More Related Content
Similar to คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสำหรับญาติและผู้ดูแล (17)
More from Utai Sukviwatsirikul (20)
คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสำหรับญาติและผู้ดูแล
- 3. กคู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
คำ�นำ�
คู่มือ “ความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสำ�หรับญาติและ
ผู้ดูแล” นี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการดำ�เนินโครงการวิจัย เรื่องรูปแบบ
การวางแผนจำ�หน่ายผู้ป่วยสูงอายุโรคสมองเสื่อมโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการวางแผนการจำ�หน่ายผู้ป่วยสูงอายุโดย
ทีมสหสาขาวิชาชีพ ศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งเนื้อหา
ภายในของคู่มือเล่มนี้ จะเป็นความรู้เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมตลอดจนวิธีการดูแล
ผู้ป่วย และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจ และเป็นการส่งเสริม
ความรู้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ผู้ป่วยสมองเสื่อม และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย
ทีมวิจัยศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุหวังว่าคู่มือเล่มนี้
จะเป็นประโยชน์แก่อาสาสมัคร บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ผู้ป่วยสมองเสื่อม และผู้ที่อยู่
ใกล้ชิดผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปที่สนใจ ซึ่งมีแนวทางในการนำ�ไปปฏิบัติได้จริงตลอด
การดำ�เนินโครงการวิจัย รวมทั้งเนื้อหาที่สามารถนำ�ไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำ�วันได้
คณะผู้จัดทำ�
- 4. ข คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
สารบัญ
หน้า
ทำ�ความรู้จักกับโรคสมองเสื่อม 1
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเป็นการขี้ลืมธรรมดาๆ 2
อะไรทำ�ให้สมองเสื่อม 3
อาการที่สำ�คัญของโรคสมองเสื่อม 5
โรคสมองเสื่อมรักษาหรือป้องกันได้หรือไม่ 9
ข้อควรคำ�นึงเบื้องต้นสำ�หรับผู้ดูแลหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม 10
ปัญหาต่างๆ และแนวทางการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม 11
โรคสมองเสื่อมส่งผลกระทบต่อผู้ดูแลอย่างไร 36
หลักการดูแลตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม 38
อาหารสำ�หรับผู้ป่วยสูงอายุโรคสมองเสื่อม 39
ปัญหาโภชนาการในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ 40
ความสัมพันธ์ทางโภชนาการกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์ 42
การบริโภคเพื่อส่งเสริมการทำ�งานของสมอง 52
การออกกำ�ลังสมอง (Neurobics exercise) 57
การเลือกสถานพยาบาลที่จะฝากให้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม 61
องค์กรที่ให้ความรู้ และความช่วยเหลือผู้ป่วยสมองเสื่อมและผู้ดูแล 62
การติดตามผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมที่หายออกจากบ้าน 63
- 5. 1คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ทำ�ความรู้จักกับโรคสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อม คืออะไร
โรคสมองเสื่อม(dementia)เป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดมาจากความผิดปกติ
ในการทำ�งานของสมอง มีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อมๆ กัน
แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เกิดขึ้นอย่างถาวร ส่งผลให้มีการเสื่อมของระบบความจำ�
และการใช้ความคิดด้านต่างๆ ความสามารถของบุคคลลดลง ผู้ป่วยจะสูญเสีย
ความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเอง มีพฤติกรรมแปลกๆ
บุคลิกภาพเปลี่ยนไป มีความผิดปกติในการใช้ภาษา การคำ�นวณ ความคิดริเริ่ม
ความเข้าใจ และส่งผลกระทบต่อการทำ�งาน รวมถึงการดำ�รงชีวิตประจำ�วัน
แต่กลุ่มอาการสมองเสื่อมที่พบมากในผู้สูงอายุนั้นต้องพิจารณาว่าเกิดขึ้นเนื่องจาก
อายุมากขึ้นหรือเป็นโรคสมองเสื่อม หากเป็นอาการสมองเสื่อมที่เกิดจากอายุที่
เพิ่มขึ้นนั้น โดยมากจะสูญเสียความจำ�เพียงอย่างเดียวซึ่งจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดย
ไม่มีผลต่อการทำ�งานหรือการใช้ชีวิตประจำ�วัน โรคในกลุ่มอาการสมองเสื่อมที่
พบบ่อย คือโรคอัลไซเมอร์
โรคสมองเสื่อม เป็นโรคผู้สูงอายุ พบในผู้สูงอายุที่มีอายุมาก กว่า 60 ปี
ร้อยละ 3.4 โดยโรคสมองเสื่อมในประชากรไทยที่พบนั้น พบว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
คือ โอกาสของการเกิดโรคจะเป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ประชากรที่ด้อยการศึกษา
จะเป็นโรคนี้มากกว่าประชากรที่มีการศึกษาดีและผู้สูงอายุในเขตเมืองใหญ่ จะมี
โอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่อยู่อาศัยในเขตที่เจริญน้อยกว่า และพบว่าโรคสมอง
เสื่อมมีความสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง คาดว่าโอกาสการเกิดโรคที่พบนี้
สัมพันธ์กับการบริโภคเกลือและภาวะเครียดในกลุ่มคนเมือง
- 6. 2 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคสมองเสื่อม
หรือเป็นการขี้ลืมธรรมดาๆ
ความแตกต่างระหว่างอาการลืมปกติ และการป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม
ผู้สูงอายุหรือผู้ดูแลผู้สูงอายุ บางครั้งเกิดอาการสงสัยว่าผู้สูงอายุเอง
เป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ โดยมาพบแพทย์ด้วยอาการว่าบางครั้งเมื่อจอดรถแล้ว
ขึ้นไปทำ�งาน เกิดอาการไม่แน่ใจว่าล็อคกุญแจรถแล้วหรือยัง ต้องกลับไปดูอีกครั้ง
