Contenu connexe
Similaire à จาก 'เหยื่อ' มาเป็น 'ผู้สังเกตการณ์' (12)
Plus de Sirirat Siriwan (16)
จาก 'เหยื่อ' มาเป็น 'ผู้สังเกตการณ์'
- 1. 1
‘จาก ‘เหยื่อ’ มาเป็น ‘ผู้สังเกตการณ์’
Self-Coaching for Personal Development
โดย ศิริรัตน์ ศิริวรรณ (โค้ชบี) วิทยากรด้านการพัฒนาผู้นาและการสื่อสาร
และโค้ชที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ (Professional Certified Coach / PCC)
บริษัท บี วินนิ่ง เทรน แอนด์ โค้ช จากัด sirirat@bewinning.biz, www.bewinning.biz
ในฐานะโค้ชผู้บริหารที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ ผู้เขียนใช้ทักษะการตั้งคาถามอย่าง
สม่าเสมอเพื่อกระตุ้นให้ผู้รับการโค้ชเกิดการตระหนักรู้ความจริงเกี่ยวกับวิธีคิด และอารมณ์ ความรู้สึก
ของตนเอง หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า เรามักเข้าใจปัญหาของผู้อื่นมากกว่าปัญหาของตนเอง
เปรียบเสมือนคนที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของตนเองได้ แต่คนอื่นมองเห็น เราจะมองเห็นหน้าของ
เราเมื่อเราส่องกระจก
องค์กรหลายแห่งจึงจ้างโค้ชมาทาหน้าที่เป็น ‘กระจกสะท้อนความจริง’ ให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน
ของตนเพื่อให้คนเหล่านั้นเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่กีดขวางตนเองไม่ให้บรรลุเป้ าหมาย หรือก้าว
ไปไกลได้กว่าจุดที่ตนดารงอยู่ โค้ชจะตั้งคาถามโดยปราศจากอคติหลากหลายคาถามเพื่อให้ผู้รับการโค้ช
คิด ทบทวน ทาความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง และสถานการณ์ที่ตนเผชิญอยู่จนหาทางออกได้ ภายใต้
บรรยากาศของการสนทนาที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ที่จริง ทุกคนสามารถเป็นโค้ชหรือกระจกสะท้อนความจริงให้แก่ชีวิตของตนเองได้ แต่ความท้าทายคือ
เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์ท้าทายบางอย่าง เรามักมีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์นั้น เราสูญเสีย
ความสามารถในการมองตนเอง ผู้อื่น และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง เราจึงไม่สามารถทา
หน้าที่กระจกสะท้อนความจริงและตั้งคาถามที่เป็นกลางและสร้างสรรค์แบบที่โค้ชซึ่งเป็นคนอื่นที่ไม่ได้
- 2. 2
เกี่ยวข้องในสถานการณ์ทาได้ เช่น แทนที่เราจะถามตนเองว่า “ฉันต้องการอะไรในชีวิตกันแน่?” เรา
กลับตั้งคาถามกับตนเองว่า “ทาไมฉันถึงต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย?” หรือแทนที่เราจะตั้งถามว่า
“ทางออกของเรื่องนี้คืออะไร?” เรากลับถามว่า “เขาทากับฉันอย่างนี้ได้อย่างไร?” คาถามย้อนอดีต
เหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์ และเติบโต ในทางตรงกันข้าม เราจะยิ่งจมดิ่งลงไปในความทุกข์มากขึ้น
แบบถอนตัวได้ยาก เพราะเมื่อเราพูด ถาม รู้สึก และคิดถึงอดีตบ่อยเกินไป สมองซึ่งทาหน้าที่สร้างความ
เชื่อมโยงข้อมูลก็จะยิ่งผูกเรื่องราวต่างๆเป็นปมแน่นขึ้นๆ
ดังนั้น ผู้เขียนแนะนาว่า หากเผชิญกับสถานการณ์ที่ทาให้ทุกข์ใจ หรือสถานการณ์ท้าทายใดๆก็ตาม ให้
ลองดึงตัวเองออกมาจากเรื่องนี้ ลองมองเข้าไปด้วยสายตาของผู้สังเกตการณ์ (Observer) ไม่ใช่สายตา
ของเหยื่อ (Victim) ผู้สังเกตการณ์จะไม่รู้สึกเจ็บเพราะอยู่นอกวง แต่หากยังอยู่ในวงเป็นเหยื่อ เป็นตัว
ละครหนึ่งในสถานการณ์ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดยิ่งจม เมื่อสวมบทของผู้สังเกตการณ์แล้ว ลองตั้งคาถาม
กับตนเองว่า “ในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เรามองเห็นอะไร?” ผู้เขียน
เคยตั้งคาถามลักษณะนี้ กับผู้รับการโค้ชที่ติดอยู่ในเรื่องราวที่ทาให้ทุกข์ใจและไม่สามารถถอนตนเอง
ออกมาได้ เมื่อผู้เขียนกระตุ้นให้เขาดึงตัวเองออกมานอกสถานการณ์และมองเข้าไปในเรื่องราวนั้น
เหมือนกาลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ผู้เขียนพบว่าผู้รับการโค้ชเกือบทุกคนมีมุมมองต่อตนเอง ผู้อื่น และ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างไปจากเดิม มีความเป็นกลางมากขึ้น เริ่มกลับมาอยู่กับปัจจุบัน และเริ่ม
มองไปถึงเป้ าหมายในวันข้างหน้า รวมถึงคิดค้นวิธีการต่างๆที่จะทาให้บรรลุเป้ าหมายนั้น
- 3. 3
มาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านคงมองเห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ สามารถเป็นโค้ชหรือกระจกสะท้อน
ความจริงให้แก่ชีวิตตนเองได้เมื่อตนสามารถปรับบทบาทของตนมาเป็นผู้สังเกตการณ์ และตั้งคาถาม
แบบผู้สังเกตการณ์ที่อยากรู้อยากเห็นว่า “เกิดอะไรขึ้น?” “ฉันมองเรื่องนี้ อย่างไร?” “ฉันเรียนรู้อะไร
จากเรื่องนี้ บ้าง?” “ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง?” “สิ่งแรกที่ฉันจะทาคืออะไร?” เป็นต้น
คาถามมีหลากหลาย ไม่ได้จากัดอยู่เฉพาะตัวอย่างข้างต้นที่ผู้เขียนยกมา จะตั้งคาถามอะไร ก็ขึ้นอยู่กับ
คาตอบก่อนหน้า ประเด็นสาคัญคือ การตั้งคาถามต้องทาด้วยจิตใจที่เป็นกลางแบบผู้สังเกตการณ์จึงจะ
ทาให้เราเห็นทุกข์ พ้นทุกข์ เรียนรู้จากทุกข์ และดับทุกข์ได้โดยแท้จริง