โครงงานคอมพิวเตอร์ เลขที่2และ23 612
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2559
ชื่อโครงงาน
รู้ทันมนุษย์ด้วยหลักจิตวิทยา
(Now I see your mind)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1.นาย พีรพงษ์ เด่นสท้าน เลขที่ 2
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่6 ห้อง 12
2.นางสาว ปริย พรมเสน เลขที่23
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่6 ห้อง 12
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา
2559
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1. นาย พีรพงษ์ เด่นสท้าน เลขที่ 2
2. นางสาว ปริย พรมเสน เลขที่23
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
รู้ทันมนุษย์ ด้วยหลักจิตวิทยา
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Now I see your mind
ประเภทโครงงาน
โครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นาย พีรพงษ์ เด่นสท้าน
ชื่อที่ปรึกษา
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559
- 3. 3
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล
ของการทาโครงงาน)
มนุษย์นั้นแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นตรงที่มนุษย์นั้นถูกจัดเป็นสัตว์สังคม มีความคิดความอ่านและการแสดงออก
อย่างชัดเจน ดังนั้นการแสดงออกของมนุษย์แต่ละครจึงแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและสังคมรอบ
ข้างที่หล่อเลี้ยงคนคนนั้นให้เติบโตมาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเองขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใต้สานึกของคนคนนั้น ว่า
เขาคิดอย่างไร จึงแสดงออกอย่างนั้น เพื่อที่จะเข้าในมนุษย์อันป็นส่วนประกอบหลักของสังคมเพื่อที่จะทาให้เรานั้น
เข้าใจสังคมมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับ หลักจิตวิทยา หลักการที่ว่าด้วยพื้นฐานความคิดของมนุษย์
เพื่อที่จะเข้าใจมนุษย์ให้มากขึ้น
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์
เพื่อเข้าใจสังคมอันมีมนุษย์เป็นส่วนประกอบหลัก
เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีในสังคมอันเนื่องจากมนุษย์เข้าใจกันมากขึ้น
เพื่อจะได้เข้าใจตนเอง
เพื่อที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจตัวเอง
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทา
โครงงาน)
ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่มีผลมาจากความคิดที่อยู่เบื้องลึงภายในเพื่อนาไปสู่ความเข้าใจมนุษย์
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทา
โครงงาน)
ปัจจัยพื้นฐานด้านจิตวิทยา
ปัจจัยสาคัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย
ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทาหน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรับรู้และตีความสิ่งเร้าก่อนที่ร่างกายจะแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ
ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สาคัญ ประกอบด้วย แรงจูงใจและ การเรียนรู้
1. แรงจูงใจ
1.1 ความหมาย ประเภทและปัจจัย
แรงผลักดันจากภายในที่ทาให้ให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมตอบสนองอย่าง มีทิศทางและ เป้ าหมาย เรียกว่า แรงจูงใจ คน
ที่มีแรงจูงใจ ที่จะทา พฤติกรรมหนึ่งสูงกว่า จะใช้ความพยายามนา การกระทาไปสู่เป้ าหมายสูงกว่า คนที่มีแรงจูงใจ
ต่ากว่า แรงจูงใจของมนุษย์จาแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ประเภทแรก ได้แก่ แรงจูงใจทางกาย ที่ทาให้มนุษย์แสดง
- 4. 4
พฤติกรรมสนองความต้องการ ที่จาเป็นทางกาย เช่น หาน้า และอาหารมา ดื่มกิน เมื่อกระหายและหิว ประเภทที่
สอง ได้แก่ แรงจูงใจทางจิตซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางสังคม เช่น ความต้องการความสาเร็จ เงิน คาชม
อานาจ กลุ่มและพวก เป็นต้น ปัจจัยที่ทาให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ประกอบด้วย