หรือบางครั้งเมื่อจากบ้านแล้ว ไม่แน่ใจว่า ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว
จากอาการดังกล่าวเป็นอาการที่พบได้ในคนทั่วไป การที่จำ�แนกว่าเป็นอาการที่
พบได้ในคนทั่วไป การที่จำ�แนกว่าเป็นการลืมที่ธรรมดา หรือเป็นการหลงลืมจาก
ภาวะสมองเสื่อมนั้น มีหลักง่ายๆ คือ
หากจำ�ได้ว่าลืมทำ�อะไรถือเป็นการลืมธรรมดาๆเมื่อมีการฝึกเตือนตนเอง
จะช่วยให้แก้ไขความจำ�ให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าจำ�ไม่ได้เลยว่าเคยทำ�อะไรหรือลืมอะไร
อาจสงสัยได้ว่ามีภาวะสมองเสื่อมแล้ว ซึ่งเมื่อผู้ป่วยหรือญาติรู้สึกว่าตนเองหรือ
ผู้ที่ตนดูแลอยู่นั้นมีความจำ�ผิดปกติหรือมีปัญหาพฤติกรรมผิดปกติ อาจมาปรึกษา
แพทย์
การวินิจฉัยโรค
เมื่อมีอาการน่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการทดสอบสมรรถภาพ
ของสมองซึ่งผลจากแบบทดสอบสามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อมหรือไม่
หากผลตรวจน่าสงสัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อม แพทย์จะทำ�การตรวจพิเศษเพิ่มเติม
เช่น ตรวจร่างกายและเลือดทั่วไปเพื่อคัดแยกโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกสมองที่มี
ผลต่อความจำ�หรือทำ�ให้สมองเสื่อม เมื่อแยกโรคทั่วไปออกแล้ว แพทย์ก็จะทำ�การ
ตรวจปัญหาที่เกิดขึ้นในสมอง โดยการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เช่น CT MRI
หรือ PET scan ก็จะทำ�ให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
- 7. 3คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
อะไรทำ�ให้สมองเสื่อม
สาเหตุโรคสมองเสื่อม
สมองเสื่อมเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง การที่สมองเสื่อมได้นั้นเป็น
ผลจากเนื้อหรือเซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ� พฤติกรรม บุคลิกภาพ
มีจำ�นวนลดลงมีการเสื่อมสลายหรือมีการตายเกิดขึ้นทำ�ให้เซลล์สมองที่เหลืออยู่
ไม่สามารถทำ�งานได้ตามปกติ จึงเกิดอาการบกพร่อง ทางความสามารถของ
สมองขึ้น สาเหตุโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยๆ ได้แก่
1. การเสื่อมสลายของเซลล์สมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน
เกิดจากปัญหาหลอดเลือดสมอง (ตีบ ตัน หรือแตก) ทำ�ให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง
สมองลดลงถ้าลดลงมากจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอกับการใช้งานของสมอง ซึ่งจะ
ทำ�ให้เนื้อสมองตายไปซึ่งพบได้บ่อยในประเทศไทย
2. การขาดสารอาหารบางชนิดโดยเฉพาะวิตามินบี 1 หรือวิตามินบี 12
วิตามินบี 1 เป็นสารช่วยให้การทำ�งานของเซลล์สมองเป็นไปอย่างปกติผู้ที่ขาด
วิตามินบี1มักจะพบในผู้ป่วยที่ติดเหล้าหรือเป็นพิษสุราเรื้อรัง คนกลุ่มนี้มักจะกิน
เหล้าจนเมาและไม่ได้กินอาหารที่เพียงพอส่งผลให้เซลล์สมองทำ�งานไม่ได้ตามปกติ
จนอาจถึงขั้นที่เซลล์สมองเสียหายหรือตายไปส่วนวิตามินบี 12 นั้น ก็มี
ความจำ�เป็นต่อการทำ�งานของสมอง ซึ่งผู้ที่ขาดวิตามินชนิดนี้มักพบในผู้ป่วยที่
เคร่งในการรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากวิตามินบี 12
ได้จากนํ้าปลาหรือจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู ดังนั้นคนที่รับประทานมังสวิรัติ
จึงควรได้รับวิตามินเสริมเป็นครั้งคราว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของ
ร่างกาย นอกจากนี้ อาจพบการขาดวิตามินบี 12 ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
กระเพาะอาหารและลำ�ไส้เล็กส่วนต้นออกไป ทำ�ให้ขาดสารอาหารบางอย่างที่
ช่วยหรือจำ�เป็นในการดูดซึมวิตามินบี 12 จากกระเพาะอาหารและลำ�ไส้เข้าสู่
ระบบของร่างกาย
- 8. 4 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
3. การติดเชื้อในสมอง เช่น ซิฟิลิส ไวรัสเอชไอวี (ไวรัสที่ทำ�ให้เกิด
โรคเอดส์)
4. การแปรปรวนของเมตาโบลิกของร่างกาย เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำ�งาน
มากหรือน้อยไป
5. จากการถูกกระทบกระแทกศีรษะอยู่เสมอซึ่งพบบ่อยในนักมวยหรือ
นักกีฬาบางประเภทที่ต้องใช้ศีรษะกระทบสิ่งต่างๆ
6. เนื้องอกในสมองโดยเฉพาะ เนื้องอกที่เกิดจากด้านหน้าของสมอง
ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆดังนี้แขนขาไม่มีแรงมองเห็นภาพซ้อนหรืออาการที่แสดง
ว่ามีความดันในกะโหลกศีรษะมากขึ้น เช่น อาเจียนหรือปวดศีรษะ อาการต่างๆ
เหล่านี้ จะไม่พบในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมองส่วนอื่น ซึ่งการที่มีผู้ป่วยมีเนื้องอก
ในสมองส่วนหน้านั้น อาจทำ�ให้บุคลิกภาพ ความจำ�และการตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ป่วยสมองเสื่อม
7. ช่องในสมองขยายใหญ่จากนํ้าเลี้ยงสมองคั่ง
8. ยาหรือสารที่เป็นพิษ โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการทำ�งานของสมอง
- 9. 5คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
อาการที่สำ�คัญของโรคสมองเสื่อม
ผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรกอาจมีอาการไม่มากนัก โดยเฉพาะอาการ
หลงลืม และยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่จะทรุดหนักเมื่อเวลาผ่านไป
อาการดำ�เนินแบบค่อยเป็นค่อยไปผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรมและอาการ
ทางระบบประสาทอื่นๆตามมาซึ่งอาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยสมองเสื่อมมีดังนี้
ความจำ�เสื่อม โดยเฉพาะความจำ�ระยะสั้น หรือมีความบกพร่องในการ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ�วันมากเกินวัย เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุใกล้
