่ใหผูปวยกลุมหนึ่งเพียงกลุมเดียวไดรับวิธีการรักษาที่
ตองการเปรียบเทียบกันอยางนอย 2 วิธีขึ้นไป โดยสลับเวลาการไดรับแตละวิธี
Cross-sectional study การศึกษา ณ ชวงเวลาใดเวลาหนึ่งโดยการสุมตัวอยางจากประชากร
ทั้งหมด และดูปจจัย (exposure) และผล (outcome) พรอมกันขณะกําลังศึกษา
Cumulative incidence สัดสวนของประชากรที่เกิดโรค โดยทุกคนในประชากรไดรับการ
ติดตามตั้งแตแรกพรอมกันขณะที่ยังไมมีใครเปนโรค เปน average risk ของการเกิดโรคใน
ประชากร
Decision analysis (or clinical decision analysis) การประยุกตการคํานวณมาพยากรณโรค
หรือผลการรักษาของผูปวยเพื่อการตัดสินใจภายใตเงื่อนไขของความนาจะเปน
Deduction กระบวนการที่ใชทฤษฎีหรือภาพรวม ไปอธิบายเหตุการณยอยแตละเหตุการณ
Descriptive epidemiology ระบาดวิทยาเชิงพรรณนาที่บรรยายเฉพาะขอมูลตัวแปร เชน
เวลา สถานที่ และบุคคล โดยไมมีการวิเคราะหความสัมพันธระหวางตัวแปร
Differential misclassification ดู misclassification
Dose-response relationship เกณฑหนึ่งของความสัมพันธเชิงเหตุและผลที่กลาวถึงขนาด
ของ outcome ที่ตองขึ้นอยูกับขนาดหรือปริมาณ exposure
Double-blind ดู blinding
Dropout ผูที่ไมสามารถมาติดตามผลการทดลองหรือการรักษา
Ecological fallacy ความผิดพลาดของการสรุปความสัมพันธที่ไดจากการศึกษาขอมูลจาก
กลุมแทนที่จะศึกษาขอมูลจากแตละบุคคล
Ecological survey การศึกษาขอมูลที่มีลักษณะเปนกลุมกอน (aggregated data) ของประชา
กร ไมใชขอมูลของแตละคน เพื่อหาความสัมพันธระหวางปจจัยเสี่ยง (risk factor) กับผล
(outcome) ที่เกิดขึ้น
Effectiveness ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการสถานการณจริง ดู efficacy
Efficacy ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากสถานการณในอุดมคติ ดู effectiveness
Efficiency ประสิทธิภาพ หรือผลที่เกิดขึ้นตอหนวยทรัพยากรที่ลงทุน
24. 26
Error, type 1 (alpha error) ความผิดพลาดเนื่องจากไปปฏิเสธ null hypothesis ที่เปน
ความจริง หรือการยอมรับวามีความแตกตางในขณะที่ความเปนจริงไมมี
Error, type 2 (beta error) ความผิดพลาดเนื่องจากไปรับ null hypothesis ที่เปนเท็จ หรือ
การยอมรับวาไมมีความแตกตางในขณะที่ความเปนจริงมีความแตกตาง
Event rate อัตราการเกิดเหตุการณ เชน EER (experimental event rate) คือ สัดสวนของ
คนไขที่หายจากการรักษาดวยวิธีที่ทดลองอยู สวน CER (control event rate) คือ สัดสวน
ของคนไขที่หายจากการรักษาดวยวิธีที่เปรียบเทียบกัน สําหรับ PEER (patient expected
event rate) หมายถึงสัดสวนของผูปวยที่คาดหวังวาจะหายโดยไมไดรับการรักษาหรือไดรับ
การรักษาแบบเดิม ดู treatment effects
Evidence-based health care การประยุกตใชความรูทางการแพทยเชิงหลักฐาน (evidence-
based medicine) ในสาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับการแพทยและสาธารณสุข เชน เศรษฐ
ศาสตรสาธารณสุข การบริหารจัดการ
Evidence-based medicine การใชหลักฐานที่ดีที่สุดทางการแพทยที่มีอยูในการตัดสินใจดู