1.1.1 ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจาเป็นของชีวิต คือ อาหาร น้า ความปลอดภัย
1.1.2 ปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น วิตกกังวล กลัว โกรธ รัก เกลียด และความรู้สึกอื่นใด ที่ให้คนมี
พฤติกรรม ตั้งแต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนถึง การฆ่าผู้อื่น
1.1.3 ปัจจัยทางความคิด เป็นปัจจัยที่กาหนดให้บุคคลกระทาในเรื่องที่คิดว่า เหมาะสมและเป็นไปได้และตามความ
คาดหวังว่า ผู้อื่นจะสนองตอบ การกระทาของตนอย่างไร
1.1.4 ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่กาหนดพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อให้สอดคล้องกับสังคม และเป็นที่ยอมรับ ของ
บุคคลในสังคมนั้นด้วย การกระทาของผู้อื่นและผลกรรมที่ได้รับจึงทาให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม ซึ่ง
เป็นไปกฏระเบียบ และตัวแบบทางสังคม
1.2 ทฤษฎีแรงจูงใจ
นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุษย์เพื่อตอบคาถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ปรากฏ แต่ละ
ทฤษฎีมีจุดที่เป็น ความแนวคิด เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ที่สาคัญได้แก่ ทฤษฎีสัญชาติญาณ
ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎีการตื่นตัว และทฤษฎีสิ่งล่อใจ
1.2.1 ทฤษฎีสัญชาติญาน (Instinct Theory)
สัญชาติญาน เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกโดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติของชีวิต เป็นความพร้อม ที่จะทา
พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อพฤติกรรมนั้น สัญชาติญาณ จึงมีความสาคัญต่อ ความอยู่รอด
ของชีวิต ในสัตว์บางชนิด เช่นปลากัดตัวผู้จะแสดงการก้าวร้าว พร้อมต่อสู้ ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัวอื่น สาหรับ ใน มนุษย์
สัญชาติญาณ อาจจะไม่แสดงออกมา อย่างชัดเจนในสัตว์ชั้นต่า แต่บุคคลสามารถรู้สึกได้เช่น ความใกล้ชิด ระหว่าง
ชายหญิง ทาให้เกิด ความต้องการทางเพศได้พฤติกรรมนี้ไม่ต้องเรียนรู้ เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ตายตัว แน่นอน ซึ่ง
กาหนดมา ตามธรรมชาติจาก ปัจจัยทางชีวภาพ ในปัจจุบันการศึกษา สัญชาตญาน เป็นเพียงต้องการ ศึกษา ลักษณะ
การตอบสนอง ขั้นพื้นฐาน เพื่อความเข้าใจ พฤติกรรม เบื้องต้นเท่านั้น
1.2.2 ทฤษฎีแรงขับ (Drive Reduction Theory)
แรงขับ (Drive) เป็นกลไกภายในที่รักษาระบบทางสรีระ ให้คงสภาพสมดุลในเรื่องต่าง ๆ ไว้เพื่อทาให้ ร่างกายเป็น
ปกติ หรืออยู่ในสภาพ โฮมิโอสแตซิส (Homeostasis) โดยการปรับระบบให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ทฤษฎีแรงขับอธิบายว่า เมื่อเสียสมดุลในระบบ โฮมิโอสแตซิส จะทาให้เกิดความต้องการ (Need) ขึ้น เป็นความ
ต้องการทางชีวภาพเพื่อรักษาความคงอยู่ของชีวิต และความต้องการนี้ จะทาให้เกิด แรงขับ อีกต่อหนึ่ง
แรงขับเป็น สภาวะตื่นตัว ที่พร้อมจะทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลเพื่อลดแรงขับนั้น (Drive
Reduction) ตัวอย่างเช่น การขาดน้าในร่างกาย จะทาให้เสียสมดุลทางเคมี ในเลือด เกิดความต้องการเพิ่มน้า ใน
ร่างกาย แรงขับ ที่เกิดจากต้องการน้าคือ ความกระหาย จูงใจให้เราดื่มน้าหรือหาน้ามาดื่ม หลังจากดื่มสม ความ
ต้องการแล้ว แรงขับก็ลดลง กล่าวได้ว่า แรงขับผลักดันให้คนเรามีพฤติกรรม ตอบสนอง ความต้องการ เพื่อทาให้
แรงขับ ลดลงสาหรับที่ร่างกาย จะได้กลับสู่ สภาพสมดุล อีกครั้งหนึ่ง
- 5. 5
แรงขับ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) และ แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive)
แรงขับที่เกิดจาก ความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้า ความต้องการและแรงขับประเภท
นี้ เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นแรงขับ ประเภทปฐมภูมิ ส่วนแรงขับทุติยภูมิ เป็นแรงขับที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้
