2. 2
อนาคตวิทยา/การศึกษาอนาคต: กรอบความคิดในการศึกษาแนวโน้มโลก
ความพยายามในการสร้างจินตภาพถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ
และการวางแผนดาเนินการต่างๆที่อาจช่วยแผ้วทางให้จินตภาพนั้นๆได้หยั่งราก โดยอาศัยการ
คาดการณ์จากพื้นฐานความรู้ความเข้าใจต่อความเป็นไปของเรื่องราวที่ดารงอยู่ในปัจจุบันและที่เคย
เกิดขึ้นแล้วในอดีต หาใช่เรื่องแปลกใหม่สาหรับมนุษยชาติ การพยายามสร้างความแน่นอน(ให้เกิดขึ้น
อย่างน้อยในจิตใจ)บนพื้นฐานของความไม่แน่นอนเช่นเหตุการณ์ในอนาคต ยังรวมไปถึงการทานายด้วย
หลากวิธี อาทิ การเพ่งกสิณมองลูกแก้ว (crystal-ball gazing) และการเสี่ยงทายต่างๆ เช่นที่ปรากฏให้
เห็นในหลายวัฒนธรรม ยิ่งความเปลี่ยนแปลงและปรากฏการณ์ในสังคมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และ/หรือ
ส่งผลกระทบในวงกว้างมากเท่าใด ความพยายามเช่นนั้นยิ่งเพิ่มพูนแปรผันตามกัน เพื่อหวังจะให้การ
เรียนรู้จากความพยายามนั้นสร้างจินตภาพถึงเส้นทางในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีตัวแปรด้าน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง จนได้ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างภาพโลกอนาคต ที่มี
เทคโนโลยีแสดงบทบาทสาคัญในการดารงชีวิตของมนุษย์อย่างชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่
19 เช่นที่ปรากฏในนิยายแห่งโลกอนาคตของ H.G. Well ที่แม้จะก่อข้อถกเถียงกันว่า จินตภาพจากแวด
วงดังกล่าวจะได้รับการจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาอนาคต (Future Studies) หรือ อนาคต
วิทยา (Futurology) ได้หรือไม่ เพราะพลังจินตนาการอาจไม่ใช่แหล่งกาเนิดเดียวของการศึกษา
ดังกล่าว1 แม้กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ยากจะปฏิเสธก็คือ เรื่องราวจากจินตภาพเช่นนั้น กระตุ้นให้เกิดคาถาม
ถึงผลกระทบต่อรูปแบบการดารงชีวิตของมนุษย์ และการตัดสินใจในการเลือกดาเนินแนวทางใน
หลากหลายมิติตั้งแต่ระดับปัจเจก ระดับรัฐ ไปจนถึงระดับระหว่างรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนคาถามสาหรับ
การศึกษาภาพในอนาคต
การพยายามทาความเข้าใจการเกิดขึ้นและความโหดร้ายของมหาสงคราม (the Great War)
หรือที่ต่อมาภายหลังเรียกขานกันว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อหวังสร้างเส้นทางสู่อนาคตที่ดีกว่าของ
มนุษยชาติ(อย่างน้อยตามระบบคิดของตะวันตก) ไม่เพียงให้กาเนิดการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ (International Relations: IR) ในฐานะสาขาวิชาการศึกษาอย่างจริงจังขึ้นที่คณะการเมือง
ระหว่างประเทศ (Department of International Politics) มหาวิทยาลัยแห่งชาติเวลส์ (University of
Wales) ที่เมืองอาเบอรีสวิธ (Aberystwyth) แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการจัดตั้งสถาบันวิจัยในลักษณะของคลัง
ปัญญา (think tanks) เพื่อช่วยกากับให้การดาเนินนโยบายต่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวม
ไปถึงการพยายามเสนอแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมโลกด้วยความคาดหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า
ซึ่งไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงผ่านมิติการเมืองชั้นสูงเพียงอย่างเดียว การจัดตั้ง Chatham House ตั้งแต่
ค.ศ. 1919 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปเป็นสถาบันหลวงแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Royal Institute
of International Studies: RIIA) ในช่วงกลางทศวรรษ 1920 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้
สถานบันดังกล่าวยังเป็นต้นแบบให้กับการจัดตั้งคณะที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ (Council for Foreign Relations: CFR) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1921 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
1
Thomas J Lombardo (n.a) ‘Future Studies’ Center for Future Consciousness Retrieved from
http://www.centerforfutureconsciousness.com/pdf-files/Readings/Future/Studies.pdf , pp. 1-4 (7/12/2014)