เคียงกัน เช่น การวางของแล้วลืม จำ�นัดหมายที่สำ�คัญไม่ได้ ลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่
พูดอะไร ใครมาพบบ้างในวันนี้ และหากมีความรุนแรงมากขึ้นความจำ�ในอดีต
ก็จะเสื่อมด้วย
ไม่สามารถทำ�สิ่งที่เคยทำ�ได้ เช่นลืมไปว่าจะปรุงอาหารชนิดนี้ได้อย่างไร
ทั้งที่เคยทำ�
มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซํ้าๆ ซากๆ เรียกชื่อคน
หรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำ�บากในการหาคำ�พูดที่ถูกต้อง ทำ�ให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
มีปัญหาในการลำ�ดับทิศทางและเวลา ทำ�ให้เกิดการหลงทาง หรือ
กลับบ้านตัวเองไม่ถูก
สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยากๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้
มีการตัดสินใจผิดพลาด
วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอาเตารีดไปวางในตู้เย็น เอานาฬิกาข้อมือใส่
เหยือกนํ้า เป็นต้น
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้
เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้าหรืออาจจะ
มีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจไม่สามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่การอาบนํ้า เข้าห้องนํ้า จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
- 10. 6 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
หากแบ่งลำ�ดับอาการของโรค สามารถแบ่งได้ 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 (ภาวะสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย)
ผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืม โดยเฉพาะลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือตั้งใจจะทำ�
เช่น จำ�ไม่ได้ว่าวางของไว้ที่ไหน จำ�ชื่อคนหรือสถานที่ที่คุ้นเคยไม่ได้ ไม่ค่อยมีสมาธิ
ส่วนความจำ�เกี่ยวกับอดีตยังดีอยู่ เริ่มมีความบกพร่องในหน้าที่การงานและสังคม
อย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้ป่วยยังสามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำ�วันได้ และ
การตัดสินใจยังค่อนข้างดี
ระยะที่ 2 (ภาวะสมองเสื่อมระดับระดับปานกลาง)
เมื่อโรคดำ�เนินต่อไปจากระยะที่ 1 ในระยะนี้ความจำ�จะเริ่มเสื่อมมากขึ้น
มีความบกพร่องในเรื่องความเข้าใจ ความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา
และการตัดสินใจ เช่น ไม่สามารถคำ�นวณตัวเลขง่ายๆ ได้ การกะระยะทาง
เปิดโทรทัศน์ไม่ได้ทำ�อาหารที่เคยทำ�ไม่ได้ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เคยทำ�ได้มาก่อน
หรือยืนดูนํ้าล้นอ่างเฉยๆ เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ลืมแม้กระทั่งชื่อคนใน
ครอบครัว ในช่วงท้ายของระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการทางจิต เช่น ประสาทหลอน
หลงผิดหลงลืม ผู้ป่วยในระยะนี้เริ่มไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ การปล่อยให้
อยู่คนเดียวอาจเป็นอันตรายจำ� เป็นต้องอาศัยผู้ดูแลตามสมควร
ระยะที่ 3 (ภาวะสมองเสื่อมขั้นรุนแรง)
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลยแม้แต่การทำ�กิจวัตร
ประจำ�วัน ต้องมีผู้เฝ้าดูแลตลอดเวลา แม้แต่ความจำ�ก็ไม่สามารถจำ�สิ่งที่เพิ่ง
เกิดขึ้นได้เลย จำ�ญาติพี่น้องไม่ได้ หรือแม้แต่ตนเองก็จำ�ไม่ได้ มักเดินหลงทางใน
บ้านตนเองมีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปเคลื่อนไหวช้าหรืออาจเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่
สุขอนามัยของตนเองก็ดูแลไม่ได้ เช่น กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ อาจเกิดอาการ
แทรกซ้อนที่ทำ�ให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้
- 13. 9คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
โรคสมองเสื่อมรักษาหรือป้องกันได้หรือไม่
โรคสมองเสื่อมนั้นบางประเภทอาจรักษาได้แต่บางประเภทอาจรักษา
ไม่ได้ หากเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อม ที่เกิดจากการขาดสารอาหารบางอย่างเช่น
วิตามิน B1, B12 หรือผู้ป่วยที่มีการแปรปรวน ของระบบเมตาโบลิกของร่างกาย
เมื่อได้รับการรักษาแล้ว อาการสมองเสื่อมจะดีขึ้นซึ่งขึ้นอยู่กับอาการที่เป็น
หรือความเสียหายของสมอง ว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าความเสียหายไม่มากนัก
และได้รับการแก้ไขตามเวลาที่เหมาะสมตลอดจนเนื้อสมองไม่ถูกทำ�ลายไปมาก
ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น และเมื่อรักษาแล้ว อาการก็จะทรงอยู่ในลักษณะนี้เรื่อยๆ
แต่หากเป็นโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง ปัญหา
หลอดเลือดสมอง การติดเชื้อในสมองหรือจากการกระทบกระแทก ผู้ป่วยเหล่านี้
จะไม่สามารถรักษาได้ ซึ่งอาจมียาบางประเภทที่ช่วยชะลออาการของผู้ป่วย
แต่ในที่สุดเมื่อมีอาการมากขึ้น อาการสมองเสื่อมของบุคคลนั้น จะมีอาการ
ทันคนอื่นทีไม่ได้รับยาเช่นกัน
สำ�หรับโรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ แม้ในปัจจุบันยังไม่มีทางป้องกัน
เฉพาะโรค แต่เชื่อว่าการทำ�กิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำ�ลังกายในผู้สูงอายุ
สามารถช่วยชะลอการเกิดโรคหรือชะลอความเสื่อมของสมองลงได้บ้างในผู้ที่
เกิดโรคแล้ว ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่มีส่วนส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิตใน
ผู้สูงอายุ เช่น การออกกำ�ลังกายด้วย แอโรบิคด๊านซ์ ลีลาศ รำ�มวยจีน กีฬาเปตอง
