เอกสารการสร้างการสร้างประชาธิปไตยของพรรคประชาชนฯ

1. การสร้างประชาธิปไตยทาอย่างไร?
การเมืองบ้านเราในสถานการณ์ปัจจุบันได้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางใหญ่โต
ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนที่เป็นอยู่นี้
เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบเผด็จการที่ไม่อาจปิดบังอาพรางกันได้อีกต่อไปแล้ว
การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนเป็นกระแสร้อนแรงไปทุกหย่อมหญ้าและ
พร้อมที่จะพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคขวางหน้า

2. หากสถาบันที่มีอานาจไม่รีบสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ประเทศชาติก็คงจะหนีมิคสัญญีกลียุคไม่พ้นอย่างแน่นอน
ในสถานการณ์ที่ประชาชนมีความต้องการประชาธิปไตยนี้
ได้มีกลุ่มการเมืองและคณะการเมืองได้เข้ามามีบทบาทในการนาประชาชน
เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยตามทรรศนะที่ตนต้องการโดยไม่ยึดหลักการและหลักวิชา
จึงทาให้เกิดการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนล้มเหลวซ้าแล้วซ้าเล่า
ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะทาให้บ้านเมืองไม่มีทางออกแล้ว
ยังส่งผลร้ายให้ความขัดแย้งของคนในชาติทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
และท่ามกลางความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนนี้ได้สร้างความสับสนให้พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมากว่า
ทรรศนะประชาธิปไตยแบบไหนคือความถูกต้องทรรศนะแบบไหนคือสิ่งที่ควรทาและไม่ควรทากล่าวได้สรุปก็คือ
ประชาชนต้องการทราบว่าการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องทาอย่างไร
จึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องและนาไปสู่การแก้ปัญหาของชาติได้
ปัญหาประชาธิปไตยนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยหลักวิชาโดยสังกัดอยู่ในวิชาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ (POLITICALSCIENCE)
ซึ่งมีหลักการและกฎเกณฑ์ที่จะต้องมีความเข้าใจและยึดถืออย่างเคร่งครัดมากมายซึ่งเราจะคิดจะพูดจะทา
เอาตามใจชอบไม่ได้เลย
การจะสร้างประชาธิปไตยให้สาเร็จนั้นนอกจากจะต้องมีความเข้าใจในลัทธิประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานแล้ว
ยังจะต้องประกอบด้วยความเข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เป็นเงื่อนไขสาคัญอีกหลายประการอาทิเช่น
1. ต้องเข้าใจว่าปัญหาพื้นฐานของชาติคือ“ระบบเผด็จการ”กล่าวคือภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24
มิถุนายน2475 แล้ว ประเทศของเรามีการปกครองระบอบเผด็จการมาตลอดเป็นเวลา 79ปี
สลับกันระหว่างเผด็จการรัฐประหารและเผด็จการรัฐสภาแต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับเข้าใจว่าเป็นประชาธิปไตย
โดยที่ถูกคณะราษฎรหลอกเอาไว้ว่ามีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยประเทศอื่นเป็นประชาธิปไตยประเทศเขาเจริญรุ่งเรือง
ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยประเทศทรุดโทรมตกต่าประชาชนยากจน
ฉะนั้นผู้ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาของชาติต้องมีความเข้าใจในระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างถูกต้อง
จึงจะแก้ปัญหาได้

3. 2. การสร้างประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้นสถาบันที่มีอานาจต้องเป็นผู้กระทาให้ประชาชน
ซึ่งในประวัติศาสตร์ก็มี2สถาบันคือ สถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพ
