การศึกษาการขยายตัวของเมืองกับพื้นที่สีเขียว
- 1. 1
การศึกษาการขยายตัวของเมืองกับพื้นที่สีเขียว
บทนา
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ภายหลังการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ที่มุ่งกระจายความเจริญไปยังเมืองหลักในภูมิภาคต่างๆ ทั้งศูนย์กลางราชการ การศึกษา
สาธารณสุข โลจิสติกส์ ทาให้เมืองต่างๆ มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยภาครัฐและเอกชน อีกทั้งยัง
ทาให้เกิดการย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของตน ทาให้
ประเทศไทยมีอัตราส่วนความเป็นเมืองมากขึ้นตามลาดับ ปัจจุบันปีพ.ศ. 2557 ความเป็นเมืองของไทย
อยู่ที่ร้อยละ 43.79 เพิ่มขึ้นจาก ปี พ.ศ. 2546 ที่มีความเป็นเมืองร้อยละ 22.06 ถึงร้อยละ 21.43
(ภาพที่ 1) (ภาพที่ 2)
ภาพที่ 1 แผนที่แสดงความเป็นเมืองของประเทศไทย พ.ศ. 2546
ภาพที่ 2 แผนที่แสดงความเป็นเมืองของประเทศไทย พ.ศ. 2557
- 2. 2
การพัฒนาเมืองในด้านต่างๆก่อให้เกิดการขยายตัวของเมือง (Urban Expansion) ที่แผ่ขยาย
ออกจากศูนย์กลางความเจริญเดิมไปยังพื้นที่ชานเมือง เพื่อให้เกิดความเข้าใจลักษณะการขยายตัวและ
การพัฒนาของเมืองที่คานึงถึงสิ่งแวดล้อมของเมืองต่างๆในประเทศไทย
ในงานวิจัยนี้สนใจศึกษาแนวโน้มรูปแบบการขยายตัวของเมือง และพื้นที่สีเขียวภายในเมืองโดย
การนาระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อทาความเข้าใจปรากฏการณ์ของเมือง ในแง่
การขยายตัวและขนาดของพื้นที่สีเขียวของเมือง ซึ่งมีแนวทางการวิเคราะห์ดังนี้
2. แนวคิดการวิเคราะห์การขยายตัวของเมือง
การขยายตัวของเมืองนั้นสามารถวิเคราะห์ได้จากการใช้ที่ดินของเมือง อันเป็นผลมาจาก
กิจกรรมของชาวเมือง เช่น พื้นที่ทางเศรษฐกิจ พื้นที่ที่อยู่อาศัย อนึ่ง การศึกษาการใช้ที่ดินของเมืองนั้น
มีข้อจากัดประการหนึ่งคือ ข้อมูลภูมิสารสนเทศของเมือง ที่ต้องใช้เวลานานในการสารวจและการจัดทา
ข้อมูล จากนั้นจึงเอาข้อมูลภูมิสารเทศเหล่านี้มาเปรียบเทียบตามช่วงเวลาที่สนใจ จึงได้ผลลัพธ์ว่ามีการ
เปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและมีรูปแบบการขยายตัวของเมืองแต่ละเมืองอย่างไร เป็นต้น ทว่าภายใต้
ข้อมูลระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) ที่จากัดผู้วิจัยจึงศึกษาวิธีการอื่นๆที่สามารถศึกษาปรากฏการณ์
ดังกล่าวได้ โดยวิธีการที่ใช้คือ การประมาณค่าความหนาแน่นแบบเคอร์เนล โดยใช้ข้อมูลถนนศึกษา
ทิศทางและรูปแบบการขยายตัว และขอบเขตเมืองตามภูมิศาสตร์ (Geographical boundary) ของแต่ละ
เมืองในประเทศไทยได้
การคานวณการประมาณค่าความหนาแน่นแบบเคอร์เนล เป็นการประมาณค่าโดยการจัดกลุ่ม
ข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ข้อมูลจุด (Point) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลต้นไม้แต่ละต้น ข้อมูลจุดเกิดอาชญากรรมเป็น