รำ�วง นั่งสมาธิ หรือร้องเพลง ตลอดจน การตรวจสุขภาพร่างกายและการได้รับ
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโรคต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีร่างกายที่
แข็งแรง มีการสูบฉีดโลหิตที่ดีช่วยในเรื่องของการฝึกด้านความจำ� การฝึกจิตใจ
ให้ผ่องใสหรือทำ�ให้ผู้สูงอายุรู้จักโรค และทราบแนวทางในการป้องกัน มิให้เกิด
โรคได้เพิ่มขึ้นนอกจากนั้นจะเป็นการให้ผู้สูงอายุมีการปรับตัวในการอยู่ร่วมกับ
ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
- 14. 10 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ข้อควรคำ�นึงเบื้องต้นสำ�หรับผู้ดูแล
หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
1. อาการต่างๆที่พบในผู้ป่วยสมองเสื่อมเกิดจากโรคทางสมองมิใช่การ
แกล้งทำ�หรือความตั้งใจ
2. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม จะมีระดับสติปัญญาลดลงจึงไม่ควร
คาดหวังที่จะให้เขาเรียนรู้ในสิ่งที่สอนหรือบอกไป
3. อาการหลายๆ อาการที่เกิดขึ้น อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
เป็นไปได้เพียงให้อาการนั้นคงอยู่แต่ไม่รบกวนผู้ป่วย หรือคนรอบข้างมากนัก
4. อาการที่พิจารณาแล้วว่า ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตและความปลอดภัย
ของคนรอบข้างและผู้ป่วยเองอาจไม่จำ�เป็นต้องรักษาเพื่อให้อาการเหล่านั้นหมดไป
5. วิธีการที่ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยคนหนึ่ง อาจไม่ได้ผลเมื่อนำ�ไปใช้กับผู้ป่วย
คนอื่นหรือแม้แต่ในผู้ป่วยคนเดียวกันแต่ต่างเวลากันดังนั้นผู้ดูแลควรมีการสังเกต
และเรียนรู้จากคนรอบข้าง หรือจากประสบการณ์ของผู้อื่นร่วมด้วย
6. เมื่อใดก็ตามที่ผู้ดูแล หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยเกิดอารมณ์หงุดหงิด
ก้าวร้าว ควรระรีบเตือนตนเองและพาตนเองออามาจากผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วย
จะไม่เข้าใจว่าผู้ดูแลมีความรู้สึกอย่างไรเพราะการรับรู้ของเขาลดลง อย่างไรก็ตาม
ผู้ป่วยยังคงรับรู้ว่ามีความไม่พอใจเกิดขึ้นและอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ เพิ่มขึ้น
ซึ่งอาจเป็นการรบกวนคนรอบข้างมากขึ้นส่งผลให้ผู้ดูแลเกิดความหงุดหงิดเพิ่มขึ้น
ดังนั้นเมื่อผู้ดูแลออกมาพ้นมาจากผู้ป่วยแล้วควรรีบหาทางผ่อนคลาย และอาจหา
คำ�แนะนำ�จากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาทางช่วยเหลือ
- 15. 11คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ปัญหาต่างๆ และแนวทาง
การช่วยเหลือผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
ปัญหาความสับสนเรื่องเวลาและสถานที่
ความสับสนเรื่องเวลาและสถานที่ อาจทำ�ให้ผู้ป่วยบางคน ตกใจตื่นขึ้น
ตอนเที่ยงคืน และแต่งตัวออกไปทำ�งานหรือคิดว่าโรงพยาบาลคือบ้านตนเอง
เป็นต้น
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ทำ�ป้ายบอกเวลากลางวันกลางคืน วางไว้ข้างเตียงนอน ในตำ�แหน่ง
ที่ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ง่าย โดยป้ายดังกล่าวอาจติดป้ายชื่อ รูปถ่าย หรือ
สัญลักษณ์ร่วมด้วย
2. ญาติหรือผู้ดูแล คอยพลิกป้ายให้ถูกต้องตรงตามเวลา
3. พยาบาลจัดข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านให้อยู่ในสภาพเดิมเสมอ
ไม่ควรเปลี่ยนแปลงบ่อยเพราะผู้ป่วยจะจำ�ไม่ได้
ปัญหาการสูญเสียทักษะต่างๆ
ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
โดยธรรมชาติ เช่นสายตาเริ่มมองเห็นไม่ชัดเจน เวียนศีรษะ หน้ามืดตาลายง่าย
ระบบการหายใจลำ�บากรวมถึงระบบประสาทกล้ามเนื้อกระดูและข้อเมื่อบวกกับ
อาการเสื่อมทางสมองจึงส่งผลถึงทักษะในการปฏิบัติต่างๆที่เป็นกิจวัตรประจำ�วัน
อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งอาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น ผู้มีปัญหาในระยะแรกเมื่อเตรียม
อาการ อาจเปิดแก๊สทิ้งไว้ หรือรายที่อยู่ในระยะปานกลาง อาจเริ่มสูญเสียความ
สามารถในการดูแลตนเอง เช่น การแต่งตัว การอาบนํ้า หรือในขั้นรุนแรงอาจไม่
สามารถกลืนอาหารได้เอง เป็นต้น
- 17. 13คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ถ้าผู้ป่วยชอบทำ�งาน อย่างหนึ่งอย่างใด ก็ปล่อยให้ทำ�ต่อไป เพราะ
การได้ทำ�งานเป็นการคงสภาพทักษะต่างๆ และทำ�ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนมีคุณค่ามี
ประโยชน์ต่อครอบครัวไม่ได้เป็นภาระแก่ลูกหลานซึ่งเป็นการช่วยรักษาสุขภาพจิต
ที่ดีมาอย่างหนึ่ง เพียงแต่ถ้างานใดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย ญาติหรือ
ผู้ดูแล ต้องคอยระวังดูแลและเอาใจใส่เช่น การทำ�งานที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
ต่างๆ หรืออุปกรณ์เชื้อเพลิง
2. สิ่งของบางอย่างที่ผู้ป่วยใช้บ่อยๆให้ติดป้ายชื่อวิธีใช้และข้อควรระวังไว้
อย่างถูกต้องตรงตามตำ�แหน่ง
3. บรรยากาศภายในบ้านหรือสถานที่ที่ผู้ป่วยอยู่ควรมีแสงสว่างเพียงพอ
ไม่มีคนพลุกพล่านหรือมีพื้นที่ห้องเหมาะสมไม่ลื่น ห้องนํ้าต้องเช็คให้แห้งอย่า
ให้เปียกแฉะหรือมีนํ้าสบู่อยู่ เพราะอาจทำ�ให้ผู้สูงอายุลื่นล้มและเป็นอันตรายได้
ผู้ป่วยบางรายที่คุ้นเคยกับการใช้โทรศัพท์ควรสนับสนุนให้มีการใช้และรับโทรศัพท์
ต่อไปเพียงแต่อาจต้องมีปากกา สมุดบันทึก และมีเบอร์โทรศัพท์ที่สำ�คัญและ
จำ�เป็นสำ�หรับผู้ป่วย เช่น เบอร์ของสมาชิกในครอบครัว แพทย์ประจำ�ตัว หรือ
โรงพยาบาลไว้อย่างชัดเจนใกล้เครื่องรับโทรศัพท์
ปัญหาการหลงทาง
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระดับปานกลางเป็นต้นไปจะเริ่มจำ�บ้านของตนเอง
