Contenu connexe Plus de Ornkapat Bualom (7) บทที่ 9 รายได้ประชาชาติ การบริโภค การออม และการลงทุน5. ประเภทรายได้ประชาชาติ
1. ผลิตภัณฑ์รวมภายในประเทศ(gross domestic product: GDP)
2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(gross national product: GNP)
3. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ (net national product: NNP)
4. รายได้ประชาชาติ (national income: NI)
5. รายได้ส่วนบุคคล (Personal Income : PI)
6. รายได้สุทธิส่วนบุคคล (Disposable Income : DI)
7. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล (Per Capita Income)
5
6. 1. ผลิตภัณฑ์รวมภายในประเทศ(GROSS DOMESTIC PRODUCT: GDP)
มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ประเทศผลิตได้
ภายในประเทศ ในระยะเวลาหนึ่งโดยปกติคิดระยะเวลา 1 ปี โดยไม่
คานึงถึงว่าทรัพยากรที่นามาผลิตสินค้านั้นเป็นของชาติใด
GDP ที่คานวณได้จะแสดงกาลังความสามารถในการผลิตของ
ประเทศ
6
GDP = รายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ
7. 2.ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น (GROSS NATIONAL PRODUCT : GNP)
มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ประชาชน
ของประเทศทาการผลิตขึ้นได้ในระยะเวลา 1ปี
**GNP ที่คานวณได้สามารถใช้แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้
7
GNP = GDP + รายได้สุทธิจากต่างประเทศ
9. 4.รายได้ประชาชาติ (NATIONAL INCOME : NI)
มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่แท้จริงที่
ประชาชนของประเทศทาการผลิตขึ้นได้ในระยะเวลา 1 ปี
9
NI = NNP - ภาษีทางอ้อม + เงินอุดหนุน
10. 5. รายได้ส่วนบุคคล (PERSONAL INCOME : PI)
รายได้เฉพาะส่วนที่บุคคลได้รับจากการผลิตสินค้าและบริการ รวม
กับรายได้ส่วนที่ไม่ได้เกิดจากการผลิตสินค้าและบริการ
10
PI = NI – (กาไรที่ยังไม่ได้จัดสรร + ภาษีเงินได้บริษัท + ภาษีประกันสังคม)
+ เงินโอน
12. 7.รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล (PER CAPITA INCOME)
12
เช่น per capita GDP = GDP
N
เช่น per capita GNP = GNP
N
รายได้ ….
จานวนประชากร (N)
=…per Capita
เช่น per capita NI = NI
N
15. 1. วิธีการคานวณด้านผลิตภัณฑ์ (PRODUCT APPROACH)
คือ การรวบรวมมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย (final goods
and services) ที่ผลิตด้วยทรัพยากรของประเทศภายในระยะเวลา 1 ปี
15
เพื่อป้องกันปัญหาการนับซ้า
ทาได้โดยการคานวณหา
มูลค่าเพิ่ม (value added)
ของสินค้า และบริการในแต่ละขั้นตอนการผลิต
สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย = สินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อไปเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยตรง
17. 2. วิธีการคานวณด้านรายจ่าย (EXPENDITURE APPROACH)
การคานวณหารายจ่ายทั้งหมดที่ประชาชนใช้ซื้อสินค้า และบริการ
ของประเทศ ภายในระยะเวลา 1 ปี
รายจ่ายทั้งหมดแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1)รายจ่ายเพื่อการอุปโภค และบริโภคของภาคเอกชน : C
2) รายจ่ายเพื่อการลงทุนทั้งหมดของเอกชนภายในประเทศ : I
3) รายจ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล : G
4) การส่งออกสุทธิ : X-M
17
GDP = C + I + G + (X – M)
18. 1) รายจ่ายเพื่อการอุปโภค และบริโภคของภาคเอกชน
(PERSONAL CONSUMPTION EXPENDITURE : C)
คือ ค่าใช้จ่ายของฝ่ายครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