ต้น และข้อมูลเส้น (Line) ตัวอย่างเช่น ข้อมูลแม่น้า ข้อมูลถนน เป็นต้น ให้เข้ามาเป็นกลุ่มเดียวกัน โดย
ผลลัพธ์ที่ได้คือบริเวณใดที่มีข้อมูลกระจุกตัวอยู่มาก ก็จะมีความหนาแน่นมาก หากบริเวณใดมีข้อมูลอยู่
น้อย ยกตัวอย่างเช่น มีถนนอยู่เส้นเดียวก็จะมีความหนาแน่นของถนนต่อพื้นที่น้อย เป็นต้น หากใช้
ข้อมูลเส้น เช่น ถนน ก็จะได้ความหนาแน่นของถนนหน่วย เมตรต่อตารางเมตร
การศึกษาถนนโดยใช้วิธีการนี้มีสมมติฐานว่า การพัฒนาของถนนเป็นความเจริญ โดยพื้นที่ไหน
ที่มีความหนานแน่นของถนนมากก็จะมีความเจริญมาก มีการตั้งถิ่นฐานที่มีการวางแผนมาล่วงหน้า
ไม่ได้เป็นการตั้งถิ่นฐานตามแนวยาวของถนนที่ไม่มีการวางแผน นอกจากนี้ยังสามารถแยกเขตเมืองกับ
เขตชนบทที่มีความแตกต่างกัน ในเขตเมืองมีโครงข่ายถนนมากกว่าเขตชนบท อันเป็นผลมาจากการ
พัฒนาเพื่อการตั้งถิ่นฐานและกิจกรรมต่างๆของเมือง ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ความหนาแน่นของถนนใน
- 3. 3
การแบ่งเขตเมืองกับชนบท อีกทั้งยังสามารถศึกษาการขยายตัวของเมืองไปยังบริเวณชานเมืองรอบๆได้
อีกด้วย
นอกจากนี้งานวิจัยนี้มีการนาค่าเฉลี่ยทางสถิติ กล่าวคือ ค่าการกระจาย (ค่าความแปรปรวน)
ของถนนของแต่ละเมืองกับพื้นที่โดยรอบเพื่อสนับสนุนการการประมาณค่าความหนาแน่นแบบเคอร์เนล
หากพื้นที่ใดที่มีค่าความแปรปรวนมากก็จะถือว่ามีการพัฒนาสร้างถนนที่กระจายตัวไม่ได้วางกระจุกตัว
ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ถึงแม้ว่ามีความยาวของถนนต่อพื้นที่มากก็ตาม
3. แนวคิดการวิเคราะห์พื้นทีสีเขียวในเมือง
การศึกษาพื้นที่สีเขียวภายในเมืองนั้นศึกษาจากการแปลภาพถ่ายดาวเทียม โดยการศึกษานี้ใช้
ภาพถ่ายดาวเทียวแลนด์แซท 8 จากนั้นจึงใช้วิธีการ Parallelepiped แยกวัตถุออกเป็นสองประเภท
ได้แก่ พื้นที่สีเขียว และพื้นที่อื่นๆ กล่าวคือ พื้นที่สีเขียวนั้นเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุม และพื้นที่อื่นๆที่
ไม่พบต้นไม้ เช่น แหล่งน้า ที่ดินโล่ง สิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น หากต้นไม้บังสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เช่น อาคาร
บ้านเรือน ผลการวิเคราะห์ที่ได้ก็จะเป็นพื้นที่สีเขียว การศึกษาวิธีนี้สามารถใช้ได้กับพื้นที่เมือง
เนื่องจากเมืองเป็นบริเวณที่มีการใช้ที่ดินที่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งปลูกสร้าง และเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกต้นไม้
น้อยโดยเฉพาะเมืองในประเทศไทย
เมื่อได้ผลการศึกษาของพื้นที่สีเขียวภายในเมืองแล้วจึงนามาเปรียบเทียบอัตราส่วนของพื้นที่สี
เขียวของแต่ละเมือง กับอัตราส่วนประชากรต่อพื้นที่สีเขียวว่าในแต่ละเมืองมีอัตราส่วนเป็นอย่างไร ซึ่งจะ
ตัวชี้วัดหนึ่งที่สาคัญในการจัดอันดับเมืองสุขภาวะที่ดีของไทยได้อีกด้วย