ไม่ได้ ปัญหาที่ตามมา เช่น ผู้ป่วยอาจกลับบ้านของตนไม่ได้ หาห้องนํ้าไม่เจอหรือ
อาจเดินเข้าไปในห้องนอนหรือบ้านของผู้อื่น
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ภายในบ้านควรมีป้ายชื่อ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์บอกทิศทาง
เกี่ยวกับ ห้องนํ้า ห้องสุขา และหน้าห้องของสมาชิกคนอื่นๆ และมีโคมไฟหรือ
แสงสว่างให้เพียงพอ
2. ผู้ป่วยบางรายมีร่างกายแข็งแรง ชอบออกไปนอกบ้าน อาจมีบัตร
ประจำ�ตัว บอกชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลการเจ็บป่วยอยู่ในนั้นด้วย เพื่อ
ความสะดวกแก่ผู้ให้ความช่วยเหลือหรือนำ�ส่งกลับบ้าน
- 19. 15คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ปัญหาของการไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง
ปัจจุบันผู้สูงอายุมักจะจำ�เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ แต่จะจำ�เรื่อง
ที่ผ่านมาในอดีตได้ดีซึ่งในผู้สูงอายุสมองเสื่อมอาทิอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระดับปานกลาง
ค่อนข้างรุนแรง เป็นต้นไปจะมีระดับความรุนแรงของอาการดังกล่าวมากขึ้น
จนเป็นปัญหาต่อการดำ�เนินชีวิตประจำ�วันเช่นจำ�เหตุการณ์ ในปัจจุบันแม้กระทั่ง
ชื่อบุตร คู่สมรสหรือเมืองที่อยู่อาศัยไม่ได้ แต่กลับจำ�เหตุการณ์ในวัยตอนต้นของ
ชีวิตได้ดี
แนวทางการช่วยเหลือ
1. เริ่มจากระดับความจำ�เป็นที่มีอยู่ในปัจจุบันเช่นให้เล่าประสบการณ์
ที่ท่านเคยภาคภูมิใจในอดีตโดยอาจนำ�ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต จากอัลบั้ม
รูปเก่าๆ ภาพเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ฯลฯ ให้ผู้ป่วยเล่า
2. จากนั้นจึงลำ�ดับเหตุการณ์ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบันซึ่งจะช่วยฟื้น
ความจำ�ของผู้สูงอายุได้ทีละเล็กที่ละน้อยอันจะนำ�มาสู่ชีวิตในปัจจุบันได้ในท้าย
ที่สุด
3. กิจกรรมดังกล่าวหากมีหลานๆ วัยเด็กเล็กๆ เข้าร่วมด้วย จะมี
ประโยชน์มาก เพราะเด็กชอบฟังเรื่องที่เล่าซํ้าไปซํ้ามา และเป็นการเรียนวิชา
ประวัติศาสตร์ไปในตัว
ปัญหาการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
การที่ผู้สูงอายุ มีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับสมาชิกใน
ครอบครัว หรือชุมชน นอกจากเป็นการคลายความทุกข์ และความกังวลแล้ว
กิจกรรมเล่านี้ ยังทำ�ให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่า ตนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและสังคม
นอกจากนั้นการทำ�กิจกรรมยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ระบบย่อยอาหาร
การขับถ่ายและระบบการไหลเวียนเป็นไปด้วยดี ซึ่งเป็นการชะลอความเสื่อมทาง
ความสามารถที่ดีอีกด้วย แต่สำ�หรับผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ มีข้อจำ�กัด
ในการปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้
- 21. 17คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ในกรณีที่อาการสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงเมื่อสมาชิกใน
ครอบครัวนั่งดูรายการโทรทัศน์อาจชวนผู้ป่วยดูด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าท่านสามารถ
ติดตามเรื่องราวต่างๆ ได้
2. เมื่อผู้สูงอายุเล่าถึงความหลังแม้ว่าจะบ่อยครั้ง แต่ผู้ที่ใกล้ชิดไม่ควร
ขัดจังหวะ ขัดแย้งหรือห้าม ควรปล่อยให้ท่านเล่าต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้
ผู้สูงอายุมีความสุขและอยากเข้าร่วมกิจกรรม
3. หาเวลาว่างที่จะพาผู้สูงอายุให้ไปตามที่ต่างๆ เช่น พาไปเยี่ยมเพื่อน
หรือญาติพี่น้อง เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีความสุขและลืมเรื่องที่กังวล
4. ผู้ป่วยที่เลื่อมใสศาสนา อาจพาไปวัด ฟังเทศน์ สนทนาธรรม หรือ
ทำ�บุญเลี้ยงพระในกรณีที่ผู้ป่วยมีความสนใจในกิจกรรมยามว่างใดก็ตามเป็นพิเศษ
ลูกหลานควรให้การสนับสนุน และมีส่วนร่วม
ปัญหาลืมประทานยา
ปัญหาที่มักพบ คือ ผู้ป่วยมักลืมเรื่องรับประทานยา จำ�ไม่ได้ว่าทานแล้ว
หรือยัง บางครั้งไม่ได้ทานเลย บางครั้งอาจทานเกินขนาด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้
แนวทางการช่วยเหลือ
1. หากล่องจ่ายยาจากร้านขายยา มาใช้ในการกำ�หนดเวลารับประทานยา
โดยอาจบรรจุยาตามเวลา เป็นวันอาทิตย์ ตามระดับความจำ�ของผู้ป่วย โดยมีญาติ
หรือผู้ดูแลคอยเช็คปริมาณยาจากล่อง
2. อาจใช้เสียงนาฬิกาปลุกช่วยในการเตือนความจำ�ของผู้ป่วย โดยอาจ
เป็นเสียงแปลกๆ เช่น เสียงคน หรือ เป็นเสียงเตือนอื่นๆ ตามความเหมาะสม
- 23. 19คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ปัญหาด้านการสื่อสาร
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยทั่วไปจะมีการสูญเสียทักษะในการสื่อสารกับ
บุคคลอื่นเพิ่มขึ้นโดยอาจเริ่มจากการจำ�ชื่อคนวัตถุสิ่งของ และสถานที่ต่างๆ ไม่ได้
จนถึงขั้นสุดท้ายอาจพูดได้แค่ 5-6 คำ�หรือ พูดเพียงแค่คำ�ใดคำ�หนึ่งซํ้าไปซํ้ามา
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ญาติหรือผู้ดูแลอาจช่วยพูดแทน ในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการจะสื่อสาร
โดยสังเกตจากสีหน้าท่าทางและการแสงออกเพราะผู้ป่วยเหล่านี้ มักมีปัญหาทาง
การสื่อสารด้านภาษาพูดเท่านั้น แต่ภาษาท่าทางต่างๆ ยังเข้าใจและสื่อสารได้
2. ควรตรวจให้แน่ใจว่า ผู้ป่วยได้ยินสิ่งที่ป่วยชัดเจนหรือไม่ เนื่องจาก
ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการหูตึง หรือมีขี้หมูมากทำ�ให้การได้ยินไม่ชัดเจน
3. พยายามกำ�จัดเสียงรบกวนต่างๆ เช่น เสียงวิทยุหรือโทรทัศน์ขณะที่
มีการสนทนากับผู้ป่วย