โดยแบ่งเป็นสินค้าถาวร สินค้าไม่ถาวร และรายจ่ายค่าบริการ
ค่าใช้จ่ายที่ ไม่ นามาคานวณในรายได้ประชาชาติ
1. ค่าใช้จ่ายซื้อสินค้ามือสอง
2. เงินโอน
18
21. 3. วิธีการคานวณด้านรายได้ (INCOME APPROACH)
การคานวณรายได้ทั้งหมดที่เจ้าของปัจจัยการผลิต ได้รับ
จากการให้ปัจจัยการผลิตที่ตนมีอยู่แก่หน่วยผลิตในการผลิต
สินค้าและบริการภายในระยะเวลา 1 ปี
21
NI = ค่าเช่า + ค่าจ้าง + ดอกเบี้ย +กาไร
22. ค่าเช่า(rent) = ค่าตอบแทนที่บุคคลได้รับจากการให้เช่าทรัพย์สินต่างๆ
ค่าจ้าง(wage) = ค่าตอบแทนที่นายจ้างให้กับลูกจ้างทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมทั้งที่อยู่ในรูปตัวเงิน และไม่ได้อยู่ในรูปตัวเงิน
ดอกเบี้ย (Interest) = ดอกเบี้ยทั้งหมดที่เอกชนได้รับจากการเป็นเจ้าของ
ปัจจัยทุน
กาไร (profit) = รายได้ที่เป็นผลตอบแทนของผู้ประกอบการ
22
-รายได้ของผู้ประกอบการที่มิใช่นิติบุคคล
-รายได้ของผู้ประกอบการนิติบุคคล เช่น เงินปันผล , กาไรที่ไม่ได้
จัดสรร, ภาษีเงินได้ของบริษัท
27. ตามทฤษของเคนส์ รายได้ถูกกาหนดโดย อุปสงค์มวลรวม
(aggregate demand) ซึ่งประกอบด้วย
ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภค(C)
การลงทุน(I)
ค่าใช้จ่ายรัฐบาล(G)
การค้าต่างประเทศสุทธิ(X-M)
ถ้าค่าใช้จ่ายทุกตัวมีมาก รายได้ประชาชาติก็สูงตามไปด้วย นั่น
เท่ากับว่า อุปสงค์มวลรวม เป็นตัวกาหนด รายได้ประชาชาติ
27
29. ฟังก์ชันการบริโภค (consumption function)
C = f(Yd , A1 , A2 , A3……..)
โดยที่ C = การใช้จ่ายในการบริโภค
Yd = รายได้สุทธิส่วนบุคคล
A1 , A2 , A3…….. คือ ปัจจัยอื่นๆ
โดยที่Yd = ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภค(C) + การออม(S)
และ S=f(Yd) 29
32. สมการการบริโภค
a = ระดับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเมื่อรายได้เท่ากับศูนย์
b = อัตราส่วนการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคกับการเปลี่ยนแปลงรายได้สุทธิส่วน
บุคคล
32
C = a + bYd
ตัวอย่าง ถ้าการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค 4000 บาท ซึ่งเท่ากับรายได้พอดี ต่อมา เมื่อรายได้เพิ่ม ขึ้นเป็น
6000 บาท ทาให้ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 5500 บาท
=
Yd
C
ดังนั้น C = 1000 + 0.75Yd
จากตาราง a = 1000
=
Yd
C =
2000
1500 = 0.75
33. ความโน้มเอียงในการบริโภคเฉลี่ย
(THE AVERAGE PROPENSITY TO CONSUME : APC)
33
APC =
C
Yd
ณ รายได้ 3000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการบริโภค 3250 บาท
APC = 3250 / 3000 = 1.08
C > Yd ; APC > 1
ณ รายได้ 4000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการบริโภค 4000 บาท
APC = 4000 / 4000 = 1
C = Yd ; APC = 1
ณ รายได้ 4750 บาท
ค่าใช้จ่ายในการบริโภค 5000 บาท
APC = 5000 / 4750 = 0.95
C < Yd ; APC < 1
35. กฎว่าด้วยการบริโภคของเคนส์
เคนส์ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภค และรายได้ โดยสรุป คือ
1. แม้ไม่มีรายได้ ก็มีการบริโภค
2. MPC หรือ เส้นการบริโภคมีค่าเป็น บวก เสมอเพราะเมื่อรายได้เพิ่ม
บริโภคเพิ่ม
3. MPC มีค่า < 1 เสมอ และค่า APC จะลดลงเมื่อรายได้เพิ่ม
4. รายได้ จะถูกใช้เป็น 2 ส่วนคือ เพื่อการบริโภค และเพื่อการออม ดังนั้น
MPC+MPS = 1 เสมอ
5. MPC ณ ระดับรายได้สูง จะมีค่าต่ากว่า MPC ณ ระดับรายได้ต่า 35
38. สมการการออม Yd = C + S
S = Yd – C
จากสมการ C = a + bYd
S = Yd – (a + bYd)
S = -a + (1-b)Yd
โดยที่
-a = การออมในอดีตที่ถูกใช้ในการบริโภคเมื่อรายได้ = 0
