Contenu connexe
Similaire à โรคตาบอดสี (9)
โรคตาบอดสี
- 2. โรคตาบอดสี
ตาบอดสี หรือที่เรียกว่า color blindness เป็นอาการที่ตาของผู้ป่วยแปรผลแปรภาพสีผิดไป จาก
ผู้อื่นที่เป็นตาปกติ
ปกติแล้วตาคนเราจะมีเซลรับแสงอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเซลรับแสงที่รับรู้ถึงความมืด หรือ สว่าง
ไม่สามารถแยกสีออกได้และจะมีความไวต่อการกระตุ้นแม้ในที่ที่มีแสงเพียงเล็กน้อย เซลกลุ่มที่สอง
เป็นเซลล์ทาหน้าที่มองเห็นสีต่าง ๆ โดยจะแยกได้เป็นเซล อีก 3 ชนิด ตามระดับคลื่นแสง หรือสี ที่
กระตุ้น คือ เซลล์รับแสงสีแดง เซลล์รับแสงสีน้าเงิน และเซลรับแสงสีเขียวสาหรับแสงสีอื่น จะ
กระตุ้นเซลดังกล่าวมากกว่าหนึ่งชนิดแล้วให้สมองเราแปลภาพออก มาเป็นสีที่ต้องการ ซึ่งเซลกลุ่มที่
สองนี้จะ ทางานได้ดีต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ดังนั้นในที่สลัว ๆ เราจึงไม่สามารถแยกสีของวัตถุได้
แต่ยังพอบอก รูปร่างได้ เนื่องจากมีการทางานในเซลของกลุ่มแรกอยู่ เมื่อเพิ่มแสงสว่างขึ้นเราจึง
มองเห็นสีต่าง ๆ ขึ้นมา
- 3. สาเหตุการเกิดตาบอดสี
ตาบอดสี (Color blindness)เกิดขึ้นจากเซลล์ประสาทชนิดหนึ่ง ในม่านตาซึงมีความไวต่อ
่
สีต่าง ๆ มีความบกพร่องหรือพิการ ทาให้ดวงตาไม่สามารถทีจะมองเห็นสีบางสีได้ ตาบอด
่
สี มีหลายชนิด ชนิดที่ทุกคนรู้จักโดยทั่วไปได้แก่ ตาบอดสีที่มองสีเขียว กับสีแดงไม่เห็น
(Red – Green blindness) ซึ่งจะทาให้ไม่สามารถแยกสีแดงกับสีเขียวจากสีอื่น ๆ ได้
ดังนั้นคนตาบอดสีชนิดนี้จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นสีน้าเงิน สีเหลือง สีขาว สีดา สี
เทา และส่วนผสมของสีเหล่านั้นทั้งหมด
สาเหตุต่าง ๆ เช่น การอักเสบ ภาวะขาดเลือด อุบัตเหตุเนื้อ งอก การเสื่อมลงของ
ิ
จอประสาทตา หรือผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมี
- 4. อาการ
ตาบอดสีมีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อยที่สุด เรียกว่า red/green color blindness โดยจะแยก สีแดงและสี
เขียวค่อนข้างลาบากโดยเฉพาะเวลาที่แสงไม่สว่างนัก ส่วนน้อยลงมาของคนที่มีตาบอด สีคือพวกที่ไม่สามารถ
แยกสีน้าเงินกับสีเหลือง จะมีบ้างเหมือนกันที่เป็นโรคตาบอดสีทุกสีเลยแต่ เป็น ส่วนน้อยมาก คนที่บอดสีแดง-
เขียวมักจะบอดสี น้าเงิน-เหลืองด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นตาบอดสี ชนิดใด ล้วนจะมีสายตาหรือการมองเห็น
(vision) ที่เป็นปกติ เพียงแต่ความสามารถในการแยกสี ไม่ปกติเท่านั้นเอง
ป่วยมักจะมีอาการเรียกชื่อสีหรือเห็นสีผิดไปจากเดิม โดยมากพบความผิดปกติของการมอง สี น้าเงิน
เหลือง มากกว่าแดงเขียว ความผิดปกติของตาทัง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นตาเดียวหรือทั้ง 2 ตา มีการ
้
เปลียนแปลงมากขึนหรือลดลงได้ รวมทั้งมีความผิดปกติของสายตาด้านอื่น ๆ เช่น การมอง เห็นและลาน
่ ้
สายตาลดลงได้ ขึ้นอยู่กบสาเหตุและความรุนแรงของโรค
ั
- 5. โรคตาบอดสี พบได้ประมาณ 8% ของประชากร
แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่เป็นตั้งแต่กาเนิด
(congenital color vision defects) และกลุ่มที่เป็น
ภายหลัง (acquired color vision defects) ซึ่งมักพบ
กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เป็นตั้งแต่กาเนิดบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็น
ภายหลัง
เมื่อพิจารณาในกลุ่มที่เป็นตั้งแต่เกิด กลุ่มย่อยที่พบได้
บ่อยที่สุด คือ กลุ่มที่บอดสีเขียว-แดง ซึ่งพบได้
ประมาณ 5-8% ในผู้ชาย และพบเพียง 0.5% ในผู้หญิง
(ผู้ชายพบได้บ่อยกว่า)
ส่วนในกลุ่มที่เป็นภายหลัง มักพบเป็นการบอดสีน้าเงิน-
เหลือง และพบได้พอๆกันทั้งชายและหญิง ซึ่งจานวนคน
ที่เป็นในกลุ่มนี้น้อยกว่ากลุ่มที่เป็นแต่กาเนิดมาก
- 6. ภาพแสดงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยโครโมโซม
การพบโรคนีในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเป็นกับแบบ แดง-แทบทั้งหมด เนื่องจากว่ายีน ที่ควบคุมการสร้างรงควัตถุรับสีชนิดสี
้
แดง และสีเขียวนัน (red-pigment เขียวgene, green-pigment gene) อยูบนโครโมโซม X เมื่อยีนนี้ขาดตกบกพร่องไปในคนใดคนหนึง
้ ่ ่
ก็จะทาให้คนนันสามารถรับรู้ สีเหล่านันได้ลดลงกว่าคนปกติแน่นอนว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นน้อยกว่าเนื่องจากในผูหญิงมีโครโมโซม X ถึงสอง
้ ้ ้
ตัว ถ้าเพียงแต่ X ตัวใดตัวหนึ่งมียนเหล่านี้อยู่ ก็สามารถรับรูสีได้แล้ว ในขณะที่ผ้ชาย มีโครโมโซม X เพียงตัวเดียว อีกตัวเป็น Y ซึ่งไม่ได้
ี ้ ู
มีแพคเกจบรรจุยนนี้แถมมาด้วย ;) ก็จะแสดง อาการได้เมื่อ X ตัวเดียวเท่าที่มีอยู่นั้นบกพร่องไป
ี
- 7. โดย นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย จักษุแพทย์
คณะผู้จัดทา
นางสาวมยุตรา จุลสินธุ์
นางสาวหทัยรัตน์ แซ่ซิ้ม
นางสาววนิดา นารีจัน
นางสาวศิรวิมล แสนสวัสดิ์
ิ
นายอมรเทพ ปะสาโท
จบ