แลรักษาผูปวย โดยหลักฐานนั้นตองมาจากการวิจัยที่ดีและเปนระบบ
Experimental event rate (EER) ดู event rate
Exposure การที่ไดรับหรือสัมผัสกับปจจัย
External validity ดู validity
False negative ผลทดสอบที่เปนลบในผูที่ปวยจริง
False positive ผลทดสอบที่เปนบวกในผูที่ไมปวยจริง
Gold standard การทดสอบหรือวิธีการวินิจฉัยที่เปนมาตรฐานสําหรับเปรียบเทียบ หากให
ผลบวกหรือลบใหถือเปนขอยุติ
Hawthorne effect ผลดีที่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ไดรับการดูแลเอาใจใส
Hierarchy of evidence ระดับคุณภาพความนาเชื่อถือของการศึกษาหรืองานวิจัย แบงออก
เปน
I: หลักฐานจาก randomized controlled trial อยางนอย 1 study
II-1 หลักฐานจาก controlled trial ที่ไมมี randomization
25. 27
II-2 หลักฐานจาก cohort หรือ case-control studies ที่ควรมีมากกกวา 1 การศึกษา
II-3 หลักฐานจาก uncontrolled studies
III หลักฐานจากประสบการณ ความเห็น หรือรายงานเชิงพรรณนา (case report / series)
Historical control กลุมเปรียบเทียบที่ขอมูลไดรับคนละ (กอน) เวลาที่เก็บขอมูลกลุม
ทดลอง
Hypothesis สมมติฐาน หรือการคาดเดา แบงออกเปน
-null hypothesis (H0) สมมติฐานของความไมแตกตาง หรือไมคาดวาจะแตกตางกันระหวาง
กลุม
-alternative hypothesis (HA) สมมติฐานทางเลือกที่คาดวาจะแตกตางกันระหวางกลุม
Inception cohort กลุมผูปวยที่เริ่มมีอาการโรคพรอมกัน (ระยะเดียวกันของโรค)
Indirect standardizeation/adjustment ดู standardization
Inference กระบวนการสรุปผลโดยอาศัยขอเท็จจริงหรือการสังเกตตางๆ เชน inferential
statistic หมายถึงการสรุปผลและแปลผลขอมูลดวยวิธีการสถิติ
Information bias อคติในการวัด exposure หรือ outcome เนื่องจากไดรับขอมูลผิดพลาด
Informed consent การที่ผูถูกทดลอง อนุญาตโดยสมัครใจหลังจากไดรับทราบขอมูลผลดี
ผลเสียของการทดลอง
Intention-to-treat analysis วิธีการวิเคราะหขอมูลที่ไมสนใจวา ผูปวยจะไดเปลี่ยนแปลง
วิธีการรักษาหรือไมหลังจากเริ่มทดลองไปแลว โดยใหถือวา ผูปวยไดรับวิธีการรักษาตามที่
ถูกสุมตั้งแตตน
Internal validity ดู validity
Kappa ความสอดคลองของการวัด 2 ครั้ง หรือผูวัด 2 คน คํานวณจากสูตร
(P0 – Pc) / (1 – Pc) P0 = observed agreement, Pc = chance agreement
Lead-time bias ความผิดพลาดในการวัดการรอดชีพเนื่องจากการตรวจคัดกรองที่สามารถ
ตรวจพบผูเปนโรคกอนที่จะมีอาการ แตหากการรอดชีพไมเปลี่ยนแปลง จะทําใหเขาใจผิด
วา มีอายุ (การรอดชีพ) นานขึ้น
26. 28
Length bias ความผิดพลาดในการวัดการรอดชีพเนื่องจากความรุนแรงของแตละโรคไมเทา
กัน และการตรวจคัดกรองพบมักจะขึ้นอยูกับความรุนแรงของโรคนั้นๆ (รุนแรงนอย ตรวจ
คัดกรองพบไดเร็ว)
Likelihood ratio (LR) อัตราสวนระหวางโอกาสไดผลการทดสอบวินิจฉัยอยางเดียวกันใน
ผูที่เปนโรค ตอผูไมเปนโรค
Positive LR = Sensitivity / (1 – Specificity)
Negative LR = (1 – Sensitiivity ) / Specificity
Meta-analysis การทบทวนรายงานการศึกษาตางๆ อยางเปนระบบโดยการใชวิธีการทาง
คณิตศาสตรเพื่อสรุปผลภาพรวม