(1-b) = อัตราส่วนของการออมที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อรายได้สุทธิส่วนบุคคลเปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วย
38
=
Yd
S
39. ความโน้มเอียงในการออมเฉลี่ย
(THE AVERAGE PROPENSITY TO SAVE : APS)
39
APS =
S
Yd
ณ รายได้ 3000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการออม -250 บาท
APS = -250 / 3000 = -0.08
S < 0 ; APS < 0
ณ รายได้ 4000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการออม 0 บาท
APS = 0 / 4000 = 0
S = 0 ; APS = 0
ณ รายได้ 5000 บาท
ค่าใช้จ่ายในการออม 250 บาท
APS = 250 / 5000 = 0.05
S > 0 ; APS > 0
41. 41
Yd C S APC APS MPC MPS
0 1000 -1000 - - - -
1000 1750 -750 1.75 -0.75 0.75 0.25
2000 2500 -500 1.25 -0.25 0.75 0.25
3000 3250 -250 1.08 -0.08 0.75 0.25
4000 4000 0 1 0 0.75 0.25
5000 4750 250 0.95 0.05 0.75 0.25
6000 5500 500 0.92 0.08 0.75 0.25
7000 6250 750 0.89 0.11 0.75 0.25
8000 7000 1000 0.88 0.12 0.75 0.25
ตารางระดับรายได้สุทธิส่วนบุคคลและระดับการบริโภคและการออม
*เมื่อรายได้เปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายและการออม ดังนั้น MPC+MPS = 1 เสมอ
42. 42
0 Yd
C
Yd = C
C = a + b Yd
4000
4000
S = -a + (1-b) Yd1000
-1000
จากตัวเลขในตาราง เราสามารถเขียนเส้นการบริโภคและการออม ดังรูป
46. ฟังก์ชันการลงทุน (INVESTMENT FUNCTION)
โดยที่ I = การใช้จ่ายในการบริโภค(การลงทุน)
Y = รายได้สุทธิส่วนบุคคล
B1 , B2 , B3…….. คือ ปัจจัยอื่นๆ
46
I = f(Y , B1 , B2 , B3……..)
I = f(Y)
ฟังก์ชันการลงทุนตามทฤษฎีรายได้ประชาชาติของเคนส์
48. 2. การลงทุนแบบจูงใจ (INDUCED INVESTMENT : II)
การลงทุนแบบจูงใจจะผันแปรตามระดับรายได้ประชาชาติ
ถ้ารายได้เพิ่มขึ้น การลงทุนจะเพิ่มตาม
ถ้ารายได้ลดลง การลงทุนจะลดตาม
48
การลงทุน
Y0
Ii
50. ตัวอย่าง กาหนดให้ระดับรายได้เท่ากับศูนย์ มีการลงทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 1000 ล้าน
บาท ถ้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 5000 ล้านบาท จะมีการลงทุนทั้งสิ้นเท่ากับ
2000 ล้านบาท จงหาการลงทุน ณ ระดับรายได้ 10000 ล้านบาท
แทนค่า I = Ia + iY
I = 1000 + 0.2 (10000)
I = 1000 + 2000 = 3000
ระดับรายได้ 10000 ล้านบาท จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 3000 ล้านบาท
50
หาค่า i จาก
i = I
Y
= 2000 –1000
5000 - 0
= 1000
5000
= 0.2
56. การขยายตัว (expansion) ระยะนี้ ราคาสินค้าค่อยๆสูงขึ้น การ
ลงทุนเพิ่มขึ้น การจ้างงานมากขึ้น ขยายการผลิตมากขึ้น ทาให้รายได้
มากขึ้น
การชะลอตัว(recession) ระยะนี้ เศรษฐกิจเติบโตเต็มที่แล้ว อัตรา
ผลตอบแทนจากการลงทุนตกต่าลง เนื่องจากผลผลิตมาก ต้นทุน
สูงขึ้น การลงทุนลดลง เกิดภาวะการว่างงาน รายได้ลดลง
การหดตัว(depression) ระยะนี้ ภาวะเศรษฐกิจตกต่าอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากการหดตัวของการลงทุน ทาให้รายได้ต่าลง การว่างงานมาก
ขึ้น
การฟื้ นตัว (recovery) ระยะนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัว 56
57. สาเหตุของวัฏจักรธุรกิจ
สาเหตุจากภายนอก เช่น สงคราม การปฏิวัติ นโยบาย
การเมือง การค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ
สาเหตุภายใน เช่นกลไกในระบบเศรษฐกิจ
โดยสรุปแล้ว วัฏจักรเกิดจากความผันผวนของการลงทุน
เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การนา
เทคโนโลยีใหม่มาใช้ การเพิ่มขึ้นของประชากร นอกจากนี้ คือ
เกิดจากการลงทุนโดยอิสระ
57