อย่าปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายจนประชาชนลุกขึ้นมาทาเอง
ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างประมาณมิได้ เช่นฝรั่งเศส
และในสภาวการณ์ปัจจุบันสถาบันพระมหากษัตริย์ควรเป็นผู้กระทาเพราะนอกจากจะใช้แนวทางสันติได้แล้ว
ยังจะยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากทุกฝ่ ายที่ขัดแย้งกันให้มาปรองดองสามัคคีกันแก้ปัญหาของชาติให้ตกไป
3. เสนอเรื่องปฏิวัติ ใน สถานการณ์ปฏิวัติปัจจุบันเป็นสถานการณ์ปฏิวัติเป็นสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยน
ระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งทั่วไป
เพราะเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนปฏิเสธการปกครองที่ไม่ใช่เป็นการปกครองของประชาชนโดยประชาชน
และเพื่อประชาชน
4. แยกการปฏิวัติออกจากรัฐประหารอย่างเด็ดขาดทั้งนี้เพราะการปฏิวัติเป็นการทาสิ่งที่ผิดให้ถูก
เปลี่ยนโครงสร้างเก่าเป็นโครงสร้างใหม่ในทางการเมืองหมายถึงการเปลี่ยนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย
ส่วนรัฐประหารหมายถึงการใช้กาลังยึดอานาจรัฐโดยผิดกฎหมายจึงไม่ควรเอา 2คานี้มาปะปนกัน
เพราะการเห็นรัฐประหารเป็นการปฏิวัตินั้นเป็นอุปสรรคสาคัญของการสร้างประชาธิปไตย
5. การยึดลัทธิรัฐธรรมนูญหรือการเรียกร้องให้มีการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยของนักวิชาการและนักการเมือง
โดยไม่เรียกร้องลัทธิประชาธิปไตย
นั้นเป็นการพ่นพิษใส่ประชาชนเพราะเป็นอุปสรรคสาคัญอย่างที่สุดของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย
6. ในระบบทุนนิยมในประวัติศาสตร์สมัยใหม่
กรรมกรเป็นพลังผลักดันที่สาคัญที่จะสนับสนุนการสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สาเร็จ
ฉะนั้นจะต้องมีการประสานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองกับกรรมกร
7. การสร้างประชาธิปไตยจะต้องมีห้วงเวลาในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทางวิชาการเรียกว่าระยะเปลี่ยนผ่าน
(TRANSITIONALPERIOD) ซึ่งจะต้องรวมอานาจนิติบัญญัติบริหารและตุลาการไว้ในองค์กรเดียวกัน

4. เพื่อให้มีอานาจมากที่สุดในการแก้ปัญหาและสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สาเร็จองค์กรนั้นเรียกว่ารัฐบาลเฉพาะกาล
(PROVISIONALGOVERNMENT) หรือรัฐบาลชั่วคราว(INTERIMGOVERNMENT) ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ
(CARETAKERGOVERNMENT) ซึ่งไม่มีอานาจ
8. การเคลื่อนไหวในการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้นจะต้องประกอบด้วยการเคลื่อนไหว 3ทาง คือ
8.1 การเคลื่อนไหวทางความคิด
8.2 การเคลื่อนไหวทางหลักการ
8.3 การเคลื่อนไหวทางการจัดตั้ง
9. การสร้างประชาธิปไตยหัวใจสาคัญอยู่ที่“แนวทาง”ไม่ใช่อยู่ที่ “เจตนาดี”
เพราะเจตนาดีถ้าไม่มีแนวทางที่ถูกต้องก็จะล้มเหลวดังคาพังเพยของฝรั่งที่ว่า “GOODINTENTON PAVESTHEWAY
TO HELL” และสาระสาคัญของแนวทางก็คือการทาให้อธิปไตยของปวงชนและเสรีภาพของบุคคลเป็นจริง
ตามหลักการของการปกรองระบอบประชาธิปไตย
10. การสร้างประชาธิปไตยให้สาเร็จได้นั้นจะต้องมีความเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยมี 2 ลักษณะคือ
ลักษณะทั่วไปและลักษณะประยุกต์ลักษณะทั่วไปคือปัญหาหลักการและหลักวิชาของลักทธิประชาธิปไตย
ลักษณะประยุกต์คือการประยุกต์หลักการและหลักวิชาอันเป็นของสากล
ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของสังคมไทยให้ได้อีกด้วย
11. เราต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยมีหลายแบบคือประชาธิปไตยแบบตะวันตก