Misclassifaction การจัดกลุมผิด เชนจัดกลุมมีปจจัยเปนกลุมไมมีปจจัย แบงออกเปน
-differential misclassification จัดกลุมผิดโดยโอกาสจัดกลุมผิดเกิดขึ้นไมเทากันใน
ทั้งสองกลุม
-non-differential misclassification จัดกลุมผิดโดยโอกาสจัดกลุมผิดเกิดขึ้นเทากันใน
ทั้งสองกลุม
Negative predictive value (NPV) สัดสวนของผูไดผลการทดสอบเปนลบที่ไมเปนโรคจริง
Null hypothesis ดู hypothesis
Number needed to treat (NNT) จํานวนผูปวยที่ตองไดรับการรักกษาดวยวิธีใหมหาก
ตองการใหหายเพิ่มขึ้นอีก 1 คน มีคาเทากับ 1 / ARR
Observational study การศึกษาวิจัยที่มิไดมีการทดลองหรือให intervention แตเปนการเฝา
สังเกตเหตุการณที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ
Odds อัตราสวนระหวางโอกาสที่จะเกิดเหตุการณกับโอกาสที่จะไมเกิดเหตุการณนั้น หรือ
p / (1 - p)
Odds ratio อัตราสวนระหวาง 2 odds เชน อัตราสวนระหวาง odds of case (อัตราสวน
ระหวางโอกาสที่จะพบ exposure ในผูที่เปนโรคกับโอกาสที่จะไมพบ exposure ในผูที่เปน
โรค) กับ odds of control (อัตราสวนระหวางโอกาสที่จะพบ exposure ในผูที่ไมเปนโรคกับ
โอกาสที่จะไมพบ exposure ในผูที่ไมเปนโรค)
27. 29
Outbreak epidemic ที่จํากัดขอบเขตพื้นที่ เชน ในหมูบาน โรงเรียน
p-vale (probability value) โอกาสที่จะไดคาสถิติเทากับหรือมากกวาที่พบในกลุมตัวอยาง
หาก null hypothesis เปนจริง
Patient expected event rate (PEER) ดู event rate
Power อํานาจในการตรวจสอบความแตกตางที่มีอยูจริง (ถามี) มีคาเทากับ 1- beta ดู error
Type II
Positive predictive value (PPV) สัดสวนของผูไดผลการทดสอบเปนบวกที่เปนโรคจริง
Post-test odds อัตราสวนระหวางโอกาสที่จะเปนโรคกับโอกาสที่จะไมเปนโรคหลังการ
ทดสอบ มีคาเทากับ pre-test odds x likelihood ratio
Post-test probability สัดสวนของผูไดผลการทดสอบนั้นและเปนโรคจริง มีคาเทากับ
post-test odds / 1 + post-test odds
Precision ความแมนยํา ความสามารถวัดไดคาเดิมทุก ๆ ครั้ง (reliability, repeatability,
reproducibility) แตคาที่วัดอาจไมถูกตอง (valid) ตามคาที่เปนจริง
Pre-test odds อัตราสวนระหวางโอกาสที่จะเปนโรคกับโอกาสที่จะไมเปนโรคกอนการ
ทดสอบ มีคาเทากับ pre-test probability / (1 + pretest probability)
Pre-test probability or prevalence สัดสวนของประชากรที่เปนโรค ณ เวลานั้น (point
prevalence) หรือชวงเวลานั้น (period prevalence)
Publication bias อคติในการตีพิมพที่มักจะตีพิมพรายงานที่ใหผลการศึกษาในเชิงบวกหรือ
ไดผลดีเทานั้น
Random error ความผิดพลาดแบบสุม เกิดเนื่องจากความบังเอิญที่ไดตัวอยางที่ไมเปนตัว
แทนของประชากร
Randomization (or random allocation) วิธีการสุมที่คลายกับการโยนเหรียญเพื่อกําหนด
วิธีการรักษา เชน โยนไดหัวจะใหวิธีรักษาแบบหนึ่ง และไดกอยจะใหวิธีรักษาอีกแบบหนึ่ง
ที่เปรียบเทียบกัน ซึ่งมุงหวังใหทั้งสองฝาย (กลุมทดลองและกลุมควบคุม) มีปจจัยตัวแปรที่
จะมีผลตอ outcome กระจายเทาเทียมกัน
28. 30