3. 3
แกนนาสาคัญในการต่อกรกับองค์การคอมมิวนิสต์สากล (Comintern) ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพ
โซเวียตในช่วงเวลานั้น2 การจัดตั้งสถาบันวิจัยในลักษณะใกล้เคียงกันนี้กระจายตัวอย่างมากใน
สหรัฐอเมริกา ในช่วง ค.ศ. 1929-1939 โดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และความพยายามที่จะ
ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้านั้นเข้ามาช่วยในการกาหนดเส้นทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-สังคม (ซึ่ง
แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อปัญหาการเมือง) และคาดการณ์ทิศทางในอนาคต ไม่ต่างจากความ
เป็นไปในสหภาพโซเวียตที่มีการคาดการณ์ทางสังคมผ่านการวางแผน การวางโปรแกรม การออกแบบ
และการควบคุม ที่เริ่มดาเนินการตั้งแต่สมัยเลนิน โดยอาศัยพื้นฐานหลักการแห่งการวิภาษและวัตถุนิยม
เชิงประวัติศาสตร์ เป็นตัวขับเคลื่อนการวางแนวทางในอนาคต3 ความพยายามต่างๆดังกล่าว ถือได้ว่า
เป็นเนื้อนาบุญให้กับการพัฒนาการวางแนวทางการศึกษาอนาคตในช่วงเวลาต่อมา แม้ว่าความพยายาม
ข้างต้นจะยังไม่อาจหยุดยั้งการผลิตซ้าธรรมชาติด้านลบและความรุนแรงในสังคมมนุษย์ การเกิดขึ้นของ
สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามตัวแทนมากมายในช่วงสงครามเย็น รวมถึงความขัดแย้งที่เพิ่มระดับ
ความรุนแรงด้วยการใช้กาลังอาวุธในหลากหลายกาลเทศะล้วนเป็นประจักษ์พยานในเรื่องดังกล่าว
แม้กระนั้นก็ตาม ความพยายามสร้างจินตภาพถึงอนาคตดูจะได้รับความสนใจอย่างเป็นรูปธรรม
มากขึ้น ในยุคสมัยที่วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทสาคัญในการเก็บรวบรวมสถิติการศึกษา
พฤติกรรมมนุษย์ ที่เรียกกันว่า พฤติกรรมนิยม หรือ พฤติกรรมศาสตร์ (Behaviourism) เพื่อวิเคราะห์
พฤติกรรมที่ดารงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะนาไปสู่การคาดการณ์พฤติกรรมของมนุษย์ในอนาคต อันเป็น
แนวทางการศึกษาซึ่งเป็นที่นิยมจนกลายเป็นกระแสหลักของการศึกษาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960
ภายใต้การนาของเหล่านักวิชาการผู้พิสมัยความรู้ความชานาญการจากจากฐานทางเทคนิควิทยาศาสตร์
หรือที่เรียกว่า technocrats ซึ่งเน้นการเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายและรวดเร็ว (แม้ว่าการก่อตัวของ
ปัญหาต่างๆที่นาไปสู่วิกฤต มักจะเกิดตรงจุดตัดของความสัมพันธ์อสมมาตรระหว่างเสถียรภาพทาง
เศรษฐกิจและโครงสร้างสังคม) โดยไม่เน้นความสาคัญจนถึงขั้นขจัดอุปสรรคทางการเมือง ด้วยการให้
น้าหนักกับ “อะไรคือสิ่งที่จะแก้ไขได้” มากกว่า “อะไรคือสิ่งที่จะต้องแก้ไข” จึงอาจจะยังไม่มีความกระจ่าง
ชัดนักว่า เส้นทางแห่งอนาคตที่ตนมุ่งหวังนั้นคืออะไร4
การยึดกุมอานาจของเหล่านักวิศวกรทางสังคม (social engineers) ที่อาจจะขาดความใส่ใจ
อย่างจริงจังต่อปทัสถานและความต้องการของมวลชน อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากซึ่งการเปิดหู เปิดตา
และเปิดใจ ให้กว้างต่อการศึกษาที่แม้จะแตกต่างหลากหลายในเรื่องวิธีการและขอบข่าย แต่อาจมี
จุดมุ่งหมายเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันในการแสวงหาอนาคตที่ดีร่วมกันของมนุษยชาติ เสียงเตือน
ดังกล่าวช่วยให้ตระหนักว่า แม้ปัญญาชน (ซึ่งมิได้กินความจากัดคับแคบแค่เพียง technocrats) จะ
2
Wayne S Cox and Kim Richard Nossal. (2009). ‘The ‘crimson world’: The Anglo core, the post-Imperial non-
core, and the hegemony of American IR’ in Arlene B Tickner and Ole Waever (eds.). International Relations
Scholarship Around the World. London and New York: Routledge, p. 295
3
Igor Bestuzhev-Lada (1969) ‘Forecasting – an approach to the problems of the future’ International Social
Science Journal Vol.XXI, No. 4, pp.526-534
4
Irving Louis Horowitz (1969) ‘Engineering and sociological perspectives on development: interdisciplinary
constraints in social forecasting’ International Social Science Journal Vol.XXI, No. 4, pp.545-556