4. หากผู้ป่วยใส่ฟันปลอม ต้องแน่ใจว่า ฟันปลอมอยู่ในสภาพที่กระชับ
เหมาะเจาะ เพราะหากฟันปลอมหลวมจะทำ�ให้การพูดไม่ชัดเจน
5. พยายามพูดด้วยประโยคง่ายๆชัดเจนและมีความอดทนรอคอยและ
ให้เวลาในการตอบกับผู้ป่วย
6. ขณะสนทนากับผู้ป่วย ควรมีภาษาทางกายร่วมด้วย เช่น การจับมือ
หรือการสบตา
7. ในรายที่มีอาการสมองเสื่อมขั้นรุนแรงจนจำ�ญาติหรือผู้ดูแลไม่ได้
ในการเข้าพบผู้ป่วยต้องมีการแนะนำ�ตนเองพร้อมๆ กับเรียกชื่อผู้ป่วยทุกครั้ง
- 24. 20 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ปัญหาความผิดปกติทางพฤติกรรม
ปัญหาความผิดปกติทางพฤติกรรมพบในผู้ป่วยอัลไซเมอร์บางรายเท่านั้น
ซึ่งพฤติกรรมผิดปกติที่มักพบบ่อยๆ ได้แก่ พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง เที่ยวเตร่
พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย กลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่ หรือบางรายอาจเปลื้องผ้า
ในที่สาธารณะ พฤติกรรมเหล่านี้มีสาเหตุมาจากความบกพร่องด้านความจำ� ทำ�ให้
แปลความหมายสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผิด เช่น คิดว่าห้องรับแขกเป็นห้องนอนจึง
เปลื้องผ้า หรือคิดว่าสวนสาธารณะเป็นชายทุ่งในสมัยที่ตนเป็นเด็ก จึงสามารถ
อุจจาระปัสสาวะได้ เป็นต้น
แนวทางการช่วยเหลือ
ญาติหรือผู้ดูแลควรมีความเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมดังกล่าว และ
พยายามดูแลและเอาใจใส่ ด้วยความเคารพ นับถือรู้จักสงบสติอารมณ์และมีความ
สุขภาพ
พฤติกรรมชอบเที่ยวเตร่เถลไถล
พฤติกรรมนี้มีสาเหตุมาจากการที่ผู้ป่วยย้อนชีวิตกลับไปสู่กิจวัตรที่เคย
ทำ�ในอดีตซึ่งปัจจุบันสถานที่เหล่านั้นไม่มีแล้ว แต่ผู้ป่วยยังฝังใจอยู่ และพยายาม
ประกอบกิจกรรมดังกล่าวดังนั้น พฤติกรรมที่แสดงออกมาจึงดูไม่เหมาะสม
แนวทางการช่วยเหลือ
1. อาจค่อยๆ นำ�ผู้ป่วยกลับมาสู่เวลาและสถานที่ปัจจุบันด้วยความ
สุภาพ หรือหากิจกรรมเพื่อความเพลิดเพลินอื่นๆ ที่ผู้ป่วยชื่นชอบ มาให้ผู้ป่วยทำ�
2. หากมีสนามหญ้าหน้าบ้านอาจให้ผู้ป่วยมาเดินเล่นเพื่อออกกำ�ลังกาย
แต่ควรล็อคประตูบ้านเพื่อความปลอดภัย
- 26. 22 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
พฤติกรรมก้าวร้าว
ในผู้สูงอายุ ที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ มักมีสาเหตุมาจาก ความผิดปกติ
ด้านความจำ�ทำ�ให้เกิดการตัดสินใจและความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆลดลง
กิจกรรมต่างๆที่เคยทำ�นั้นทำ�ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกในทางลบเช่นคิดว่าตนเป็น
คนไม่มีประโยชน์เป็นที่รังเกียจของลูกหลายมีความรู้สึกระแวงว่าคนปองร้ายฯลฯ
อารมณ์เหล่านี้จะแสดงออกมาเป็นก้าวร้าวเมื่อมีเหตุการณ์มากระตุ้น เช่น เมื่อหา
ของบางอย่างไม่พบหรือระแวงว่ามีใครมาขโมยของของตนไป
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ต้องยอมรับว่านั่นเป็นอาการเจ็บป่วยไม่ควรแสดงความไม่พอใจหรือ
ต่อปากต่อคำ�กับผู้ป่วย
2. หลีกเลี่ยงการย้ายตำ�แหน่งของใช้ของผู้ป่วยหากผู้ป่วยแสดงอารมณ์
โมโห เนื่องจากหาของไม่พบ ญาติหรือผู้ดูแลอาจเข้าไปช่วยและค่อยๆ อธิบาย
สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมีโอกาส ควรเบนความสนใจไปสู่เรื่องอื่นหรือชักชวนผู้ป่วย
ออกจากสถานการณ์ที่ทำ�ให้แสดงความก้าวร้าว
- 28. 24 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
ปัญหาด้านการอุจจาระปัสสาวะ
ปัญหาด้านการอุจจาระ ปัสสาวะในผู้สูงอายุที่มีอาการสมองเสื่อม
ส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อหูรูดของท่ออุจจาระ ปัสสาวะหย่อนยานลง
ทำ�ให้การกลั้นทำ�ได้ไม่ค่อยดี เมื่อบวกกับภาวะสมองเสื่อมหาห้องนํ้าไม่พบ
หรือเข้าใจผิดคิดว่าของบางอย่างเป็นโถปัสสาวะได้ ทำ�ให้เกิดปัญหาดังกล่าว
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ห้องนอนของผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่าง อยู่ใกล้ห้องนํ้าทางเดินไม่วกวน
และเปิดไฟสว่างตลอดเวลาเพื่อความสะดวกแก่ผู้สูงอายุในการลุกเข้าห้องนํ้า และ
มีความปลอดภัย
2. ทำ�เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือป้ายบอก ทิศทางไปห้องนํ้าให้
เห็นชัดอย่าให้มีสิ่งกีดขวางและไม่ควรให้ฟื้นลื่น
3. จดบันทึกเวลาขับถ่ายของผู้สูงอายุที่ เป็นอยู่ประจำ�เพื่อจะได้ช่วย
ประมาณเวลาที่จะพาเข้าห้องนํ้า
4. ให้ผู้สูงอายุมีการเข้าห้องนํ้าอย่างเป็นเวลา
5. ดูแลเรื่องการดื่มนํ้าในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น วันละ 2 - 6 แก้ว
- 30. 26 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
พฤติกรรมที่ไม่ยอมนอนในเวลากลางคืน
ปัญหาในการนอน เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจมี
สาเหตุหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงในการนอนหลับของผู้ที่มีอายุ เช่น
หลับๆ ตื่นๆ หรือหลับไม่ต่อเนื่องสมองที่เกี่ยวข้องกับการนอนเสื่อมลงหรือยา
โรคภาวะแทรกซ้อนของโรคอาจรบกวนการนอน
แนวทางการช่วยเหลือ
1. พยายามให้หลับ – ตื่นเป็นเวลา โดยเฉพาะการตื่นนอน
2. ควรจัดให้มีการออกกำ�ลังกาย หรือการเคลื่อนไหวเป็นประจำ�
สมํ่าเสมอ เช่น การเดินเล่นในตอนเช้าหรือเย็น
3. ไม่อยู่แต่ในห้อง หรือสถานที่ที่มือจนเกินไปเพราะจะทำ�ให้ผู้ป่วย
ไม่ทราบว่า เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนควรให้ผู้ป่วยได้พบแสงสว่างบ้าง
เมื่อเข้าไปในห้องที่ไม่ค่อยสว่างจะได้หลับง่ายขึ้น
4. ควรให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยง การนอนหลับในเวลากลางวันอาจนอนหลับ
ได้ในช่วงบ่าย แต่ไม่ควรเกิน 15.00 น.