Randomized controlled clinical trial (RCT) การทดลองเปรียบเทียบวิธีการรักษาที่ผูปวย
แตละคนถูก randomize ใหไดรับการรักษาดวยวิธีใหมหรือวิธีที่เปรียบเทียบ
Recall bias อคติจากการที่จําขอมูลในอดีตไมไดหรือจําผิดพลาด
Relative risk reduction (RRR) ดู treatment effects
Research กระบวนหาองคความรูใหมอยางเปนระบบ
Risk โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ เชน เปนโรค หรือ ตาย
Risk ratio (RR) อัตราสวนระหวางความเสี่ยง (โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ) ในกลุมทดลอง
กับ ความเสี่ยง (โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ) ในกลุมเปรียบเทียบ RR = EER / CER
Screening การตรวจคัดกรอง หรือการคนหาผูที่เปนโรคแตยังไมมีอาการของโรคปรากฏ
Sensitivity สัดสวนของผูเปนโรคจริงที่ใหผลการทดสอบเปนบวก มีคาเทากับ a / a + c
SnNout การทดสอบที่มี sensitivity (Sn)สูง หากไดผลลบ (N) จะเปนการ rule out
Specificity สัดสวนของผูไมเปนโรคจริงที่ใหผลการทดสอบเปนลบ มีคาเทากับ d / b + d
SpPin การทดสอบที่มี specificity (Sp)สูง หากไดผลบวก (P) จะเปนการ rule in
Standardization กระบวนการปรับใหมีมาตรฐานเดียวกันเพื่อใหเปรียบเทียบกันได เชน
ประชากร 2 กลุมที่มีโครงสรางอายุไมเหมือนกัน หากเปรียบเทียบตัวชี้วัดอื่นๆ โดยไมปรับ
ใหโครงสรางอายุเหมือนกันอาจแปลผลผิดพลาดได
-direct standardization ใชจํานวนประชากรมาตรฐานหรือประชากรอางอิงมาเปนตัวปรับ
-indirect standardization ใชอัตรามาตรฐานหรืออัตราอางอิงมาเปนตัวปรับ
Statistical significance นัยสําคัญทางสถิติ หรือการเกิดเหตุการณที่มีโอกาสเกิดขึ้นไดนอย
พิจารณาจากคา p-value หากต่ํากวา 0.05 มักจะถือวามีนัยสําคัญทางสถิติ
Survival analysis การวิเคราะหการรอดชีพ เปนกระบวนการที่ใชวิธีการทางสถิติในการ
ประเมินการรอดชีพจากโรคหรือจากการไดรับการรักษาปองกันวิธีตางๆ
Systematic error ดู bias
Systematic review การสรุปผลโดยคนหารายงานวิจัยตางๆ อยางเปนระบบและประเมิน
คุณคา (critical appraisal) ของบทความรวมกับวิธีการทางสถิติเพื่อสรุปผลภาพรวมของราย
งานวิจัยทั้งหมด
29. 31
Treatment effects ไดแก
ARR (absolute risk reduction) = EER - CER
RRR (relative risk reduction) = (EER - CER) / CER ถาวัด good outcome
RRI (relative risk increase) = (EER - CER) / CER ถาวัด bad outcome
ABI (absolute benefit increase) = ARR
RBI (relative benefit increase) = RRR
NNT (number needed to treat) = 1 / ARR ถาเปน good outcome
NNH (number needed to harm) = 1 / ARR ถาเปน bad outcome
EER = experimental event rate; CER = control event rate
Validity การวัดไดคาถูกตองตามคาที่เปนจริง หรือการที่ไมมีความผิดพลาดชนิดมีระบบที่
อธิบายได (ไมมี bias)
Validity, study ความถูกตองของการศึกษากับการนําไปประยุกตใช แบงออกเปน
-internal validity สามารถนําไปประยุกตใชในประชากรที่สุมตัวอยางมา
-external validity สามารถนําไปประยุกตใชนอกประชากรที่สุมตัวอยางมา
(generalizability)