ซึ่งเป็นประชาธิปไตยในแบบของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นร้อยๆปี กับประชาธิปไตยในแบบของประเทศกาลังพัฒนา
ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันเราจึงไม่อาจจะเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้กับประเทศด้อยพัฒนา
หรือประเทศที่กาลังพัฒนาได้เลยเพราะมันเข้ากันไม่ได้ เราจึงจาเป็นต้องคิดสร้างประชาธิปไตย
ให้เป็นแบบของเราขึ้นมาเอง ที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยแบบไทย
เหตุที่การสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยล้มเหลวมายาวนาน
ก็เพราะว่าคณะราษฎรเอาประชาธิปไตยแบบประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งดุ้นมาครอบเอาไว้ และนักร่างรัฐธรรมนูญคณะต่อๆ

5. มา ก็ถนัดกับการลอกแบบประชาธิปไตยของประเทศอื่นมาใช้ทั้งสิ้นโดยไม่เคยคิดสร้างแบบของเราขึ้นมาใช้เองเลย
จึงทาให้ประชาธิปไตยบ้านเราล้มเหลวมาจนทุกวันนี้
12. เราต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้นมีทั้งด้านเนื้อแท้และด้านรูปแบบภายนอกด้านเนื้อแท้คือหลักการ
คือคาจากัดความของอับราฮัมลินคอร์นที่ประกาศไว้คือการปกครองของประชาชนโดยประชาชนและเพื่อประชาชน
ซึ่งเป็นด้านสาคัญที่สุดด้านรูปแบบภายนอกคือการมีรัฐธรรมนูญมีการเลือกตั้งและการเคลื่อนไหวต่างๆ
ตามแบบประชาธิปไตยเราต้องเข้าใจว่าด้านรูปแบบภายนอกจะมีความหมายต่อความเป็นประชาธิปไตยได้
ก็ต่อเมื่อหลักการซึ่งเป็นด้านเนื้อแท้ ปรากฏเป็นจริงแล้วเท่านั้น
13. เราต้องเข้าใจว่าการเลือกตั้งเป็นหลักการหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ในสภาพแวดล้อมหนึ่ง
การเลือกตั้งกลายเป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายของความเป็นประชาธิปไตย
เราอาจจาเป็นต้องระงับการเลือกตั้งไว้ก่อนและต้องเข้าใจว่า
การไม่มีผู้แทนจากการเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหากผู้ครองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
สามารถทาให้การปกครองผลประโยชน์ตกเป็นของประเทศชาติและประชาชนผู้ปกครองนั้นก็เป็นประชาธิปไตย
แต่ผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎรแต่กลับปกครองโดยผลประโยชน์ตกเป็นของบุคคลหรือคณะบุคคล
ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย
14. การจะสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องเข้าใจความหมายของคาว่าเผด็จการและอนาธิปไตย
การเมืองในบ้านเราดูภายนอกจะเห็นว่าการมีรัฐธรรมนูญการมีการเลือกตั้งมีการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง
ดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตยแต่ดูเนื้อในแล้วเป็นเผด็จการหรือไม่ก็เป็นอนาธิปไตย
ทั้งเผด็จการและอนาธิปไตยล้วนเป็นภัยต่อประชาชนทั้ง2อย่างทหารเป็นเผด็จการเราเข้าใจกันดี
แต่พลเรือนเป็นเผด็จการเรากลับไม่เข้าใจกันทั้งๆที่เผด็จการชั้นยอดของโลกเป็นพลเรือนเช่นฮิตเลอร์ มุสโซลินี
โงดินห์เดียม
15. เราต้องเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยโดยมี2นัย คือโดยนัยอันแคบและโดยนัยอันกว้าง
โดยนัยอันแคบหมายถึงประชาธิปไตยในทางการเมืองโดยนับอันกว้างหมายถึงระบบประชาธิปไตยคือหมายถึง
ระบบสังคมทั้งระบบซึ่งประกอบด้วยการเมืองเศรษฐกิจสังคม
และวัฒนธรรมไม่ใช้มองที่รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งเท่านั้นการทาให้เกิดประชาธิปไตยโดยนัยอันกว้างเท่านั้น
ที่จะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

6. 16. ต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยของไทยนั้นต้องมี สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ
เพราะองค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะ“อเนกชนนิกรสโมสรสมมุติ”โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศรัฐเดียว
ซึ่งต้องใช้การปกครองด้วยวิธี“รวมอานาจการปกครอง”จะใช้ “การกระจายอานาจการปกครอง”มิได้
17. ต้องรู้ว่าการสร้างประชาธิปไตยของคณะราษฎรล้มเหลวนั้นก็ด้วยเหตุสาคัญ 2ประการ
ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจในทางการเมืองล้มเหลวเพราะในหลัก 6ประการของคณะราษฎรขาดหลัก
อธิปไตยของปวงชนซึ่งเป็นหลักสาคัญที่จะแสดงให้รู้ว่าการปกครองนั้นเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบเผด็จการ
และยังไปนาเอารัฐธรรมนูญของตะวันตกซึ่งเป็นของประเทศชาติพัฒนาแล้วมาครอบประเทศไทยไว้อีกด้วย
ซึ่งไม่สามารถเข้ากันได้กับสังคมไทยส่วนทางเศรษฐกิจนั้นเอียงไปทางซ้ายสุดซึ่งคนส่วนใหญ่รับไม่ได้
ซึ่งคณะราษฎรก็ไม่ได้แก้ไขกลับปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม
18. ต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยกับเสถียรภาพการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก
เสถียรภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้การปกครองต้องเป็นประชาธิปไตย
การที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพก็เพราะความเป็นเผด็จการและอนาธิปไตยการจะทาให้เผด็จการและอนาธิปไตยหมดไป
ก็ต้องทาให้ อานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนและบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ มีความสมดุลกัน
19. ต้องเข้าใจว่าการสร้างประชาธิปไตยเป็นคนละเรื่องกับการสร้างรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญเป็นผลของการสร้างระบอบประชาธิปไตยต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สาเร็จเสียก่อน
แล้วจึงสร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมารักษาระบอบที่สร้างเสร็จแล้วไว้ ประเทศไทยเราทากลับตาลปัตรกับประเทศอื่นเขา
เอารัฐธรรมนูญมาสร้างประชาธิปไตยที่ทาให้เรามีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลกถึง 18ฉบับ
แต่การปกครองยังเป็นระบอบเผด็จการอยู่ซึ่งเป็นสาเหตุให้สถานการณ์ปัจจุบันของชาติวิกฤตที่สุดในโลก
20. ในกรณีการเริ่มต้นของการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือเรียกว่าการสร้างประชาธิปไตยนั้น
เป็นการปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นดังนั้นหากมีความจาเป็นต้องใช้กาลังไม่ว่าในรูปแบบใด
ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ว่าเป็นความถูกต้องชอบธรรม

7. 21. ในสถานการณ์ปฏิวัติเราจะต้องรู้จักขบวนการเมือง(POLITICALMOVEMENT)
ที่ต่อสู้กันอยู่ในการทางเมืองของประเทศไทยซึ่งมีขบวนการเมืองดังนี้
21.1 ขบวนปฏิวัติประชาธิปไตย
21.2 ขบวนเผด็จการ
21.3 ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม
21.4 ขบวนการรัฐธรรมนูญ
ขบวนปฏิวัติประชาธิปไตยมีความมุ่งหมายในการสร้างประชาธิปไตยมีทหารประชาธิปไตยนายทุนที่ก้าวหน้าและกรรมกร
เป็นกาลังพื้นฐาน
ขบวนเผด็จการมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการ
มีพรรคการเมืองของชนชั้นสูงและพรรคของชนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อย
โดยปฏิเสธความร่วมมือกับชนชั้นล่าง
ขบวนปฏิวัติสังคมนิยมเป็นขบวนปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีความมุ่งหมายไปสู่สังคมนิยม
เพื่อทาลายชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง
ขบวนการรัฐธรรมนูญมีความมุ่งหมายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการไว้โดยไม่รู้ตัว