แรงขับประเภทนี้ เมื่อเกิดแล้วจะจูงใจคนให้กระทาสิ่งต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เช่น
คนเรียนรู้ว่า เงินมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการสนองความต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ อีกมาก การไม่มี
เงิน จึงเป็นแรงขับทุติยภูมิสามารถจูงใจให้คนกระทาพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ได้เงินมาตั้งแต่การทางานหนัก จนถึง
การทา สิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การปล้นธนาคาร
1.2.3 ทฤษฎีการตื่นตัว (Arousal Theory)
มนุษย์ถูกจูงใจให้กระทาพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อรักษาระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะ (Optimal level of arousal) เมื่อมี
ระดับการตื่นตัวต่าลง ก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น และเมื่อการตื่นตัวมีระดับสูงเกินไปก็จะถูกดึงให้ลดลง เช่น เมื่อ
รู้สึกเบื่อคน จะแสวงหาการกระทาที่ตื่นเต้น เมื่อตื่นเต้นเร้าใจมานานระยะหนึ่ง จะต้องการพักผ่อน เป็นต้น คนแต่
ละคนจะมีระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะแตกต่างกัน
การตื่นตัวคือ ระดับการทางานที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ระบบของร่างกาย สามารถวัดระดับการทางานนี้ได้จากคลื่น
สมอง การเต้นของหัวใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือจากสภาวะของอวัยวะต่าง ๆ ขณะที่หลับสนิทระดับการตื่นตัว
จะต่าที่สุด และสูงสุดเมื่อตกใจหรือตื่นเต้นสุดขีด การตื่นตัวเพิ่มขึ้นได้จากความหิว กระหายน้าหรือแรงขับทาง
ชีวภาพอื่น ๆ หรือจากสิ่งเร้าที่เข้มข้น รุนแรง เหตุการณ์ไม่คาดหวังไว้ก่อน หรือจากสารกระตุ้นในกาแฟ และยาบาง
ชนิด
การทางานจะที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อมีระดับการตื่นตัวปานกลาง ระดับการตื่นตัวที่สูงเกินไปจะรบกวนความใส่ใจ
การรับรู้ การคิด สมาธิ กล้ามเนื้อทางานประสานกันได้ยาก เมื่อระดับการตื่นตัวต่า คนเราทางานที่ยากและมี
รายละเอียดได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ง่ายจะทาได้ดีเมื่อระดับ การตื่นตัวสูง คนที่มีระดับการตื่นตัวสูงเป็นนิสัย มักสูบ
บุหรี่ ดื่มสุรา กินอาหารรสจัด ฟังดนตรีเสียงดัง มีความถี่เรื่องเพศสัมพันธ์ ชอบการเสี่ยงและลองเรื่องใหม่ ๆ ส่วน
คนที่มีระดับการตื่นตัวต่าเป็นปกติ มักมีพฤติกรรมที่ไม่เร้าใจมากนัก ไม่ชอบการเสี่ยง ความแตกต่างในระดับ
พอเหมาะของการตื่นตัว เกิดจากพื้นฐานทางชีวภาพเป็นเรื่องหลัก และทาให้มีบุคลิกภาพแตกต่างกันไปด้วย
1.2.4 ทฤษฎีสิ่งจูงใจ (Incentive Theory)
ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมที่จูงใจจะดึงดูดให้คนมุ่งไปหาสิ่งนั้น มนุษย์กระทากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสวงหาสิ่งที่
พอใจ (Positive Incentives) เช่น รางวัล คายกย่อง สิทธิพิเศษ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ (Negative Incentives) เช่น
ถูกลงโทษ ถูกตาหนิ ทาให้เจ็บกาย การที่คนมี พฤติกรรมแตกต่างกัน หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับ
ความแตกต่างในคุณค่า (Values) ของสิ่งจูงใจ ถ้าคิดว่าการกระทาอย่างใด อย่างหนึ่ง จะได้รับผลคุ้มค่าก็จะมี
แรงจูงใจให้บุคคลกระทาอย่างนั้น
2. การเรียนรู้
การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และ การปรับพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์
หรือมี ปฏิสัมพันธ์ กับ สิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมมี ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า กับ
การ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลักการเรียนรู้ ที่สาคัญได้แก่ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก การวางเงื่อนไขปฏิบัติการ
และ หลักการเรียนรู้ทางสังคม
- 6. 6