5. ควรมีการเตือนผู้ป่วยเป็นระยะเมื่อถึงเวลาใกล้เข้านอนเพื่อให้ผู้ป่วย
ได้เตรียมตัวและจำ�ได้ว่าถึงเวลานอนแล้ว
6. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ตื่นเต้น ในช่วงเย็นและคํ่า เช่น การพาไปในที่
ที่มีคนมากๆหรือสถานที่ที่มีความอึกทึกเพราะจะทำ�ให้ผู้ป่วยวุ่นวายและหลับยาก
7. ไม่ควรคาดหวังให้ปัญหาการนอนหลับนั้นดีขึ้นโดยเร็ว เนื่องจาก
เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงและบางครั้ง การนอนหลับอาจดีคงที่ได้
ระยะหนึ่ง สลับกับบางวันที่มีปัญหาก็เป็นได้
8. ดูแลเรื่องยาที่ผู้ป่วยใช้อยู่ ยาบางตัวอาจมีผลกระทบกับการนอน
- 32. 28 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
อาการหูแว่วประสาทหลอน
ผู้ป่วยสมองเสื่อมจำ�นวนหนึ่ง จะมีอาการหูแว่ว ประสาทหลอนเกิดขึ้น
เช่นได้ยินเสียงมีคนมาพูดคุยเห็นภาพต่างๆนานาซึ่งอาการเหล่านี้เป็นผลโดยตรง
ตรวจจากการทำ�งานที่ผิดปกติของสมองอาจเนื่องจากโรคสมองเสื่อมเองยาบางชนิด
หรือภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ในช่วงแรก จะไม่พบอาการเหล่านี้บ่อยนักและไม่รุนแรง ผู้ป่วยอาจ
มีความสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอาการผิดปกติที่เกิดกับตนเอง
2. ให้แพทย์ช่วยประเมินถึงสาเหตุ อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ว่าถึงแม้จะเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ไม่ใช่เรื่องที่อันตราย และหากอาการนั้นไม่เป็น
อันตรายต่อชีวิต และความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งคนใกล้ชิดควรปลอบผู้ป่วย
ว่าไม่ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
3. เบี่ยงเบนความสนใจ ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อให้ผู้ป่วยเลิกหมกมุ่นกับ
อาการเหล่านี้ หากต่อมามีอาการมากขึ้น ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์ เพื่อประเมินถึง
สาเหตุและการทำ�การรักษาตลอดจนทำ�ความเข้าใจกับแพทย์ ถึงผลข้างเคียงของ
ยาหรือการรักษานั้นๆถ้าสงสัยว่าอาจเป็นผลมาจากยาบางอย่างควรปรึกษาแพทย์
- 34. 30 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
พฤติกรรมไม่รับประทานอาหาร
สาเหตุของการไม่รับประทานอาหาร เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย
ไม่ว่าจากการเสื่อมของสมองที่เป็นมากขึ้นจนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
คืออาหารรวมถึงการไม่รู้จักวิธีในการใช้ช้อนหรือส้อมความสามารถของการกลืน
รวมถึง การเคี้ยวอาหารเสื่อมลง ในการกลับกันบางครั้งผู้ป่วยอาจทานอาหาร
ไม่หยุดหรือทานไม่เลือกไม่ว่าสิ่งนั้นจะรับประทานได้หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้
สภาวะอารมณ์ ผลข้างเคียงของยาและโรคแทรกซ้อน ก็มีส่วนไม่น้อยในการทำ�ให้
เกิดปัญหานี้
แนวทางการช่วยเหลือ
1. ควรพาผู้ป่วยไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจและแก้ไขปัญหา สุขภาพ
ในช่องปากแต่เนิ่นๆ
2. ปรึกษาแพทย์ว่ามีสาเหตุของการไม่ทานอาหารที่ตรวจพบได้หรือไม่
เช่น ปัญหาการเคี้ยวการกลืนความผิดปกติ ของอารมณ์หรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆ
3. พยายามจัดบรรยากาศของการรับประทานอาหารให้คงเดิมสมํ่าเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา สถานที่ (รวมถึงตำ�แหน่งของเก้าอี้) ชนิดของอาหาร
ควรสังเกตว่าชอบรับประทานอาหารประเภทใด ควรเป็นอาหารประเภทเดิมๆ
ที่คุ้นเคย เคี้ยวง่ายไม่ลำ�บากต่อการกลืน
4. ยืดหยุ่นอารมณ์ของผู้ป่วยบ้างไม่จำ�เป็นต้องตรงเวลาทุกครั้ง บางมื้อ
อาจข้ามไปได้ หรือเลื่อนเวลาเข้าหรือออกได้บ้าง
5. ลดความใส่ในกับวิธีการทานอาหารบ้างอาจมีการหกเลอะเทอะใน
บางครั้ง ถ้าผู้ป่วยไม่รู้จักการใช้ช้อนส้อมอาจต้องป้อน หรือหาวิธีการช่วยในการ
รับประทานอาหารให้เป็นเรื่องง่ายๆ
6. อาจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโภชนาการของอาหารว่าควรเสริมอาหาร
ประเภทใด เพื่อให้ผู้ป่วยได้คุณค่าทางอาหารครบ
- 38. 34 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
พฤติกรรมไม่ชอบอาบนํ้า
การอาบนํ้าในผู้ป่วยสมองเสื่อม อาจทำ�ให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัวจนเกิดการ
ต่อต้าน ไม่ยอมอาบ ส่งผลให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยในผู้ดูแลได้