เป็นขบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยและเป็นปฏิปักษ์ต่อขบวนการประชาธิปไตย
22. ในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นสถานการณ์ปฏิวัติคือประชาชนขัดแย้งกับผู้ปกครองในระบอบเผด็จการ
จึงเกิดการเคลื่อนไหวของประชาชน
กดดันระบอบเผด็จการอย่างรุนแรงแต่บรรดานักการเมืองต่างๆซึ่งเป็นฝ่ ายเผด็จการ
ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนอานาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนจึงแบ่งขบวนเผด็จการออกเป็น2 ขั้ว แล้วระดมมวลชนเข้าต่อสู้กัน
เพื่อเบี่ยงเบนกระแสการปฏิวัติของประชาชนซึ่งการเคลื่อนไหวมวลชนไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรก็ตาม

8. จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามเป็นกระแสการปฏิวัติประชาธิปไตยแต่มีการนาเป็นปฏิกิริยา
จึงไม่สามารถพามวลชนไปปฏิวัติประชาธิปไตยได้ ดังนั้นถ้ากระแสการปฏิวัติของมวลชนมีความรุนแรงมากขึ้นเท่าใด
ก็ยิ่งส่งผลให้ฝ่ ายเผด็จการต่อสู้กันเองอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าฝ่ ายไหนเป็นผู้ชนะก็จะหลอกพาประชาชนไปสร้างรัฐธรรมนูญใหม่โดยไม่สร้างประชาธิปไตย
ประชาชนจะต้องผ่านบทเรียนเหล่านี้ก่อนทั้งสิ้นไม่ว่าในประเทศไหนก่อนที่จะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
23. เราต้องเข้าใจว่าเมื่อโลกย่างเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่และเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้น
ทุกประเทศไทยในสมัยนั้นปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จาเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้เพื่อให้เศรษฐกิจเสรีนิยมสามารถพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปได้
ดังเราจะเห็นว่าประเทศที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบัน
ได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบเผด็จการเป็นประชาธิปไตยกันหมด
สาหรับประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ100 กว่าปีก่อนแต่ก็ยังทาไม่เสร็จ
จึงทาให้ประเทศวิกฤตที่สุดในโลกอยู่ในขณะนี้
24. เราต้องเข้าใจว่าแนวทางการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องของประเทศไทยนั้นคือแนวทางของพระมหากษัตริย์
ตั้งแต่รัชกาลที่5, 6, 7 เป็นต้นมา เป็นวิวัฒนาการของการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในประเทศไทย
โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยตามแบบยุโรปและญี่ปุ่น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดาเนินการปฏิวัติประชาธิปไตยพร้อมๆกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นจักรพรรดิมัตซูฮิโตปฏิวัติสาเร็จเมื่อพ.ศ. 2432
ของไทยเราแนวทางของพระมหากษัตริย์มาหยุดชะงักด้วยการยึดอานาจของคณะราษฎรในสมัยรัชกาลที่ 7
และล้มเหลวมาจนถึงทุกวันนี้ฉะนั้นการสร้างประชาธิปไตยจึงต้องกลับไปสู่การนาโดยพระมหากษัตริย์ดังเดิม
ก็จะทาให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่นและเป็นผลดีต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
25. การสร้างประชาธิปไตยให้สาเร็จได้ จะต้องเข้าใจด้วยว่าระบอบเผด็จการ(DICTATORIALREGIME)
และระบอบประชาธิปไตย(DEMOCRATICREGIME) เนื้อแท้ตัวจริงเป็นอย่างไรระบอบคือมรรควิธีของการปกครอง
กล่าวอย่างรูปธรรมหมายถึงอานาจอธิปไตยเป็นของใครซึ่งมี2 อย่างคือ ปวงชนและชนส่วนน้อย
ถ้าอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนก็เป็นระบอบประชาธิปไตยถ้าอานาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อยก็เป็น