2.1 การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของ พาฟลอฟ (Pavlov)
แนวคิดนี้เชื่อว่า มนุษย์ถูกวางเงื่อนไขเพื่อให้แสดง พฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ตามรูปอยู่ตลอดเวลา เงื่อนไข
จะถูกวาง ในขณะที่มีสิ่งเร้าอื่น ที่มีอิทธิพลต่อการกระตุ้นเร้าอินทรีย์อยู่ ทาให้มี พฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทั้ง
สอง อย่างพร้อม ๆ กัน เมื่ออินทรีย์เกิดการเรียนรู้ก็จะทาให้ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ถูก วางเงื่อนไขไว้ได้นอกจากนี้
การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ยังสามารถ แผ่ขยายไปยังสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ได้อีกด้วย หลักการนี้ ทาให้
เข้าใจ เรื่องความรู้สึก หรือ อารมณ์ของบุคคล ที่ไม่อาจหักห้ามได้เมื่อเจอสิ่งเร้าบางอย่าง เช่น กลัวสิ่งที่ไม่ อันตราย
รู้สึกขยะแขยงต่อสิ่งที่ น่าเกลียด เป็นเพราะ ถูกวางเงื่อนไขต่อสิ่งนั้น มาในอดีตตั้งแต่วัยเด็ก
2.2 การวางเงื่อนไขปฎิบัติการของ สกินเนอร์ (Skinner)
การวางเงื่อนไขอีกลักษณะหนึ่ง เป็นการวางเงื่อนไขที่เกิดจากแรงขับ ที่ทาให้อินทรีย์ปฏิบัติการ เป็นการเกิด
พฤติกรรม โดยวางเงื่อนไขระหว่าง พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้า กับ ผลกรรม (Consequence) ของ
พฤติกรรม นั้น พฤติกรรมใด ที่ได้รับ ผลกรรม เป็นที่พึงพอใจ พฤติกรรมนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ต่อสิ่งเร้า อย่าง
เดียวกัน อีกในโอกาสต่อไป ส่วนพฤติกรรมใดที่ได้รับผลกรรม ไม่เป็นที่พึงพอใจ พฤติกรรมนั้นมี แนวโน้ม ที่จะ
ยุติลงได้ผลกรรมจะมีลักษณะ เป็นการเสริมแรง พฤติกรรมมี ทั้งรางวัลและการลงโทษ การที่มนุษย์ส่วนมาก แสดง
พฤติกรรม ที่ให้ผลกรรม เป็นรางวัล และงดแสดงพฤติกรรมที่อาจถูกลงโทษ หรืองด พฤติกรรม ที่ไม่ได้รางวัลแล
ะแสดงพฤติกรรม เพื่อ หลีกเลี่ยงการถูก ลงโทษเป็นไปตาม ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ
2.3 การเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็น (Insight Learning)
การหยั่งเห็น เป็น พฤติกรรม ที่เกิดขึ้นในสัตว์ชั้นสูง เนื่องจากมี ความซับซ้อนใน ด้านการคิด และ การแก้ปัญหา
เพื่อให้เกิด ผลลัพธ์ที่ต้องการ นักจิตวิทยา ตามแนวคิดนี้ท่านหนึ่งชื่อ โคห์เลอร์ (Kohler) ได้ทาการศึกษา
กระบวนการแก้ปัญหา ของลิง ในการหยิบอาหารที่อยู่นอกกรง พบว่าลิงมี แบบแผนของการคิด ที่เชื่อมโยงกับ
สภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าในขณะนั้น และเลือกที่จะทา พฤติกรรมที่น่าจะเหมาะสมที่สุด และเมื่อศึกษา ต่อ
กับ มนุษย์ก็พบผลในทานองเดียวกัน ตามทฤษฎีนี้ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของบุคคล สามารถกระทาได้หลาย
รูปแบบ ขึ้นอยู่กับ กระบวนการคิดของคนผู้นั้น รูปแบบที่ ตอบสนอง แล้วได้ผลดีที่สุดจะเป็นแสดงความฉลาดของ
สติปัญญาของมนุษย์
2.4 การเรียนรู้ทางสังคม
การเรียนรู้ทางสังคม เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่กล่าวว่า พฤติกรรมของคนเราส่วนใหญ่เกิดจาก การสังเกตตัวแบบ
แล้ว ลอกเลียนพฤติกรรม ของตัวแบบ เฉพาะที่ตัวแบบได้รับการเสริมแรงเป็นรางวัล โดยที่ไม่จาเป็น ที่จะต้องทา
ตามแบบในทันที แต่อาจจะเก็บจาไว้ไปคิด หรือทดสอบ ดูก่อนก็ได้การที่ได้สังเกตตัวแบบเป็นเวลานาน เช่น ลูก
จะมีพ่อแม่เป็นตัวแบบ การเรียนรู้และจะทาตามอย่าง พ่อแม่โดยไม่รู้ตัว เพราะ การเรียนรู้ แบบนี้จะแฝงอยู่ใน
ความคิดก่อนที่จะแสดงออกมาให้เด่นชัด พฤติกรรมของบุคคลหลายอย่างเกิดจาก การกระทาตามตัวแบบ ที่เขา
นิยมชมชอบ เช่น เพื่อน ดาราภาพยนตร์ นักร้อง นักกีฬา บุคคลที่มีชื่อเสียง พฤติกรรมการเรียนรู้ทางสังคม เกิดจาก
กระบวนการเรียนรู้ ขั้น พื้นฐาน และส่วนใหญ่เกิดจาก ปัจจัยภายนอก การเรียนรู้ทางสังคม จึงสามารถ ถูก
ปรับเปลี่ยนไปได้ตามลักษณะของ การเสริมแรง การสังเกต ตัวแบบ พัฒนาการที่สูงขึ้น ระดับความคาดหวัง
ค่านิยม และรูปแบบการคิด (วินัย เพชรช่วยและคณะ, 2543)