แนวทางการช่วยเหลือ
1. พยายามจัดเวลาอาบนํ้าให้เป็นกิจวัตร ที่คงที่เป็นประจำ�สมํ่าเสมอ
เช่นหลังตื่นนอน หรือหลังการเดินเล่นตอนเช้า เป็นต้น
2. ทำ�บรรยากาศของการอาบนํ้า ให้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่การบังคับ
3. มีการบอกผู้ป่วยล่วงหน้าว่ากำ�ลังจะต้องอาบนํ้า
4. ค่อยๆ ให้ผู้ป่วยคุ้นเคยกับนํ้าที่กำ�ลังจะอาบและอุณหภูมิของนํ้า
ไม่ควรร้อนหรือเย็นจนเกินไปตลอดจนยืดหยุ่นกับความต้องการของผู้ป่วยบ้าง
- 40. 36 คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
โรคสมองเสื่อมส่งผลกระทบต่อผู้ดูแลอย่างไร
1. ด้านจิตใจ ผู้ดูแลจะเกิดความรู้สึกสูญเสียผู้ที่ตนรัก เพราะผู้ป่วย
ระยะหลังอาจจำ�หน้าผู้ดูแลญาติมิตรไม่ได้นิสัยใจคอและพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
การต้อนรับผิดชอบผู้ป่วยตลอดเวลา และต้องรับภาระหนักอย่างโดดเดี่ยว ทำ�ให้
ผู้ดูแลอาจรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งส่งผลให้ผู้ดูแลเกิดความรู้สึกโกรธผิดหวังเบื่อหน่าย
เครียด ท้อแท้ วิตกกังวล ครุ่นคิดถึงปัญหา
2. ด้านร่างกาย จากการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และจิตใจ ของผู้ดูแล
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะทำ�ให้ร่างกายอ่อนเพลียส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย และ
ติดเชื้อได้ง่าย
3. ด้านสัมพันธภาพ ผู้ดูแลจะเกิดปัญหาสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
จากการพูดบ่นซํ้าซาก การจู้จี้ของผู้ป่วย การพูดจาสับสนของผู้ป่วยอาจทำ�ให้
ผู้ดูแลแปลความหมายไปในทางที่ผิดได้
4. ด้านเศรษฐกิจ การที่ผู้ดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง ทำ�ให้ไม่สามารถ
ประกอบอาชีพได้ตามปกติส่งผลให้รายได้ของครอบครัวลดลง และเกิดปัญหาด้าน
เศรษฐกิจของครอบครัวทั้งค่ายาและค่ารักษาพยาบาล จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้
ญาติหรือผู้ดูแลจำ�เป็นต้องมีวิธีการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นโดยมีแนวทาง
ดังนี้
พยายามทำ�ความเข้าใจปัญหาของผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
เช่น ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ หรือเมื่อมีโอกาส
ควรคุยปรึกษาแพทย์หรือผู้ที่เคยมีญาติเป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งการสร้างความเข้าใจ
จะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกขัดแย้ง และสงสัยในตัวผู้ป่วย
ญาติหรือผู้ดูแล ควรหาพักผ่อนให้มาก เช่น ออกนอกบ้าน
หรือลาพักร้อน และเป็นการเปิดโอกาสให้ญาติพี่น้องคนอื่นหรือเพื่อนบ้าน
ได้มีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ
- 41. 37คู่มือความรู้และการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
สำ�หรับญาติและผู้ดูแล
การดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนั้น อาจตกเป็นภาระของสมาชิก
ครอบครัวคนใดคนหนึ่ง จึงอาจเกิดความรู้สึกที่ว่าเพราะเหตุใดสมาชิกคนอื่นจึง
ไม่ดูแล ซึ่งอาจนำ�มาซึ่งความฉุนเฉียวและการพูดจารุนแรง ทำ�ให้ผู้ป่วยเสียใจและ
ผู้ดูแลอาจรู้สึกผิดภายหลังได้ โดยเฉพาะ เมื่อท่านเหล่านี้ สูญเสียชีวิตแล้วดังนั้น
หากเกิดความรู้สึกดังกล่าว ญาติหรือผู้ดูแลควรหาทางออกให้แก่ตนเอง ในทางที่
เหมาะสม เช่น เล่นกีฬา ออกกำ�ลังกาย หรือเข้าชมรม
ผู้ดูแล ควรจัดเตรียมความพร้อมและให้คำ�แนะนำ�ในเรื่องต่อไปนี้
1. เทคนิคการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วย
2. ปรับสถานที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัยเก็บสิ่งของอันตรายใช้เฟอร์นิเจอร์
ที่มั่นคง แสงสว่างเหมาะสม หน้าต่าง/ประตูที่ยากต่อการเปิด ไฟฟ้า/แก๊ส/นํ้าร้อน
ของชิ้นเล็กๆ อาจเอาเข้าปากแล้วสำ�ลัก ระวังไฟไหม้ ปลั๊กไฟ
3. เตรียมแผนสำ�รองในกรณีที่ตนเองมีภารกิจส่วนตัวจำ�เป็น เจ็บป่วย
4. คำ�แนะนำ�สำ�หรับผู้ดูแล
ดูแลตัวเองด้วย
ทุกคนในครอบครัวต้องมีส่วนร่วม ไม่ทิ้งภาระทั้งหมดให้กับ
ผู้ดูแลหลักเพียงคนเดียว
จัดแบ่งเวลาให้เหมาะสม โดยควรมีเวลาเป็นของตนเองบ้าง
ถ้าผู้ดูแลก็มีครอบครัวจะต้องแบ่งเวลาให้ทั้งผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัว (สามี,
ลูก) ตามความเหมาะสม
ร้องขอความช่วยเหลือ