ระบอบเผด็จการฉะนั้นอานาจอธิปไตยจึงเป็นหลักการปกครองที่สาคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย

9. หรือการปกครองแบบประชาธิปไตยและเป็นตัวกาหนดการปกครองแบบประชาธิปไตย
ถ้าปราศจากอานาจอธิปไตยของปวงชนแม้ว่าจะมีหลักการอื่นหรือเงื่อนไขอื่นเช่นมีเสรีภาพมีความเสมอภาค
มีระบบรัฐสภา มีรัฐธรรมนูญมีการเลือกตั้งก็ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ระบอบเผด็จการตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยความหมายตามหลักวิชาการคืออานาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย
โดยชนส่วนน้อยนั้นอาจเป็นชนชั้นสูงก็ได้ ชนชั้นกลางก็ได้ หรือชนชั้นกรรมาชีพก็ได้ รวมทั้งเป็นทหารก็ได้
หรืออาจเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆก็ได้ ที่มีผลประโยชน์แตกต่างกันโดยแต่ละกลุ่มจะตั้งพรรคการเมืองของตนขึ้นมา
เพื่อทาหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของตนซึ่งไม่ใช่เป็นผู้แทนของประชาชน
นักการเมืองบ้านเราจึงล้วนเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยทั้งสิ้นแต่เมื่อเป็นผู้แทนของชนส่วนน้อยแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า
พรรคการเมืองเหล่านั้นเป็นเผด็จการเสมอไปพรรคการเมืองเหล่านี้จะเป็นเผด็จการได้ก็ต่อเมื่อมีอานาจอธิปไตยด้วย
ดังนั้นระบอบเผด็จการจึงมีองค์ประกอบดังนี้
25.1 เป็นผู้แทนของชนส่วนน้อย
25.2 เป็นคณะหรือพรรคผู้ถืออานาจอธิปไตย
ดังนั้นเผด็จการที่แท้จริงจึงอยู่ที่ตัวคณะผู้ปกครองหรือรัฐบาล มิใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญ
แล้วจะไปแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
26. การสร้างประชาธิปไตยก็คือการปฏิวัติประชาธิปไตยกล่าวตามความหมายที่เป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือ
การทาให้ดีขึ้นแต่ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็หมายถึงการยกเลิกสิ่งไม่ดีแล้วทาการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้นแทน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีไม่สามารถเป็นไปได้ โดยไม่ยกเลิกสิ่งไม่ดีเช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมนั้นต้องมีทั้ง
“ปหานะ” และ “ภาวนา”ปหานะ คือ ละอกุศลกรรมภาวนาคือเจริญกุศลกรรมดังนั้น
การเจริญกุศลกรรมโดยไม่ละอกุศลกรรมจึงย่อมเป็นไปได้ หรือการทาดีโดยไม่ละชั่วจึงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นการสร้างประชาธิปไตยจึงต้องยกเลิกระบอบเผด็จการและโครงสร้างของระบอบเผด็จการโดยสิ้นเชิง
ซึ่งประกอบด้วยมาตรการดังนี้คือ

10. 26.1 สร้างองค์กรอานาจอธิปไตยขึ้นออกเป็นพระราชกฤษฎีกาโดยประมุขแห่งรัฐใช้อานาจตามกฎหมายสูงสุด
(SUPREME LAW)
26.2 ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช2550
26.3 ให้รัฐสภาสิ้นสุด
26.4 ให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสุด
26.5 ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง
26.6 ยกเลิกองค์กรอิสระ
26.7 ประกาศนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าและปฏิบัตินโยบายให้เป็นจริง
26.8 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้น
26.9 นิรโทษกรรมผู้กระทาความผิดต่อความมั่นคงของรัฐของระบอบเผด็จการทั้งหมด
26.10 ประกาศนโยบายการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือนโยบายหลักของรัฐบาลเฉพาะกาล
(เอกสารการสร้างประชาธิปไตยของพรรคประชาชนคือพรรคความหวังใหม่)
Edit: thongkrm_virut@yahoo.com