Contenu connexe
Similaire à โครงงานคณิตบทที่ 2
Similaire à โครงงานคณิตบทที่ 2 (20)
Plus de Jutarat Bussadee (8)
โครงงานคณิตบทที่ 2
- 1. 3
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษาโครงงานคณิตศาสตร์ เรื่อง การให้เหตุผลแบบอุปนัย ในครั้งนี้มีเอกสารที่
เกี่ยวข้องดังนี้
1. ความหมายของโครงงาน
2. ความหมายของการให้เหตุผล
3. ประเภทของการให้เหตุผล
4. การให้เหตุผลแบบอุปนัยในชีวิตประจาวัน
1. ความหมายของโครงงาน
กระทรวงศึกษาธิการ (2533 : 5) ให้ความหมายว่า “โครงงานเป็นการทากิจกรรมที่เปิด
โอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ภายใต้การดูแลและให้คาปรึกษา
ของครูตั้งแต่การคิดสร้างโครงงาน การวางแผนดาเนินการ การออกแบบลงมือปฏิบัติทั้งร่วมกาหนด
แนวทางในการวัดผลและประเมินผล”
สถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2529 : 1-2) ให้ความหมายว่า “โครงงาน
เป็นการศึกษาค้นความตามความถนัด ความสนใจ ความสามารถของผู้เรียนเอง ภายใต้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบหรือผลงานที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยนักเรียนเป็นผู้
วางแผนการศึกษาค้นคว้า ดาเนินการด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้มีเจตคติที่ดีต่อกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ ครูเป็นเพียงผู้ให้คาปรึกษาเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป โครงงาน หมายถึง งานที่นักเรียนมีความสนใจในการหาความรู้และวิธีการ
เพื่อแก้ปัญหา หาคาตอบ หาความรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ผู้เรียนถนัดและมีความสนใจ โดยนา
เทคโนโลยี ความรู้และประสบการณ์มาบูรณาการปฏิบัติด้วยตนเองหรือหมู่คณะ ด้วยกระบวนการ
ที่เป็นระบบชัดเจนและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
- 2. 4
2. ความหมายของการให้เหตุผล
การให้เหตุผล เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้อยู่เป็นประจา การที่มนุษย์ใช้การให้เหตุผลก็เพื่อจะเชื่อ
หรือยอมรับในเรื่องราวต่าง ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่จริงด้วยความสบายใจ ขบวนการซึ่งนาเอาข้อความ
หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเหตุหรือ สมมติฐาน (hypothesis)อาจจะหลายอันมาวิเคราะห์และ
แจกแจงแสดงความสัมพันธ์หรือความต่อเนื่องเพื่อทาให้เกิดข้อความใหม่หรือปรากฎการณ์ใหม่ซึ่ง
เรียกว่า ผลสรุป หรือ ข้อยุติ (conclusion)ขบวนการเช่นนี้เราเรียกว่า การให้เหตุผล
3. ประเภทของการให้เหตุผล
การให้เหตุเหตุผลแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้
1. การให้เหตุผลแบบอุปนัย
การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกตหรือผลการทดลองจากหลาย ๆ
ตัวอย่าง มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป หรือคาพยากรณ์ ซึ่งจะเห็นว่าการจะนาเอา
ข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่งกิน
ความถึงทุกหน่วย ย่อมไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการอนุมานเกินสิ่งที่กาหนดให้ ซึ่งหมายความ
ว่า การให้เหตุผลแบบอุปนัยจะต้องมีกฎของความสมเหตุสมผลเฉพาะของตนเอง นั่นคือ จะต้องมี
ข้อสังเกต หรือผลการทดลอง หรือ มีประสบการณ์ที่มากมายพอที่จะปักใจเชื่อได้ แต่ก็ยังไม่
สามารถแน่ใจในผลสรุปได้เต็มที่ เหมือนกับการให้เหตุผลแบบนิรนัย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้
เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้เหตุผลแบบอุปนัย จะให้ความน่าจะเป็น
2. การให้เหตุผลแบบนิรนัย
การให้เหตุผลแบบนิรนัยเป็นการนาความรู้พื้นฐานซึ่งอาจเป็นความเชื่อ ข้อตกลง กฎ หรือบทนิยาม
ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อน และยอมรับว่าเป็นความจริงเพื่อหาเหตุผลนาไปสู่ข้อสรุป เป็นการอ้างเหตุผลที่
มีข้อสรุปตามเนื้อหาสาระที่อยู่ภายในขอบเขตของข้ออ้างที่กาหนด
4. การให้เหตุผลแบบอุปนัยในชีวิตประจาวัน
แม้ว่าในปัจจุบันโลกมนุษย์จะก้าวหน้าไปถึง การสร้างสมองกลขึ้นมาให้ทาตามคาสั่งแต่
สมองกลนั้นสามารถทาตามในสิ่งที่มนุษย์เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเท่านั้นไม่อาจคิดในเรื่อง
ของเหตุผลได้เหมือนสมองจริงการคิดในเรื่องเหตุผลนี่เองที่ทาให้มนุษย์เหนือกว่าสิ่งอื่นใด
กระบวนการของการให้เหตุผลนั้นเป็นการตอบคาถามว่าทาไมซึ่งประกอบด้วยสาคัญสองส่วนคือ
- 3. 5
ในชีวิตประจาวันเรามักจะพบคาถามเสมอว่า ทาไม เราจึงต้องมีการให้เหตุผลเช่น ครูถาม
นักเรียนว่า “ทาไมวันนี้นักเรียนขาดเยอะจัง” เหตุผลที่นักเรียนตอบอาจเป็น “ไม่สบายเป็นไข้หวัด
ครับ” เป็นต้น
ตัวอย่าง การให้เหตุผลแบบอุปนัย
1. กอหญ้าเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าทางทิศตะวันออกมาโดยตลอด กอหญ้าจึง
สรุปว่า “พรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก” ข้อสรุปดังกล่าวเป็นข้อสรุปที่ได้มาด้วยการ
ให้เหตุผลแบบอุปนัย
2. หมอดูอาศัยประสบการณ์จากตัวอย่างชีวิตคนทั้งที่ดีและไม่ดีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
สรุปเป็นวิชาหมอดูทานายโชคชะตาราศีสาหรับคนในปัจจุบันความรู้ดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งของ
ความรู้ที่ได้มาด้วยการให้เหตุผลแบบอุปนัย
3. แม่ค้ากล้วยทอดใส่งา และมะพร้าวในส่วนผสมในแป้ งที่ทอดปรากฏว่ากล้วยทอด
กรอบ หอม เมื่อลดมะพร้าวให้น้อยลง ปรากฏว่ากล้วยทอดกรอบน้อยลงหลังจากสังเกตหลายครั้ง
แม่ค้าจึงได้ข้อสรุปว่าควรจะใส่มะพร้าวปริมาณเท่าใดจึงจะทาให้กล้วยทอดกรอบพอดี ข้อสรุป
ดังกล่าวเป็นข้อสรุปที่ได้มาด้วยการให้เหตุผลแบบอุปนัย
4. นกอินทรีเป็นนก นกอินทรีบินได้
นกพิราบเป็นนก นกพิราบบินได้
นกนางนวลเป็นนก นกนางนวลบินได้
จึงสรุปว่า นกทุกชนิดบินได้ข้อสรุปนี้ได้มาด้วยการให้เหตุผลแบบอุปนัย ข้อสังเกตข้อสรุปนี้ไม่เป็น
จริงสาหรับนกบางชนิด
เช่น นกเพนกวิน นกกระจอกเทศ ที่บินไม่ได้